รากไม้เส้นหนึ่งพุ่งมาทางบุรุษผู้มาใหม่ เขาเพียงยกแขนซ้ายขึ้นป้องกัน แต่รากไม้ที่กลายเป็นแส้นั้นเกี่ยวกระหวัดรัดท่อนแขนของเขาแน่น บุรุษผู้นั้นนิ่วหน้าไปเล็กน้อย
“ปล่อย! ข้ามาช่วยนาง” เขาตวาดอย่างหงุดหงิด
“ท่านอ๋อง”
“เป็นข้า”
เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไป หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมอง นางส่ายหน้าอย่างสับสน เป็นไปได้อย่างไร เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร นางพึมพำเรียกชื่อบุรุษเบื้องหน้าซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อครู่ค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับสติของนางที่หลุดลอย
องค์ชายเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงร่างที่อ่อนยวบในวงแขน นางหมด
สติไป รากไม้เหล่านั้นชะงักค้างในอากาศครู่หนึ่ง มันไม่ได้ทำร้ายผู้ใดถึงแก่ชีวิต เพียงแค่ ‘ปกป้อง’ นางเท่านั้น เขามองรากไม้ที่คลายจากท่อนแขนกลับคืนสู่ดินตามเดิม ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกจากรอยแผ่นดินแยก คนเหล่านั้นหวาดผวากับสิ่งที่เห็น พากันหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง
“ท่านอ๋อง” เจิ้งไฉเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับมาถึงตัวแม่นางผู้นี้ช้ากว่าผู้เป็นนาย
เดิมทีเขาส่งเจิ้งไฉคอยติดตามดูความเคลื่อนไหวของว่านหนิงเหมย คอยส่งข่าวรายงานเขาเป็นระยะๆ แต่วันนี้เขาเบื่อหน่ายที่ถูกฮองไทเฮารบเร้าเรื่องเลือกพระชายาจึงออกมานอกวัง ไม่คิดว่าจะได้เห็นนางเดินมาที่ตรอกแห่งนี้ และเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่
“ให้ข้าอุ้มแม่นางว่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เจ้านายของเขาเป็นถึงชินอ๋อง เป็นองค์ชายเฟยเทียนผู้สูงศักดิ์ นางไม่มีค่าคู่ควรให้ท่านอ๋องต้องเสียมืออุ้มนางเลยสักนิด
บุรุษหนุ่มมองใบหน้าที่หลับใหลแล้วกระชับวงแขน ช้อนตัวนางลุกขึ้น ไม่ส่งตัวนางให้องครักษ์ตามที่ร้องขอ
“กลับตำหนักชินอ๋อง”
ด้วยวรยุทธ์อันสูงส่งขององค์ชายเฟยเทียน ใช้วิชาตัวเบาอุ้มร่างที่หมดสติกระโจนหายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาเจิ้งไฉที่ไม่เคยเห็นท่านอ๋องใส่ใจหญิงใดถึงกับอ้าปากค้าง แต่ก็รีบติดตามไปในทันที
เห็นรากไม้กลายเป็นแส้ประหนึ่งมีชีวิตว่าประหลาดแล้ว แต่เห็นท่านอ๋องใส่ใจสตรีนางหนึ่ง นี่ต่างหากที่ประหลาดยิ่งกว่า!.
ณ ตำหนักชินอ๋อง
ซิ่นเจี่ยง กุนซือผู้ปราดเปรื่องนั่งพิศดูกิ่งไม้เล็กๆ ที่ดึงออกมาจากท่อนแขนขององค์ชายเฟยเทียน
เขาใช้มีดบางเหลากิ่งไม้ดู แต่เนื้อในของกิ่งไม้ที่ชิ้นไม่ใหญ่ไปกว่าตะเกียบอันนี้ก็เป็นเพียงกิ่งไม้ธรรมดา แล้วเหตุใด กิ่งไม้อันนี้จึงแทงทะลุผิวหนังดุจเหล็กกล้าขององค์ชายได้
แต่เรื่องที่ให้ประหลาดใจยิ่งกว่า คงเป็นองค์ชายเฟยเทียนอุ้มหญิงสาวนางหนึ่งกลับเข้ามาในตำหนัก ซ้ำยังเดือดร้อนให้เขาไปตามหมอมาดูแลรักษานางอีก เจิ้งหู่และเจิ้งไฉองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายเฟยเทียนมาพอๆ กับเขาก็งุนงงไม่แพ้กัน
เพราะนานทีจึงจะกลับเมืองหลวง แม้มีตำหนักของตนเอง แต่แทบจะกลายเป็นตำหนักร้าง ยังดีที่ก่อนเดินทางมาเมืองหลวง ฮองไทเฮาสั่งให้คนสนิทมาดูแลทำความสะอาดไว้แล้ว รวมทั้งจัดการหาบ่าวไพร่ให้ แต่กระนั้นพวกนางกำนัลหรือหญิงรับใช้ก็ยังหวาดกลัวที่จะเข้าใกล้องค์ชายผู้นี้
ร่างสูงตวัดชายเสื้อลงนั่งที่เก้าอี้กลม วางแขนลงบนโต๊ะด้วยความเคยชิน แม้สีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกระวนกระวายด้วยความอยากรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องจะเป็นเช่นไร ซิ่นเจี่ยงที่จับมีดบางเล่นอยู่เห็นอีกฝ่ายเผลอจึงง้างมือหมายปักมีดเล่มเล็กลงที่ท่อนแขนขององค์ชายเฟยเทียน เจิ้งไฉและเจิ้งหู่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทะลึ่งกายจะเข้าขวาง แต่ยังช้าไป มีดบางเล่มนั้นกระทบท่อนแขนซ้ายขององค์ชาย ทว่ามันกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ราวกับเอามีดไปกระแทกบนก้อนศิลา
ดวงตาคมกระตุกเล็กน้อย ย้ายสายตามองหน้าคนสนิท
“เล่นอะไรของเจ้า ซิ่นเจี่ยง”
“กระหม่อมแค่ลองทดสอบดูพ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยความสนิทสนมทำให้ซิ่นเจี่ยงแค่ไหวไหล่เล็กน้อย ดูมีดบางที่ก่อนหน้านี้ใช้เหลากิ่งไม้ที่แทงเข้าเนื้อองค์ชายได้ แต่ตอนนี้มีดแหลมคมเล่มนี้กลับทำอะไรองค์ชายไม่ได้ ซ้ำยังเป็นเขาที่รู้สึกว่าแรงสะท้อนนั้นทำให้ปวดอุ้งมือไปอีก
“กิ่งไม้นี่ กระหม่อมทั้งเหลาทั้งลองหักดู ข้างในก็ไม่ได้มีอะไรซ่อนอยู่ กลับทิ่มแทงทะลุผิวของท่านอ๋องได้ แต่พอมีดบางเล่มนี้กลับทำอะไรท่านอ๋องไม่ได้ เอ๊ะ! นี่รอยช้ำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่นเจี่ยงถาม เพิ่งสังเกตเห็นรอยช้ำทับรอยมังกรเพลิงที่พันรอบท่อนแขนซ้าย
องค์ชายเฟยเทียนปรายตามองด้วยความประหลาดใจ แขนซ้ายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีสิ่งใดทำอันตรายก่อเกิดบาดแผลได้เลยสักคราเดียว ทว่าเป็นเช่นนี้มาสองครั้งแล้ว และเกิดขึ้นเมื่อพบหน้าหญิงสาวผู้นั้น
“รากไม้นั้นราวกับมีชีวิต มันปกป้องแม่นางว่าน” เจิ้งไฉย้ำเรื่องราวที่ตนเองเห็นมาอีกครั้ง เล่าให้เจิ้งหู่และซิ่นเจี่ยงฟังมาแล้ว ถ้าไม่เคยคิดตามองค์ชายเฟยเทียนออกรบมานับครั้งไม่ถ้วน เขาอาจตื่นตระหนกมากกว่านี้ก็เป็นได้
“ฮองไทเฮาทรงตรัสว่านางมีพรสวรรค์ ราวกับปลุกชีพต้นไม้ดอกไม้ในวังหลวงได้ โดยเฉพาะสวนสี่ฤดู” ซิ่นเจี่ยงทบทวนเรื่องราวทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องดีนัก หากจะมีสิ่งใดที่มาปองร้ายองค์ชายเฟยเทียน “อาจไม่ใช่พรสวรรค์ก็เป็นได้”
“นางเป็นปีศาจรึ” เจิ้งไฉปากเร็วพูดแบบไม่คิด ลืมไปว่านายของตนครึ่งหนึ่งก็เป็นปีศาจ “แต่ตอนที่ข้าสังเกตการณ์ที่บ้านตระกูลว่าน ไม่เห็นนางมีอิทธิฤทธิ์ใดเลย”
ยังไม่ทันได้ข้อสรุปอันใด ท่านหมอที่เชิญมาตรวจอาการแม่นางว่านเดินออกมาจากห้องพักของนาง เขาโค้งตัวรายงานต่อท่านอ๋อง
“เรียนท่านอ๋อง แม่นางผู้นั้นได้รับพิษจากกำยานทำให้ร่างกายชาควบคุมตนเองมิได้ ซ้ำนางยังอ่อนแอเป็นไข้ จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการถอนพิษมากกว่าปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“อันตรายมากแค่ไหน”
“ไม่มากเท่าไหร่นัก เพียงแค่ต้องพักฟื้นสองถึงสามวันจะดีขึ้น กระหม่อมจะจัดยาให้นาง ระหว่างนี้ร่างกายนางจะขับพิษออกทางเหงื่อ ท่อนอ๋องโปรดให้หญิงรับใช้ช่วยเช็ดตัวให้นาง อย่าให้ร่างกายนางชุ่มเหงื่อจนเกินไป มิเช่นนั้น ไข้จะไม่ทุเลาเอาโดยง่าย”
ท่านหมอพูดจบ แต่ไม่ได้ยินคำพูดใดจากใบหน้าเรียบนิ่งขององค์ชายเฟยเทียน ซิ่นเจี่ยงลอบถอนหายใจ องค์ชายผู้นี้นอกจากหวงคำพูดแล้ว ยังหวงท่าทีอีกด้วย เขาจึงเป็นฝ่ายเปิดปากตอบรับท่านหมอเสียเอง ให้เด็กรับใช้ไปส่งท่านหมอ เมื่อท่านหมอออกไปแล้ว ร่างสูงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของหญิงสาวทันที
“ท่านอ๋อง...” เรียกได้แค่นั้นซิ่นเจี่ยงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้าไม่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา คงไม่มีทางเข้าใจท่าทางนิ่งขรึมไม่พูดจาเช่นนี้เป็นแน่ องครักษ์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ปกติเขาติดตามผู้เป็นนายดุจเงาตามตัว กำลังสาวเท้าเดินตาม แต่พัดของซิ่นเจี่ยงแตะไหล่ห้ามไว้ก่อน“พวกเจ้ารอด้านนอก ข้าตามท่านอ๋องเอง” ซิ่นเจี่ยงลุกขึ้นแล้วเดินเร็วๆ ตามหลังองค์ชายไป เวลานี้องครักษ์สองคนนี้ใส่หน้ากากเหล็กหน้าตาดุดันน่ากลัว หากไปยืนประกบองค์ชายเฟยเทียน รัศมีอำมหิตแผ่กระจาย ประเดี๋ยวได้หามหญิงรับใช้ออกมาอีกเพียงร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้เตียงของหญิงสาว เขาก็เห็นร่างบางทุรนทุรายแม้ดวงตาจะปิดสนิท ราวกับนางผจญในฝันร้าย เหงื่อชุ่มราวกับตากฝน หญิงรับใช้สองคนนั้น คนหนึ่งประคองนางไว้ อีกคนถือชามยาพยายามป้อนยาให้ องค์ชายยืนดูอยู่อึดใจ เห็นทั้งสองยังป้อนยาไม่สำเร็จเสียทีจึงก้าวเข้าไป หญิงรับใช้ผวาเฮือกรีบลุกออกจากเตียงลงไปนั่งกับพื้น ปล่อยให้องค์ชายเฟยเทียนประคองนางขึ้นนั่ง ใช้แผ่นอกของตนเองให้นางพิง มือใหญ่ยื่นไปรับชามยาจากหญิงรับใช้ คนในวงแขนสะบัดหน้าไปมา เมื่ออยู่ใกล้จึงเห็นหางตาของนางมีน้ำตาไหลเปื้อนแก้มซิ่นเจี่ยงต
นางเดินได้ไม่กี่ก้าว รู้สึกว่ามีคนกำลังเข้ามาในห้อง นางหันซ้ายหันขวา เห็นเชิงเทียนทองเหลืองอยู่ใกล้มือจึงคว้าไว้ก่อนแล้วหาที่หลบซ่อนอยู่หลังแจกันทรงสูงท่วมศีรษะนางบุรุษร่างสูงผลักบานประตูเข้ามา ไม่อาจรู้ว่าเหตุใดถึงกระวนกระวายใจจนไม่อาจมีสมาธิฝึกซ้อมเพลงกระบี่ได้ จำต้องเดินกลับมาดูนางอีกรอบ ทั้งที่ซิ่นเจี่ยงเองบอกเขาแล้วว่านางปลอดภัยดี แม้ว่านางมีผู้ปกป้อง แต่ถ้าเขาไปช้าเกินไป นางจะเป็นเช่นไร หมดสติอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมีคนมาช่วย? สิ่งที่เห็นไม่ได้สร้างความแปลกประหลาดใจอันใดนัก แต่ที่หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้คือ ทำไมเขาเป็นห่วงนาง คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิด สองเท้าพาร่างของตนกลับมาดูนางอีกครั้งเพียงผลักบานประตูเข้าไป ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษ รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวใกล้ตัว ชะงักเท้าและเตรียมตั้งรับเพราะคิดไปเองว่าชิงลงมือก่อนจะได้เปรียบ ว่านหนิงเหมยพุ่งตัวออกไปพร้อมเชิงเทียนทองเหลืองในมือ นางยกมันขึ้นหมายจะฟาดใส่คนตัวโตที่เดินเข้ามา ทว่าข้อมือของนางถูกจับไว้ก่อน อีกฝ่ายออกแรงกระชากเพียงเล็กน้อย นางเสียหลักเข้าไปปะทะกับแผ่นอกแกร่งของเขาแล้ว หญิงสาวเผลอร้องออกมา ข้อมื
“รีบกินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”น้ำเสียงเอื่อยๆ นั่นทำเอานางเงยหน้าขึ้นมอง องค์ชายหยิบตะเกียบคีบอาหารส่งเข้าปากตนเอง แทบไม่ได้มองหน้านางเลยสักนิด สายตายังคงอยู่กับตำราที่วางไว้ข้างๆ คงเป็นหนังสือที่ดึงดูดองค์ชายมากนักถึงขนาดไม่ยอมถอนสายตาเลยทีเดียว เอ๋? นี่นางอิจฉาแม้กระทั่งหนังสือในมือท่านอ๋องเชียวรึ? นางรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่งมและเงอะงะอย่างไรไม่รู้ สมองที่เคยคิดอะไรได้รวดเร็วนั้นเวลานี้กลับไร้ประสิทธิภาพ นางก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจกินโจ๊กในชาม องค์ชายเฟยเทียนเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของนาง ความกล้าหาญเมื่อครู่หายไปแล้ว ท่าทางปกป้องตนเองและเหวี่ยงเชิงเทียนใส่เขานั้นสร้างรอยยิ้มขบขันขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ท่านหมอบอกว่านอกจากเจ้าต้องพิษจากกำยานแล้ว ยังมีไข้อีกด้วย ร่างกายฟื้นตัวใหม่ๆ จะหิวง่าย ถ้าไม่อิ่มกินกับข้าวพวกนี้ก็ได้” นางเงยหน้าขึ้น เผลอยกมือขึ้นแตะหน้าผากเพื่อวัดความร้อนของตนเอง ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกร้อนผ่าวอยู่นี่เพราะยังมีไข้อยู่ หรือเพราะดวงตาคู่คมที่จ้องมองนาง “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่ค่อยหิว” แต่นางก็จัด
องค์ชายเฟยเทียนพาหญิงสาวเดินเรื่อยๆ ไม่รีบเร่งผิดวิสัยปกติของตนเองนัก แม้ตนเองไม่ชอบสวนที่ถูกย้อมด้วยสีชมพูเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นนางมองทิวทัศน์รอบข้างด้วยรอยยิ้มก็ยอมเดินช้าลง ให้นางเกาะท่อนแขนของเขา เดินจนไปหยุดที่สะพานพระจันทร์เสี้ยวที่โค้งตัวข้ามสระบัว ใบหน้าของนางทอดมองไปรอบๆ แต่สายตาของเขาหยุดที่ใบหน้าของนางก่อนเลื่อนลงมองมือเล็กที่เกาะท่อนแขนของเขาอยู่ แขนข้างนี้ แขนที่มีปีศาจมังกรเพลิงฝังกายอยู่ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าแตะต้อง มันเป็นเช่นเหล็กกล้าและแกร่งดุจเพชร ศาสตราวุธใดมิเคยทำร้ายเขาได้ แต่สองครั้งแล้วที่ ‘บางสิ่ง’ ทำร้ายแขนข้างนี้ ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นไม่ได้มากมายอะไร แต่กลับกระตุ้นเตือนว่าเขายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ “ชอบที่นี่รึ” “เพคะ” นางตอบอย่างรวดเร็ว แน่นอน นางต้องชอบสิ นางเป็นคนจัดสวนเองกับมือนี่นะ แต่นางชอบไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบ นางลืมเรื่องสำคัญไปได้อย่างไร เจ้าของตำหนักเป็นบุรุษหนุ่มและยังเป็นแม่ทัพใหญ่ น่าชอบอะไรที่น่าเกรงขามมากกว่านี้ มาคิดได้ตอนนี้ไม่ช้าไปหน่อยหรือไร นางหลับตาโอดครวญในใจ แทนที่จะช่วยให้พระประสงค์ของฮองไทเฮาเป็
แม้ใบหน้าเรียบนิ่งจ้องมองนางอยู่ แต่ในใจนั้นกลับสับสน เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหน อยู่ต่อหน้าเขาแล้วมีอาการแบบนี้ นางไม่ได้หวาดกลัวแต่กำลังเขินอาย ใบหน้าแดงซ่านราวกับถูกย้อมด้วยสีแดงของดวงอาทิตย์ยามพลบค่ำ หญิงสาวได้ยินเพียงใบไม้สั่นไหวตามแรงลม กลีบดอกท้อปลิดปลิวพร่างพรมลงบนศีรษะนาง ชายหนุ่มมองเห็นกลีบดอกไม้ร่วงลงบนศีรษะของหญิงสาว ดวงตาคมวาวหรี่ลงก่อนยกมือซ้ายของตน สะบัดปลายนิ้วเล็กน้อย ทว่า...ดอกท้อดอกหนึ่งร่วงหล่นใส่มือ ว่านหนิงเหมยหันมองดอกไม้ในมือท่านอ๋องแล้วกะพริบตาปริบๆ ครู่ต่อมามือใหญ่จับปลายผมของนางพันก้านดอกไม้ไว้ ความอ่อนหวานเคล้ากลิ่นหอมละมุนอบอวลไปทั่วร่างนางเงอะงะงุ่มง่าม ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในห้วงเวลาอันแสนพิเศษนี้ แล้วนางก็ผวาเฮือกด้วยความตกใจ ยื่นมือไปคล้องคออีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ร่างเล็กถูกช้อนตัวขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง!” “เจ้าต้องลมนานไปจนไข้ขึ้นแล้วกระมังถึงได้หน้าแดงจัดเช่นนี้” เพียงกระชับนางไว้ในวงแขนแน่นขึ้น ใช้วิชาตัวเบากระโดดแตะยอดไม้ไม่กี่ทีก็พานางกลับไปที่ห้องนอนของนางแล้ว “พักฟื้น
“เจ้าอยากเดินหมากก็ให้เด็กไปยกกระดานหมากมาเถิด”ส่ายหน้ารำคาญกับท่าทางของซิ่นเจี่ยง เขารู้ว่ากุนซือผู้นี้หลงใหลการเดินหมากล้อมเป็นอย่างยิ่ง ยามว่างหรือสบช่องทางก็ออกไปตระเวนเดินหมากกินเงินกับผู้อื่น ทำตัวเหมือนเป็นผีพนัน เคยเดินหมากติดพันหายไปสองสามราตรีก็มี บางครั้งเขาให้เจิ้งหู่หรือเจิ้งไฉคอยติดตามซิ่นเจี่ยง เพราะกุนซือผู้นี้อ่อนด้อยเรื่องวรยุทธ์ ซิ่นเจี่ยงรีบลุกไปยกกระดานหมากมาอย่างรวดเร็ว คนผู้นี้สามารถทำงานไปและเดินหมากไปพร้อมกันได้เฟยเทียนยกน้ำชาขึ้นจิบ เห็นกลิ่นหอมละมุนอยู่ในปาก แต่เขากลับคิดถึงกลิ่นหอมจากเรือนผมยาวสยายของหญิงสาวผู้นั้น สายป่านนี้ นางยังไม่มา แต่หญิงรับใช้ที่ให้ดูแลนาง รายงานต่อซิ่นเจี่ยงแล้วว่า เมื่อคืนนางไม่มีไข้กลับมาอีก แม้มีเหงื่อออกมากก็ตาม เขาเป็นฝ่ายย้ำไม่ให้ปลุกนาง ปล่อยให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ หวังว่านางจะไม่ฝันร้ายจนหมอนเปียกน้ำตาน่าแปลกที่เมื่อคืนเขาหลับลึก หลายปีมานี้จะมีสักกี่ราตรีที่เขาหลับและผ่อนคลายได้มากขนาดนี้ แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้ถูกพิษใด เพราะเมื่อลืมตาเขาก็ยังรู้สึกตัวเป็นปกติดี คล้ายค่ำคืนที่ผ่านมาเขาได้กลิ่นหอมจางๆ รายล้อมจ
นางเพิ่งรู้ตัวว่าพูดพร่ำอยู่ผู้เดียวรีบหยุดปากแล้วเงยหน้าขึ้น นางกลับเห็นเงาตัวเองในดวงตาสีนิลที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวฉีกยิ้มเก้อเขิน แต่มือยังขุดดินอยู่ ครู่ต่อมานางเห็นมือใหญ่ใช้มีดสั้นปักลงดินเหมือนจะช่วยนางขุดเอาต้นไม้อ่อนเยาว์นี่ นางรีบร้องห้ามทันที “อย่าเพคะ ประเดี๋ยวคมมีดจะถูกรากของมัน” นางใช้สองมือขุดดินร่วนอย่างง่ายดาย “ต้นตู้เจวียนเอาใจยากสักหน่อย ชอบน้ำแต่ถ้าน้ำมากไปก็จะตาย ซ้ำยังชอบแสงแดดพอดีๆ ด้วย” นางหุบปากตัวเองอีกครั้ง รู้สึกพูดมากเกินไปแล้ว ครู่ต่อมานางได้ต้นตู้เจวียนในอุ้งมือ “หม่อมฉันขอย้ายไปปลูกตรงโน้นนะเพคะ ถ้าอยู่ตรงนี้มีหวังถูกเหยียบตายก่อนเติบโตเป็นแน่” องค์ชายเฟยเทียนเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต มองตามร่างเล็กสวมชุดสีขาวเดินไปด้านข้าง นางกวาดตามองหาที่สำหรับลงต้นไม้น้อยๆ ของนาง เขาสังเกตแม้กระทั่งชายกระโปรงที่เลอะดิน สองมือของนางดูคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ “กระหม่อมไม่คิดว่าท่านอ๋องจะทำเช่นนี้” ซิ่นเจี่ยงสูดลมหายใจลึก หากนางไม่ทรุดลงไปนั่ง ปลายกระบี่ที่หักนั้นคงได้ปักที่หัวใจนางแทนต้น
รวดเร็วจนนางไม่ทันได้ร้องอุทาน ข้อเท้าเหมือนถูกรั้งไว้ทำให้เสียจังหวะในการเดิน แต่คนที่เดินนำหน้ากลับเร็วกว่าหมุนตัวมารับนางได้ทันก่อนที่นางจะล้มหน้าคว่ำคะมำไปกับพื้นหญ้า พื้นหญ้า...ต้นหญ้า...ต้นหญ้าเหรอ? นางก้มมองข้อเท้าตัวเอง เพียงแวบเดียวนางเห็นว่าต้นหญ้า เหล่านั้นคลายออกจากข้อเท้า กลายเป็นต้นหญ้าไร้เดียงสาตามเดิม “แกล้งข้าทำไม” นางพูดลอดไรฟัน พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักลอยอยู่ใกล้หูทว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียใบหน้า ทำเอานางเพิ่งรู้สึกตัว เขาคงไม่เห็น และไม่ได้ยินสิ่งที่นางเผลอส่งเสียงออกไปใช่ไหม นางแหงนหน้าขึ้นเห็นเพียงสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่ออยู่ใกล้จึงรู้ว่าในแววตาคู่คมนี้มีรอยขบขัน เป็นดวงตาของบุรุษที่ซุกซ่อนอารมณ์อันหลากหลาย แท้จริงแล้วเขายังมีหัวใจ ไม่ได้เย็นชาอย่างที่ใครหลายคนหวาดกลัว “ดูเจ้ายังไม่ค่อยมีแรงเดินนัก” เพราะนางเริ่มจับจังหวะการพูดของเขาได้ พูดจาขึ้นมาประโยคเดียวโดดๆ แบบที่คนฟังไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือต่อต้าน ทุกคำเป็นคำสั่ง หญิงสาวขยับตัวถอยห่างได้ทันก่อนที่เขาโน้มตัวลงมาอุ้มนางเช่นเมื่อวาน
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต