ความที่ต้องการใช้บัตรประชาชน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงนึกขึ้นได้ ว่ามีครั้งหนึ่งรุ่นพี่ที่อยู่ร่วมห้องเคยเอ่ยขอ เดือดร้อนต้องตามหาจากเพื่อนสนิทของรุ่นพี่ที่คณะ จนได้ข้อมูลมาพอสมควร ซึ่งรุ่นพี่ชอบมาสิงอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องตามมาหา…
“ผมหยิบกระเป๋ามาผิด ลืมไปว่าเก็บไว้อีกกระเป๋าครับ”
เมื่อตั้งใจแน่วแน่ จากคนที่ไม่เคยพูดปดก็จำเป็นต้องพูด เพราะอยากเจอคนที่กำลังตามหาจริง ๆ
“ไม่มี ไม่ให้เข้า อายุไม่ถึง ก็ไม่ให้เข้า ออกไปยืนไกลๆ แขกคนอื่นเขาจะเข้ามา”
น้ำเสียงที่มาพร้อมสีหน้าเข้มจนดุ ปันยิ้มยิงฟันใส่ เพื่อกลบเกลื่อนความไม่เนียนของตัวเอง
แล้วคนตัวเล็กก็ขยับหลบไปยืนท่าทางสำรวมอยู่ห่างๆ จนเห็นว่าไม่มีแขกเดินผ่านเข้ามาอีกแล้ว ก็ขยับไปหาชายร่างสูงที่สีหน้าดูไม่เป็นมิตรกับตัวเองเท่าไหร่
“โธ่พี่ชาย ให้ผมเข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ เข้าไปแปบเดียวเอง” ปันปรับน้ำเสียงออดอ้อนกระพริบตาปริบปรอย โดยสองมือกุมเข้าหากันแล้วปีบกระชับประหนึ่งให้กำลังใจตัวเอง
สายตาออดอ้อนของหนุ่มหน้าหวานตรงหน้า หากเป็นที่อื่นคงใจอ่อน แต่ที่นี่มีกฎ ใครทำผิดก็เท่ากับฆ่าตัวเอง คนหน้าดุจึงถลึงตาใส่ พร้อมกับส่งเสียงเข้ม
“นิ อย่ามาทำตาเล็กน้อยแบบนี้นะ ไม่ชอบ” แล้วทำท่าขนลุกขนพอง
ปันชักสีหน้า หากแต่ไม่ถอย “ผมไม่ได้อยากให้พี่ชอบ ผมแค่อยากให้พี่เห็นใจ ผมเดือดร้อนจริงๆ นะครับ ให้ผมเข้าไปหน่อยนะครับ”
“เดือดร้อนแก จะมาทำให้พวกเราเดือดร้อนด้วยสิ บัตรก็ไม่มี อายุจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หึ้ย… ไปไกลๆ เลยไป๊!”
เสียงดังบ่นใส่ แถมไล่อย่างไม่แคร์ จนปันต้องมองไปรอบๆ เพราะเริ่มรู้สึกกระดาก กับสถานที่ที่ไม่เคยอยากมา
“อะไรของพี่ครับ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“เออ… กูก็ไม่ได้ชอบ” เสียงทุ้มหนักบอก สายตาเลิ่กลั่กมองหน้าหนุ่มหล่อปานผู้หญิง แล้วหันไปมองหน้าเพื่อนที่ยืนขำไม่ไหว จึงส่งสายตาดุให้ อีกคนหุบปากแล้วก้มหน้ากดขำ หากแต่คอยชำเลืองมองอย่างสนใจ ลุ้นว่าเพื่อนตัวเองจะรับมือเช่นไร
“โธ่พี่ชาย ผมอายุจะยี่สิบห้าแล้วนะ เชื่อผมสิ”
ปันยืนยันหนักแน่น แต่ในใจอยากร้องไห้ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี ที่หลายคนชอบบอกว่าตัวเองหน้าเด็ก ซึ่งตอนนี้ความหน้าเด็กมันเอามาใช้ประโชน์ไม่ได้!
“ใครจะเชื่อวะ” น้ำเสียงและสีหน้านั้นชัดเจนว่าไม่เชื่อ
“เชื่อสิ ผมยี่สิบห้าเต็มเดือนหน้านี่แล้วเนี่ย พี่เชื่อผมนะ” น้ำเสียงบีบต่ำเว้าวอนต่อ
ชายร่างสูงใหญ่หน้าขึงขังเพิ่มความน่ากลัวให้ตัวเอง ใช้สายตากวาดมองเด็กหนุ่มแต่งตัวดีหน้าตาสะอาดสะอ้าน ตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปร่างสัดส่วนอรชรเกินกว่าจะมองเป็นผู้ชาย โดยส่วนสูงไม่เกินร้อยเจ็ดสิบรูปร่างผอมบาง ไว้ผมสั้นรองทรงปัดข้าง ผิวขาว คิ้วโกงยาว จมูกแหลมโด่ง ปากอมชมพูเรื่ออีกทั้งมีใบหน้ารูปไข่ สวยอย่างกับผู้หญิงที่ไม่ต้องใช้เครื่องปรุงแต่งหลายเท่า
…หากไม่เห็นว่ามีลูกกระเดือก บอกว่าผู้หญิงก็เชื่อ แต่บอกอายุ ยี่สิบห้าไม่เชื่อเด็ดขาด อายุไม่ถึงสิบแปดชัวร์! คนเฝ้าหน้าประตูสรุปในใจ
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา หากแต่หยุดรอดูด้วยความสนใจ
“ใครเชื่อว่ายี่สิบห้าก็โง่ล่ะ”
“นี้มันผับ หรือที่ทำผิดกฎหมายเนี่ย” พูดยังไง ก็ไม่ยอมใจอ่อน ปันหน้ามุ้ย เริ่มหงุดหงิด
“เฮ้ย! พูดดีๆ ไอ้หนู ปากวอนหาเรื่องคุกตารางมาให้ไหมล่ะ”
น้ำเสียงยังดุดันจ้องตาเขม่น ปันหุบปากเมมจนเป็นเส้นตรง แล้วคิดหาวิธีใหม่ เมื่อตั้งใจก็ไม่อยากให้มาเสียเที่ยว แต่ก็ยอมถอยออกมายืนคอตก สายตาชำเลืองมองคนเฝ้าประตู
เมื่อเห็นว่าหนุ่มน้อยถอยร่อนไป เจ้าการ์ดร่างสูงใหญ่ ก็ขยับก้าวออกด้านข้าง ก้มหน้ามือประสานกันในลักษณะนอบน้อม ผิดกับเมื่อกี้ ที่ยืนทำหน้าปั้นยักษ์
ปันยิ้มกว้างขยับตัวอย่างดีใจ ก่อนจะตรงดิ่งไปหาพร้อมกับเอ่ยถามเสียงใส “ยอมให้ผมเข้าไปแล้วใช่ไหมล่ะครับ”
รอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาและมีความหวังแต้มอยู่บนใบหน้า หากชายหน้าดุเหลือบมองหน้าหนุ่มหล่อแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าอย่างสำรวมต่อ
ปันดึงหน้าเชิด ไหล่ตั้งแล้วก้าวเท้าออกไปอย่างมั่นใจ กะว่าคืนนี้ต้องหารุ่นพี่ให้เจอให้ได้!
ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ“เอาเข้าไป”เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อนปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่
ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด“ใช่คนเดียวกันครับนาย”อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไปเสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง“มองพอหรือยัง”จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉี
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ
หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น
หลังจากแยกตัวออกมาจากลูกน้อง เดร์ก็ขับรถออกมาโดยไม่รีบไม่ร้อน หากแต่ความแออัดของรถบนท้องถนนทำให้การจราจรไม่คล่องตัว ในระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง สายตาก็มองออกไปนอกกระจกรถเป็นจังหวะที่สายตาของเดร์ปะทะกับรถสปอร์ต์ที่จอดเด่นสะดุดตา และเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นรถคันคุ้นตาและคุ้นเคย“เวลานี้ ต้องอยู่มหาลัยไม่ใช่เหรอ…” เดร์เปรยกับตัวเอง ด้วยความฉงน โดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มีเพียงสามคันในประเทศไทยซึ่งอีกสองคันก็เป็นของเขาที่จอดเก็บไว้อย่างดี“ไม่ใช่ดิว?” แล้วเพ่งมองไปก็เห็นว่าคนที่เปิดประตูรถออกมาจากที่นั่งคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถ!เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เสียงปีบแตร ทำให้เดร์รีบละสายตาจากรถคันราคาหลายล้าน แล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความครางแครงใจ ก่อนจะฟาดมือไปบนพวกมาลัยด้วยความหงุดหงิด“เกเรใหญ่แล้วนะเรา…” เดร์ตำหนิน้องชายที่ตนเพิ่งมอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามเดือนก่อนแม้จะหงุดหงิด แต่เดร์ก็พยายามมองหาที่จอดรถ เพื่อจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่เพราะตรงนั้นเป็นทางแยกและไม่เหมาะที่จะหยุดรถ เดร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย และขับไปด้วยความเร็วคงที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง…เดร์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าที
หลังจากจบคลาสสอน อาจารย์ก็ปล่อยนักศึกษาออกจากห้อง แต่ปันยังนั่งก้มหน้าก้มตาควานหาของในกระเป๋าอยู่ “หาอะไรอยู่” เสียงทักถามทำให้ปันละลายตาเงยหน้าขึ้นมอง และจำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ชื่อเกม “หามือถือ” แล้วก้มหน้าหาต่อ เกมเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เคยพูดกับปันช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกันไม่กี่ครั้ง “ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า” เกมถามต่อ โดยยังไม่เดินออกไปจากห้องเหมือนคนอื่นๆ “ไม่นะ เมื่อเช้าก็จำได้ว่าหยิบติดมือมาแล้ว” ปันตอบ แล้วนั่งไล่ทบทวน ความจำใหม่ “แล้วจะไปไหน นอกจากไม่หยิบมาจากห้อง หรือไม่ก็ทำร่วงที่ไหนซักที่” คำพูดของเกมทำให้ปันคิดหนัก หน้าถอดสี“หากตกหล่นอยู่ในห้องก็ดี แต่หากไม่หล่นในห้อง แล้วไม่รู้ทำร่วงตรงจุดใดของมหา’ลัยนี่สิ มันจะมีใครเจอไหม…” ปันรู้สึกใจหาย หากมือถือหายไปจริงๆ “จำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ยังไงใช้ของเราก่อนก็ได้นะ”ปันมองหน้าเกม ที่มีรูปร่างผอมสูง ผิวสีเหลืองดวงตาปุ๋มลึก อย่างกับคนขี้โรค ซึ่งปันไม่ค่อยได้คุยด้วย เพราะเมื่อจบคลาสเรียน หากไม่ใช่เพื่อนกลุ่