กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก
“น้องสาวห้า”
ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก
“พี่ใหญ่!”
“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่
พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า
“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”
“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”
“ค่ะ”
กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจะกลับบ้าน และที่ไม่เอาเธอไปด้วยก็เพราะจะเดินทางลำบาก อีกอย่างถึงจะเป็นพี่ชายน้องสาวที่คลานตามกันออกมา แต่หากมีใครเห็นอยู่ด้วยกันสองคนมันไม่เหมาะสม
‘หน่อไม้เยอะมาก!’ กัวเหม่ยอิงอุทานในใจ พร้อมกับรีบวิ่งไปขุดหน่อไม้ที่ขึ้นเต็มกอไผ่
หน่อไม้พวกนี้เป็นหน่อไม้ที่เพิ่งจะเกิดและกำลังโตอย่างพอดี กัวเหม่ยอิงขุดเอาหน่อไม้เกือบสามสิบหน่อจึงเลิกขุด พรุ่งนี้หรือวันหลังค่อยมาอีกก็ไม่สาย เพราะเหมือนทางนี้คนจะไม่ค่อยได้เข้ามา
นอกจากหน่อไม้แล้ว กัวเหม่ยอิงยังได้เห็ดกับผักหวานป่าเพิ่มอีกเยอะพอสมควร ก่อนจะเดินหาแม่น้ำเพื่อที่จะนั่งพักและหาปลาในแม่
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเธอจะหาเนื้อสัตว์ได้จากที่ไหนนอกจากปลาก็เลยจะมาลองจับดู อย่างน้อยได้ไปทำน้ำแกงปลาสักหน่อยก็คงดี
เสียงน้ำไหลกระทบกับโขดหินดังขึ้นทั่วบริเวณ ตรงนี้เป็นต้นน้ำที่จะไหลผ่านข้างหมู่บ้าน พวกเขาจะใช้น้ำเส้นนี้ทั้งดื่ม ทั้งใช้และอาบ กัวเหม่ยอิงมองหาโขดหินเพื่อจะวางของในตะกร้า เมื่อเห็นที่เหมาะ ๆ ก็นำตะกร้าไปวางบนโขดหินแล้วถอดรองเท้าออก พร้อมกับเลิกแขนเสื้อขึ้น
น้ำบริเวณที่กัวเหม่ยอิงจะลงไปจับปลานั้นเป็นน้ำตื้นเพียงขา เธอจึงสามารถลงไปได้โดยที่ไม่กลัวจะจมน้ำ ปลาหลากหลายสายพันธุ์เวียนว่ายรอบตัวกัวเหม่ยอิง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง บริเวณนี้คนในหมู่บ้านมาหาปลาแทบจะตลอด เป็นไปไม่ได้เลยที่ในแม่น้ำจะอุดมสมบรูณ์
กัวเหม่ยอิงเริ่มสงสัย ในนิยายที่เคยได้อ่านผ่านตามา หลาย ๆ เรื่องนางเอกจะมีมิติ ซึ่งเธอไม่มี นางเอกแยกบ้านออกไปอยู่กับสามีและลูก แต่เธอไม่สามารถแยกบ้านได้เพราะแม่สามีไม่สามารถดูแลตัวเองได้
ในเวลานี้จึงเธอเหมือนเสาหลักของครอบครัวด้วยซ้ำ คงจะมีเพียงแต่ของในตู้เสื้อผ้าที่เธอไม่รู้ว่ามีได้ยังไง แม้แต่สะใภ้รองยังถามเธอว่าเอาข้าวมาแต่ไหน
แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ทำได้แค่สะบัดหัวไม่ให้คิดเรื่องไร้สาระ เธอหันมาจับปลาที่อยู่ ๆ ก็ไม่ขยับตัวว่าย เหมือนมันต้องการให้เธอจับ เพราะเธอไม่ได้เอาอะไรมาใส่ปลา จึงต้องถอดเสื้อคลุมผืนนอกออกแล้วมัดรวมกันเพื่อใส่ปลา
กัวเหม่ยอิงจับได้ทั้งปลา ทั้งกุ้งก้ามแดง และปู พอเห็นว่าจับได้เยอะแล้ว เธอก็เลยขึ้นจากน้ำเพื่อเตรียมตัวจะกลับ
“หนัก” เธอบ่นเบา ๆ
ลำพังแค่ของในตะกร้าก็หนักอยู่แล้ว พอมีปลาที่คาดว่าจะมีมากกว่าห้าชั่งเพิ่มอีกก็ยิ่งหนักไปกว่าเดิม
แต่เธอก็กัดฟันสะพายตะกร้าลงเขา ของในตะกร้านี้สามารถทำกับข้าวได้หลายมื้อเลยทีเดียว
กัวเหม่ยอิงแบกตะกร้าของลงจากเขา โดยที่เอาผักหวานป่าขึ้นวางบนสุดของตะกร้า ทำให้ไม่มีใครมองเห็นของข้างในได้ ส่วนในย่ามผ้าที่สะพายมาด้วยก็มีผลไม้ป่าที่เจอระหว่างทางเดินกลับอีกหลายชนิด
เป็นช่วงเวลาเที่ยงมีหลายคนเดินทางกลับกันประปรายเพราะไม่ได้ห่อข้าวไปด้วย หรือใครที่ห่อไปก็ไม่ได้ออกมา แต่กัวเหม่ยอิงที่ห่อข้าวไปด้วยกลับเดินออกมาเพราะของหนัก ไหนจะต้องรอเจอพี่ชายอีก
“โอ้ สะใภ้ใหญ่ไปหาผักหวานป่ามาจากไหนน่ะ” คนในหมู่บ้านที่เดินลงมาตามหลังกัวเหม่ยอิงรีบปรี่เข้ามาหาเธอที่วางตะกร้าลงบนพื้น
“อย่าจับ!” เธอใช้มือปัดมือคนที่จะจับผักหวานของเธอ ผักหวานพวกนี้แค่จับก็ช้ำแล้ว ถ้ามีคนจับอีกผักของเธอก็กินไม่ได้แล้ว
“อะ…อะไรกัน ฉันแค่จะดูผัก” นางตะลึง สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ไม่เคยคัดค้านนางสักครั้งเพราะนางเป็นญาติผู้ใหญ่สามีของหล่อน แต่อยู่ ๆ สะใภ้ใหญ่ก็ขัดนาง
“หากป้าสะใภ้ใหญ่ อยากได้ก็ขึ้นไปเก็บเอาเถอะค่ะ ผักพวกนี้ช้ำง่าย ถ้าแตะฉันกลัวว่ามันจะช้ำ” กัวเหม่ยอิงตอบญาติของสามี
ป้าสะใภ้ใหญ่ก็คือภรรยาของพี่ชายพ่อสามี หรือก็คือลุงของสามีเธอเอง นางเป็นคนดูแลเรื่องราวในบ้านและป็นคนที่กดขี่บ้านสาม ชอบใช้ย่าหานมาอ้างเมื่อจะเอาเงินไป ซึ่งคนทั้งสกุลหานหรือทั้งบ้านต่างรับรู้ แต่ก็พากันหลับตาเอาไว้เพราะพวกเขาได้ประโยชน์
“งั้นก็เอามาให้ฉันสิ” นางว่า “คุณแม่ก็อยากกินแกงผักหวาน เธอจะไม่เอาให้ย่าสามีของเธอกินเหรอ” ไม่ว่าเปล่ามือของนางก็พยายามที่จะจับเอาผักหวานในตะกร้าไป
“อยากได้ก็ขึ้นไปเก็บเอาเอง”
แต่กัวเหม่ยอิงไม่ยอม เรื่องอะไรที่เธอเก็บผักมาเหนื่อย ๆ แล้วต้องเอาให้คนอื่นกันล่ะ หากเป็นกัวเหม่ยอิงคนก่อนหล่อนอาจจะยอม แต่นี้เป็นถิงถิงคนที่ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ
“สะใภ้ใหญ่!”
นางตะคอกใส่กัวเหม่ยอิง ด้วยความที่แต่ก่อนเพียงแค่อ้างชื่อแม่สามี บ้านของน้องชายสามีก็ยอมทุกอย่าง ไม่ว่านางจะหยิบจับอะไรก็ไม่มีใครว่า แต่วันนี้สะใภ้ใหญ่กลับขัดขืน คนในหมู่บ้านที่เดินตามหรือรอกันอยู่ต่างหันมามอง
“มองอะไร! ไม่เห็นคนคุยกันหรือยังไง”
“เหอะ แค่ผักหวานป่าก็จะเอา”
“สะใภ้ใหญ่ก็บอกอยู่ให้หล่อนไปเก็บเอาเอง”
“ใช่ ฉันเห็นมันเพิ่งขึ้นทางด้านโน้น”
“อยากได้แต่ไม่หาเอาเหอะ”
คนในหมู่บ้านต่างซุบซิบกันอย่างออกรส บ้านของพวกนางเป็นบ้านใหญ่จึงไม่มีใครกลัวคนสกุลหาน หากสกุลหานอยากมีปัญหาก็ลองดู แม้บ้านพวกนางจะคนน้อยกว่า แต่หากเทียบกับจำนวนบ้านพวกนางรวมกันทั้งหมดยังไงก็มากกว่า
“เหอะ แค่ผักหวานป่าหลานสะใภ้อย่างหล่อนก็ไม่กล้าเอาให้ย่าสามีกิน” นางหัวเราะ
“ผักหวานพวกนี้ฉันเก็บมาแค่พอกับคนในครอบครัวค่ะ ไม่คิดว่าป้าสะใภ้จะอยากได้มัน” กัวเหม่ยอิงอธิบาย ผักหวานป่าที่ทุกคนเห็นมันมีไม่เยอะ และพอแกงไปมันก็จะยุบลงมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับหญิงผอม ๆ สามคน
“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง ย่าสามีของเธออยากจะกินมัน!” นางว่าอย่างหงุดหงิด คนที่กำลังว่าให้นางพวกนี้นางไม่สามารถทำอะไรได้ จึงมีเพียงหลานสะใภ้ตรงหน้าที่นางทำได้ และคนอื่นก็ห้ามไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว
แม่สามีของนางอยากจะกินแกงผักหวานป่าจริง ๆ จึงให้นางขึ้นมาเก็บ แต่นางตื่นสายกว่าจะมาถึงคนในหมู่บ้านต่างเก็บไปหมดแล้ว จะให้นางทำยังไง
ยังดีที่นางตาดีจึงเห็นหลานสะใภ้มีผักหวานป่าก็เลยคิดที่จะเอาไปให้แม่สามีที่อยากกิน ขอแค่ได้กินแม่สามีของนางก็ไม่สนว่านางได้มันไปยังไง แต่ก็ต้องตะลึงเพราะสะใภ้ใหญ่ปฎิเสธที่จะให้
เสียงเอะอะโวยวายของคนที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้าดังลั่นบริเวณ เนื่องจากพวกเขาจับกลุ่มกันเป็นก้อน บางคนก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์คนเดียวอย่างพี่ใหญ่กัว บางคนไปกันเป็นคู่ บางคนจับกลุ่มในสกุลตัวเองขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หรือบางคนก็ชวนกันขึ้นไปล่าสัตว์
“มีอะไรกันเหรอครับ”
“โอ๊ย! จะอะไรกันอีกพี่ใหญ่กัว ก็ป้าสะใภ้ของน้องสาวเจ้าน่ะสิ จะแย่งผักหวานของน้องสาวเจ้าไป” หนึ่งในกลุ่มคนในหมู่บ้านผู้หญิงพูดขึ้น
“หล่อนอย่ามากล่าวหาฉันมั่ว ๆ นะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่รีบแก้ตัว สามีของนางก็อยู่ในกลุ่มล่าสัตว์กลุ่มนี้ นางจะทำให้สามีเสียหน้าไม่ได้
“เหอะ มีหรือคนอย่างฉันจะกล่าวหามั่ว ๆ ถามคนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้”
“ก็แน่สิ ที่นี่มีแต่สหายเจ้า”
“พอ ๆ พวกเจ้าจะมาทะเลาะอะไรกัน ไป ๆ แยกย้ายกลับบ้านนู้น” ลุงใหญ่สามีของป้าสะใภ้พูดขึ้น แค้เมียอ้าปากเขาก็เห็นยันลิ้นไก่แล้ว จะอยู่ต่อให้แฉตัวเองไปทำไมกัน
“จุ๊ ๆ พี่ใหญ่หานช่างใจกว้าง”
กัวเหม่ยอิงหยุดมองความวุ่นวายตรงหน้าแล้วหันไปสะพายตะกร้าสานขึ้นหลังเพื่อที่จะกลับบ้าน โดยมีพี่ใหญ่ของเธอเดินตามหลังมา ก่อนจะผ่านบ้านกัวมันต้องเดินผ่านบ้านของพวกเธอก่อน
จึงไม่แปลกที่พี่ใหญ่จะเดินตามมา ส่วนความวุ่นวายได้หลังกัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจกับมัน
“อ้ะ เอาไปทำน้ำแกงบำรุงร่างกายของเธอ” พี่ใหญ่กัวยื่นไก่ฟ้าสามตัวแล้วก็ฟักทองหลายลูกให้กับเธอ
“มันเยอะไปค่ะ ฉันเอาแค่ตัวเดียวก็พอ” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวปฎิเสธ
พี่ใหญ่กัวคงจะกลัวเธอยกมันให้กับบ้านใหญ่หาน จึงให้เธอมาสามตัว เผื่อเธอจะได้เก็บไว้กินตัวหนึ่ง มันเป็นแบบนี้มาตลอด
“ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวแม่ก็จะว่าพี่อีก เธอเอาไปเถอะ ต้มน้ำแกงให้แม่สามีก็ได้” พี่ใหญ่กัวยิ้มให้น้องสาว
“อ่า” กัวเหม่ยอิงมองไก่หลายตัวที่ถูกวางลงบนแคร่ไม้หน้าบ้าน พร้อมกับฟักทองอีกหลายลูก “ขอบคุณค่ะ”
“อืม พี่จะไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกได้เข้าใจไหม เธอสกุลกัวไม่ใช่สกุลหาน” พี่ใหญ่กัวยื่นมือมาลูบผมผู้เป็นน้องสาวอย่างเป็นห่วง เด็กคนนี้พวกเขาทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด ได้เรียนในระดับสูง ๆ แต่ต้องมาแต่งกับคนในชนบทไหนจะต้องเสียสามีไปอีก หากไม่มีลูกสาวหล่อนคงจะต้องกลับบ้านเดิมไปแล้ว
“ค่ะ” กัวเหม่ยอิงน้ำตาคลอ ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็มีเพียงคุณยาย แต่พอท่านจากไปเธอก็ตัวคนเดียว จนกระทั่งมาอยู่ที่นี่เธอยังไม่ได้กลับไปดูบ้านเดิมเพราะเธอแต่งออกมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคนในครอบครัวจะอบอุ่นขนาดนี้
“ยังไงก็พาเสี่ยวลู่น้อยไปให้แม่ดูหน่อย ท่านคิดถึงหลานแต่ไม่กล้ามา” พี่ใหญ่กัวว่าก่อนจะเดินออกไป กัวเหม่ยอิงจึงต้องขนของเข้าบ้านคนเดียว
ที่แม่กัวไม่กล้ามาหากัวเหม่ยอิงกับหลานสาวก็เพราะกลัวคนสกุลหานจะว่านางมาเอาของของลูกสาวไป และมันจะเป็นช่องโหว่ให้คนสกุลหานเข้าไปดูบ้านลูกสาวเพื่อตวรจสอบของ และนางก็กลัวว่าจะทำให้ลูกสาวเดือดร้อน
กัวเหม่ยอิงขนของเข้าไปในครัวก่อนที่จะออกมาปิดรั้วหน้าบ้านที่ต่อให้ปิดเอาไว้ ก็สามารถข้ามเข้าในบ้านได้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ไม่ปิด
“กลับมาแล้วหรอคะ” สะใภ้รองรีบวิ่งเข้ามาช่วยเธอที่หิ้วของพะรุงพะรังเข้าบ้าน
“เสี่ยวลู่ล่ะ” เธอถามหาลูกสาวที่ไม่เห็น
“หล่อนเพิ่งนอนไปน่ะค่ะ ฉันก็เลยออกมาป้อนข้าวคุณแม่เพิ่งจะเสร็จ”
“อือ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เธอแยกของพวกนี้เอาไว้ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน ใครมาเคาะประตูก็ไม่ต้องเปิด” เธอกำชับหล่อนเอาไว้
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้ผักหวานไปให้ย่าสามีก็จริง แต่หากนางบอกย่าสามีว่าเธอได้มา ยังไงพวกนางก็ต้องมาเอา แต่เธอไม่ใช่กัวเหม่ยอิงที่จะยอมเพราะตัดปัญหา
“ค่ะ ฉันซักชุดให้พี่แล้วนะคะ”
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋องอาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยสาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง“ค่ะ”เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของ
“ไม่ได้!”เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อนสำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชายในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
ไข่เป็ดเป็นไข่ที่มีกลิ่นแรง เวลาทำอาหารถ้าไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่ง หรือรู้วิธีทำให้ไข่เป็ดไม่ให้มีกลิ่นคาวในยุคนี้หายากมาก บ้านไหนที่มีกำลังซื้อไข่กินก็จะเลือกซื้อไข่ไก่มากกว่าไข่เป็ดอย่างไข่เป็ดกับไข่ไก่ที่เอามาวางขายที่ร้าน กัวเหม่ยอิงถามคนในบ้านดูแล้ว มันถูกซื้อน้อยกว่าไข่ไก่เป็นครึ่ง อีกอย่างไข่เป็ดก็เหลือกลับบ้านทุกวัน เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าเป็ดกับลูกเจี๊ยบจะฟักไข่ออกมาเป็นตัว ถ้าวันไหนขายไม่หมดก็ให้เอากลับมากินที่บ้าน อีกอย่างถ้าเก็บไว้มันก็จะผสมกับไข่ใหม่ ถ้าลูกค้าได้ไข่ที่ไม่ดีไปร้านก็จะเสียหายกัวเหม่ยอิงที่กลับมาอยู่บ้านหลายวันจึงแก้ปัญหาด้วยการที่ขายแค่ไข่ไก่ และนำไข่เป็ดที่ได้ในแต่ละวันออกมาทำไข่เค็ม บางส่วนก็นำไปทำอาหารกินในบ้านแต่ไข่ไก่ที่ร้านนั้นต้องบอกว่ามันขายดีมาก กัวเหม่ยอิงจึงเช่าที่ดินของบ้านกัวข้างบ้านในการสร้างเล้าแล้วเลี้ยงเป็ดกับไก่ โชคดีที่บ้านกัวได้เก็บเกี่ยวข้าวที่ทำหมดแล้วและปล่อยที่ดินว่างไว้ กัวเหม่ยอิงจึงขอเช่าที่ข้างบ้านปีละหนึ่งพันหยวน มันจะสามารถเลี้ยงไก่กับเป็นได้เป็นพัน ๆ ตัวซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกบ้านกัวจะไม่รับเงินในส่วนนี้ แต่กัวเหม่ยอิงก็ได้อธิบา
กัวเหม่ยอิงสอนมู่ลี่ มู่จี้ ทำบัญชีของร้าน เพราะเธอต้องกลับไปที่อำเภอจึงต้องให้สองสาวฝาแฝดเป็นคนจัดการในร้าน เธอต้องการขยายร้านให้มีหลายสาขาและขั้นตอนแรกเธอจึงต้องไว้ใจให้พนักงานเป็นคนดูแล และจะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะเอาส่วนเรื่องหน้าร้านกลัวเหม่ยอิงไม่ได้เป็นห่วงแล้ว ทั้งสองรู้จักวิธีขาย และจัดการเวลาพักได้อย่างดีตลอดหนึ่งเดือนที่ได้เปิดร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ถูกพูดถึงไปทั่วมณฑล เวลากัวเหม่ยอิงไปสั่งซื้อเสื้อยืดจากร้านประจำ เธอก็ถูกเเจ้าของร้านแซวว่าตอนนี้ร้านของเธอไปได้ไกลกว่าหล่อนซะอีก ซึ่งเธอก็บอกว่าเป็นแค่ช่วงขาขึ้นและตอนนี้กัวเหม่ยอิงได้ย้ายที่พักแล้ว มันเป็นบ้านพักสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องโถง มันเป็นหนึ่งในบ้านเช่าของคุณลี่หวานที่พอรู้ว่ากัวเหม่ยอิงหาบ้านก็ตื้อให้มาพักในบ้านเช่าของเขา โดยให้เหตุผลว่าไหน ๆ เธอก็จะกลับไปอยู่ที่อำเภอ แล้วเข้ามาพักในมณฑลเป็นบางครั้ง ก็เช่าบ้านเช่าเขาก็ได้ โดยที่เช่าเดือนละ 100 หยวน ซึ่งมันถูกมากหากเทียบกับคนอื่นที่เช่า เพราะบ้านเช่าแบบนี้เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 200 หยวนซึ่งกัวเหม่ยอิงจะกลับบ้านพรุ่งนี้ วันนี
ภายในตัวร้านเป็นร้านขนาดเล็กแต่พอเอาของที่อยู่ภายในร้านออก มันก็กว้างแทบจะพอ ๆ กับร้านขายของหานอีเลย ซึ่งกว่าจะใช้เวลาทำความสะอาดและต่อเติมมันก็เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่รอร้านต่อเติมเสร็จกัวเหม่ยอิงก็แวะไปดูเสื้อที่สั่งตัดเย็บด้วย จากที่ตอนแรกมันจะได้วันละไม่ถึงห้าสิบตัว แต่พอกัวเหม่ยอิงให้ตัวละ 2 หยวน ทุกคนจึงเร่งฝีมือทำให้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เสื้อยืดที่ได้ส่งไปให้โรงตัดเย็บก็ปักเสร็จพอดี กัวเหม่ยอิงจึงให้ผู้หญิงในโรงตัดเย็บที่ฝีมือดีออกแบบลายเสื้อผ้าให้ส่วนสองสาวฝาแฝดมู่กัวเหม่ยอิงได้ทดสอบความรู้ของพวกเธอไป พวกเธอมีความรู้และรู้จักตัวหนังสือเยอะพอสมควร ตลอดหนึ่งสัปดาห์กัวเหม่ยอิงจึงได้บอกระบบของร้านว่าควรจะทำยังไง เวลาขายเสื้อได้ต้องจดยังไงซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่ได้คาดหวังให้ร้านเสื้อผ้าของเธอเป็นร้านใหญ่ที่สุดในมณฑล แต่เธอคาดหวังว่าร้านจะเป็นที่รู้จักไม่ว่าจะมณฑลนี้ หรือมณฑลไหน“เธอจดผิดนะมู่ลี่ มันต้องขีดสีขาวสองตัว สีดำสามตัว ไม่ใช่สีขาวสาม สีดำสอง” กัวเหม่ยอิงชี้จุดผิดให้หล่อนดูกำหนดเปิดร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ ที่ย่อมาจากหานเมิ่งลู่ลูกสาวของเธอคืออีกสองวันข้างหน้า วันนี้
ก่อนที่จะไปหาเช่าสถานที่เปิดร้านเสื้อผ้า กัวเหม่ยอิงก็ได้เข้าไปสั่งซื้อเสื้อยืดจากร้านประจำ รอบนี้กัวเหม่ยอิงสั่งซื้อแค่จำนวน 500 ตัว โดยที่แยกเป็นสีดำ สีขาวสีละ 250 ตัว ที่เธอสั่งมาแค่ 500 ตัว ก็เพราะตอนนี้เธอยังอยู่ที่โรงแรม ร้านที่จะเปิดขายเสื้อผ้าก็ยังไม่มี จึงไม่อยากรบกวนทางโรงแรมมากนักเนื่องจากเธอได้รบกวนคุณลี่หวานมา 2 วันติด วันนี้จึงไม่ได้ให้เขามาช่วยหาร้านเช่าขายเสื้อ แต่เธอได้ฝากเสื้อยืดทั้งหมดให้คุณลี่หวานไปให้โรงตัดเย็บแล้วส่วนวันนี้หลังจากกินข้าวมื้อเช้าในห้องเสร็จกัวเหม่ยอิงกับพี่ใหญ่กัวก็เปลี่ยนชุด เตรียมตัวออกไปหาร้านเช่ากัน โชคดีที่โรงแรมไม่ได้ห่างย่านการค้ามากกัวเหม่ยอิงไม่ได้เจาะจงว่าร้านขายเสื้อจะเป็นตึกหรือเป็นร้านเล็ก ๆ เธอขอแค่ให้เป็นร้านที่ไม่ได้แออัดมาก และเป็นร้านที่โดดเด่นหรือไม่ก็เป็นที่สังเกตได้ง่ายของเหล่าลูกค้า“พี่ถามคุณลี่แล้ว เขาบอกห้องเช่าจะถูกกว่าตึกเกือบครึ่งหนึ่งเลย ถึงจะเล็กกว่ามาก แแต่เขาก็แนะนำให้เช่าห้องเช่าในย่านการค้า แล้วเขาก็บอกอีกว่าให้ทำสัญญาเช่าสักปี สองปี ไม่ต้องเช่านานแต่ก็ไม่เช่าน้อยไป เพราะถ้าเราขายดีแล้วเจ้าของที่จะไม่ให้เราขายต
คุณลี่หวานพากัวเหม่ยอิงขับรถวนหาโรงงาน7-8โรงงานแล้ว บางโรงงานมันก็ดี แต่สำหรับกัวเหม่ยอิงแล้วคุณภาพมันไม่ได้เลย บางโรงงานเก็บรายละเอียดตั้งแต่ใหญ่จนเล็ก แต่ผ้าที่ใช้ขาดคุณภาพ บางโรงงานผ้าคุณภาพดีแต่การปักเย็บไม่ละเอียดกัวเหม่ยอิงไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะสามารถหาโรงงานตัดเย็บได้ตั้งแต่วันแรก แต่เธอก็อยากได้สักโรงงานมาจดเอาไว้ก่อน ไม่มีโรงงานไหนที่ถูกใจกัวเหม่ยอิงเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงงามขนาดใหญ่ โรงงานขนาดกลาง และโรงงานขนาดเล็กกัวเหม่ยอิงไม่ว่าอะไรหากเสื้อผ้าของเธอจะมาจากโรงงานขนาดเล็ก แต่ขอให้ผ้ามีคุณภาพและสามารถตัดเย็บได้ตามที่เธอต้องการก็พอ“อันที่จริงผมว่าจะพาไปดูกลุ่มแม่บ้านแต่คงจะไม่ทันแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวผมจะพาไปใหม่นะครับ” คุณลี่หวานขับรถมาส่งสองพี่น้องบ้านกัวที่หน้าโรงแรมกัวเหม่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ “จะไม่รบกวนใช่ไหมคะ” วันนี้เธอก็รบกวนเขาทั้งวันแล้วคุณลี่หวานโบกมือปฎิเสธ “รบกวนอะไรกันครับผมเต็มใจ อีกอย่างพรุ่งนี้ร้านขายผลไม้ผมหยุดพอดี” เขาตอบ ถึงแม้จะต้องเข้าไปดูบัญชีแต่เขาก็สามารถตรวจตอนเย็นได้“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”กัวเหม่ยอิงว่าพลางลงจากรถ ตามด้วยพี่ใหญ่กัวที่แทบจะหลับแล้ว เนื่อ
ผักกาด ต้นหอม หัวไชเท้า และแครอทถูกตัดและขุดขึ้นมาหลังจากมันโตเต็มที่แล้ว จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาดเรียบร้อยก่อนจะถูกนำไปแช่ในน้ำเกลือ ผักรอบนี้ที่เก็บขึ้นมากัวเหม่ยอิงทำกิมจิทั้งหมด เพราะผักดองมันเหลือเก็บไว้อยู่ส่วนแปลงผักที่ว่างกัวเหม่ยอิงก็จัดการบำรุงดินอยู่สามวันถึงจะให้ลงเมล็ดผักรอบใหม่ และเน้นไปที่ผักกาดเอาไว้ทำกิมจิและวันนี้ก็เป็นวันที่กัวเหม่ยอิงกับพี่ใหญ่กัวจะเข้ามณฑลโดยที่จะเข้าแบบไม่มีกำหนดกลับ เนื่องจากจะหาโรงงานเย็บลวดลายเสื้อ ไหนจะหาเช่าขายเสื้อของเธออีกโดยเงินเก็บของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมามีมากถึงหนึ่งหมื่นกว่าหยวน จำนวนเงินนี้รวมกับที่เธอมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่รวมเงินส่วนแบ่งทุกเดือนของลูกสาวหรือเงินที่ผู้ใหญ่ให้ในวันสำคัญของหล่อน อันนั้นกัวเหม่ยอิงก็แยกไว้อีกส่วน ไว้หล่อนโตจนบริหารเงินเองได้ถึงจะเอาคืนให้“เดี๋ยวฉันตามไปค่ะ”กัวเหม่ยอิงบอกกับพนักงานร้านขายผลไม้ร้านประจำที่เธอซื้อบ่อย ๆ ทันทีที่พวกเธอเข้ามาในตัวมณฑล หล่อนก็วิ่งมาบอกอย่างรู้งาน และมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาเธอเข้ามาคุณลี่หวานหรือเจ้าของร้านผมไม้จะให้พนักงานในร้านมาเชิญกัวเหม่ยอิงไปกินข้าวด้วยท
กิมจิถูกเปิดชิมหลังทำการเก็บไว้ถึงสองอาทิตย์ สำหรับกัวเหม่ยอิงแล้วกลิ่นมันแปลกมาก ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่ามันจะกินไม่ได้ แต่เพราะได้ทำแล้วจะทิ้งก็เสียดายของ จึงตักขึ้นชิมดู และต่อให้มีกลิ่นที่แปลก รสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น แต่มันก็ยังสามารถกินได้เพราะมันไม่เน่าเลยสิ่งแรกที่กัวเหม่ยอิงจะทำคือการทอดใส่ไข่ไก่ ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร กัวเหม่ยอิงจึงหั่นกิมจิผักกาดออกเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นก็นำไปใส่ไข่ไก่ที่ตีไว้แล้ว กัวเหม่ยอิงไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่ม เพราะอยากรู้รสชาติว่ามันจะเป็นยังไงส่วนกิมจิผักกาดที่เหลือก็ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเหมือนกัน เธอตักใส่จานไว้ มันเป็นเครื่องเคียงอาหารมื้อเช้าของวันนี้ โดยมีข้าวต้มปลาเป็นอาหารจานหลัก ส่วนกิมจิแครอทกับหัวไชเท้าหั่นฝอยกัวเหม่ยอิงชิมแล้วรสชาติมันถูกปากจึงนำไปผัดใส่น้ำมันพริกให้กลิ่นหอม“ผักดองเหรอครับ” เป็นหลี่หม่าฮัวที่ถามขึ้นมาเมื่อเคี้ยวถูกผักกาดในไข่แต่มันมีรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้นกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “มันเป็นผักดองแบบใหม่ ฉันพึ่งทดลองทำขึ้นมาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว รสชาติเป็นยังไงบ้าง” ยอมรับว่าไข่เจียวกิมจิผักกาดมันถูกปากอยู่บ้าง แต่กัวเหม่ยอิงสนใจกิมจิแครอท
หลังจากแช่ผักไว้ครบ 2 ชั่วโมง กัวเหม่ยอิงก็นำผักกาดที่แช่ไว้มาใส่ชามที่เตรียมไว้ผสม ส่วนแครอทกับหัวไช้ท้าหั่นฝอยถูกแยกไว้อีกชาม เพราะกัวเหม่ยอิงแยกทำนอกจากผักยังมีเครื่องปรุงที่กัวเหม่ยอิงได้เตรียมไว้นั่นก็คือ แป้งข้าวเจ้า พริกป่นที่คั่วเก็บไว้ น้ำตาล เกลือ ขิงกับกระเทียมที่สับละเอียดต้มน้ำเปล่าด้วยไฟกลาง พร้อมกับเทแป้งข้าวเจ้าลงไปคนให้ละลายจนน้ำเริ่มข้น แล้วยกลงจากเตาเทใส่ชามเปล่าปรุงรสด้วยเกลือ พริก น้ำตาล คนผสมจนเข้ากันแล้วเทลงชามผัดกาด เติมขิง กระเทียมสับและต้นหอมลงไปนวดให้ผักกาดและเครื่องปรุงเข้ากัน กัวเหม่ยอิงก็เก็บใส่โหลแก้วที่ถูกทำความสะอาดแล้วส่วนแครอทกับหัวไชเท้าหั่นฝอยกัวเหม่ยอิงก็ทำเหมือนกันเพียงแค่ไม่ได้ใส่ต้นหอม เพราะเธอใส่ผักกาดขาวไปหมดไม่รู้ว่ากิมจิที่เธอลงมือทำครั้งแรกโดยที่ไม่เคยกินจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะพริกที่ใช้ทำเป็นพริกจีน ไม่ใช่พริกแบบที่ใช้ทำกัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เก็บเอาไว้ในโหล รอดูอีก 2-4 สัปดาห์ว่ามันจะกินได้ไหมหลังจากทำกิมจิเสร็จ หน้าที่ของกัวเหม่ยอิงก็ต้องล้างทำความสะอาด แล้วไปช่วยผู้เป็นพี่สาวฝานกล้วยที่จะนำไปตากแดด รอทอดใส่โหลวางขาย ซึ่งตอนนี้กั
บ้านสามสกุลหานลอยตัวเหนือข่าวที่บ้านใหญ่เอาที่ดินไปขาย แม้ภายหลังจะมีผู้อาวุโสของหมู่บ้านเข้ามาสอบถาม พวกเธอก็ตอบแค่ที่รู้เท่านั้น และปฎิเสธที่จะขายที่ดินต่อ เนื่องจากจะยกให้น้องชายสาม“เธออยู่พอดีเลย มานี่หน่อย”กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่ยืนนิ่ง จากนั้นก็เอากระดาษที่เอามาจากในอำเภอออกจากกระเป๋าผ้ากับเสื้อยืดสีขาวและสีดำอย่างละตัว “นี่เป็นลวดลายที่ฉันต้องการเย็บลายแบบนี้ เธอสามารถทำได้ไหม ลายไหนก็ได้ใน 5 ลายนี้ หรือถ้าไม่เข้าใจก็สามารถอ่านรายละเอียดได้” กัวเหม่ยอิงอธิบายเมื่อพาสะใภ้รองเข้าห้องตัดเย็บผ้าของบ้านสะใภ้รองนั่งลงประจำเก้าอี้ที่หล่อนเข้ามาบ่อย ๆ ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาดู มันเป็นรูปลวดลายที่พี่สะใภ้อยากให้เย็บเพิ่มเติมในเสื้อยืด พร้อมกับรายละเอียดอย่างชัดเจน และยังดีที่หล่อนอ่านหนังสือได้แล้ว มันจึงไม่ใช่ปัญหา“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะถูกใจพี่ไหมเพราะฉันไม่เคยทำเสื้อยืด อีกอย่างเสื้อยืดสีดำคงจะมีแค่ด้ายสีขาวที่ใช้ได้” เพราะถ้าใช้สีอื่นมันจะไม่เข้ากัน“ได้ แล้วก็ไม่ต้องเร่งเย็บก็ได้” กัวเหม่ยอิงบอกเธอสั่งให้พี่ชายทำราวไม้กับไม้แขวนเสื้อให้ก่อนที่จะเปิดร้าน เวลาขายเสื้อ