แชร์

บทที่3 อยากได้

ผู้เขียน: Ainthira06
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-09 12:41:04

กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก

“น้องสาวห้า”

ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก

“พี่ใหญ่!”

“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่

พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า

“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”

“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”

“ค่ะ”

กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจะกลับบ้าน และที่ไม่เอาเธอไปด้วยก็เพราะจะเดินทางลำบาก อีกอย่างถึงจะเป็นพี่ชายน้องสาวที่คลานตามกันออกมา แต่หากมีใครเห็นอยู่ด้วยกันสองคนมันไม่เหมาะสม

‘หน่อไม้เยอะมาก!’ กัวเหม่ยอิงอุทานในใจ พร้อมกับรีบวิ่งไปขุดหน่อไม้ที่ขึ้นเต็มกอไผ่

หน่อไม้พวกนี้เป็นหน่อไม้ที่เพิ่งจะเกิดและกำลังโตอย่างพอดี กัวเหม่ยอิงขุดเอาหน่อไม้เกือบสามสิบหน่อจึงเลิกขุด พรุ่งนี้หรือวันหลังค่อยมาอีกก็ไม่สาย เพราะเหมือนทางนี้คนจะไม่ค่อยได้เข้ามา

นอกจากหน่อไม้แล้ว กัวเหม่ยอิงยังได้เห็ดกับผักหวานป่าเพิ่มอีกเยอะพอสมควร ก่อนจะเดินหาแม่น้ำเพื่อที่จะนั่งพักและหาปลาในแม่

กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเธอจะหาเนื้อสัตว์ได้จากที่ไหนนอกจากปลาก็เลยจะมาลองจับดู อย่างน้อยได้ไปทำน้ำแกงปลาสักหน่อยก็คงดี

เสียงน้ำไหลกระทบกับโขดหินดังขึ้นทั่วบริเวณ ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่จะไหลผ่านข้างหมู่บ้าน พวกเขาจะใช้น้ำเส้นนี้ทั้งดื่ม ทั้งใช้และอาบ กัวเหม่ยอิงมองหาโขดหินเพื่อจะวางของในตะกร้า เมื่อเห็นที่เหมาะ ๆ ก็นำตะกร้าไปวางบนโขดหินแล้วถอดรองเท้าออก พร้อมกับเลิกแขนเสื้อขึ้น

น้ำบริเวณที่กัวเหม่ยอิงจะลงไปจับปลานั้นเป็นน้ำตื้นเพียงขา เธอจึงสามารถลงไปได้โดยที่ไม่กลัวจะจมน้ำ ปลาหลากหลายสายพันธุ์เวียนว่ายรอบตัวกัวเหม่ยอิง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง บริเวณนี้คนในหมู่บ้านมาหาปลาแทบจะตลอด เป็นไปไม่ได้เลยที่ในแม่น้ำจะอุดมสมบรูณ์

กัวเหม่ยอิงเริ่มสงสัย ในนิยายที่เคยได้อ่านผ่านตามา หลาย ๆ เรื่องนางเอกจะมีมิติ ซึ่งเธอไม่มี นางเอกแยกบ้านออกไปอยู่กับสามีและลูก แต่เธอไม่สามารถแยกบ้านได้เพราะแม่สามีไม่สามารถดูแลตัวเองได้

ในเวลานี้จึงเธอเหมือนเสาหลักของครอบครัวด้วยซ้ำ คงจะมีเพียงแต่ของในตู้เสื้อผ้าที่เธอไม่รู้ว่ามีได้ยังไง แม้แต่สะใภ้รองยังถามเธอว่าเอาข้าวมาแต่ไหน

แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ทำได้แค่สะบัดหัวไม่ให้คิดเรื่องไร้สาระ เธอหันมาจับปลาที่อยู่ ๆ ก็ไม่ขยับตัวว่าย เหมือนมันต้องการให้เธอจับ เพราะเธอไม่ได้เอาอะไรมาใส่ปลา จึงต้องถอดเสื้อคลุมผืนนอกออกแล้วมัดรวมกันเพื่อใส่ปลา

กัวเหม่ยอิงจับได้ทั้งปลา ทั้งกุ้งก้ามแดง และปู พอเห็นว่าจับได้เยอะแล้ว เธอก็เลยขึ้นจากน้ำเพื่อเตรียมตัวจะกลับ

“หนัก” เธอบ่นเบา ๆ

ลำพังแค่ของในตะกร้าก็หนักอยู่แล้ว พอมีปลาที่คาดว่าจะมีมากกว่าห้าชั่งเพิ่มอีกก็ยิ่งหนักไปกว่าเดิม

แต่เธอก็กัดฟันสะพายตะกร้าลงเขา ของในตะกร้านี้สามารถทำกับข้าวได้หลายมื้อเลยทีเดียว

กัวเหม่ยอิงแบกตะกร้าของลงจากเขา โดยที่เอาผักหวานป่าขึ้นวางบนสุดของตะกร้า ทำให้ไม่มีใครมองเห็นของข้างในได้ ส่วนในย่ามผ้าที่สะพายมาด้วยก็มีผลไม้ป่าที่เจอระหว่างทางเดินกลับอีกหลายชนิด

เป็นช่วงเวลาเที่ยงมีหลายคนเดินทางกลับกันประปรายเพราะไม่ได้ห่อข้าวไปด้วย หรือใครที่ห่อไปก็ไม่ได้ออกมา แต่กัวเหม่ยอิงที่ห่อข้าวไปด้วยกลับเดินออกมาเพราะของหนัก ไหนจะต้องรอเจอพี่ชายอีก

“โอ้ สะใภ้ใหญ่ไปหาผักหวานป่ามาจากไหนน่ะ” คนในหมู่บ้านที่เดินลงมาตามหลังกัวเหม่ยอิงรีบปรี่เข้ามาหาเธอที่วางตะกร้าลงบนพื้น 

“อย่าจับ!” เธอใช้มือปัดมือคนที่จะจับผักหวานของเธอ ผักหวานพวกนี้แค่จับก็ช้ำแล้ว ถ้ามีคนจับอีกผักของเธอก็กินไม่ได้แล้ว

“อะ…อะไรกัน ฉันแค่จะดูผัก” นางตะลึง สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ไม่เคยคัดค้านนางสักครั้งเพราะนางเป็นญาติผู้ใหญ่สามีของหล่อน แต่อยู่ ๆ สะใภ้ใหญ่ก็ขัดนาง

“หากป้าสะใภ้ใหญ่ อยากได้ก็ขึ้นไปเก็บเอาเถอะค่ะ ผักพวกนี้ช้ำง่าย ถ้าแตะฉันกลัวว่ามันจะช้ำ” กัวเหม่ยอิงตอบญาติของสามี

ป้าสะใภ้ใหญ่ก็คือภรรยาของพี่ชายพ่อสามี หรือก็คือลุงของสามีเธอเอง นางเป็นคนดูแลเรื่องราวในบ้านและป็นคนที่กดขี่บ้านสาม ชอบใช้ย่าหานมาอ้างเมื่อจะเอาเงินไป ซึ่งคนทั้งสกุลหานหรือทั้งบ้านต่างรับรู้ แต่ก็พากันหลับตาเอาไว้เพราะพวกเขาได้ประโยชน์

“งั้นก็เอามาให้ฉันสิ” นางว่า “คุณแม่ก็อยากกินแกงผักหวาน เธอจะไม่เอาให้ย่าสามีของเธอกินเหรอ” ไม่ว่าเปล่ามือของนางก็พยายามที่จะจับเอาผักหวานในตะกร้าไป

“อยากได้ก็ขึ้นไปเก็บเอาเอง”

แต่กัวเหม่ยอิงไม่ยอม เรื่องอะไรที่เธอเก็บผักมาเหนื่อย ๆ แล้วต้องเอาให้คนอื่นกันล่ะ หากเป็นกัวเหม่ยอิงคนก่อนหล่อนอาจจะยอม แต่นี้เป็นถิงถิงคนที่ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ

“สะใภ้ใหญ่!”

 นางตะคอกใส่กัวเหม่ยอิง ด้วยความที่แต่ก่อนเพียงแค่อ้างชื่อแม่สามี บ้านของน้องชายสามีก็ยอมทุกอย่าง ไม่ว่านางจะหยิบจับอะไรก็ไม่มีใครว่า แต่วันนี้สะใภ้ใหญ่กลับขัดขืน คนในหมู่บ้านที่เดินตามหรือรอกันอยู่ต่างหันมามอง

“มองอะไร! ไม่เห็นคนคุยกันหรือยังไง”

“เหอะ แค่ผักหวานป่าก็จะเอา”

“สะใภ้ใหญ่ก็บอกอยู่ให้หล่อนไปเก็บเอาเอง”

“ใช่ ฉันเห็นมันเพิ่งขึ้นทางด้านโน้น”

“อยากได้แต่ไม่หาเอาเหอะ”

คนในหมู่บ้านต่างซุบซิบกันอย่างออกรส บ้านของพวกนางเป็นบ้านใหญ่จึงไม่มีใครกลัวคนสกุลหาน หากสกุลหานอยากมีปัญหาก็ลองดู แม้บ้านพวกนางจะคนน้อยกว่า แต่หากเทียบกับจำนวนบ้านพวกนางรวมกันทั้งหมดยังไงก็มากกว่า

“เหอะ แค่ผักหวานป่าหลานสะใภ้อย่างหล่อนก็ไม่กล้าเอาให้ย่าสามีกิน” นางหัวเราะ

“ผักหวานพวกนี้ฉันเก็บมาแค่พอกับคนในครอบครัวค่ะ ไม่คิดว่าป้าสะใภ้จะอยากได้มัน” กัวเหม่ยอิงอธิบาย ผักหวานป่าที่ทุกคนเห็นมันมีไม่เยอะ และพอแกงไปมันก็จะยุบลงมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับหญิงผอม ๆ สามคน

“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ย่าสามีของเธออยากจะกินมัน!” นางว่าอย่างหงุดหงิด คนที่กำลังว่าให้นางพวกนี้นางไม่สามารถทำอะไรได้ จึงมีเพียงหลานสะใภ้ตรงหน้าที่นางทำได้ และคนอื่นก็ห้ามไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว

แม่สามีของนางอยากจะกินแกงผักหวานป่าจริง ๆ จึงให้นางขึ้นมาเก็บ แต่นางตื่นสายกว่าจะมาถึงคนในหมู่บ้านต่างเก็บไปหมดแล้ว จะให้นางทำยังไง

 ยังดีที่นางตาดีจึงเห็นหลานสะใภ้มีผักหวานป่าก็เลยคิดที่จะเอาไปให้แม่สามีที่อยากกิน ขอแค่ได้กินแม่สามีของนางก็ไม่สนว่านางได้มันไปยังไง แต่ก็ต้องตะลึงเพราะสะใภ้ใหญ่ปฎิเสธที่จะให้

เสียงเอะอะโวยวายของคนที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้าดังลั่นบริเวณ เนื่องจากพวกเขาจับกลุ่มกันเป็นก้อน บางคนก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์คนเดียวอย่างพี่ใหญ่กัว บางคนไปกันเป็นคู่ บางคนจับกลุ่มในสกุลตัวเองขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หรือบางคนก็ชวนกันขึ้นไปล่าสัตว์

“มีอะไรกันเหรอครับ”

“โอ๊ย! จะอะไรกันอีกพี่ใหญ่กัว ก็ป้าสะใภ้ของน้องสาวเจ้าน่ะสิ จะแย่งผักหวานของน้องสาวเจ้าไป” หนึ่งในกลุ่มคนในหมู่บ้านผู้หญิงพูดขึ้น

“หล่อนอย่ามากล่าวหาฉันมั่ว ๆ นะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่รีบแก้ตัว สามีของนางก็อยู่ในกลุ่มล่าสัตว์กลุ่มนี้ นางจะทำให้สามีเสียหน้าไม่ได้

“เหอะ มีหรือคนอย่างฉันจะกล่าวหามั่ว ๆ ถามคนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้”

“ก็แน่สิ ที่นี่มีแต่สหายเจ้า”

“พอ ๆ พวกเจ้าจะมาทะเลาะอะไรกัน ไป ๆ แยกย้ายกลับบ้านนู้น” ลุงใหญ่สามีของป้าสะใภ้พูดขึ้น แค้เมียอ้าปากเขาก็เห็นยันลิ้นไก่แล้ว จะอยู่ต่อให้แฉตัวเองไปทำไมกัน

“จุ๊ ๆ พี่ใหญ่หานช่างใจกว้าง”

กัวเหม่ยอิงหยุดมองความวุ่นวายตรงหน้าแล้วหันไปสะพายตะกร้าสานขึ้นหลังเพื่อที่จะกลับบ้าน โดยมีพี่ใหญ่ของเธอเดินตามหลังมา ก่อนจะผ่านบ้านกัวมันต้องเดินผ่านบ้านของพวกเธอก่อน

จึงไม่แปลกที่พี่ใหญ่จะเดินตามมา ส่วนความวุ่นวายได้หลังกัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจกับมัน

“อ้ะ เอาไปทำน้ำแกงบำรุงร่างกายของเธอ” พี่ใหญ่กัวยื่นไก่ฟ้าสามตัวแล้วก็ฟักทองหลายลูกให้กับเธอ

“มันเยอะไปค่ะ ฉันเอาแค่ตัวเดียวก็พอ” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวปฎิเสธ

พี่ใหญ่กัวคงจะกลัวเธอยกมันให้กับบ้านใหญ่หาน จึงให้เธอมาสามตัว เผื่อเธอจะได้เก็บไว้กินตัวหนึ่ง มันเป็นแบบนี้มาตลอด

“ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวแม่ก็จะว่าพี่อีก เธอเอาไปเถอะ ต้มน้ำแกงให้แม่สามีก็ได้” พี่ใหญ่กัวยิ้มให้น้องสาว

“อ่า” กัวเหม่ยอิงมองไก่หลายตัวที่ถูกวางลงบนแคร่ไม้หน้าบ้าน พร้อมกับฟักทองอีกหลายลูก “ขอบคุณค่ะ”

“อืม พี่จะไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกได้เข้าใจไหม เธอสกุลกัวไม่ใช่สกุลหาน” พี่ใหญ่กัวยื่นมือมาลูบผมผู้เป็นน้องสาวอย่างเป็นห่วง เด็กคนนี้พวกเขาทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด ได้เรียนในระดับสูง ๆ แต่ต้องมาแต่งกับคนในชนบทไหนจะต้องเสียสามีไปอีก หากไม่มีลูกสาวหล่อนคงจะต้องกลับบ้านเดิมไปแล้ว

“ค่ะ” กัวเหม่ยอิงน้ำตาคลอ ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็มีเพียงคุณยาย แต่พอท่านจากไปเธอก็ตัวคนเดียว จนกระทั่งมาอยู่ที่นี่เธอยังไม่ได้กลับไปดูบ้านเดิมเพราะเธอแต่งออกมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคนในครอบครัวจะอบอุ่นขนาดนี้

“ยังไงก็พาเสี่ยวลู่น้อยไปให้แม่ดูหน่อย ท่านคิดถึงหลานแต่ไม่กล้ามา” พี่ใหญ่กัวว่าก่อนจะเดินออกไป กัวเหม่ยอิงจึงต้องขนของเข้าบ้านคนเดียว

ที่แม่กัวไม่กล้ามาหากัวเหม่ยอิงกับหลานสาวก็เพราะกลัวคนสกุลหานจะว่านางมาเอาของของลูกสาวไป และมันจะเป็นช่องโหว่ให้คนสกุลหานเข้าไปดูบ้านลูกสาวเพื่อตวรจสอบของ และนางก็กลัวว่าจะทำให้ลูกสาวเดือดร้อน

กัวเหม่ยอิงขนของเข้าไปในครัวก่อนที่จะออกมาปิดรั้วหน้าบ้านที่ต่อให้ปิดเอาไว้ ก็สามารถข้ามเข้าในบ้านได้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ไม่ปิด

“กลับมาแล้วหรอคะ” สะใภ้รองรีบวิ่งเข้ามาช่วยเธอที่หิ้วของพะรุงพะรังเข้าบ้าน

“เสี่ยวลู่ล่ะ” เธอถามหาลูกสาวที่ไม่เห็น

“หล่อนเพิ่งนอนไปน่ะค่ะ ฉันก็เลยออกมาป้อนข้าวคุณแม่เพิ่งจะเสร็จ”

“อือ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เธอแยกของพวกนี้เอาไว้ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน ใครมาเคาะประตูก็ไม่ต้องเปิด” เธอกำชับหล่อนเอาไว้

ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้ผักหวานไปให้ย่าสามีก็จริง แต่หากนางบอกย่าสามีว่าเธอได้มา ยังไงพวกนางก็ต้องมาเอา แต่เธอไม่ใช่กัวเหม่ยอิงที่จะยอมเพราะตัดปัญหา

“ค่ะ ฉันซักชุดให้พี่แล้วนะคะ”

กัวเหม่ยอิงพยักหน้า

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่4 ไม่ให้ไก่

    กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-09
  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่5 หานเผยหนิง

    กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-09
  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่1 อีถิงถิงหัวจะปวด

    ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-09
  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่2 เริ่มปรับตัว

    เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามีแต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าวแต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-09

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่5 หานเผยหนิง

    กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่4 ไม่ให้ไก่

    กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่3 อยากได้

    กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก“น้องสาวห้า”ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก“พี่ใหญ่!”“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”“ค่ะ”กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจ

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่2 เริ่มปรับตัว

    เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามีแต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าวแต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอ

  • ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายเลี้ยงครอบครัวสามียุค70   บทที่1 อีถิงถิงหัวจะปวด

    ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก

DMCA.com Protection Status