สุดท้ายก็ทำสำเร็จ
เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดเข้าเงียบไปแล้ว คนเจ้าแผนการก็รีบวิ่งออกไป ระหว่างที่ลนลานวิ่งออกมาถึงลานจอดรถ ความรีบร้อนทำให้เผลอไม่ระวังจึงชนกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง
“ขอโทษครับ…” ปันรีบโน้มตัวก้มศีรษะเพื่อขอโทษแต่ชายกลุ่มนั้นกลับไม่ยอมฟังชักสีหน้าตึง สายตาเอาเรื่อง “ผะ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” กลัวทั้งท่าทางและแววตาที่ไร้ความเป็นมิตร พลันใจก็คิดถึงอีกคนที่ตัวเอง ชอบต่อว่า ว่าใจร้ายบ้าอำนาจและเอาแต่ใจขึ้นมาทันที แม้จะเห็นแต่ข้อเสียของเดร์ แต่กระนั้นปันก็รู้สึกปลอดภัย!
“ไอ้หน้าอ่อน…” คำพูดกร้าวพร้อมกับฝ่ามือหนายื่นมาขยุ้มคอเสื้อ อีกทั้งเห็นว่าอีกมือข้างล้วงไปใต้ชายเสื้อและดึงบางอย่างออกมา
ปันผวาเฮือก “คุ คุณครับ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ปันละล่ำละลักบอกอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว
หากมุมปากหนาของชายหน้าเหี้ยมกลับเหยียดตรง สายตาไร้ความโอนอ่อน เพียงเสี้ยวนาทีต่อมาปันรับรู้ถึงแรงกระแทกศีรษะ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปพร้อมกับความเจ็บแปลบ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ ก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงกว้าง พร้อมใครบางคนกำลังทำแผลบนศีรษะให้…
หลังจากความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ประโยคเสียวท้องน้อยก็ดังกระทบโสตประสาทปันทันที
“ก็ได้! งั้นนายกลับไปนอนรอฉันที่ห้อง… ส่วนแกสองคนฉันจะกาหัวไว้ก่อน หากเกิดเรื่องอีก เตรียมตัวได้เลย!”
ประโยคหลังหันกลับไปสั่งลูกน้องเสียงเข้ม หากแต่ปันขนลุกเกรียว กับคำว่า ‘ไปนอนรอ’…
หลังจากเว้าวอนอยากออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่มาหลายวัน วันนี้ก็ได้ออกมาอย่างสมใจอยาก แต่ปันก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามันไม่ใช่เป้าหมายที่คิดไว้
“คุณพาผมกลับมาโรงแรมนี้อีกทำไมครับ” มันเป็นโรงแรมที่เกิดเรื่องเมื่อหลายวันก่อนและแผลเพิ่งหายดี แต่ก็ยังรู้สึกขยาดจนไม่อยากกลับมาอีก
“โรงแรมนี้จะเป็นที่ของนายตลอดไป”
“หา!” เหมือนเห็นผีตอนกลางวัน
“นายฟังไม่ผิด ชั้น28จะเป็นที่ของนาย และจะไม่มีใครมาทำแบบวันนั้นกับนายอีก”
“คุณจะมาแกล้งอะไรผมอีก” ปันเอ่ยอย่างไม่เชื่อหู
“แล้วฉันเคยพูดเล่นกับนายรึ…” ประกายตาวาววับฉายชัดถึงความสุขสมบางอย่างจ้องมา
ปันรีบหลบสายตา ใบหน้าเห่อร้อนลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ
…ใช่คนอย่างนายเดร์ไม่เคยพูดเล่น แล้วคิดไปถึงวันที่เขาสั่งให้ไปนอนรอในห้อง!
“แล้วนายอย่าคิดทำอะไรนอกเหนือคำสั่งอีก” เดร์ย้ำเตือนคนที่นั่งก้มไม่มองหน้า ก่อนจะยกยิ้มพอใจ
“คุ คุณเดร์ผมเจ็บอยู่นะ…” ปากก็ร้องค้าน หากแต่คนเอาแต่ได้รุกเร้าจนร่างกายไม่อาจต้านทานความต้องการที่ถูกกระตุ้นไว้ได้อีกต่อไป
“ฉันไม่ได้ทำบนหัวนาย”
“แต่มันกะ… อ่า อึก…” เสียงทุ้มที่พยายามร้องค้าน หากขาดห้วงเมื่ออุ้งปากหนางับลงบนยอดอกสีเรื่อ จนปันกลั่นความสยิวไว้ไม่ไหว
“นายมันดื้อ ก็สมควรแล้ว…”
จากที่ต้องการขู่ เพื่อให้อีกฝ่ายหลาบจำ หากพอได้สัมผัสผิวบอบบางของคนใต้ร่าง เป็นเดร์เองที่พ่ายแพ้ต่อความต้องการ
แม้ครั้งนี้จะไม่รุนแรงและเร้าร้อนเหมือนครั้งก่อนเพราะกังวลเรื่องบาดแผลของคนใต้ร่างอยู่มาก หากแต่เจ้าตัวก็ยังตอบสนองได้ถึงใจไม่ตกหล่น จนเดร์รู้สึกว่าของเล่นชิ้นนี้ไม่ควรปล่อยให้ห่างมือ…
ปันเดินตามหลังเดร์ที่เดินไปก่อนเพียงลำพัง ส่วนตนเองมีบอดี้การ์ดเดินขนาบข้าง จนกระทั้งถึงประตูลิฟต์ที่ใช้เฉพาะส่วนบุคคล ปันรู้สึกแปลกใจที่เห็นคเชนทร์และบอดี้การ์ดอีกสามคนยืนอยู่กับเดร์ ปันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ และเมื่อขึ้นมาในลิฟต์มีเพียงคเชนทร์เท่านั้นที่ได้คำสั่งให้ตามขึ้นมาด้วย
“ห้องนี่เป็นห้องของนาย นายมีสิทธิ์เต็มที่ แต่ห้ามเอาคนนอกเข้ามา”
ทันทีที่เข้ามายืนอยู่ในห้องที่ต้องแต่งไว้อย่างหรูหราสมฐานะเจ้าของ เดร์ก็เอ่ยขึ้นโดยสายตาย้ำทับมองมาที่ปัน
ปันตาโตหน้าเหวอ “ให้สิทธิ์อะไรของคุณ แต่ห้ามให้ผมเอาคนนอกเข้ามา” ปันถามกลับหน้ายุ่ง
“ทำไม นายมีคนอื่นนอกจากฉันหรือไง”
คำถามของเดร์ได้สายตาค้อนของปันส่งมาแทน หากแต่ใบหน้านิ่งไม่แยแสกลับส่งสายตาเร่งเร้าเอาคำตอบ
“ถึงผมจะมีหรือไม่มี คุณจะแคร์ทำไม อีกอย่างผมยังไม่ได้รับปากว่าจะมาอยู่ที่นี่สักหน่อย”
“นายนี่สมองยังดีอยู่หรือเปล่าหรือกะทบกระเทือนจนจำอะไรไม่ได้” เดร์เอ่ยสีหน้ารำคาญ ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา โดยมีคเชนทร์เดินตามไปด้วย
“ผมไม่เคยรับปากว่าจะมาอยู่กับคุณ”
“ก็นายบอกเองว่าจะทำอะไรก็ทำ นี่ฉันก็ทำให้นายแล้วไง”
ปันอยากกัดลิ้นตัวเอง “นั้นมันคนละเรื่องกัน”
“ไม่รู้ละ ฉันถือว่านายพูดแล้ว แล้วฉันก็ทำตามที่นายพูด ถือว่าจบ” เดร์ยืนยันและตัดจบโดยหันไปพูดกับคเชนทร์สีหน้าเครียดและจริงจัง ปันจึงไม่กล้าพูดแทรก ทำได้แค่ยืนคว้างอ้าปากค้างเหมือนปลากำลังขาดน้ำอยู่อย่างนั้น...
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง การสนทนาของหัวหน้ากับลูกน้องก็ยังคงเคร่งเครียด ปันใช้เวลานั้นเดินสำรวจห้อง จนกระทั่งได้ยินประโยคน่าหวาดเสียวจึงเอียงหูฟัง“มือข้างไหนจับปืนก็ตัดข้างนั้น”น้ำเสียงเด็ดขาดไร้ความปรานี ปันหน้าเฝือดสี ในใจนึกขยาดกับผู้ชายที่กกกอดตัวเองมาตลอดหลายคืนโหดร้ายขนาดนี้เลยเหรอ…และเดร์เหมือนจะรู้ตัว ว่าหลุดพูดคำบางคำให้คนหัวอ่อนใจบางได้ยิน จึงหันมามองเพื่อดูท่าที และก็เห็นว่าแววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและกริ่งเกรง“นายไปจัดการตามนั้นเลย” ปากสั่งลูกน้อง แต่สายตายังมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าหลายปีไม่วางตาคเชนทร์ออกจากห้องไปแล้วเดร์จึงกวักมือเรียกปันให้มานั่ง ใกล้ ๆ แต่ความขยาดหวาดกลัวทำให้เท้าของปันจิกอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนเดร์ทำเสียงในลำคอ “มานั่ง!” เสียงทุ้มสั่งพร้อมกับใช้มือตบไปบนโซฟาที่ว่างใกล้ ๆปันส่ายหน้าช้าๆ คล้ายไม่แน่ใจ“นายมันขี้ดื้อ”“ก็คุณใจร้าย”“ฉันร้ายกับคนที่ร้ายกับฉันและคนของฉัน”“แต่คุณไม่ควรไปตัดสินเองแทนกฎหมายนะครับ”“คิดว่ากฎหมายมันช่วยใครก่อน ระหว่างคนมีเงินกับคนธรรมดาอย่างนาย”“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่”“เพราะมีคนอย่างนายไง ไอ้พวกนักเลงก
ความที่ต้องการใช้บัตรประชาชน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงนึกขึ้นได้ ว่ามีครั้งหนึ่งรุ่นพี่ที่อยู่ร่วมห้องเคยเอ่ยขอ เดือดร้อนต้องตามหาจากเพื่อนสนิทของรุ่นพี่ที่คณะ จนได้ข้อมูลมาพอสมควร ซึ่งรุ่นพี่ชอบมาสิงอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องตามมาหา…“ผมหยิบกระเป๋ามาผิด ลืมไปว่าเก็บไว้อีกกระเป๋าครับ”เมื่อตั้งใจแน่วแน่ จากคนที่ไม่เคยพูดปดก็จำเป็นต้องพูด เพราะอยากเจอคนที่กำลังตามหาจริง ๆ“ไม่มี ไม่ให้เข้า อายุไม่ถึง ก็ไม่ให้เข้า ออกไปยืนไกลๆ แขกคนอื่นเขาจะเข้ามา”น้ำเสียงที่มาพร้อมสีหน้าเข้มจนดุ ปันยิ้มยิงฟันใส่ เพื่อกลบเกลื่อนความไม่เนียนของตัวเองแล้วคนตัวเล็กก็ขยับหลบไปยืนท่าทางสำรวมอยู่ห่างๆ จนเห็นว่าไม่มีแขกเดินผ่านเข้ามาอีกแล้ว ก็ขยับไปหาชายร่างสูงที่สีหน้าดูไม่เป็นมิตรกับตัวเองเท่าไหร่“โธ่พี่ชาย ให้ผมเข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะครับ เข้าไปแปบเดียวเอง” ปันปรับน้ำเสียงออดอ้อนกระพริบตาปริบปรอย โดยสองมือกุมเข้าหากันแล้วปีบกระชับประหนึ่งให้กำลังใจตัวเองสายตาออดอ้อนของหนุ่มหน้าหวานตรงหน้า หากเป็นที่อื่นคงใจอ่อน แต่ที่นี่มีกฎ ใครทำผิดก็เท่ากับฆ่าตัวเอง คนหน้าดุจึงถลึงตาใส่ พร้อมกับส่งเสียงเข้ม“นิ อย่ามาทำตาเ
ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นร่างสูงใหญ่ที่ยืนก้มหน้านิ่ง ปันก็ตัวลอยหวือ เท้าไม่แตะพื้น ใจหายวาบ สีหน้าลนลาน เลือกตามองหาข้างๆ และเห็น ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเองกำลังโดนหิ้วปีก โดยชายแปลกหน้าสองคน“... อ้าวเฮ้ย! จะทำอะไรผมเนี่ย” ปันถามเสียงหลง และเป็นจังหวะเดียวกัน ที่ตัวเองถูกบังคับให้หันไปอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ประตูที่หมายตาไว้ตั้งแต่ต้นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ ปันใจเต้นแรงกว่าเก่า “เฮ้ย! ปล่อยนะ จะทำอะไรผม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”ปันโวยวายเสียงดังลั่น มองซ้ายมองขวาก็เจอแต่คนตัวโตใบหน้าดุๆ ที่กำลังหิ้วปีกตัวเองอยู่ โดยไม่เกรงสายตาคนรอบข้างที่กำลังมองมาอย่างสนใจ“พวกคุณเป็นใครเนี่ย”ปันทั้งอยากรู้ทั้งหวาดกลัวในคราเดียวกัน หากแต่ชายแปลกหน้าร่างสูงใหญ่กับไม่ใส่ใจ“เอาเข้าไป”เสียงทุ้มกังวานของอีกคน ที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว เอ่ยคำสั่งแล้วเดินนำหน้าไปก่อนปันที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร หน้าเจื่อน ก่อนจะกลายเป็นสีขาวซีด“เข้า? เข้าไปไหน เฮ้ย! ปล่อยผมนะ”ปันส่งเสียงโวยลั่น หากแต่คนพวกนี้ ทำเป็นไม่ได้ยิน...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!!!ชายฉกรรจ์ทั้งสองหิ้วปีกของปันคนละข้าง แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่
ปันหัวใจกระตุกวูบ เหมือนความร้อนพัดเข้ามากลบความเย็นที่เป่ารดใบหน้า จนหูอื้อตาลาย ยิ่งสายตานั่นอ่านไม่ออกว่ามองตัวเองเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งทำให้ปันอยากหลับแล้วตื่นขึ้นบนที่นอนของตัวเอง ให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นเพียงความฝัน“ใช่มั้ย” ประโยคแรกที่หันไปถามชายฉกรรจ์ทั้งสอง ซึ่งหากมอง เขาผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด“ใช่คนเดียวกันครับนาย”อะไร ใครคนเดียวกันกับใคร! ปันมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา“อืม…” คนที่ถูกเรียกว่านายรับแล้วกระดิกนิ้ว เพื่อให้ลูกน้องคนสนิทส่งบัตรที่ถืออยู่ในมือให้เมื่อเจ้าของผับดังรับสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ชายทั้งสองก็โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วถอยหลังเดินออกไปเสียงปิดประตูไม่ดังมาก หากแต่ทำให้ปันที่มีแต่ความหวาดระแวงสะดุ้ง…ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกันเพียงสองคน หากแต่ความอึดอัดมันมีมากล้น อย่างกับคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ไม่ปาน เมื่อสายตาที่มองมา มันเร่งเร้าให้รู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง“มองพอหรือยัง”จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งบนเก้าอี้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงมีน้ำหนัก ปันกลืนน้ำลายลงคอ โดยสายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลา จนใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเร่งส่งระดับสูบฉี
เดร์ยกยิ้มมุมปาก …น่าแปลก น้ำเสียงนั้นแม้จะดูดื้อรั้น ไร้ความเกรงกลัวคนอย่างเขา หากสามารถทำให้เสือร้ายในตัวของเขาอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่เดร์ก็อยากสั่งสอนหนุ่มหน้าอ่อนให้หลาบจำ“นี่นายไม่ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม” เดร์เค้นเสียงออกมาพร้อมสายตาจดจ้องหน้าหวานที่เชิดรั้นจ้องตอบไม่ลดละ“คุณพูดอะไร… ผมลืมไปแล้ว”เดร์เห็นแววตาหวาดหวั่นหากแต่เจ้าตัวยังกล้าปากดีต่อปากต่อคำไม่ลดละ ยิ่งทำให้อยากเข้าไปจัดการสั่งสอนชายหนุ่มตรงหน้าให้หลาบจำ“ได้! อยากดื้อนักใช่ไหม”จากที่ไม่เคยยอมเดินไปหาใครก่อน แต่รอบนี้เดร์เดินตรงไปหาแล้วกระชากคอเสื้อหนุ่มหน้าใสเต็มแรงความแรงทำให้กระดุมเสื้อเชิ้ตของปันขาดกระเด็นไปสองเม็ด“เฮ้ย!”ปันตกใจร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเสื้อตัวโปรดของตนเองถูกดึงขาด จึงใช้ด้านข้างฝ่ามือสับไปที่ข้อมือหนาจนอีกฝ่ายเจ็บและปล่อยมือ ซึ่งปันลืมไปว่าระหว่างถูกกระชากตัวเองก็ลอยคว้างกลางอากาศ พออีกฝ่ายปล่อยมือแบบไม่ทันตั้งตัว กลับเป็นว่าตัวเองก็ร่วงก้นกระแทกพื้นอีกครั้งเต็มแรง“อุ๊บ! ซี้ดด”ปันหู้ปากร้องซี้ดออกมา หน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือลูบไปตรงสะโพกตัวเองแรง ๆ สายตาก็มองหน้าผู้ชายแต่งตัวภูมิฐานและหล่อ
ใบหน้าขาวใส ที่เคยแฝงความรั้นไว้ก้อนหน้านั้น ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง “คือผมไม่ได้เอาเงินคุณไปนะครับ” ปันบอกความจริงไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของยอดเงินที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่ที่เอาไป ใจก็เต้นแรงรอลุ้น “นี่คุณคิดจะเบี้ยวเหรอ” ปันหน้าเสีย “ป่ะ ป่าวครับ แต่ผมตามคนที่เอาเงินคุณไปจริงๆ ได้นะครับ” “นี่คุณอย่าบอกนะว่า บัตรใบนี้ คนอื่นแอบเอาของคุณมา” “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เพราะผมไม่เคยมาที่นี่ และครั้งนี้ครั้งแรกที่ผมเหยียบมาที่นี่ครับ” “แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง” “แล้วคนที่เอาเงินคุณไป เขาเอาบัตรผมมาทำอะไรครับ” “เอามาค้ำเงินพนันบอล” “ครับ แล้วผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเล่นกันยังไง แล้วเขาไปซื้อกันที่ไหน” “พูดจริงหรือเปล่า”ดวงตาคมเข้มหรี่ตามอง ประหนึ่งค้นหาความจริงจากสีหน้าคู่สนทนา “ครับผมพูดจริง”เดร์จ้องลึกหาความจริงตาสบตา ซึ่งเขาเห็นความนิ่งสงบและแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น “งั้นส่งมือถือมา…” “เอาไปทำไมครับ” “ก็จะดูว่าคุณไ
หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น