ปันยิ้มให้กำลังใจ “ลองดูใหม่ เผื่อเจ้าของร้านนี้อาจจะใจดีกับเราก็ได้”“ไม่ดีกว่า” คนเคยโดนดูถูกดูแคลนจนขาดความมั่นใจ นึกขยาด“นา นายก็ไม่ได้ขี่เหร่ซักหน่อย ไว้เราไปสมัครพร้อมกัน เชื่อว่าเราต้องได้ทำงานด้วยกัน”“เอางั้นเหรอ” เกมก้มมองดูสารรูปตัวเองใหม่ แล้วส่ายหน้า“ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะเปลี่ยนลุค เชื่อมือ” ปันยืนยันเกมยิ้มแห้ง “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะเปลี่ยนลุค มันได้เหรอ”“ได้สิ เชื่อมือ” ปันยืนยันหนักแน่นหลังจากพูดคุยตกลงกันได้ ปันก็ให้เกมโทร.หาพี่รหัส เพื่อนัดวันให้แน่ชัด แต่เมื่อคุยเสร็จ ไม่ทันแยกย้าย พี่รหัสก็โทร.กลับมา และบอกให้ไปสมัครคืนนี้เลย โดยให้เหตุผลว่า ‘หลังจากวันนี้ ทางร้านอาจจะปิดรับสมัครเพราะมีเด็กมาสมัครกันเยอะ’“งั้นนายไม่ต้องกลับหอ ไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องเราก็ได้”“เกรงใจ เอางี้ เดี๋ยวเรากลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วจะแวะไปหาปันที่ห้อง เพราะยังไงหอเราถึงก่อนหอปัน”“นายรู้เหรอ ว่าเราพักอยู่หอไหน”เกมหลุบตามองต่ำ “ก็รอให้ปันบอกอยู่นี่ไง” ตอบเสียงอ่อยปันยิ้มขำ “ออ นึกว่ารู้ เราอยู่หอไหน”“แล้วถ้าบอกว่ารู้ล่ะ”“จริงดิ?”“อือ… แต่แค่ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน”ปันตาโต “ใค
หลังจากออกจากห้องน้ำ ปันก็รีบแต่งตัว ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูก็พบว่าเป็นเกม ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีมัว กับกางเกงยีนสีดำขาดตรงเข่า อีกทั้งบนตัวเสื้อยืดด้านหน้า มีรูปตัวการ์ตูนดังเด่นมาแต่ไกลสายตาปันที่มอง ทำให้เกมต้องก้มมองดูตัวเองใหม่ แล้วเอ่ยบอกสีหน้าระรื่น“ชุดตัวเก่งของเราเลยนะ”ปันยิ้มรับ พร้อมกับดึงแขนของเกมเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตู“ไปแบบนี้ เขาก็นึกว่าเราไปเที่ยวหรือเปล่า นายต้องแต่งตัวแบบนี้” แล้วยืดอก ยืนตัวตรงเป็นแบบให้เกมดูเกมยิ้มจนตาหยี่ เมื่อเห็นชัดกับการแต่งตัวของปัน ซึ่งมันดูไม่มีอะไรพิเศษ หากแต่เมื่อมองไปดีๆ สัดส่วนและรูปร่างของผู้สวมใส่ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมทรงสลิมฟิต กับกางเกงยีนสีเข้มทรงกระบอกเล็กซึ่งดูเรียบร้อย มีความดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้“เป็นไง” เสียงทุ้มนุ่มถามเกมสะดุ้งเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าปัน “ดุ ดูดีมาก…”“ใช่ นายก็มานี่เลย” พร้อมกับดึงแขนเกมให้เดินเข้ามายืนตรงหน้ากระจก แล้วกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้ออกมายื่นให้เกมคิ้วขมวดมองของในมือสลับกับมองห
ในห้องที่มีอุณภูมิความเย็นที่ถูกปรับระดับไว้ให้คงที่ ซึ่งด้านในถูกเปิดให้เป็นไฟสลัวพอให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร โดยมีเสียงเพลงคลาสสิคเปิดขับกล่อมเบาๆ พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่โชยเข้ามาแตะจมูกจนปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด ซึ่งมันทำให้รู้สึกตัวเบาและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก“มากันแล้วเหรอ” น้ำเสียงทุ้มดัง เอ่ยมาจากมุมด้านข้างในขณะที่ปันกับเกมไม่ชินสถานที่ จึงไม่อาจจับทิศทางของเสียงได้ จนกระทั้งร่างสูงในชุดสุภาพ เดินเข้ามาใกล้และเห็นเค้าโครงหน้านั้นชัดเจนขึ้น“พี่แสน…” เกมเรียกชื่อพี่รหัส หากแต่ปันยืนนิ่ง “ปันนี่พี่แสนพี่รหัสเราเอง” เกมหันมาบอกปัน ที่ยืนนิ่งไม่เอ่ยคำใดมุมปากได้รูปกระตุกขึ้น สายตาเป็นประกายมองใบหน้าหล่อเหลาของปัน ที่ยืนจ้องหน้าตัวเองนิ่ง แล้วพูดขึ้น“มองแบบนี้ พี่ก็เขินเป็นนะ” และนั่นทำให้เปลือกตาที่แข็งค้างกระพริบขึ้นลง“รู้จักกันแล้วหรือครับ” เกมถามด้วยความสงสัย และปันก็ไม่คิดยกมือไหว้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ อีกทั้งเป็นคนติดต่องานให้ด้วย“รู้จักสิ รู้จักดีเลยแหละ” แสนพี่รหัสเป็นคนเฉลย“อ้าว ไม่เห็นพี่แสนบอกผมเลย ว่ารู้จักกับปัน”มุมปากหนากระตุกขึ้นอีกครั้ง “แล้วคิดว่าหากพี่บ
“เอาดีๆ วันไหน” เสียงนุ่มใสถามซ้ำอย่างเป็นกันเอง“คือ ผมแล้วแต่เกมครับ” ปันที่ตอบว่าพรุ่งนี้ โยนไปให้เกมตัดสินใจเกมยิ้มเจื่อน มองหน้าปัน แล้วมองหน้าพี่รหัสที่ส่งยิ้มเป็นกำลังให้ “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว ทำวันนี้เลยก็ได้ครับ ”“มั่นใจนะ” แยมเจ้าของบาร์ถามซ้ำ โดยไม่อยากให้อีกฝ่ายฝืน“ครับ/ครับ” ทั้งคู่ยืนยันพร้อมกัน“งั้นแสน รับผิดชอบดูแลพนักงานน้องใหม่นะ ดูว่าน้องเขาเหมาะกับแผนกไหนและต้องทำอะไรบ้าง ก็จัดไปได้เลย”เธอโยนหน้าที่นี่ให้แสนเป็นคนตัดสินใจ ซึ่งแสนทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั้งขึ้นปีสี่ และได้รับความไว้วางใจ โดยเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงาน และรับหน้าที่ฝึกฝนรุ่นน้องต่อ“ครับ”หลังจากที่คุยกันตกลงกัน แสนจึงพาปันกับเกมออกไป“นายดูดีขึ้นนะ” แสนกระซิบไปที่เกม“นู่นยกความชอบให้เขานู่น” แล้วทำปากบุ้ยใบ้ไปที่ปัน แสนยิ้มตาประกายอาการของพี่รหัส ทำให้เกมเริ่มเห็นบางอย่าง…ปันเหลือบมองเกมและแสน ที่ก้มกระซิบคุยกันแวบหนึ่ง แล้ววางตัวเดินตามอย่างเงียบๆ“ห้องนี้เป็นห้องแต่งตัว ส่วนของที่เอาติดตัวมา ก็เอาไปเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์ที่ว่างอยู่…” แสนชี้นิ้วไปอีกฟากห้อง “วางไว้แล้ว
หน้าจอแท็บเล็ต ซึ่งมีภาพเคลื่อนไหวของร้านในทุกมุม แม้แต่ในห้องพักพนักงาน คเชนทร์เลื่อนดูความเรียบร้อยไปทุกจุดที่ติดตั้งกล้อง จนกระทั่งวนกลับมาในห้องพักพนักงาน นิ้วเรียวก็หยุดค้าง แล้วค่อยๆ กดขยายเพื่อมองดูบุคคลในวีดีโอให้แน่ใจ“อะไรในนั้น น่าสนใจกว่าคำพูดฉันงั้นเหรอ”เสียงทุ้มหนักเอ่ยถาม หลังจากจับตามองสมุนมือขวา ที่จดจ่ออยู่บนหน้าจอแท็บเล็ต จนไม่ได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดอยู่“อา นายว่าอะไรนะครับ” คเชนทร์ละสายตาแล้วเงยหน้าขึ้นถามผู้เป็นนาย“นี่หากไม่เห็นว่านายเป็นเพื่อนมากกว่าลูกน้องนายโดนแน่” เดร์หมายหมาดตาขู่เข้มคเชนทร์ยิ้มกว้างแทนที่จะแสดงว่ากลัวให้อีกฝ่ายดูน่าเกรงขามเสียหน่อย แล้วเอ่ยเสียงมั่นใจ “แต่ถ้าผมให้คุณเดร์ดูอะไรบางอย่าง รับรองไม่โกรธผมหรอก”คิ้วดกหนาขมวด พร้อมกับดวงตาหรี่แคบ มองลูกน้องสายตาคาดโทษ มีอะไรน่าสนใจกว่าการดุลูกน้องตรงหน้าในตอนนี้... เดร์ครุ่นคิดแต่สีหน้าอีกคนดูมั่นใจเดร์จึงคลายสีหน้าและตัดใจถามไป“อะไร เอามาดูซิ” แล้วยืนมือไปขอแท็บเล็ตในมือเมื่อรับมาเดร์ก็กลายเป็นคนสายตาสั้นทันที“อะไร... นายให้ฉันดูอะไร”คเชนทร์ก้มลงมาเล็กน้อยแล้วถาม “นายไม่เห็นจริงเหรอครั
ดึกหนุ่มๆกล้ามแน่นๆ หุ่นเฟิร์มหรือที่เรียกว่า “หนุ่มๆ SP” ก็ถูกเลือกไปเกือบหมด ส่วน “หนุ่มPR” ระดับแร็กคูน ถูกเรียกไปจนหมดตั้งแต่ร้านเปิดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหลือแค่ปันกับเด็กเก่าอีกคนที่หน้าตาติดไปค่อนข้างหล่อตี๋ ตัวเล็กผิวขาว ซึ่งต่างจากปันที่ดูหล่อละมุน ใครผ่านไปมาก็ต้องเป็นอันเหลียวหลังมามอง แต่กลับไม่มีใครเลือก ซึ่งแสนเองก็รู้สึกแปลกใจ...แสนเหลือบมองหน้าปัน แม้สายตาและอาการยังอยู่ในอาการตื่นกับสถานที่ แต่ก็เห็นคนอื่นถูกเรียกโดยที่ตัวเองยังยืนอยู่ ก็ฉายชัดถึงความวิตก “พี่แสน”ปันละสายตาจากสิ่งรอบข้างแล้วหันมาเรียกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ว่า?” “หากผมไม่ได้แขกทำไงอะ” “ก็คิดว่าเรามาทดลองดูงานก่อน ตอนนี้เราก็ศึกษา เก็บรายละเอียดการทำงานของพวกรุ่นพี่ไปพลางๆ...” แล้วสาดสายตาไปยังโต๊ะ ที่มีชายหนุ่มกล้ามโตนั่งคุยอยู่กับแขกผู้หญิงหน้าตาสะสวย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มยามที่ได้ฟังอีกคนพูดแม้ไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยกันเรื่องอะไร แต่สีหน้าของผู้หญิงเห็นถึงความสุข ไร้ความกังวลใดๆ “คิมเขาหน้าตาไม่ได้ดีเท่าแร็กคูน แต่อาศัยคำพูดและความเข้าใจในต
ได้ฟังถึงข้อนี่ที่ดูมีประโยชน์ที่สุด ทำให้ปันตาลุกวาว แต่แล้วก็ทำหน้าหงอย“แล้วแบบผมเนี่ย ต้องอยู่ระดับไหนอะครับ ผมดื่มไม่เก่งเสียด้วยสิ อีกอย่างไม่เข้ากับข้อไหนเลย”น้ำเสียงทับถมตัวเอง แสนหันมามองแล้วยิ้มเอ็นดู“นายนะ ทำมาดเพลย์บอยเป็นไหมล่ะ หน้าตาแบบนายสาวติดตรึมแน่” “หะ ผมนี่นะ” ทำสีหน้าไม่เชื่อพร้อมกับชี้ไปที่ตัวเอง “ใช่ นายจะกลัวอะไร เอาเป็นว่านายฟังและจำไว้นะ...” แสนจับไหล่หนาให้หันมาเผชิญหน้า “นายทำตัวให้ดูมั่นใจไว้ก่อนจากนั้นเมื่อเราถูกเลือก ก็เริ่มด้วยการทักทาย แนะนำตัวให้ข้อมูลพื้นฐานของเราพอประมาณหรือไม่เกินห้านาที ซึ่งคำถามที่ควรเลี่ยงคือ อายุและอาชีพของลูกค้า เพราะบางคนมาเที่ยวเพื่อระบายความในใจ หาความสนุก หาเพื่อนคุย แล้วเราต้องจับให้ได้ว่าเขามาเพื่ออะไร อกหัก ก็ต้องพูดปลอบใจคนให้เป็น แม้จะช่วยไม่สำเร็จเต็มร้อยก็เถอะ นี่แหละคือ หน้าที่ของเรา” “แล้วผมจะมีเรื่องอะไรคุยกับแขกหรือเปล่าล่ะเนี่ย” ยังไม่ทันได้เริ่ม ปันก็มีสีหน้าเคร่งเคลียด แสนเขย่าไหล่หนาเบาๆ“หน้าที่ต้องแลกมาด้วยความมึนเมาด้วยนะ... เพราะการเชียร์ลูกค้าให้ซื้อดริงก์มาก
สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ ในชุดรัดรูปสีดำคอคว้านลึกจนเห็นร่องอกตูม ที่ดูอายุไม่น่าถึงสามสิบยิ้มกริ่มแล้วพูดน้ำเสียงยานคางเช่นเดิม“เทอจานั่งกับฉานช่ายม้าย”พูดแล้วทิ้งตัวลงนั่งเพราะเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ซึ่งมือเรียวก็ดึงชายเสื้อของปันติดมือไปด้วย จนทำให้ร่วงลงไปทับกันอยู่ ปันหน้าเจื่อนรีบดันตัวออก หากแต่มือเรียวกลับกอดกวัดไว้แน่น ปันดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด จนกระทั่งมีมือของใครบางคนยื่นมาช่วย“คุณเมามากแล้วนะ” เจ้าของน้ำเสียงแหลมห้วนเอ่ยบอก“คุณแยม...” ปันเรียกเสียงตื่นตกใจ ระแวงว่า ตัวเองอาจทำผิดต่อแขก แล้วจะโดนตำหนิตามมา“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”คำพูดที่ดูเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าของร้าน ทำให้ปันรู้สึกดีขึ้น“อ่า เทอเปนคาย มายุ่งอารายด้วย ฉานจาเอาเด็กคนนี้” แล้วชี้นิ้วที่ไม่ตรงทางไปที่ปัน“ดูสภาพตัวเองก่อนดีไหม” เจ้าของสถานที่ถามเสียงแข็ง “ทามมาย สาภาพอย่างฉาน มานทำมาย” แล้วคนเมาก็ดันตัวลุกขึ้นนั่งตาจ้องกร้าว สีหน้าขุ่น “พูดให้ชัดก่อนเถอะแม่คุณ” แยมย้อนให้ใบหน้าที่ฉาบแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ถลึงตาใส่ “ยุ่ง! เธอจาปายไหนก็ปายอย่ามายุ่ง!” พร้อมกับชี้นิ้วลากกราดแยมยกย
ปันปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อเพื่อนทยอยกันเดินเข้ามาอวยพรวันเกิดพร้อมของขวัญที่ทุกคนรวบรวมเงินกันซื้อมาให้ โดยแสนกับเกมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของเรื่องนี้ทั้งหมด รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ที่ทำงานบาร์โฮสต์ก็มากันหมดทุกคนงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มจนกระทั่งเพื่อนๆ ทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว“คเชนทร์...” เดร์ผลุดลุกขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องคนที่อยู่ในใจเสมอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า“ผมมาแสดงความยินดีกับคุณปันและนายครับ นี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผม”ปันมองใบหน้าของคเชนทร์ที่ไร้ความสดใสอย่างเคย ก่อนจะรับของในมือมาถือไว้“คุณหายไปไหน รู้ไหมผมถามเรื่องคุณ คุณเดร์ก็ให้คำตอบกับผมไม่ได้” ปันเอ่ยสีหน้าน้อยใจคเชนทร์ยิ้มบางๆแล้วตอบกลับ “ผมก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ เห็นยัง วันสำคัญคุณปัน ผมก็มาได้” คเชนทร์ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ ปันยิ้มขื่น“นายไม่กลับไปได้ไหม” เดร์เป็นคนเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่ยืนเหมือนคนน้ำท้วมปากอยู่นาน“ผมกลับไปนะดีแล้ว เพราะหลังจากนี้นายกับคุณปัน จะไม่มีเรื่องอะไรเข้ามากระทบหรือกวนใจได้อีก”ซึ่งคำของคเชนทร์ทำให้เดร์ถึงกับพูดไม่ออก หากแต่ปันยังงงกับสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดสื่อกันอยู่“เฮยู!” เสียงแหลมห้
เดร์หยุดพูดแล้วมองหน้าปัน ที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจสัมผัส “ในวันที่มองไปไม่เห็นนายอยู่ข้างๆ มันเหมือนวันนั้นมีอะไรขาดไป จนไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนหายใจแต่หายใจไม่สุด” สายตาล่ำลึกมองจ้องวงหน้าสีเรื่อ เว้าวอนเกมขอร้อง ว่าอย่าได้หายไปไหนอีก...“นายรู้สึกกับฉันแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”“ผมมีสิทธิ์คิดแบบนั้นได้หรือครับ”“นายได้สิทธิ์นั้นนานแล้วปัน...”“ครับขอบคุณที่ให้โอกาสเด็กขี้ดื้อคนนี้นะครับ”“เช่นนั้น ฉันให้โอกาสตัวเองด้วยไง”“แต่...”“แต่อะไร”“อย่าโหดกับใคร หรือผมอีกได้ไหมครับ ผมกลัว”“ที่ฉันโหด เพื่อให้ได้ใจนายต่างหาก”“อะ...”“หากฉันใจดีกับนาย แล้วจะได้นายมาแนบกายไหมล่ะ”“โธ่ไม่เอาแบบนี้ รักชอบก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ผมคนขี้กลัว...”“ได้สัญญาว่าจะไม่โหด แต่กับนายนะ... ส่วนคนนอกต้องดูเป็นกรณีๆไป”เดร์ก็คือเดร์นักธุรกิจที่มีกฎเหล็กอยู่ในหัว...ปันค้อนให้ หากแต่ซุกใบหน้าไปบนอกแกร่ง กอดรัดร่างหนาแน่นขึ้นประหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกปลอดภัยที่สุดแล้ว...เดร์ลูบไปบนผิวกายของปันเบาๆ ด้วยความรักและอยากปกป้อง จากนี้ต่อไปเดร์สัญญากับตัวเอง ว่าจะไม่ให้คนที่รักเสียน้ำตาหรือเจอเรื่องที่น่ากวาดกลัวอีก!มหาฯลัย
ในห้องน้ำที่กว้างกว่าหอพัก เดร์ค่อยๆ วางปันลงในอ่างกุชชี่สีครีม โดยปันไม่ทีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดก๊อกน้ำถูกเปิดให้น้ำไหลลงอ่างเอื่อย ๆ ปันถูกจัดให้นั่งอยู่กลางอ่างสองขายกชันขึ้น เดร์ก็นั่งลงในท่าเดียวกัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้สอดขาทั้งสองข้างซ่อนไขว้กัน ประกายตาหวามไหวมองสบกันปันก้มหน้ายิ้มอาย ลองมาในท่านี้ ไม่พ้น.... ปันคิดลมหายใจเกือบรดใส่กัน เดร์ยื่นมือไปจับใบหน้าที่ก้มหนีสายตา ให้หันมามอง แล้วเลื่อนมืออีกข้างไปจับต้นคอระหง เพื่อรอรับจังหวะจุมพิตที่ส่งลงมาประกบทาบทับอบอุ่น นุมนวลแต่อุ่นซ่านไปทั้งกาย...เดร์ค่อยๆ เลาะเล็มไปบนริมฝีปากอมชมพูหวานหอม ที่ชิมมาแล้วจนคุ้นชิน หากแต่ไม่รู้เบื่อ ในณะที่มือข้างหนึ่งของเดร์เริ่มทำงานล้วงลึกลงไปใต้น้ำและจับสิ่งที่อ่อนนุ่มแล้วขยับรูดไปมา“อ่าส์ ...” เสียงครางแผ่วเบาของปันเริ่มดังขึ้นเดร์กระหยิ่มพอใจ ยอมรับว่าปันเป็นชายหนุ่มที่น่าจุดไฟสวาทได้ง่ายที่สุด เพราะแค่เพียงสัมผัสไม่ว่าตรงจุดไหน คนตัวเล็กก็ตอบรับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ไม่ใช่รอบแรกของวันนี้ที่พากันแตะฝั่งฝันเดร์ถอนริมฝีปากออกห่าง แล้วเปลี่ยนมาดึงตัวของปันให้มานั่งคร่อมบนขาของตน จากนั
เดร์กระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย แล้วเงยหน้าขึ้นค่อยๆ ปล่อยสะโพกเด้งลงมาต่ำ จนปันรับรู้ได้ถึงความแข็งขืนที่ถูกดันเข้ามาทักทายในช่องทางสีหวาน พร้อมกับแรงกดเข้าเป็นจังหวะ และแรงดันมาจากด้านล่าง“อึก! ซีดส์…” ปันกัดปากกลั้นเสียงคราง ทั้งเจ็บทั้งเป็นสุข“อย่าเกร็ง...” เสียงทุ้มกระเส่าบอกเบาๆ แล้วก้มใบหน้าลงไปหาแผ่นหลังขาวเนียน ก่อนจะใช้ลิ้นลากไล้เลียเม็ดเหงื่อที่ผลุดชุ่มออกมา แล้วกลืนกินรสชาติของบุรุษเพศอย่างไม่นึกรังเกียจซึ่งการกระทำของเดร์ เป็นสิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายตอบรับได้มากขึ้น จากนั้นเป็นปันที่โยกตัวเองเพื่อเติมเต็มสิ่งที่แข็งคาอยู่ตรงช่องทางสีหวานเข้าไปจนสุดลึก“อ่าส์ ปัน นายทำดีมาก....”เดร์หลุดครางออกมาด้วยความพออกพอใจ เช่นเดียวกับปันที่ครางออกมาด้วยความสุขสมปันเหงนหน้าหู่ปากสูดเอาอากาศแล้วเข้าปอดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา เพื่อบรรเทาความกระสันเสียว นัยน์ตาสุขเคลิ้มฝัน เมื่อสองมือหนาจับเอวกิ่วแล้วขยับยกให้เป็นจังหวะ โดยที่ตัวเองก็เด้งช่วยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยที่ลงตัวควบคู่ไปกับจังหวะเพลงรัก จนเกิดเป็นเสียงครางกระเส่าแข่งกันอยู่ภายในรถแม้จะอยู่ในที่แคบ หากแต่ไม่ได้ทำให้รสรักเสียจังหวะแต่อย
การสั่นสะเทือน ของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในความเร็วมากกว่าปกติที่เคยขับ ทำให้คนที่หลับไม่ได้สติเริ่มขยับและรู้สึกตัว เดร์แม้จะไม่มีสมาธิมากนักแต่ก็ประคองรถขับออกไปยังจุดหมายปลายทางให้ไวและปลอดภัยที่สุดหันมองดูปันเกือบทุกห้านาทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงเบนรถจอดข้างทางเพื่อเช็คดูให้แน่ใจเสียก่อน“เป็นไงบ้าง...” เสียงทุ้ทนุ่มเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปกุมมือเรียวหนาของปันไว้แล้วบีบเบาๆปันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทางสายตาและการกระทำ จึงคลี่ยิ้มให้ “ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ปันตอบเสียงอ่อนแผ่วอย่างเจียมตัว“ดีแล้ว...” แล้วเดร์ก็ขยับยื่นมือไปปรับเบาะ เพื่อให้ปันได้นั่งถนัดขึ้นในช่วงจังหวะที่เดร์โน้มตัวทาบผ่าน กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด แล้วนั่งหน้าแดงซ่านเพราะการกระทำของตัวเองปากบอกว่าเกลียด แต่ใจและร่างกายโหยหาเขาตลอด! ปันค้อนขอดตัวเองแล้วเก็บอาการเอาไว้โดยการกุมมือตัวเองแล้วบีบไปมา“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หรือไปหาหมอดีไหม”เดร์ถามด้วยความเป็นห่วง สายตาจับอยู่บนใบหน้านั้นด้ว
“คุ คุรเดร์...”ใบหน้าสินหวังก่อนหน้า ฉาบเฉายแววตาระรื่นมีความหวังขึ้น“นายอย่าเงียบ...ปัน” เสียงทุ้มสั่นขาดหายปันยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เหมือนเสียงสวรรค์ทรงลงมาโปรด ความหวาดหวั่นที่สุมอยู่ในหัวใจ หล่นหายออกจากตัว ปันวิ่งฉิวไปที่ประตูด้วยความดีใจ ส่งมือเรียวที่สั่นระริก จับไปยังกลอนประตูเพื่อปลดออก แต่ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้ากับความรีบที่กลายเป็นเงอะงะแทน จนกระทั่งเปิดได้สำเร็จจึงออกแรงผลักประตูไปเต็มแรง จนมันกว้างออก และเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าม่านตาเปิดกว้าง ริมฝีปากคลี่ขยายบิดเบะจะร้องไห้ด้วยความดีใจและตื้นตัน ถลาเข้าไปสวมกอดร่างสูงหนาไว้แน่น โดยลืมกลัวลืมอายไปหมดสิ้น!“คุณมารับผมแล้วใช่ไหมคุณเดร์...”เสียงนั้นสั่นสะเทือนหัวใจคนฟังอย่างเดร์ “อืม...” เดร์ตอบรับในลำคอ วงแขนก็โอบร่างคนที่บางกว่ามากไว้เต็มอ้อมอก“จะกลับได้ไง ในเมื่อข้อตกลงเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์”เสียงทุ้มห้วนดังแทรกเข้ามา ปันขยับเพื่อมองเจ้าของน้ำเสียงที่ดูแข็งห้วนผู้ชายคนนั้น! เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปันก็เผลอกอดเดร์แน่นขึ้นเพราะความหวาดกลัว ซึ่งเดร์รับรู้ถึงแรงกอดรัดของปันที่เพิ่มขึ้นจึงตัดสินใจดันให้ปันไปยืนหล
“ปันนี่นะ มีคนของเขา... ใช่ญาติอะไรหรือเปล่า”แสนทวนถาม เพราะหากให้ตีความหมายมันเหมือนเป็นการปรักปรำเด็กคนหนึ่งที่นิสัยถือว่าดีมากๆ คนหนึ่งให้ถูกมองไปในทางลบได้มายคนที่มีประสบการณ์มากพอสมควร ละสายตาจากหนุ่มน้อยร่างสูงบาง แล้วมาหยุดอยู่ที่รุ่นน้อง “ไม่น่าจะใช่ญาตินะ... ดูเหมือนเป็นคนรักประมาณเด็กเสี่ย ฉันก็อธิบายไม่ถูก เพราะดูแล้วมันเหมือนคนมีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังตามมาปกป้องเด็กคนหนึ่งจากอีกกลุ่ม อย่างกับซีรี่ส์มาเฟียอย่างไรอย่างนั้น”มายให้คำนิยามไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะกริ่งเกรงอยู่เหมือนกัน“เห้ยจริงดิ” แล้วแสนก็หันไปมองหน้าเกม ที่ตัวเองลากมาด้วย เหมือนอยากขอคำยืนยันเกมส่ายหน้าดิก “ผมก็รู้เท่าที่พี่รู้ตอนนี้แหละครับ... ส่วนเรื่องคนเลี้ยง หรือคนรัก ผมไม่เคยได้ยินปันพูดถึงเลย” เกมที่อ่านสายตาแสนออก ก็บอกไปตามที่ตัวเองรู้อย่างไม่ปิดบัง“แล้วติดต่อปันได้ไหม” แสนถามต่อ“ไม่ครับ”“อืม หากเขาอยากติดต่อ คงติดต่อมาเองแหละ” มายออกความคิดเห็น“แล้วพี่แน่ใจหรือว่าคนพวกนั้นไม่ทำอันตรายปัน”“ไม่แน่นอนเชื่อพี่” มายสรุปตัดจบแล้วจบโดยการเลี้ยงเหล้ารุ่นน้อง เพื่อเป็นการผ่อนคลายไปในตัว...
คเชนทร์คิ้วขมวดผูกปมและไม่ยอมรับคำสั่งอย่างเคย “แล้วทำไมไม่บอกว่าข้อแลกเปลี่ยนคืออะไร”“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไม่ต้องกังวล...”“นายไม่ให้ผมกังวลได้ไง ในเมื่อนายยังมีความกังวลอยู่เลย...” คนดูออกเอ่ยดัก“นายรู้ดีที่สุดนะคเชนทร์...” เดร์เอ่ยเสียงอ่อน และยังมีสายตาคาดโทษลูกน้องอยู่“ผมรู้ว่าผมพลาด” คนมีชนักติดหลังตอบอย่างจำนน“ฉันให้นายไปตามดูแลปัน แล้วนี่นายไปทำอะไรกัน” สายตาจริงจังมองสมุนมือขวา แล้วมองไปยังชายหน้าตาไม่คุ้นอีกสี่คนข้างๆ“คนพวกนี้เป็นญาติๆ ผมเองครับ ไว้ใจได้”“ไว้ใจได้แล้วไง ตอนนี้เป็นไงล่ะ”“ผมก็แค่อยากให้คุณปันกลับมาหานายไวไวครับ”“ยิ่งทำให้เกลียดสิไม่ว่า”“นายไม่พูด ผมไม่พูด แล้วคุณปันจะรู้ได้ไงล่ะครับ ว่านี่คือแผนอยากให้คุนปันตกงาน”“ฉันไม่รับปาก”“อ้าว!”“จัดการให้เรียบร้อยเถอะ ก่อนที่ความลับจะแตกเอา”“ครับนาย...”แล้วคเชนทร์จัดการให้ค่าปิดปากญาติของตัวเอง ซึ่งก่อนจะปล่อยให้แยกย้ายกันกลับ ก็กำชับไว้อีกครั้งว่าห้ามใครหลุดปากถึงเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะเรียกเงินคืนห้าเท่า ทุกคนต่างรับปากกันอย่างหนักแน่นแล้วแยกย้ายกันไป...หลังจากที่อยู่กับความเงียบมาได้พักใหญ่ คเชนทร์ก็
ปันเหงื่อแตกไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลาย แต่มายตั้งหน้าสู้รับโดยยกมือถือขึ้นมาขู่“อันที่จริงผมไม่ชอบมีเรื่อง แต่ดูท่าพวกนักเลงอย่างพวกนายต้องการหาที่พักฟรี”“แกขู่พวกกูเหรอ”“เปล่าไม่ได้ขู่ แค่โทร.ให้ตำรวจมาทำงานบ้างก็เท่านั้น”พอพูดถึงตำรวจชายพวกนั้นก็สงบท่าทีลงแล้วเอ่ยน้ำเสียงเบาลง “ไล่เด็กคนนี้ออกไปเลยนะ”มายคิ้วขมวด “แล้วเด็กผมทำผิดอะไรครับ”“ก็เนี่ย เอาถาดมาฟาด” แล้วชี้ไปที่ถาดในมือปัน“หลักฐานครับ” มายขอ ยังไงก็พร้อมเข้าข้างคนของตัวเอง“ถามเพื่อนพวกนี้ดูสิ ...ใช่ไหม” แล้วหันไปเออออกับเพื่อนร่วมโต๊ะ“เพื่อนก็ต้องเข้าข้างเพื่อนด้วยกันสิ”มายยังไม่เปลี่ยนใจ“เตือนดีๆ ไม่อยากให้ร้านเจ๋งก็ไล่เด็กปากเสียออกไปน่าจะดีกว่า”“ผมไล่ออกแน่ แต่จะไล่คนที่ไม่มีมารยาทเท่านั้นแหละครับ แต่ผมก็ต้องดูที่เหตุผลก่อน ว่าสมควรไล่ใครกันแน่ ระหว่างลูกค้านักเลง กับลูกจ้างที่ไร้มารยาทกับแขก เพราะถึงเงินจะซื้อได้ทุกอย่างจริง แต่ถ้าคนใช้เงินไม่มีมารยาท เงินตรงนั้นผมก็ไม่อยากได้ครับ”คำพูดตอกกลับเจ้าของร้านทำให้แขกกลุ่มนั้นหน้าชา แต่ในระหว่างที่พูดเคลียร์กับลูกค้าที่ก่อเรื่องยังไม่ลงตัว ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เดินเข้