ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน
“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้น
คำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”
ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ
“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”
ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ
“เอาเข้าไป”
เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อน
ปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด
“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”
ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน
...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!
ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่งตัวภูมิฐาน ที่ปันมองเห็นเพียงเสี้ยวจมูกที่โด่งเป็นสันและคิ้วหนาดกดำสองมือล้วงกระเป๋าท่าทางน่าเกรงขาม
หรือมาเฟีย! ปันคิด ฉี่ก็จะราดใส่กางเกง เพราะเท่าที่ได้ฟังมา คนพวกนี้ใจคอโหดเหี้ยม
“นิ พวกคุณจะพาผมไปไหนเนี่ย ปล่อยผมนะ...”
ปันโวยวายตะโกนลั่นไม่หยุด แต่คนทั้งสามไม่ได้ใส่ใจ
“ปล่อยผมสิ พวกคุณเป็นใคร มาจับผมแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยผม...” เสียงทุ้มแหลมแผดก้อง หากแต่คนหิ้วปีกซ้ายขวา กลับไม่มีสีหน้าหรือแสดงความรำคาญออกมาแต่อย่างใด
ทางเดินเงียบไร้ผู้คน ซึ่งเป็นทางเดินใช้เฉพาะส่วนบุคคล คนภายนอกห้ามเข้า ในช่องทางเดินแคบ ก็มีชายอีกสองคนยืนประจำตำแหน่งอยู่ ด้านหลังนั้นก็เป็นประตูทึบ ซึ่งเป็นทางเข้าเชื่อมต่อกัน ทั้งคู่เมื่อเห็นว่ามีใครเดินมา ก็โน้มคำนับ แล้วเปิดประตูให้
ปันเหงื่อผุดพลายเต็มไปหน้า หวาดหวั่นจนมือไม้อ่อน
…แค่ขอเข้าไปในร้าน ถึงกับอุ้มมาฆ่ากันเลยเหรอ! ปันคิดจนรู้สึกแน่นในอก หน้าซีดเหงื่อแตกจนรู้สึกเปียกไปทั้งทั่ว
“ปล่อยผมเถอะ… ผมอยากกลับบ้าน”
ด้วยความหวาดกลัว ปั้นก็ทำได้แค่ขอให้อีกฝ่ายปล่อย แต่เหมือนเสียงของปันไม่ส่งผลให้อีกฝ่ายตอบรับแต่อย่างใด
ความกลัวทำให้ปันออกแรงดิ้นเพื่อเอาตัวรอด หากแต่แขนของคนตัวโตล็อกไว้อย่างดี ทำให้ออกแรงดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล จนปันเองที่รู้สึกหมดแรง เมื่อคนพวกนั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ประหนึ่งสิ่งที่หิ้วปีกอยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งของไร้น้ำหนัก
ทั้งหมดพากันเดินผ่านช่องทางแคบ ๆ มีแสงไฟสลัวพอมองเห็นทางหากแต่มีกลิ่นอับชื้นลอยปะทะจมูกเป็นบางครั้ง ปันหายใจไม่ทั่วท้อง ท้องไส้ปิดมวน คิดไปต่างๆ นาๆ
…มาเฟียชัด ๆ
ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงห้องโถงใหญ่ที่มีแสงไฟสว่างมองเห็นบรรยากาศรอบๆ ซึ่งพบว่ามีห้องที่ทำด้วยกระจกใสกั้นไว้ ปันมองผ่านกระจกเข้าไป จึงมองเห็นผู้คน หญิงชายยืนล้อมโต๊ะจับกลุ่มกันอยู่ด้านใน แวบแรกรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อยหากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นก็คงร้องขอให้คนอื่นช่วยได้
หากแต่มองไปดีๆ ก็พบว่าบางโต๊ะนั้นมีเครื่องเล่นการพนันที่พอจะรู้จัก อย่างไพ่ ไม้หมุน จึงสรุปได้ทันที ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้แค่เปิดบาร์ แต่มี ‘บ่อน!’ ซ่อนอยู่ ซึ่งสิ่งที่ประจักษ์อยู่ในสายตา ปันถึงกับแข้งขาอ่อน เหงื่อแตกจนเสื้อที่สวมใส่เปียกแนบไปตามตัว
ปันยังอยู่ในความหวาดกลัวและหวาดระแวง มารู้ตัวอีกทีก็ถูกวางลง เท้าแตะบนพื้นอย่างไม่ออมแรง จนเซไปหลายก้าว
“โอ๊ะ โอ๊ย!”
ร้องได้แค่นั้นก็ต้องกัดปากตัวเอง เมื่อความกลัวมีมาก ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
โดยในห้องสี่เหลี่ยมจัดแต่งไว้อย่างดี คล้ายห้องทำงานระดับผู้บริหารเลยทีเดียว ซึ่งมีโต๊ะทำงานและตู้เก็บเอกสารหลายอย่าง ส่วนอีกมุมมีโซฟาหนังสีเทาวางอยู่ ภายในห้องไร้เสียงรบกวนใดๆ จะมีก็เสียงแอร์ที่บ่งบอกว่ายังทำงานปกติอยู่
ปันถอยหลังสองก้าวก่อนจะสะดุดขาตัวเองแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและบิดเบี้ยวเหยเก อยากร้องไห้
ทำไมซวยแบบนี่เนี่ย! ในใจคิด ว่าไม่น่ามาที่นี่เลย!
หากแต่เสียงเก้าอี้ลากครูดไปกับพื้นทำให้ปันหยุดชะงักและเก็บความคิดทั้งหมดทั้งมวลไว้แล้วหันไปมอง ซึ่งก็พบกับสายตาคมกล้า ที่เปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้ จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด“ใช่คนเดียวกันครับนาย”อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไปเสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง“มองพอหรือยัง”จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉี
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ
หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น
หลังจากแยกตัวออกมาจากลูกน้อง เดร์ก็ขับรถออกมาโดยไม่รีบไม่ร้อน หากแต่ความแออัดของรถบนท้องถนนทำให้การจราจรไม่คล่องตัว ในระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง สายตาก็มองออกไปนอกกระจกรถเป็นจังหวะที่สายตาของเดร์ปะทะกับรถสปอร์ต์ที่จอดเด่นสะดุดตา และเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นรถคันคุ้นตาและคุ้นเคย“เวลานี้ ต้องอยู่มหาลัยไม่ใช่เหรอ…” เดร์เปรยกับตัวเอง ด้วยความฉงน โดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มีเพียงสามคันในประเทศไทยซึ่งอีกสองคันก็เป็นของเขาที่จอดเก็บไว้อย่างดี“ไม่ใช่ดิว?” แล้วเพ่งมองไปก็เห็นว่าคนที่เปิดประตูรถออกมาจากที่นั่งคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถ!เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เสียงปีบแตร ทำให้เดร์รีบละสายตาจากรถคันราคาหลายล้าน แล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความครางแครงใจ ก่อนจะฟาดมือไปบนพวกมาลัยด้วยความหงุดหงิด“เกเรใหญ่แล้วนะเรา…” เดร์ตำหนิน้องชายที่ตนเพิ่งมอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามเดือนก่อนแม้จะหงุดหงิด แต่เดร์ก็พยายามมองหาที่จอดรถ เพื่อจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่เพราะตรงนั้นเป็นทางแยกและไม่เหมาะที่จะหยุดรถ เดร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย และขับไปด้วยความเร็วคงที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง…เดร์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าที
หลังจากจบคลาสสอน อาจารย์ก็ปล่อยนักศึกษาออกจากห้อง แต่ปันยังนั่งก้มหน้าก้มตาควานหาของในกระเป๋าอยู่ “หาอะไรอยู่” เสียงทักถามทำให้ปันละลายตาเงยหน้าขึ้นมอง และจำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ชื่อเกม “หามือถือ” แล้วก้มหน้าหาต่อ เกมเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เคยพูดกับปันช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกันไม่กี่ครั้ง “ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า” เกมถามต่อ โดยยังไม่เดินออกไปจากห้องเหมือนคนอื่นๆ “ไม่นะ เมื่อเช้าก็จำได้ว่าหยิบติดมือมาแล้ว” ปันตอบ แล้วนั่งไล่ทบทวน ความจำใหม่ “แล้วจะไปไหน นอกจากไม่หยิบมาจากห้อง หรือไม่ก็ทำร่วงที่ไหนซักที่” คำพูดของเกมทำให้ปันคิดหนัก หน้าถอดสี“หากตกหล่นอยู่ในห้องก็ดี แต่หากไม่หล่นในห้อง แล้วไม่รู้ทำร่วงตรงจุดใดของมหา’ลัยนี่สิ มันจะมีใครเจอไหม…” ปันรู้สึกใจหาย หากมือถือหายไปจริงๆ “จำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ยังไงใช้ของเราก่อนก็ได้นะ”ปันมองหน้าเกม ที่มีรูปร่างผอมสูง ผิวสีเหลืองดวงตาปุ๋มลึก อย่างกับคนขี้โรค ซึ่งปันไม่ค่อยได้คุยด้วย เพราะเมื่อจบคลาสเรียน หากไม่ใช่เพื่อนกลุ่
ปันยิ้มให้กำลังใจ “ลองดูใหม่ เผื่อเจ้าของร้านนี้อาจจะใจดีกับเราก็ได้”“ไม่ดีกว่า” คนเคยโดนดูถูกดูแคลนจนขาดความมั่นใจ นึกขยาด“นา นายก็ไม่ได้ขี่เหร่ซักหน่อย ไว้เราไปสมัครพร้อมกัน เชื่อว่าเราต้องได้ทำงานด้วยกัน”“เอางั้นเหรอ” เกมก้มมองดูสารรูปตัวเองใหม่ แล้วส่ายหน้า“ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะเปลี่ยนลุค เชื่อมือ” ปันยืนยันเกมยิ้มแห้ง “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะเปลี่ยนลุค มันได้เหรอ”“ได้สิ เชื่อมือ” ปันยืนยันหนักแน่นหลังจากพูดคุยตกลงกันได้ ปันก็ให้เกมโทร.หาพี่รหัส เพื่อนัดวันให้แน่ชัด แต่เมื่อคุยเสร็จ ไม่ทันแยกย้าย พี่รหัสก็โทร.กลับมา และบอกให้ไปสมัครคืนนี้เลย โดยให้เหตุผลว่า ‘หลังจากวันนี้ ทางร้านอาจจะปิดรับสมัครเพราะมีเด็กมาสมัครกันเยอะ’“งั้นนายไม่ต้องกลับหอ ไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องเราก็ได้”“เกรงใจ เอางี้ เดี๋ยวเรากลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วจะแวะไปหาปันที่ห้อง เพราะยังไงหอเราถึงก่อนหอปัน”“นายรู้เหรอ ว่าเราพักอยู่หอไหน”เกมหลุบตามองต่ำ “ก็รอให้ปันบอกอยู่นี่ไง” ตอบเสียงอ่อยปันยิ้มขำ “ออ นึกว่ารู้ เราอยู่หอไหน”“แล้วถ้าบอกว่ารู้ล่ะ”“จริงดิ?”“อือ… แต่แค่ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน”ปันตาโต “ใค