ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน
“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
“ใช่คนเดียวกันครับนาย”
อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา
“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้
เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไป
เสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง
“มองพอหรือยัง”
จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉีดมากกกว่าเดิม หากเมื่อมองสบตากันตรง ๆ ความคมเข้ม และเครื่องหน้าดั่งรูปปั่นเทพเจ้ากรีก ปันถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะปรับอารมณ์ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก
“งะ! วะ ว่าไงนะครับ”
ดวงตาคมดุมอง แล้วขยับริมฝีปากเอ่ยอีกครั้ง หากครั้งนี้น้ำเสียงทุ้มนุ่มเบา “ลุก ขึ้นมาใกล้ๆ ซิ”
ปันยิ่งงงหนัก คิ้วดกผูกปมจนหน้าผากเนียนเกลี้ยงเกิดรอยยับย่น ดวงตารีแคบ จ้องหน้าผู้ชายในสูทพอดีตัวที่ถูกเรียกว่านาย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงไม่มั่นใจกลับ
“ผะ ผะผมหรือครับ”
“ในห้องมีกันอยู่สองคน ไม่สั่งนาย หรือให้ผมสั่งตัวเองหรือไง”
ถูกย้อนปันถึงกับหน้าเหวอ “ไม่ ทำไมผมต้องเดินไปใกล้คุณ” …ถึงจะมีกันอยู่สองคน ก็ไม่เดินไปหาคนแปลกหน้าเด็ดขาด ปันตั้งมั่นอยู่ในใจ
“หรือจะให้ผมเดินไปหา แต่บอกไว้ก่อนนะ หากผมลุกจากเก้าอี้ไปหา มันจะไม่จบแค่การเดินไปถามในสิ่งที่ผมอยากรู้หรอกนะ”
เสียงทุ่มแฝงด้วยพลังบางอย่าง ทำให้ปันกลัวจับใจ จนรู้สึกหายใจไม่ออก ยิ่งเห็นว่าเขาเป็นคนมีอิทธิพล ความหวาดระแวงไม่ไว้ใจก็มีเพิ่มขึ้น
“ผมไม่รู้จักคุณ คุณจะทำอะไรผม”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้น เพราะส่วนมากลูกค้าผม ไม่มีใครอยากรู้จักผมหรอกครับ นอกจากพวกที่หาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นแหละที่ได้เห็นตัวตน และนายก็เป็นหนึ่งในนั้น”
น้ำเสียงและสายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน สร้างความแปลกใจในคำพูดให้ปันเป็นอย่างมาก
“คุณพูดอะไรของคุณ ผมไปเป็นหนึ่ง หนึ่งในนั้นของคุณอะไร”
ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเอ่ยถามบุรุษที่มองดูน่าเกรงขามจนใจหวั่น
“ผมชื่อ เดร์…หรือธงรบ กิติพงศ์ เผื่อนายจะแกล้งลืม” เสียงทุ้มหนักเอ่ยบอก
ปันคิ้วขมวดพร้อมกับส่ายหน้า ใจก็ครุ่นคิดชื่อและนามสกุลแต่ก็ไม่เคยผ่านหู
“ผมไม่เห็นเคยได้ยิน” ปันเอ่ยขึ้นเบาๆ
หากอีกฝ่ายได้ยิน…
เหมือนโดนตบหน้า ทั้งที่คนอย่างเดร์ คนสายเทาไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ยิ่งพวกลูกหนี้ รู้จักชื่อเขาทั้งยามหลับและยามตื่นจนบางคนถึงกับผวา แต่ชายหนุ่มตรงหน้า กลับทำเหมือนเขาไม่เคยอยู่ในบันชีรายชื่อ ที่ลูกหนี้ต้องควรจดจำ
คิดเช่นนั้นด้วยความโมโห เดร์ใช้มือตบโต๊ะดัง ปัง!
ปันสะดุ้งสุดตัว
สีหน้าอิหลักอิเหลื่อจืดเจื่อนของหนุ่มตรง ทำให้เดร์สะใจ มากกว่าเจ็บฝ่ามือที่ทุบลงไปบนโต๊ะ
...เกลียดนักพวกไม่มีสัจจะ แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่เงินก็คือเงิน จะต้องได้คืนทุกบาททุกสตางค์!
มุมปากหยักแสยะยิ้มจ้องหน้าหนุ่มตรงหน้าที่ดูไม่น่ามีพิษสงอะไร หากแต่ได้รับรายงานมาว่า ลูกค้ารายนี้ชอบเบี้ยวนัด ซึ่งคนอย่างเดร์ ไม่ชอบคนผิดคำพูด ที่ไม่น่าให้อภัย
“ร้ายนักหรือเราน่ะ…” เสียงทุ้มแผ่วเอ่ยเบาๆ พร้อมสายตาคมกล้ามองอย่างมาดหมายไปยังลูกหนี้ที่ปั้นหน้าไร้เดียงสาจนหน้าหมั่นไส้
ซึ่งเรื่องตามทวงหนี้เป็นหน้าที่ของลูกน้อง หากแต่ลูกน้องกลุ่มแรกทำงานพลาด จึงรับเรื่องมาให้ลูกน้องอีกกลุ่มดูแลจัดการ แต่เพียงได้ยินมาว่า ลูกหนี้รายนี้อายุยังน้อย หากแต่กล้าเล่นของใหญ่ โดยผลัดวันประกันพรุ่ง และที่สำคัญตามตัวไม่เจอมาหลายเดือน หากวันนี้บังเอิญมาเจอเองกับตัว จึงคิดว่างานนี้คงไม่พลาด ซึ่งเดร์เองจะคิดทั้งต้นทั้งดอกในคราเดียว!
“ใครร้ายกันแน่ แล้วผมก็ไม่อยากรู้จักคุณ ผมจะกลับบ้านแล้ว”
ปันเอ่ยจบก็ขยับลุกขึ้น สายตาเหลือบมองตรงประตูที่ถูกหิ้วปีกเข้ามา
“คิดหรือ ว่าหากผมไม่อนุญาต แล้วจะออกไปจากห้องนี้ได้”
“พวกคุณไม่มีสิทธิกักขังใครไว้นะครับ” น้ำเสียงกล่าวยืนยันด้วยความมั่นใจ
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ
หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น
หลังจากแยกตัวออกมาจากลูกน้อง เดร์ก็ขับรถออกมาโดยไม่รีบไม่ร้อน หากแต่ความแออัดของรถบนท้องถนนทำให้การจราจรไม่คล่องตัว ในระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง สายตาก็มองออกไปนอกกระจกรถเป็นจังหวะที่สายตาของเดร์ปะทะกับรถสปอร์ต์ที่จอดเด่นสะดุดตา และเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นรถคันคุ้นตาและคุ้นเคย“เวลานี้ ต้องอยู่มหาลัยไม่ใช่เหรอ…” เดร์เปรยกับตัวเอง ด้วยความฉงน โดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มีเพียงสามคันในประเทศไทยซึ่งอีกสองคันก็เป็นของเขาที่จอดเก็บไว้อย่างดี“ไม่ใช่ดิว?” แล้วเพ่งมองไปก็เห็นว่าคนที่เปิดประตูรถออกมาจากที่นั่งคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถ!เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เสียงปีบแตร ทำให้เดร์รีบละสายตาจากรถคันราคาหลายล้าน แล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความครางแครงใจ ก่อนจะฟาดมือไปบนพวกมาลัยด้วยความหงุดหงิด“เกเรใหญ่แล้วนะเรา…” เดร์ตำหนิน้องชายที่ตนเพิ่งมอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามเดือนก่อนแม้จะหงุดหงิด แต่เดร์ก็พยายามมองหาที่จอดรถ เพื่อจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่เพราะตรงนั้นเป็นทางแยกและไม่เหมาะที่จะหยุดรถ เดร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย และขับไปด้วยความเร็วคงที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง…เดร์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าที
หลังจากจบคลาสสอน อาจารย์ก็ปล่อยนักศึกษาออกจากห้อง แต่ปันยังนั่งก้มหน้าก้มตาควานหาของในกระเป๋าอยู่ “หาอะไรอยู่” เสียงทักถามทำให้ปันละลายตาเงยหน้าขึ้นมอง และจำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ชื่อเกม “หามือถือ” แล้วก้มหน้าหาต่อ เกมเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เคยพูดกับปันช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกันไม่กี่ครั้ง “ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า” เกมถามต่อ โดยยังไม่เดินออกไปจากห้องเหมือนคนอื่นๆ “ไม่นะ เมื่อเช้าก็จำได้ว่าหยิบติดมือมาแล้ว” ปันตอบ แล้วนั่งไล่ทบทวน ความจำใหม่ “แล้วจะไปไหน นอกจากไม่หยิบมาจากห้อง หรือไม่ก็ทำร่วงที่ไหนซักที่” คำพูดของเกมทำให้ปันคิดหนัก หน้าถอดสี“หากตกหล่นอยู่ในห้องก็ดี แต่หากไม่หล่นในห้อง แล้วไม่รู้ทำร่วงตรงจุดใดของมหา’ลัยนี่สิ มันจะมีใครเจอไหม…” ปันรู้สึกใจหาย หากมือถือหายไปจริงๆ “จำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ยังไงใช้ของเราก่อนก็ได้นะ”ปันมองหน้าเกม ที่มีรูปร่างผอมสูง ผิวสีเหลืองดวงตาปุ๋มลึก อย่างกับคนขี้โรค ซึ่งปันไม่ค่อยได้คุยด้วย เพราะเมื่อจบคลาสเรียน หากไม่ใช่เพื่อนกลุ่
ปันยิ้มให้กำลังใจ “ลองดูใหม่ เผื่อเจ้าของร้านนี้อาจจะใจดีกับเราก็ได้”“ไม่ดีกว่า” คนเคยโดนดูถูกดูแคลนจนขาดความมั่นใจ นึกขยาด“นา นายก็ไม่ได้ขี่เหร่ซักหน่อย ไว้เราไปสมัครพร้อมกัน เชื่อว่าเราต้องได้ทำงานด้วยกัน”“เอางั้นเหรอ” เกมก้มมองดูสารรูปตัวเองใหม่ แล้วส่ายหน้า“ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะเปลี่ยนลุค เชื่อมือ” ปันยืนยันเกมยิ้มแห้ง “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะเปลี่ยนลุค มันได้เหรอ”“ได้สิ เชื่อมือ” ปันยืนยันหนักแน่นหลังจากพูดคุยตกลงกันได้ ปันก็ให้เกมโทร.หาพี่รหัส เพื่อนัดวันให้แน่ชัด แต่เมื่อคุยเสร็จ ไม่ทันแยกย้าย พี่รหัสก็โทร.กลับมา และบอกให้ไปสมัครคืนนี้เลย โดยให้เหตุผลว่า ‘หลังจากวันนี้ ทางร้านอาจจะปิดรับสมัครเพราะมีเด็กมาสมัครกันเยอะ’“งั้นนายไม่ต้องกลับหอ ไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องเราก็ได้”“เกรงใจ เอางี้ เดี๋ยวเรากลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วจะแวะไปหาปันที่ห้อง เพราะยังไงหอเราถึงก่อนหอปัน”“นายรู้เหรอ ว่าเราพักอยู่หอไหน”เกมหลุบตามองต่ำ “ก็รอให้ปันบอกอยู่นี่ไง” ตอบเสียงอ่อยปันยิ้มขำ “ออ นึกว่ารู้ เราอยู่หอไหน”“แล้วถ้าบอกว่ารู้ล่ะ”“จริงดิ?”“อือ… แต่แค่ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน”ปันตาโต “ใค
หลังจากออกจากห้องน้ำ ปันก็รีบแต่งตัว ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูก็พบว่าเป็นเกม ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีมัว กับกางเกงยีนสีดำขาดตรงเข่า อีกทั้งบนตัวเสื้อยืดด้านหน้า มีรูปตัวการ์ตูนดังเด่นมาแต่ไกลสายตาปันที่มอง ทำให้เกมต้องก้มมองดูตัวเองใหม่ แล้วเอ่ยบอกสีหน้าระรื่น“ชุดตัวเก่งของเราเลยนะ”ปันยิ้มรับ พร้อมกับดึงแขนของเกมเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตู“ไปแบบนี้ เขาก็นึกว่าเราไปเที่ยวหรือเปล่า นายต้องแต่งตัวแบบนี้” แล้วยืดอก ยืนตัวตรงเป็นแบบให้เกมดูเกมยิ้มจนตาหยี่ เมื่อเห็นชัดกับการแต่งตัวของปัน ซึ่งมันดูไม่มีอะไรพิเศษ หากแต่เมื่อมองไปดีๆ สัดส่วนและรูปร่างของผู้สวมใส่ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมทรงสลิมฟิต กับกางเกงยีนสีเข้มทรงกระบอกเล็กซึ่งดูเรียบร้อย มีความดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้“เป็นไง” เสียงทุ้มนุ่มถามเกมสะดุ้งเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าปัน “ดุ ดูดีมาก…”“ใช่ นายก็มานี่เลย” พร้อมกับดึงแขนเกมให้เดินเข้ามายืนตรงหน้ากระจก แล้วกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้ออกมายื่นให้เกมคิ้วขมวดมองของในมือสลับกับมองห