อาหารบนโต๊ะยังไม่พร่อง แต่เจ้าพ่อหมั่นหน้ารวบช้อนเข้าด้วยกัน ครั้นปันสงสัยจึงเงยหน้าขึ้นมองสายตาเป็นคำถาม
‘อิ่มแล้ว?’ ซึ่งเดร์เข้าใจความหมายในสายตาของปันดี เขาไม่ตอบแต่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเกือบหมดแก้วแล้ววางไว้ที่เดิม มืออีกข้างหยิบผ้าผืนเล็กที่วางอยู่บนหน้าตักก่อนหน้านี้ขึ้นมาเช็ดมุมปากทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นการย้ำชัดว่าเขา ‘อิ่มแล้ว!’
ปันถอนหายใจ เพราะรู้สึกเสียดายอาหารบนโต๊ะจึงเอ่ยถาม “อาหารพวกนี้บางอย่างคุณยังไม่แตะเลยนะครับ”
“แล้วไง ฉันสั่งให้นาย นายก็กินให้หมดสิ”
ปันตาโตอีกครั้ง “นี่คุณ ผมชินกินข้าวจานเดียวแต่คุณเล่นสั่งมาเต็มโต๊ะแบบนี้ ใครจะไปกินหมด เรียกลูกน้องของคุณมากินเถอะ” ปันว่าแล้ว ก็อิ่มขึ้นมาทันทีเช่นกัน
“คนของผม ผมก็สั่งให้ต่างหาก ผมกินอะไรลูกน้องผมก็กินอย่างนั้นไม่ต้องไปเป็นห่วงหรอก”
ปันถอนหายใจ มองอาหารในจานที่หรูและแพง ซึ่งวาสนาตนคงไม่มีโอกาสได้เดินเข้ามาสั่งกินเป็นแน่
ระหว่างที่นั่งตัดพ้อเจ้ามือ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ก็โชยมาแตะจมูก จนต้องหันไปมอง จึงเห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาแต่งตัวเนี้ยบไร้ที่ติ เดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ และมองตรงไปที่เดร์ คล้ายลังเลไม่แน่ใจ
ระหว่างนั้นลูกน้องที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์มาตลอดก็ขยับตัวเพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย หากแต่เดร์ส่งสายตาไปมอง ทั้งหมดจึงหยุดนิ่งดุจเดิม
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามาขัด หนุ่มหล่อที่ยืนลังเลอยู่ก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อประหนึ่งคนคุ้นเคย “เดร์…” เสียงทุ้มเรียก พร้อมยิ้มหวานปรี่เข้าไปหาเจ้าของชื่อ
เถอะ! เขารู้จักกัน ปันคิดแล้วก้มหน้ามองจานข้าว หากแต่หูได้ยิน จึงเหลือบมองด้วยความใคร่รู้
“ดีใจจังที่เจอคุณที่นี่…”
น้ำเสียงและการเรียกขานบ่งบอกถึงความสนิทสนมกันดี หากแต่เดร์ยังมีสีหน้าเรียบนิ่ง อีกฝ่ายจึงขยับชิดจนเกือบจะนั่งเกยตัก “ไม่เห็นโทร.หาผมบ้างเลย”
ปันนิ่งค้าง เมื่อผู้ชายคนนั้นโน้มตัวเข้าไปใกล้จนจมูกเกือบชิดแก้มสาก เสียงพูดก็ออดอ้อน จึงมั่นใจถึงความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่คนรู้จัก หากเป็นคนคุ้นเคย ปันจึงหาโอกาสเพื่อให้ทั้งคู่ได้ทักทายกันโดยที่ตัวเองไม่ต้องเป็นก้างขวางคอ
“ไปไหน?”
ปันสะดุ้งรีบหันมาตอบ “ผะ ผมจะไปห้องน้ำ”
เดร์หรี่ตามอง และเมื่อปันเดินออกไปแล้วเดร์จึงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดของตัวเองตามปันไป
ระหว่างที่เดินไปปันก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ว่าหงุดหงิดเรื่องไหนก่อน ระหว่างเดร์เจอคนคุ้นเคย หรือบอดี้การ์ดตามมาคุมประหนึ่งตัวเองเป็นนักโทษถึงสองคน
เถอะ! ปันเกิดความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัว…
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที หนึ่งในลูกน้องที่ส่งไปก็วิ่งหน้าตื่นกลับมา
“มีอะไร?” เดร์ผุดลุกขึ้นถามเสียงกร้าว
“คึ คือ…”
“คืออะไร?”
เสียงทุ้มกร้าวเกือบตะหวาดจนลูกน้องที่ยื่นอยู่สะดุ้งไปตามกัน โดยเฉพาะสกายเกือบพลัดตก เพราะนั่งอิงอยู่บนเก้าอี้เดียวกันก่อนจะรีบถลาเข้าไปประชิดตัวเดร์ แล้วเรียกเตือนสติ
“เดร์ใจเย็นๆ สิ”
ความหวังดีของสกายกลับกลายเป็นได้สายตาเหี้ยม ประหนึ่งเป็นคนทำผิดเสียเอง
สกายใจหายวูบ เพราะตั้งแต่รู้จักมา จนกระทั่งเป็นคนขอแยกทาง เพราะคำว่า ‘ไม่มีเวลา’ ของเดร์ กระนั้นก็ไม่เคยโดนต่อว่าหรือส่งสายตาเช่นนี้มาให้ แต่กับเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นทำเอาคนเย็นชาอย่างเดร์ ใจขุ่นหมองเพียงเพราะไม่เห็นเด็กคนนั้นในสายตา…
สกายเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ ก่อนจะปล่อยมือทิ้งข้างลำตัว และนั่นทำให้เดร์ดึงสติกลับมาและหันมาบอกเสียงเครียดตึง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็เดินออกไป
คเชนทร์ลูกสมุนมือขวารีบทำหน้าที่เป็นคนกลางนำพาลูกน้องที่ยังมีสีหน้าตื่นออกไปก่อน โดยสกายได้แต่มองตามสายตาผิดหวัง
ระหว่างนั้นเดร์ก้าวไปไม่มองหลัง ใบหน้าฉาบเรียบหากแววตากร้าวพร้อมปะทะจนดูน่าเกรงขาม ซึ่งลูกน้องรับรู้ถึงอารมณ์ที่อยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบตึงของเจ้านายได้ดี จึงไม่ทิ้งห่างเพื่อความปลอดภัย
ลานจอดรถไร้คนพลุกพล่าน เดร์ก้าวไปอย่างรีบเร่ง เพื่อตามลูกน้องที่วิ่งนำทางไปก่อน และเมื่อไปถึงก็พบว่าปันนอนหมดสติ โดยใบหน้านั้นมีเลือดสีแดงฉานอยู่เต็มใบหน้า ซึ่งมีลูกน้องอีกคนประคองอยู่
เดร์ใจสั่นระส่ำ ทั้งโกรธทั้งเคือง จนต้องขบกรามแน่น เมื่อไม่มีเวลาอาละวาดหาคนรับผิดชอบในตอนนี้ แต่เดินปรี่เข้าไปย่อตัวลง แล้วช้อนร่างที่ไม่ได้สติของปันอุ้มขึ้นมาแนบอก อย่างทะนุถนอมที่สุด
ซึ่งนั้นคนใกล้ชิดเท่านั้นที่สังเกตเห็น...
“ไปเตรียมรถ!” เสียงทุ้มออกคำสั่งเฉียบขาด ทุกคนที่เกี่ยวข้องรีบปฏิบัติตามอย่างรู้งาน
คฤหาสน์กิติพงศ์ ที่คนนอกน้อยคนจะมีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาได้ แม้แต่คนที่คบกันนานที่สุด เดร์ก็ไม่เคยพาเข้ามา หากแต่ปันได้สิทธิ์นั้น ซึ่งทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิดรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก“เย็บไปสี่เข็ม แล้วก็ยาผมจัดให้ ต้องกินให้หมดนะครับ แต่ยังไงก็ต้องดูผลข้างเคียง จากการกระทบกระเทือนที่ศีรษะด้วย หากมีอะไรผิดสังเกต ผมอยากให้คุณเดร์รีบพาคนป่วยไปโรงบาลเพื่อเอกซเรย์น่ะครับ”นายแพทย์ประจำตระกูลหันมารายงานเดร์ซึ่งนั่งหน้านิ่งอยู่บนโซฟา โดยสายตาไม่ละไปจากใบหน้าขาวซีดที่ยังไม่กล้าสบตาเขาโดยตรงอยู่บนเตียงกว้างเมื่อเห็นว่าปันหลับไปแล้ว เดร์ก็เรียกลูกน้องที่เกี่ยวข้องทุกคนเข้ามาพบ“เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมา…”เดร์เริ่มไตร่สวนสีหน้าเครียดตึง จนลูกน้องที่ยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานหน้าซีดตัวเกร็ง หากมีเพียงคเชนทร์ที่ยังยืนนิ่งสงบและเอ่ยรับหน้า“ผมดูกล้องวงจรปิดมาแล้ว แต่คงมีเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างอยู่ในห้องน้ำนะครับ”“เข้าใจผิดยังไง ถึงกล้าทำร้ายร่างกายคนของฉัน ไปจัดการเอาตัวมาให้ฉัน”ด้วยความแปลกใจ คะเชนทร์เหลือบตามองเจ้านายเพียงนิด ก่อนจะก้มหน้ารับคำสั่ง “ครับ” หากแต่ใจก็อดคิดไม่ได้ เพราะเจ้านาย
สุดท้ายก็ทำสำเร็จเมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดเข้าเงียบไปแล้ว คนเจ้าแผนการก็รีบวิ่งออกไป ระหว่างที่ลนลานวิ่งออกมาถึงลานจอดรถ ความรีบร้อนทำให้เผลอไม่ระวังจึงชนกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง“ขอโทษครับ…” ปันรีบโน้มตัวก้มศีรษะเพื่อขอโทษแต่ชายกลุ่มนั้นกลับไม่ยอมฟังชักสีหน้าตึง สายตาเอาเรื่อง “ผะ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” กลัวทั้งท่าทางและแววตาที่ไร้ความเป็นมิตร พลันใจก็คิดถึงอีกคนที่ตัวเอง ชอบต่อว่า ว่าใจร้ายบ้าอำนาจและเอาแต่ใจขึ้นมาทันที แม้จะเห็นแต่ข้อเสียของเดร์ แต่กระนั้นปันก็รู้สึกปลอดภัย!“ไอ้หน้าอ่อน…” คำพูดกร้าวพร้อมกับฝ่ามือหนายื่นมาขยุ้มคอเสื้อ อีกทั้งเห็นว่าอีกมือข้างล้วงไปใต้ชายเสื้อและดึงบางอย่างออกมาปันผวาเฮือก “คุ คุณครับ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ปันละล่ำละลักบอกอีกครั้งด้วยความหวาดกลัวหากมุมปากหนาของชายหน้าเหี้ยมกลับเหยียดตรง สายตาไร้ความโอนอ่อน เพียงเสี้ยวนาทีต่อมาปันรับรู้ถึงแรงกระแทกศีรษะ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปพร้อมกับความเจ็บแปลบ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ ก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงกว้าง พร้อมใครบางคนกำลังทำแผลบนศีรษะให้…หลังจากความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ประโยคเสียวท้องน้อยก็ดังกระ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง การสนทนาของหัวหน้ากับลูกน้องก็ยังคงเคร่งเครียด ปันใช้เวลานั้นเดินสำรวจห้อง จนกระทั่งได้ยินประโยคน่าหวาดเสียวจึงเอียงหูฟัง“มือข้างไหนจับปืนก็ตัดข้างนั้น”น้ำเสียงเด็ดขาดไร้ความปรานี ปันหน้าเฝือดสี ในใจนึกขยาดกับผู้ชายที่กกกอดตัวเองมาตลอดหลายคืนโหดร้ายขนาดนี้เลยเหรอ…และเดร์เหมือนจะรู้ตัว ว่าหลุดพูดคำบางคำให้คนหัวอ่อนใจบางได้ยิน จึงหันมามองเพื่อดูท่าที และก็เห็นว่าแววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกริ่งเกรง“นายไปจัดการตามนั้นเลย” ปากสั่งลูกน้อง แต่สายตายังมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าหลายปีไม่วางตาคเชนทร์ออกจากห้องไปแล้วเดร์จึงกวักมือเรียกปันให้มานั่ง ใกล้ ๆ แต่ความขยาดหวาดกลัวทำให้เท้าของปันจิกอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนเดร์ทำเสียงในลำคอ “มานั่ง!” เสียงทุ้มสั่งพร้อมกับใช้มือตบไปบนโซฟาที่ว่างใกล้ ๆปันส่ายหน้าช้าๆ คล้ายไม่แน่ใจ“นายมันขี้ดื้อ”“ก็คุณใจร้าย”“ฉันร้ายกับคนที่ร้ายกับฉันและคนของฉัน”“แต่คุณไม่ควรไปตัดสินเองแทนกฎหมายนะครับ”“คิดว่ากฎหมายมันช่วยใครก่อน ระหว่างคนมีเงินกับคนธรรมดาอย่างนาย”“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่”“เพราะมีคนอย่างนายไง ไอ้พวกนักเลงก
ความที่ต้องการใช้บัตรประชาชน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงนึกขึ้นได้ ว่ามีครั้งหนึ่งรุ่นพี่ที่อยู่ร่วมห้องเคยเอ่ยขอ เดือดร้อนต้องตามหาจากเพื่อนสนิทของรุ่นพี่ที่คณะ จนได้ข้อมูลมาพอสมควร ซึ่งรุ่นพี่ชอบมาสิงอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องตามมาหา…“ผมหยิบกระเป๋ามาผิด ลืมไปว่าเก็บไว้อีกกระเป๋าครับ”เมื่อตั้งใจแน่วแน่ จากคนที่ไม่เคยพูดปดก็จำเป็นต้องพูด เพราะอยากเจอคนที่กำลังตามหาจริง ๆ“ไม่มี ไม่ให้เข้า อายุไม่ถึง ก็ไม่ให้เข้า ออกไปยืนไกลๆ แขกคนอื่นเขาจะเข้ามา”น้ำเสียงที่มาพร้อมสีหน้าเข้มจนดุ ปันยิ้มยิงฟันใส่ เพื่อกลบเกลื่อนความไม่เนียนของตัวเองแล้วคนตัวเล็กก็ขยับหลบไปยืนท่าทางสำรวมอยู่ห่างๆ จนเห็นว่าไม่มีแขกเดินผ่านเข้ามาอีกแล้ว ก็ขยับไปหาชายร่างสูงที่สีหน้าดูไม่เป็นมิตรกับตัวเองเท่าไหร่“โธ่พี่ชาย ให้ผมเข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ เข้าไปแปบเดียวเอง” ปันปรับน้ำเสียงออดอ้อนกระพริบตาปริบปรอย โดยสองมือกุมเข้าหากันแล้วปีบกระชับประหนึ่งให้กำลังใจตัวเองสายตาออดอ้อนของหนุ่มหน้าหวานตรงหน้า หากเป็นที่อื่นคงใจอ่อน แต่ที่นี่มีกฎ ใครทำผิดก็เท่ากับฆ่าตัวเอง คนหน้าดุจึงถลึงตาใส่ พร้อมกับส่งเสียงเข้ม“นิ อย่ามาทำตาเ
ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ“เอาเข้าไป”เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อนปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่
ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด“ใช่คนเดียวกันครับนาย”อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไปเสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง“มองพอหรือยัง”จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉี
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ