ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง การสนทนาของหัวหน้ากับลูกน้องก็ยังคงเคร่งเครียด ปันใช้เวลานั้นเดินสำรวจห้อง จนกระทั่งได้ยินประโยคน่าหวาดเสียวจึงเอียงหูฟัง
“มือข้างไหนจับปืนก็ตัดข้างนั้น”
น้ำเสียงเด็ดขาดไร้ความปรานี ปันหน้าเฝือดสี ในใจนึกขยาดกับผู้ชายที่กกกอดตัวเองมาตลอดหลายคืน
โหดร้ายขนาดนี้เลยเหรอ…
และเดร์เหมือนจะรู้ตัว ว่าหลุดพูดคำบางคำให้คนหัวอ่อนใจบางได้ยิน จึงหันมามองเพื่อดูท่าที และก็เห็นว่าแววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกริ่งเกรง
“นายไปจัดการตามนั้นเลย” ปากสั่งลูกน้อง แต่สายตายังมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าหลายปีไม่วางตา
คเชนทร์ออกจากห้องไปแล้วเดร์จึงกวักมือเรียกปันให้มานั่ง ใกล้ ๆ แต่ความขยาดหวาดกลัวทำให้เท้าของปันจิกอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
เดร์ทำเสียงในลำคอ “มานั่ง!” เสียงทุ้มสั่งพร้อมกับใช้มือตบไปบนโซฟาที่ว่างใกล้ ๆ
ปันส่ายหน้าช้าๆ คล้ายไม่แน่ใจ
“นายมันขี้ดื้อ”
“ก็คุณใจร้าย”
“ฉันร้ายกับคนที่ร้ายกับฉันและคนของฉัน”
“แต่คุณไม่ควรไปตัดสินเองแทนกฎหมายนะครับ”
“คิดว่ากฎหมายมันช่วยใครก่อน ระหว่างคนมีเงินกับคนธรรมดาอย่างนาย”
“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่”
“เพราะมีคนอย่างนายไง ไอ้พวกนักเลงกระจอกถึงได้ใจ”
“แล้วสิ่งที่คุณทำ มันต่างกับนักเลงพวกนั้นไหม”
“ต่างสิ เพราะฉันไม่เคยหาเรื่องใครก่อน”
“แต่ถ้าเรื่องที่คุณสั่งให้คุณคเชนทร์ไปทำ นั่นมันเรื่องของผม”
“เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉัน”
“ทำไม ผมเจ็บ คุณมาเจ็บกับผมหรือไง”
“ใช่…” เดร์เผลอหลุดปาก
ปันหรี่ตามองคนนั่งบนโซฟา สมองก็ทวนคำพูดคำว่า ‘ใช่’เพื่อพิเคราะห์ ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือแกล้งแหย่
ท่าทางนิ่งเงียบของปัน ทำให้เดร์นึกขึ้นได้ จึงทำหน้าหงุดหงิด เสียงขุ่น “ปากว่างมากหรือไงถึงเถียงฉันไม่หยุด”
“คุ คุณล้อเล่นใช่ไหมครับ ถ้าผมเจ็บคุณก็เจ็บด้วย”
คำถามใสซื่อ ทำให้เดร์ใจไหวยวบ แต่เขาจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ก็แค่ของเล่นที่อยากเก็บไว้ดูนาน ๆ…
“มะ มานั่งแล้วฉันจะบอก…”
แม้จะไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่เท้าเรียวของปันก็ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เดร์คว้าข้อมือเล็กแล้วรั้งให้นั่งลง หากแต่นั่งย่อลงไปบนพื้น
ปันคิ้วขมวดคุกเข่าอยู่ตรงระหว่างขาแกร่งที่อ้ากว้าง
“ปากว่างนัก ก็เอามันลงให้หน่อย…”
ดวงตากลมใสซื่อตื่นตระหนก หากแต่เมื่อมือเรียวหนารูดซิปกางเกงลงและเห็นสิ่งที่กำลังพองขยายอยู่ในที่จำกัด นั้นคือสิ่งยืนยันความต้องการจริง ใช่ล้อเล่น!
แม้ใจอยากปฏิเสธแต่พอเห็นสัดส่วนร่างกายของมาเฟียร้ายอย่างนายเดร์ ปันก็ใจละลาย ขยับทำตามความต้องการอีกฝ่ายโดยที่ร่างกายและหัวใจก็พร้อมสนองให้อย่างถึงใจ อย่างเด็กใจแตก…
…หากวันนั้นไม่มาเจอกัน ใจคงไม่แตกสินะ
แต่คนใสชื่ออย่างปันไม่มีโอกาสได้รู้ ว่าการเป็นคนใกล้ตัวของเดร์ครั้งนี้ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ที่กำลังคืบคลานเข้ามา…
สองเดือนก่อน
เวลา 22.00 น.‘THE KEYS’ ผับในใจกลางกรุงในพื้นที่กว้าง มีบริเวณจอดรถเป็นสัดส่วน การตกแต่งอย่างมีสไตล์และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบอังกฤษ มีต้นไม้เอามาประยุกต์ตกแต่งหน้าร้านดึงดูสายตา
ปันหนุ่มปีหนึ่งรูปร่างสูงบางพาตัวเองมายืนทำใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสูดเอาอากาศเข้าปอดแรง ๆ เพื่อเรียกความกล้า เมื่อรู้สึกมั่นใจแล้ว ก็เดินตรงเข้าไป ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“เฮ้ย!” ปันตกใจร้องเสียงหลง ตาหรี่มองด้วยความสงสัย ก่อนจะบอกคนด้านหน้าที่ยืนหน้าฉาบเรียบไร้รอยยิ้ม
พนักงานต้อนรับจริงป่ะเนี่ย! แค่เกิดคำถามขึ้นในใจ “ผมจะเข้าไปแล้วเนี่ย มาผลักผมออกมาทำไมครับ”
ปันถามด้วยความไม่เคยมาสถานที่แบบนี้ เพราะทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปเพียงหนึ่งก้าว ปันก็ถูกดันให้ออกมานอกประตู แล้วก็ยืนหน้าเอ๋อมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาเป็นคำถาม
น้ำเสียงไม่ได้กวน หากแต่คนยืนจังก้าหน้าประตูมองตาแข็งใส่ เหมือนคนตรงหน้ากำลังทำผิด
“บัตร?”
“บัตรอะไรครับ”
“จะเข้าไปข้างในไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงแข็งเอ่ยถามประหนึ่งไม่ต้องการต้อนรับแขก
“ครับ ผมจะเข้าไปข้างใน”
“จะเข้าไปทำไม” สีหน้าไม่ไว้ใจถามกลับ
“อ้าว ผมมาที่นี่ จะต้องให้บอกอีกหรือครับว่าผมจะเข้าไปทำไม” น้ำเสียงตื่น หากแต่ฟังดูนุ่มหูเอ่ยบอก
คนหน้าดุคิ้วขมวดมองหน้าหนุ่มหล่อตรงหน้าอย่างพินิจ แล้วแบมือยกขึ้นสูง “บัตร”
“บัตรอะไร”
คิ้วเรียวขมวดมองไปที่มือตรงหน้า แต่อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมา ประหนึ่งรำคาญ
“ไม่รู้หรือไง ว่าที่นี่เขาไม่ให้เด็กเข้าไป” น้ำเสียงและสีหน้าคล้ายคนอ่อนใจกับเด็กนิสัยอยากรู้อยากลอง
“เด็กที่ไหน อ้ออีกอย่าง ผมไม่ใช่คนชอบดื่มอยู่แล้ว แค่ผมจะมาหาเพื่อน หากไม่เจอก็จะกลับออกมา”
“แล้วนายอายุเท่าไหร่ที่จะเข้าไป... เอาบัตรประชาชนมาดูหน่อย”
เจ้าของร่างสูงหนา น้ำเสียงดุดันเอ่ยขอ พร้อมกับขยับมายืนขวางเต็มประตู จ้องหน้าแบมือขอดูบัตร
คนไม่มีบัตรถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วบ่นในใจ
‘หน้าอย่างผมต้องขอดูบัตรอีกหรือครับ’
“ว่าไง” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยเร่ง
ปันหน้าเจื่อน จะยิ้มสู้ก็ยิ้มไม่ออก
…หากไม่ใช่เพราะบัตรประชาชน ที่หายหาไม่เจอมาเป็นเดือนคงไม่เหยียบมาสถานที่แห่งนี้หรอก…’
ความที่ต้องการใช้บัตรประชาชน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงนึกขึ้นได้ ว่ามีครั้งหนึ่งรุ่นพี่ที่อยู่ร่วมห้องเคยเอ่ยขอ เดือดร้อนต้องตามหาจากเพื่อนสนิทของรุ่นพี่ที่คณะ จนได้ข้อมูลมาพอสมควร ซึ่งรุ่นพี่ชอบมาสิงอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องตามมาหา…“ผมหยิบกระเป๋ามาผิด ลืมไปว่าเก็บไว้อีกกระเป๋าครับ”เมื่อตั้งใจแน่วแน่ จากคนที่ไม่เคยพูดปดก็จำเป็นต้องพูด เพราะอยากเจอคนที่กำลังตามหาจริง ๆ“ไม่มี ไม่ให้เข้า อายุไม่ถึง ก็ไม่ให้เข้า ออกไปยืนไกลๆ แขกคนอื่นเขาจะเข้ามา”น้ำเสียงที่มาพร้อมสีหน้าเข้มจนดุ ปันยิ้มยิงฟันใส่ เพื่อกลบเกลื่อนความไม่เนียนของตัวเองแล้วคนตัวเล็กก็ขยับหลบไปยืนท่าทางสำรวมอยู่ห่างๆ จนเห็นว่าไม่มีแขกเดินผ่านเข้ามาอีกแล้ว ก็ขยับไปหาชายร่างสูงที่สีหน้าดูไม่เป็นมิตรกับตัวเองเท่าไหร่“โธ่พี่ชาย ให้ผมเข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ เข้าไปแปบเดียวเอง” ปันปรับน้ำเสียงออดอ้อนกระพริบตาปริบปรอย โดยสองมือกุมเข้าหากันแล้วปีบกระชับประหนึ่งให้กำลังใจตัวเองสายตาออดอ้อนของหนุ่มหน้าหวานตรงหน้า หากเป็นที่อื่นคงใจอ่อน แต่ที่นี่มีกฎ ใครทำผิดก็เท่ากับฆ่าตัวเอง คนหน้าดุจึงถลึงตาใส่ พร้อมกับส่งเสียงเข้ม“นิ อย่ามาทำตาเ
ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ“เอาเข้าไป”เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อนปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่
ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด“ใช่คนเดียวกันครับนาย”อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไปเสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง“มองพอหรือยัง”จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉี
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ
หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น
หลังจากแยกตัวออกมาจากลูกน้อง เดร์ก็ขับรถออกมาโดยไม่รีบไม่ร้อน หากแต่ความแออัดของรถบนท้องถนนทำให้การจราจรไม่คล่องตัว ในระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง สายตาก็มองออกไปนอกกระจกรถเป็นจังหวะที่สายตาของเดร์ปะทะกับรถสปอร์ต์ที่จอดเด่นสะดุดตา และเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นรถคันคุ้นตาและคุ้นเคย“เวลานี้ ต้องอยู่มหาลัยไม่ใช่เหรอ…” เดร์เปรยกับตัวเอง ด้วยความฉงน โดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มีเพียงสามคันในประเทศไทยซึ่งอีกสองคันก็เป็นของเขาที่จอดเก็บไว้อย่างดี“ไม่ใช่ดิว?” แล้วเพ่งมองไปก็เห็นว่าคนที่เปิดประตูรถออกมาจากที่นั่งคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถ!เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เสียงปีบแตร ทำให้เดร์รีบละสายตาจากรถคันราคาหลายล้าน แล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความครางแครงใจ ก่อนจะฟาดมือไปบนพวกมาลัยด้วยความหงุดหงิด“เกเรใหญ่แล้วนะเรา…” เดร์ตำหนิน้องชายที่ตนเพิ่งมอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามเดือนก่อนแม้จะหงุดหงิด แต่เดร์ก็พยายามมองหาที่จอดรถ เพื่อจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่เพราะตรงนั้นเป็นทางแยกและไม่เหมาะที่จะหยุดรถ เดร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย และขับไปด้วยความเร็วคงที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง…เดร์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าที