หลังจากกลับมาหอพัก ปันก็อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ระหว่างที่แต่งตัวอยู่ เสียงข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ปันหรี่ตามอง เพราะรูปป๊อบอัพข้อความไม่คุ้นตา “ใคร…” ด้วยความแปลกใจ ก็หยิบขึ้นมากดดู ‘ถึงห้องหรือยัง?’ข้อความพร้อมรูปสติกเกอร์ตัวการ์ตูนน่ารักมาด้วย ยิ่งทำให้ปันแปลกใจมากขึ้น จึงกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ พร้อมกับขยายให้ใหญ่ชัดขึ้น รูปภาพผู้ชายใส่สูทสีน้ำเงิน หล่ออย่างกับดารานั่งเป็นนายแบบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังเป็นกำแพงสีอิฐตัดกันจนดูเด่น หากสีหน้านั้นนิ่งขรึม ประกายตาคมเข้มประหนึ่งนักล่ามองจิกมาที่กล้อง จนเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่ ทำเอาปันใจสั่นมือไม้อ่อน จนมือถือหลุดร่วง แต่ก็รีบคว้าไว้ได้ทัน“มาได้ไงเนี่ย…” เสียงสั่นยานคางของปันเอ่ยอย่างแปลกใจ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว“เอาไงดี…” ปันเริ่มกระสับกระส่าย คิดว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่ออย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ อยากส่งข้อความถาม ว่าได้ไลน์มายังไง แต่ก็สองจิตสองใจ เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ควรไปตอแยทำความสนิทสนม หรือพูดคุยด้วยได้! ทางด้านเดร์เมื่อกดส่งข้อความไปแล
ปันถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง แล้วมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือบอกเวลาห้าทุ่มกว่า ปันทำได้แค่กัดฟันพิมพ์ข้อความตอบกลับ‘ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือครับ ส่วนผมตอนนี้เลยเวลานอนไปมากแล้ว หลับฝันดีนะครับ’ก่อนวางปันกลัวว่าอีกฝ่ายก่อกวนไม่เลิก จึงทำการกดปิดเสียงแจ้งเตือนไว้กันความรำคาญเดร์เฝ้าลุ้นจนข้อความของปันเด้งตอบกลับมา…“แสบนักนะ” เดร์เปรยขึ้นแม้ข้อความจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ทำให้นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน อย่างเดร์เผลอยิ้มออกมา โดยลืมไปว่าหากมีลูกหนี้คนไหนย้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือจะอยู่อย่างสงบได้หากกลับกัน เพียงเด็กหนุ่มตอบกลับและทำตามคำสั่ง หัวใจของเขาก็พองโต…“นายครับ...”ใบหน้าที่กระจ่าง หุบยิ้มฉับ “เอ้ย! นี่นาย ปัดโธ่… ยังไม่ไปพัก ไม่ไปนอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถาม ปรับสีหน้า ซ่อนอารมณ์ที่ค้างไว้สุดฤทธิ์คเชนทร์ยิ้มแหย่ “ก็เป็นห่วงนายนี่ครับ กลัวจะนั่งคนเดียวเหงา ผมก็เลยต้องเวียนกลับมาดูอีกรอบ”เดร์หรี่ตามองลูกน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันไปแล้วอย่างชั่งใจ“นายจะพูดอะไรว่ามา”คเชนทร์ยิ้มร่า สมกับเป็นนายธงรบจริงๆ …“เปล่าครับ ผมแค่มาบอกย้ำว่าพรุ่งนี้ น
หลังจากแยกตัวออกมาจากลูกน้อง เดร์ก็ขับรถออกมาโดยไม่รีบไม่ร้อน หากแต่ความแออัดของรถบนท้องถนนทำให้การจราจรไม่คล่องตัว ในระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง สายตาก็มองออกไปนอกกระจกรถเป็นจังหวะที่สายตาของเดร์ปะทะกับรถสปอร์ต์ที่จอดเด่นสะดุดตา และเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นรถคันคุ้นตาและคุ้นเคย“เวลานี้ ต้องอยู่มหาลัยไม่ใช่เหรอ…” เดร์เปรยกับตัวเอง ด้วยความฉงน โดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากรถสปอร์ตคันหรู ที่มีเพียงสามคันในประเทศไทยซึ่งอีกสองคันก็เป็นของเขาที่จอดเก็บไว้อย่างดี“ไม่ใช่ดิว?” แล้วเพ่งมองไปก็เห็นว่าคนที่เปิดประตูรถออกมาจากที่นั่งคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถ!เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี เสียงปีบแตร ทำให้เดร์รีบละสายตาจากรถคันราคาหลายล้าน แล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความครางแครงใจ ก่อนจะฟาดมือไปบนพวกมาลัยด้วยความหงุดหงิด“เกเรใหญ่แล้วนะเรา…” เดร์ตำหนิน้องชายที่ตนเพิ่งมอบรถสปอร์ตเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสามเดือนก่อนแม้จะหงุดหงิด แต่เดร์ก็พยายามมองหาที่จอดรถ เพื่อจะลงไปดูให้แน่ใจ แต่เพราะตรงนั้นเป็นทางแยกและไม่เหมาะที่จะหยุดรถ เดร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย และขับไปด้วยความเร็วคงที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง…เดร์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าที
หลังจากจบคลาสสอน อาจารย์ก็ปล่อยนักศึกษาออกจากห้อง แต่ปันยังนั่งก้มหน้าก้มตาควานหาของในกระเป๋าอยู่ “หาอะไรอยู่” เสียงทักถามทำให้ปันละลายตาเงยหน้าขึ้นมอง และจำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ชื่อเกม “หามือถือ” แล้วก้มหน้าหาต่อ เกมเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เคยพูดกับปันช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกันไม่กี่ครั้ง “ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า” เกมถามต่อ โดยยังไม่เดินออกไปจากห้องเหมือนคนอื่นๆ “ไม่นะ เมื่อเช้าก็จำได้ว่าหยิบติดมือมาแล้ว” ปันตอบ แล้วนั่งไล่ทบทวน ความจำใหม่ “แล้วจะไปไหน นอกจากไม่หยิบมาจากห้อง หรือไม่ก็ทำร่วงที่ไหนซักที่” คำพูดของเกมทำให้ปันคิดหนัก หน้าถอดสี“หากตกหล่นอยู่ในห้องก็ดี แต่หากไม่หล่นในห้อง แล้วไม่รู้ทำร่วงตรงจุดใดของมหา’ลัยนี่สิ มันจะมีใครเจอไหม…” ปันรู้สึกใจหาย หากมือถือหายไปจริงๆ “จำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ยังไงใช้ของเราก่อนก็ได้นะ”ปันมองหน้าเกม ที่มีรูปร่างผอมสูง ผิวสีเหลืองดวงตาปุ๋มลึก อย่างกับคนขี้โรค ซึ่งปันไม่ค่อยได้คุยด้วย เพราะเมื่อจบคลาสเรียน หากไม่ใช่เพื่อนกลุ่
ปันยิ้มให้กำลังใจ “ลองดูใหม่ เผื่อเจ้าของร้านนี้อาจจะใจดีกับเราก็ได้”“ไม่ดีกว่า” คนเคยโดนดูถูกดูแคลนจนขาดความมั่นใจ นึกขยาด“นา นายก็ไม่ได้ขี่เหร่ซักหน่อย ไว้เราไปสมัครพร้อมกัน เชื่อว่าเราต้องได้ทำงานด้วยกัน”“เอางั้นเหรอ” เกมก้มมองดูสารรูปตัวเองใหม่ แล้วส่ายหน้า“ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะเปลี่ยนลุค เชื่อมือ” ปันยืนยันเกมยิ้มแห้ง “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะเปลี่ยนลุค มันได้เหรอ”“ได้สิ เชื่อมือ” ปันยืนยันหนักแน่นหลังจากพูดคุยตกลงกันได้ ปันก็ให้เกมโทร.หาพี่รหัส เพื่อนัดวันให้แน่ชัด แต่เมื่อคุยเสร็จ ไม่ทันแยกย้าย พี่รหัสก็โทร.กลับมา และบอกให้ไปสมัครคืนนี้เลย โดยให้เหตุผลว่า ‘หลังจากวันนี้ ทางร้านอาจจะปิดรับสมัครเพราะมีเด็กมาสมัครกันเยอะ’“งั้นนายไม่ต้องกลับหอ ไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องเราก็ได้”“เกรงใจ เอางี้ เดี๋ยวเรากลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วจะแวะไปหาปันที่ห้อง เพราะยังไงหอเราถึงก่อนหอปัน”“นายรู้เหรอ ว่าเราพักอยู่หอไหน”เกมหลุบตามองต่ำ “ก็รอให้ปันบอกอยู่นี่ไง” ตอบเสียงอ่อยปันยิ้มขำ “ออ นึกว่ารู้ เราอยู่หอไหน”“แล้วถ้าบอกว่ารู้ล่ะ”“จริงดิ?”“อือ… แต่แค่ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน”ปันตาโต “ใค
หลังจากออกจากห้องน้ำ ปันก็รีบแต่งตัว ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูก็พบว่าเป็นเกม ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีมัว กับกางเกงยีนสีดำขาดตรงเข่า อีกทั้งบนตัวเสื้อยืดด้านหน้า มีรูปตัวการ์ตูนดังเด่นมาแต่ไกลสายตาปันที่มอง ทำให้เกมต้องก้มมองดูตัวเองใหม่ แล้วเอ่ยบอกสีหน้าระรื่น“ชุดตัวเก่งของเราเลยนะ”ปันยิ้มรับ พร้อมกับดึงแขนของเกมเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตู“ไปแบบนี้ เขาก็นึกว่าเราไปเที่ยวหรือเปล่า นายต้องแต่งตัวแบบนี้” แล้วยืดอก ยืนตัวตรงเป็นแบบให้เกมดูเกมยิ้มจนตาหยี่ เมื่อเห็นชัดกับการแต่งตัวของปัน ซึ่งมันดูไม่มีอะไรพิเศษ หากแต่เมื่อมองไปดีๆ สัดส่วนและรูปร่างของผู้สวมใส่ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมทรงสลิมฟิต กับกางเกงยีนสีเข้มทรงกระบอกเล็กซึ่งดูเรียบร้อย มีความดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้“เป็นไง” เสียงทุ้มนุ่มถามเกมสะดุ้งเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าปัน “ดุ ดูดีมาก…”“ใช่ นายก็มานี่เลย” พร้อมกับดึงแขนเกมให้เดินเข้ามายืนตรงหน้ากระจก แล้วกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้ออกมายื่นให้เกมคิ้วขมวดมองของในมือสลับกับมองห
ในห้องที่มีอุณภูมิความเย็นที่ถูกปรับระดับไว้ให้คงที่ ซึ่งด้านในถูกเปิดให้เป็นไฟสลัวพอให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร โดยมีเสียงเพลงคลาสสิคเปิดขับกล่อมเบาๆ พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่โชยเข้ามาแตะจมูกจนปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด ซึ่งมันทำให้รู้สึกตัวเบาและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก“มากันแล้วเหรอ” น้ำเสียงทุ้มดัง เอ่ยมาจากมุมด้านข้างในขณะที่ปันกับเกมไม่ชินสถานที่ จึงไม่อาจจับทิศทางของเสียงได้ จนกระทั้งร่างสูงในชุดสุภาพ เดินเข้ามาใกล้และเห็นเค้าโครงหน้านั้นชัดเจนขึ้น“พี่แสน…” เกมเรียกชื่อพี่รหัส หากแต่ปันยืนนิ่ง “ปันนี่พี่แสนพี่รหัสเราเอง” เกมหันมาบอกปัน ที่ยืนนิ่งไม่เอ่ยคำใดมุมปากได้รูปกระตุกขึ้น สายตาเป็นประกายมองใบหน้าหล่อเหลาของปัน ที่ยืนจ้องหน้าตัวเองนิ่ง แล้วพูดขึ้น“มองแบบนี้ พี่ก็เขินเป็นนะ” และนั่นทำให้เปลือกตาที่แข็งค้างกระพริบขึ้นลง“รู้จักกันแล้วหรือครับ” เกมถามด้วยความสงสัย และปันก็ไม่คิดยกมือไหว้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ อีกทั้งเป็นคนติดต่องานให้ด้วย“รู้จักสิ รู้จักดีเลยแหละ” แสนพี่รหัสเป็นคนเฉลย“อ้าว ไม่เห็นพี่แสนบอกผมเลย ว่ารู้จักกับปัน”มุมปากหนากระตุกขึ้นอีกครั้ง “แล้วคิดว่าหากพี่บ
“เอาดีๆ วันไหน” เสียงนุ่มใสถามซ้ำอย่างเป็นกันเอง“คือ ผมแล้วแต่เกมครับ” ปันที่ตอบว่าพรุ่งนี้ โยนไปให้เกมตัดสินใจเกมยิ้มเจื่อน มองหน้าปัน แล้วมองหน้าพี่รหัสที่ส่งยิ้มเป็นกำลังให้ “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว ทำวันนี้เลยก็ได้ครับ ”“มั่นใจนะ” แยมเจ้าของบาร์ถามซ้ำ โดยไม่อยากให้อีกฝ่ายฝืน“ครับ/ครับ” ทั้งคู่ยืนยันพร้อมกัน“งั้นแสน รับผิดชอบดูแลพนักงานน้องใหม่นะ ดูว่าน้องเขาเหมาะกับแผนกไหนและต้องทำอะไรบ้าง ก็จัดไปได้เลย”เธอโยนหน้าที่นี่ให้แสนเป็นคนตัดสินใจ ซึ่งแสนทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั้งขึ้นปีสี่ และได้รับความไว้วางใจ โดยเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงาน และรับหน้าที่ฝึกฝนรุ่นน้องต่อ“ครับ”หลังจากที่คุยกันตกลงกัน แสนจึงพาปันกับเกมออกไป“นายดูดีขึ้นนะ” แสนกระซิบไปที่เกม“นู่นยกความชอบให้เขานู่น” แล้วทำปากบุ้ยใบ้ไปที่ปัน แสนยิ้มตาประกายอาการของพี่รหัส ทำให้เกมเริ่มเห็นบางอย่าง…ปันเหลือบมองเกมและแสน ที่ก้มกระซิบคุยกันแวบหนึ่ง แล้ววางตัวเดินตามอย่างเงียบๆ“ห้องนี้เป็นห้องแต่งตัว ส่วนของที่เอาติดตัวมา ก็เอาไปเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์ที่ว่างอยู่…” แสนชี้นิ้วไปอีกฟากห้อง “วางไว้แล้ว