“ไม่ได้!”
เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อน
สำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้
ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป
“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชาย
ในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว่าดีมาตลอดจะมีลูกแล้ว
“แล้วยังไงครับ”
“นายไม่คิดว่าชื่อเสียงสกุลหานจะเสียหายหรือยังไง!” เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ตวาดเสียงขึ้นมาด้วยความเดือดดาล
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ชอบบ้านสามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งลูกชายคนโตกับคนรองได้เป็นทหารนางยิ่งเกลียดกว่าเดิม เป็นทหารว่าเกลียดแล้ว การที่ลูกชายคนเล็กหรือเจ้าสามหานหรงอี้ได้เข้าเรียนมัธยมยิ่งทำให้นางเกลียดเขาที่สุด ในขณะที่ลูกชายทั้งห้าคนของนางได้เรียนในระดับประถมเพียงสองคน เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่มีแล้ว หากไม่ใช่ลูกของนางก็คงจะไม่ได้เรียน
“บ้านใหญ่สกุลหานกับบ้านสามสกุลหานพวกเราได้แยกบ้านกันแล้ว” กัวเหม่ยอิงที่ตั้งแต่มาก็นั่งเงียบพูดขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอกลัวบ้านใหญ่สกุลหาน แต่เธอกำลังสำรวจสมาชิกคนอื่น ๆ ในบ้านพร้อมกับคิดถึงความทรงจำที่มี ทุกคนในสกุลหานต่างไม่ชอบเธอเพราะตอนแรกพวกเขาต้องการเธอมาเป็นสะใภ้ แต่บ้านกัวกลับปฎิเสธเพราะเห็นว่าสกุลหานคนเยอะเกินไป
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันกัวเหม่ยอิงก็ได้จดทะเบียนสมรสกับหานหรงเจ๋อสร้างความไม่พอใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก
กัวเหม่ยอิงเป็นนักเรียนมัธยมปลายต่อให้บ้านของนางจะจนก็ไม่มีใครมาสนใจ พวกเขาสนเพียงต้องการสะใภ้ที่เรียนจบระดับสูง ๆ มาประดับบารมีสกุล
“ต่อให้บ้านสามจะแยกไปแล้วแต่ก็เพิ่งบารมีสกุลหานอยู่ดี!” ป้าสะใภ้รองกระแทกเสียง
เมื่อวานหลังจากกลับบ้านนางถูกสะใภ้ใหญ่ด่าที่ทำให้เสียหน้า นางจึงไม่พอใจมาก จะด่ากลับก็ไม่ได้เพราะสะใภ้ใหญ่เป็นคนคุมบ้าน
กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม บ้านสามนะเหรอจะพึ่งพาบารมีสกุลหาน? สกุลหานต่างหากที่เพิ่งพาพวกเธอ! เงินที่สกุลหานมาเอาไปนั้นไม่ต่ำกว่า 2,000 หยวน คิดแล้วกัวเหม่ยอิงก็เสียดาย
“ยังไงบ้านสามก็เป็นคนสกุลหาน ถ้าเกิดอะไรกับบ้านสามมันก็กระทบกับสกุลหานอยู่ดี ป้าสะใภ้อยากให้พวกเธอเก็บไปคิดอีกรอบ” คราวนี้เป็นป้าสะใภ้สี่ที่กัวเหม่ยอิงเพิ่งเคยเจอพูดขึ้น
หึ ทำตัวเป็นป้าสะใภ้ที่แสนดีแต่จริงๆ เป็นนางมากกว่าที่กลัวว่าจะเสียผลประโยชน์ ได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของนางกำลังคบหาดูใจกับคนในเมือง ถึงนางไม่พูดแต่คนอื่นก็พากันพูดไปทั่ว นางคงจะกลัวว่าหากพวกเธอเอาเสี่ยวหนิงมาเลี้ยงก็เป็นการยืนยันข่าวว่าน้องชายสามทำผิดประเพณีก่อนแต่งงาน เรื่องแบบนี้มันจะไปกระทบกับลูกชายของนาง
“การที่พวกเราเอาหลานสาวมาเลี้ยงดู ป้าสะใภ้สี่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควรหรือ?”
“ใช่! ในยามนี้เจ้าสามไม่มีเมียก็จริง แต่หลังจากเรียนจบฉันก็จะให้เขาแต่งงาน แบบนี้แล้วควรจะเอาเด็กคืนแม่หล่อนไป”คุณย่าหานว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางคิดไว้นานแล้ว ลูกสะใภ้ของนางล้มป่วยจึงไม่มีแรงจะลุกมาจัดการเรื่องราวภายในบ้าน การหาลูกเขย ลูกสะใภ้เดิมทีเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่ แต่ลูกชายของนางตายไปแล้ว ลูกสะใภ้ก็ไม่รู้จะตายวันไหน หน้าที่หาหลานสะใภ้ก็ควรจะเป็นนางก็ถูกแล้ว และนางก็ได้ตัวหลานสะใภ้ที่รอเจ้าสามเรียนจบก็จะให้แต่งเข้าบ้านสาม เพียงแต่เกิดเรื่องซะก่อน
“ถ้าจำไม่ผิด คุณย่าเป็นคนบอกให้เลขาธิการของหมู่บ้านเขียนจดหมายแยกบ้านไว้ชัดเจนแล้วนะคะ” กัวเหม่ยอิงตอบเสียงเรียบ
ในเวลานี้เธอก็เป็นเหมือนผู้นำครอบครัว ย่าสามีของเธอกลับมองข้ามเธอไป และจะยื่นมือมาบงการพวกเธอ ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่มีทางยอม
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” คุณย่าหานตอบกลับหลานสะใภ้ที่นางไม่ชอบหน้า
ในเวลานี้บ้านสามแยกตัวออกไปแล้ว และบ้านสามกับพวกเขาหากให้ว่ากันตามตรงก็คือคนละบ้านกัน มั่งมีหรือยากจนก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่เวลานี้คนที่จะขัดได้ก็คือเจ้ารองที่ยังไม่กลับมา พวกนางจึงต้องรีบลงมือ
“ค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของฉัน แบบนี้แล้วฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามคงต้องขอตัวกลับก่อน” กัวเหม่ยอิงลุกขึ้นยืนอย่างไม่ไว้หน้าใคร ตามด้วยน้องสะใภ้รองและน้องชายของสามี
“เดี๋ยว! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ร้องเสียงหลง นางไม่ยอมให้บ้านสามกลับไปตอนนี้แน่ นางต้องการให้พวกมันต้องเสียหน้าภายในสกุล
“มากเกินไปตรงไหนเหรอคะป้าสะใภ้ใหญ่ ที่ผ่านมาฉันยอมมากพอแล้วนะคะ บ้านสามไม่เคยไปทำอะไรให้บ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ มีแต่บ้านใหญ่ที่มารังควานบ้านสามของพวกเรา” กัวเหม่ยอิงยืนท้าทาย
แม้หน้าหลังจะล้อมไปด้วยคนสกุลหานหลายสิบคนแต่กัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้กลัว หากคนสกุลหานกล้าลงมือจริงจะเป็นผลดีกับพวกนางเสียอีก
“เหอะ! ไม่เคย? หากไม่ใช่น้องชายสามพ่อสามีของเธอแย่งตำแหน่งทหารของสามีฉันไป พวกเธอจะได้อยู่ดีกินดีแบบนี้เหรอ!” ป้าสะใภ้ใหญ่ตะโกนอย่างอัดอั้นตันใจ
“ฮ่า ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ย่อมรู้แก่ใจดีนะคะ” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ
หลายปีก่อนเนื่องจากจำนวนทหารไม่พอ เหล่าเด็กที่เริ่มจะแตกหนุ่มจึงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และในหมู่บ้านต้องส่งคนไปไม่ต่ำกว่าสามคนในการเข้าร่วมเกณฑ์ทหารครั้งนั้น 1 ในบ้านที่ถูกเลือกไปก็คือคนสกุลหานที่มีลูกชายเยอะและเป็นครอบครัวใหญ่ ตอนแรกคนในหมู่บ้านต้องการให้ลุงใหญ่เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในครั้งนี้
แต่พวกเขาถูกคุณย่าหานปฎิเสธด้วยคำที่ว่าลูกชายคนโตต้องอยู่บ้านดูแลพ่อกับแม่ และเรื่องนี้คนในหมู่บ้านต่างรู้กันดี
แต่จะหวังเพิ่งลุงรองก็ไม่ได้เพราะเขาขี้ขลาดตาขาวเกินไป แม้คุณย่าหานจะรักลูกชายคนโตมากที่สุดแต่นางก็ยังมีใจห่วงลูกชายคนรองอยู่บ้านจึงไม่ต้องการส่งเขาไป
จะให้อาสี่ของสามีไปคุณย่าหานก็ยิ่งไม่ยอมอีก ลูกชายคนโตว่ารักมาแค่ไหนลูกชายคนเล็กก็รักไม่ต่างกัน
ส่วนพ่อสามีของเธอนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกที่ถูกรักน้อยที่สุดในปีที่คุณย่าหานได้คลอดพ่อสามีนั้นเป็นช่วงต้นปี และช่วงท้ายปีคุณย่าหานยังได้คลอดลูกชายคนเล็กออกมาด้วย และเป็นพ่อสามีที่ถูกคุณย่าหานเลี้ยงน้อยที่สุดส่วนมากจะเป็นเหล่าพี่สะใภ้แล้วก็น้องสะใภ้ที่ช่วยเลี้ยงเพราะนางเอาเวลาไปให้ลูกชายคนเล็ก
รู้ตัวอีกทีลูกชายคนที่สามของบ้านก็ไม่ได้สนิทกับคนในครอบครัว แม้แต่การเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์แทนพี่ชายทั้งสองแล้ว พ่อสามียังต้องแลกมากับการที่ต้องได้เลือกภรรยาเอง และช่างโชคดีที่ในเวลานั้นไม่ว่าพ่อสามีจะพูดอะไรทุกคนก็ยอมเพราะไม่ต้องการให้สามีหรือลูกชายสุดที่รักออกไป
ยิ่งพวกเขาไม่ได้แยกบ้านกันเงินเดือนของพ่อสามีที่ส่งกลับมาให้คนในบ้านก็เอาเข้ากองกลางไปทั้งหมด เป็นแบบนี้อยู่หลายปีโดยที่ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งพ่อสามีหมดความอดทนจึงไม่ส่งเงินกลับบ้านเป็นระยะเวลาหลายเดือนจึงหาทางแยกบ้านได้สำเร็จ เรื่องนี้เป็นสามีของเธอเองที่เล่าให้ฟัง
ป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเธอถึงกับสะอึกเมื่อเธอแย้งขึ้นมา ก็เป็นนางเองไม่ใช่หรือที่ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมให้สามีไปเป็นทหารเกณฑ์เพราะกลัวเป็นม่าย มาวันนี้กลับมาว่าพ่อสามีของพวกเธอ
“อกตัญญู! อกตัญญู!” ป้าสะใภ้ใหญ่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
กัวเหม่ยอิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกลั้นยิ้ม ป้าสะใภ้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็กที่ยังไม่โตทั้ง ๆ ที่ตอนนี้แก่มากแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเอง คาดว่าพรุ่งนี้นางคงจะลุกไม่ขึ้นเพราะกระทืบเท้าแรงเกินไป
“ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าคนสกุลหานจะเป็นแบบนี้ พวกเราแยกบ้านกันมาได้หลายปีแล้วนะคะ ข้อตกลงที่คุณย่าเสนอพวกเราต่างก็รับทราบกันดี เงินที่บ้านใหญ่สกุลหานยืมไปเราก็ยังไม่ได้เอาคืนมาเลยด้วยซ้ำ” กัวเหม่ยอิงเหยียดยิ้ม
ไม่รู้ว่าพ่อสามีเจ้าเล่ห์หรือแม่สามีที่เป็นคนคิดขึ้นมา ทุกครั้งที่คนบ้านใหญ่เข้าไปหยิบเงินในบ้าน จำนวนเงินทุกหยวนจะถูกบันทึกเอาไว้ และมีรายมือของคนที่เอาไป หากนับรวมกันได้แล้วก็มีมากกว่าสองพันหยวนที่ไม่ได้รวมกับพวกข้าวของอื่น ๆ อีก
“อะไร เธอพูดอะไร”
“ก็ป้าสะใภ้ไปยืมเงินบ้านสามทุกเดือนนี่คะ” กัวเหม่ยอิงตอบ
“อย่ามาพูดมั่ว ๆ เงินบ้านสามฉันจะไปยืมได้ยังไง!” ป้าสะใภ้ใหญ่โพล่งขึ้นมา
ทุกครั้งที่นางไปเอาเงินที่บ้านสามก็เป็นช่วงที่คนในหมู่บ้านไม่อยู่ ไม่ก็ช่วงมืดที่ทุกคนกำลังจะหลับเพราะนางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางไปเอาเงินของบ้านสาม แต่เรื่องนี้คนในบ้านใหญ่ต่างรับรู้เพราะหลายครั้งก็เป็นคนอื่นที่ไปเอา
“อืม งั้นเดี๋ยวฉันไปถามคณะกรรมการก็ได้ค่ะ”
หากจะถามว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงก็คงต้องบอกว่าสามีของเธอนั้นไว้ใจเธอมาก ถึงกลับบอกเรื่องทุกอย่างในสกุลให้ทราบ และทุกครั้งที่บ้านใหญ่หยิบเอาเงินหรือเอาของไป
ลายนิ้วมือของพวกเขาก็ถูกปั้มลงบนกระดาษสัญญาการยืม ซึ่งสามีไม่ได้บอกกับกัวเหม่ยอิงว่าต้องทำยังไง
เพล้ง!
ว้ายยย
คุณแม่คะ!
คุณย่าครับ!
กรี๊ดดดด
เฮ้ยยย
เสียงวุ่นวายภายในตัวบ้านสกุลหานไม่ได้ทำให้กัวเหม่ยอิงหันกลับไปมอง เธอเดินกลับบ้านอย่างเงียบสงบพร้อมกับน้องสะใภ้และน้องชายของสามี
ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นก็เท่านั้น
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
ช่วงเช้ามืดก่อนฟ้าสางกัวเหม่ยอิงตื่นขึ้นมานึ่งซาลาเปา เพราะเธอทำไส้ไว้เมื่อคืนนี้พอตื่นมาจึงขึ้นรูปซาลาเปาแล้วนึ่งได้เลย ส่วนกับข้าวแม่สามีนั้นเธอจะทำทีหลังสุดเพราะใช้เวลาทำไม่นานหลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชในครั้งนี้เสร็จ กัวเหม่ยอิงมีความคิดที่จะเอาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง โดยที่ไก่ในเล้าที่มีคงต้องฆ่าแล้วตากแห้งเอาไว้ ยังไงไก่พวกนี้ก็อยู่มาหลายปีแล้ว และโชคดีที่พอเธอให้กินอาหารดี ๆ มันก็ออกให้วันละหลายฟอง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็คงไม่เหมือนกับไก่ที่ยังสาวอยู่“ผัดฝักทองใส่ไข่ด้วยดีไหมคะ เมื่อวานพี่ใหญ่กัวเอามาให้” สะใภ้รองที่กำลังหั่นผักหันมาถามกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยผัดฟักทอง ผัดเยอะหน่อยนะ มื้อกลางวันฉันจะเอาไปให้บ้านกัว”แม้จะเป็นเช้ามืดแต่ตอนนี้คนบ้านกัวคงจะลงมือถอนหญ้ากันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเช้าออกไปทำงาน ยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวทุกคนยิ่งตื่นเช้ากันมาก และยิ่งถอนหญ้าใกล้บ้านกัวพวกเข้าจึงรีบเข้าไปถอน ซึ่งกว่าเธอจะไปถึงทุกคนคงจะถอนได้เยอะแล้ว“ผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานล่ะคะ” สะใภ้รองไม่ใช่คนโง่ การที่พี่สะใภ้ของหล่อนซื้อผลไม
กัวเหม่ยอิงมองรอบ ๆ ตัว ในสถานที่ที่ไฉ่หูอ้ายพามา น่าจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะนอกจากอิฐแล้วที่นี่ยังมีเหล็ก ไม้ เสา ดินและหินอีกมากมาย ซึ่งมันพร้อมที่จะใช้สร้างบ้านได้เลย แต่ไม่รู้ว่าของพวกนี้มีคนจองไปหรือยัง“ที่นี่ปลอดภัยใช่ไหม” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามน้องชายสาม เพราะที่นี่มันเงียบมากแม้จะเป็นวันหยุดเธอจึงระแวงไปบ้างน้องชายสายพนักหน้า “ปลอดภัยครับ ผมมาที่นี่บ่อย ๆ อาจจะเพราะเป็นวันหยุดที่ไม่มีคนทำงานเลยมันจึงเงียบ”ด้วยความที่กำแพงสูงถึงสองเมตรและมีประตูที่แน่นหนา วันหยุดของคนงานที่นี่จึงไม่จำเป็นที่ต้องจะเฝ้า ที่พ่อของสหายเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาเป็นหัวหน้าคนงานจึงต้องอยู่ดูเอกสารต่าง ๆ และบางครั้งเขากับสหายก็ได้เข้ามาช่วยกัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อไฉ่หูอ้ายเดินออกมากวักมือเรียกให้เข้าไปข้างใน“สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เป็นชายวัยกลางคนที่เอ่ยทักพวกเธอก่อน คนนี้คงจะเป็นพ่อของไฉ่หูอ้ายเพราะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันบ้าง“สวัสดีค่ะหัวหน้าไฉ่” กัวเหม่ยอิงตอบหัวหน้าไฉ่ยื่นกระดาษให้กัวเหม่ยอิงอ่านมัน “หูอ้ายบอกผมว่าพี่สะใภ้ของหรงอี้ต้องการอิฐจึงต้องการให้ผมเก็บอิฐไว้
เพราะสะใภ้รองมีครรภ์ที่ใหญ่ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ท้องแรกจะใหญ่มันก็ไม่ผิดปกติเท่าไร แต่เมื่อครรภ์ได้ 5 เดือน ท้องของสะใภ้รองกับเหมือนคนใกล้จะคลอดแล้ว กัวเหม่ยอิงจึงให้น้องชายรองพาสะใภ้รองเข้าไปพักในอำเภอ หากมีอะไรจะได้เข้าโรงพยาบาลง่าย ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยโดยเฉพาะแม่กัวกับแม่หานที่ผ่านการมีลูกมากก่อน พวกนางไม่เคยเห็นคนที่ท้องได้ไม่กี่เดือน ท้องใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หากถามคนที่ไม่รู้ก็คงจะบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้วส่วนแม่หานนั้นตอนนี้กำลังฝึกเดินเพราะน้องชายสามขอร้อง เขาอยากให้แม่ของเขากลับมาเดินได้อีกครั้ง อยากให้แม่ของเขาออกไปเดินดูข้างนอกบ้างลูกเจี๊ยบที่เอามาเลี้ยงก็โตกันหมดแล้ว แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงได้ 3 ตัว กัวเหม่ยอิงจึงจับเชือดจนตอนนี้มีไก่เหลืออยู่ 4 ตัว เธอจะเอาไว้ให้บำรุงสะใภ้รอง 1 ตัว ตอนคลอดลูก“สะใภ้รองจะเป็นยังไงบ้างนะ”แม่หานถามกัวเหม่ยอิงที่ยกกับข้าวมื้อกลางให้ ตอนนี้ก็เกือบสี่เดือนแล้วที่กัวเหม่ยอิงให้สะใภ้รองกับน้องชายรองเข้าไปอยู่ในอำเภอ“คงใกล้จะคลอดแล้วค่ะ วันก่อนที่น้องชายรองมาหาเขาบอกไม่เกินเดือนนี้จะคลอดแล้ว” กัวเหม่ยอิงตอบแม่กัวที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดขึ้น “ท้องส
พี่ใหญ่กัวแบกตะกร้านำกัวเหม่ยอิงกับพี่รองกัวเข้าป่าตามที่ได้ตกลงกันแล้วเมื่อวาน เนื่องจากพี่ใหญ่กัวก็อยากจะลองเข้าป่านี้เหมือนกัน ทันทีที่กัวเหม่ยอิงบอกความต้องการเขาก็ตกลงทันทีก้าวแรกที่เดินเข้าไปในป่ามันก็ยังเหมือนเดิม บรรยากาศภายในป่าเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงร้อง สร้างความระแวงให้แก่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัว ยกเว้นกัวเหม่ยอิงที่จากเดินอยู่กลางกลายเป็นเดิมนำหน้าสุด“น้องสาวห้าเดินระวังด้วย” พี่ใหญ่กัวบอกน้องสาวที่เดินนำไปแล้วกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ฉันรู้จักทางนี้ค่ะ แต่ยังไม่เคยเห็นลำธารในป่านี้ ฉันอยากจะลองจับกุ้งที่นี่ดู” เธอบอกพี่ชายที่หันซ้ายหันขวา“ได้ยินเสียงน้ำอยู่ทางนั้น” พี่ใหญ่กัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง แต่กัวเหม่ยอิงกับพี่ชายรองมองหน้ากันเพราะไม่ได้ยินเสียงกัวเหม่ยอิงเดินตามพี่ใหญ่กัวไปยังทิศทางที่พี่ใหญ่กัวชี้ รั้งท้ายด้วยพี่รองกัวที่ดูแลความปลอดภัยให้น้องสาว เดินไปไม่ไกลพวกเขาก็เห็นลำธารที่มีน้ำใสจริง ๆ ใสกว่าน้ำที่ใช้ประจำซะอีก“มีปลาด้วย!” พี่รองกัวตะโกนด้วยความดีใจพวกเขาไปจับกุ้งเป็นเดือน ๆ แต่ไม่เคยเจอปลาเลย มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะมีคนไปหาปลาตลอด แต่พอเข้ามาใ
ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่กัวเหม่ยอิงก็ทำอะไรได้สะดวกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาหาหน่อไม้มาต้มเก็บใส่ไห หรือบางทีก็ทำหน่อไม้ดอง ไหนจะทำกุ้งแห้งอีก โชคดีที่ผู้ชายบ้านหานกับบ้านกัวมีฝีมืองานไม้อยู่บ้าง การสร้างห้องเก็บไหจึงถูกสร้างขึ้นข้างบ้านเนื่องจากตอนนี้ยังไม่เปิดการค้าเสรีพวกเธอจึงไม่สามารถขายตรง ๆ ได้ แต่น้องชายรองนั้นจะออกบ้านตอนเช้ามืดเพื่อไปทำงานเขาจึงเอาไหกุ้งแห้งกับหน่อไม้ต้มไปขายได้ตอนนี้ที่บ้านมีจักรยาน 2 คัน ได้มาในราคา 350 กับคูปองเกือบ 20 ใบ ถ้าซื้อหนึ่งคันราคาจะอยู่ที่คันละ 200 หยวน กับคูปองอีก 10 ใบ และน้องชายสามเห็นว่าจักรยานมีสภาพดีจึงได้ตกลงที่จะซื้อสองคันอีกอย่างจักรยานหนึ่งคันน้องชายรองปั่นไปทำงานในอำเภอ ส่วนน้องชายสามก็ปั่นไปโรงเรียนในตำบลคันหนึ่ง หากพวกเธอในบ้านต้องการจะใช้จักรยานก็บอกน้องชายสาม เพราะเขาจะเอาจักรยานไว้ให้แล้วเดินไปโรงเรียนแทน“ค่อย ๆ จับนะคะแม่ ฉันคอยพยุงอยู่” กัวเหม่ยอิงบอกแม่สามีที่จับราวไม้ที่ถูกสั่งทำไว้โดยเฉพาะแม่หานลังเล แม้จะถูกสะใภ้ยืนยันว่าจะไม่เป็นอะไรแต่นางก็กลัว กลัวว่าจะเป็นภาระของทุกคนหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีใครพูดอะไรให
การหาซื้อเนื้อหมูในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากมีเส้นสายมันก็จะต่างออกไป และกัวเหม่ยอิงก็คิดว่าตัวเองมีเส้นสายมากพอสมควรโดยเฉพาะน้องชายรองและน้องชายสาม“อีก 2 วัน เป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ของบ้าน ตอนนี้้เรามีกุ้ง มีปลา มีไก่ และมีผักแล้ว แต่ยังไม่มีหมู น้องชายรองกับน้องชายสามพอจะหาได้ไหม” กัวเหม่ยอิงถามอย่างไม่อ้อมค้อมอย่างที่รู้กันว่าตอนนี้พวกเธอขายของในตลาดมืด จึงไม่ต้องกลัวว่าสมาชิกในบ้านจะตกใจ และเพราะต้องขึ้นบ้านใหม่ อาหารที่ทำขึ้นต้องพอเลี้ยงแขก กัวเหม่ยอิงจึงต้องถามน้องชายรองส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักใครเลยครับ แต่ช่วงนี้ผมติดภารกิจสำคัญครับ ลาไว้แล้ว 3 วัน ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้ผมจะไปหาให้” เขาบอกก่อนจะหันไปถามน้องชาย “นายรู้จักคนเยอะพอจะมีไหม”“มีครับ แต่เราต้องไปถามก่อนเพราะมันไม่ต้องใช้คูปองและราคาสูง” น้องชายสามพยักหน้า เขาก็พอจะรู้จักคนนี้มีเนื้อหมู่อยู่กัวเหม่ยอิงยิ้ม “ดีเลย นายไม่ต้องไปสอนแล้วใช่ไหมสัปดาห์นี้ ฉันอยากได้เนื้อสัก 10 ชั่ง กระดูกด้วยก็ดีพอจะไปหาได้หรือเปล่า” ที่โรงเรียนเหมือนจะมีของหาย ทางโรงเรียนจึงประกาศหยุดการเรียนตลอดหนึ่งสัปดาห์ และคณะกรรมหน่วยผลิตของตำบลกำ
กัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าช่วงนี้บ้านของพวกเธอถูกนินทาบ่อยมาก เมื่อมีคนไปเห็นน้องชายรองทำงานอยู่ในสถานีสักแห่งในอำเภอเพราะเข้าไปทำธุระ ยิ่งพอรู้ว่าน้องชายรองได้กลับไปทำงานเสียงนินทาก็ยิ่งกว้างไปจนถึงหมู่บ้านข้าง ๆ กันแล้วแต่ถึงจะนินทายังไงกัวเหม่ยอิงกับครอบครัวของสามีก็ไม่ได้ไปสนใจ พวกเธอพากันสนใจกิจการของบ้านมากกว่า ตอนนี้กุ้งแห้งมีรวม ๆ กันเกือบ 50 ไหแล้ว เพราะน้องชายรองเอาออกไปขายแค่วันละไห แต่ที่บ้านทำเพิ่มได้วันละไม่ต่ำกว่า 3 ไห กุ้งแห้งจึงมีเยอะมากตอนนี้ที่บ้านมีรายได้วันละ 5 หยวน จากการขายกุ้งแห้ง 1 ไห หรือบางวันก็ขายไหไปด้วยก็ได้กำไรอีก 1 หยวน ไหนจะเงินเดือนของน้องชายสามที่เป็นครูสอนเด็กประถม 10 หยวน และเงินเดือนของน้องชายรองอีกที่ได้มาถึงเดือนละ 80 หยวน แต่เงินเดือนที่ได้มาจะถูกหักเข้ากองกลางของบ้านเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งสามารถเก็บเอาไว้ได้เลย“สะใภ้รองบ้านเดิมของเธอมาหา” เสียงของพี่สาวใหญ่กัวร้องบอกหลังออกไปดูหน้าบ้านเมื่อมีคนมาร้องเรียกสะใภ้รองหันมองพี่สาวใหญ่กัวก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธที่จะคุยด้วย ไหนบอกว่ากลัวหล่อนจะไปสร้างปัญหาให้จึงให้เลิกติดต่อ แต่วันนี้พอสามีของหล
กัวเหม่ยอิงยืนมองกุ้งเกือบสิบตะกร้าด้วยความภูมิใจวันนี้เป็นวันแรกที่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัวมาช่วยเธอจับกุ้ง และเป็นวันแรกที่จับกุ้งได้เยอะที่สุด อีกอย่างตอนนี้ก็เพิ่งจะช่วงบ่าย กัวเหม่ยอิงที่ปกติต้องไปจับกุ้งจึงเปลี่ยนมาแปรรูปกุ้งแทนต้องขอบคุณน้องชายรองที่แนะนำให้สร้างที่ตากกุ้งไว้เพิ่ม ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาที่ตากกุ้งไม่ได้ และดีที่ใช้เวลาตากกุ้งเพียงหนึ่งวันกุ้งก็แห้งให้แล้ว ต่างจากอนาคตที่ใช้เวลาหลายวัน“น้องชายรองไปแล้วเหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่เดิมตามหลังมาเหมือนว่าน้องชายรองจะได้รับการติดต่อจากสหายร่วมกองทัพของเขา ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ ขอแค่เขาเอาของเข้าไปขายให้ตอนนี้เงินจากการขายกุ้งแห้งและหน่อไม้ต้มได้มาเกือบหนึ่งพันหยวน แต่มันยังไม่ได้หักค่าไห ค่าฟืน ค่าเกลือ และค่าแรงงานอีก แต่ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็นับจำนวนเงินนี้เป็นทุนสำหรับการค้าขายภายหน้าสะใภ้รองพยักหน้าแล้วนั่งลงหน้าเตาไฟเพราะหล่อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาช่วย “ใช่ค่ะ เห็นว่าสหายของเขาขึ้นมาหา ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นแล้ว” ถึ
หลังจากที่น้องสะใภ้กลับบ้านเดิมได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหล่อนก็กลับมาพร้อมกับความเงียบ และปิดประตูห้องไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง แม้แต่น้องชายรองเองก็เข้าหน้าไม่ติด กับข้าววันนั้นจึงเป็นกัวเหม่ยอิงที่ทำและเธอก็ไม่ได้ถามหาสาเหตุจากสะใภ้รอง หากหล่อนอยากจะพูดหล่อนก็คงจะพูดเองนับจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วห้าวัน และการที่สตรีบ้านกัวขอหยุดงานในแปลงนาสร้างความฮือฮาในหมู่บ้านอีกรอบ อีกไม่นานก็จะได้รับผลผลิตแล้ว ทำไมอยู่ ๆ สตรีบ้านกัวก็หยุดงานไปดื้อ ๆ ? มันเป็นเรื่องที่หยุดพูดไม่ได้กันเลยทีเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ได้ยินว่าคนบ้านกัวกำลังหาลูกเขยกับลูกสะใภ้ให้ลูกสาวกับลูกชายที่อายุมากแล้ว“สะใภ้รองขยับมาทางนี้” กัวเหม่ยอิงกวักมือเรียกน้องสะใภ้ที่หากุ้งฝั่งตรงข้ามเพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าสะใภ้รองจะคิดมากเกินไป จึงชวนหล่อนพร้อมกับน้องชายสามีทั้งสองออกมาจับกุ้งอีกครั้ง ไหน ๆ กุ้งแห้งในบ้านก็ลดลงไปมากแล้ว“พี่จับกุ้งเก่งมาก” สะใภ้รองชมหล่อนจับกุ้งได้เพียงสามตัวตั้งแต่มาถึง ต่างจะพี่สะใภ้ที่ตอนนี้จับได้มากกว่ายี่สิบตัวแล้วกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ก็เพราะฉันเก่งยังไงล่ะ” ต้องบอกว่ามีความสามารถพิเศษจะดีกว่า“ฉันเชื่อค่ะ”
จะว่าไปแล้วชีวิตของกัวเหม่ยอิงในตอนนี้สบายมาก ทำอะไรก็ลงตัวไปซะทุกอย่าง แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยอย่างลงตัว“กุ้งผัดหน่อไม้ได้แล้วนะคะ” สะใภ้รองที่จัดการปิ่นโตเสร็จหันมาบอกกับกัวเหม่ยอิงเพราะกัวเหม่ยอิงเห็นว่าสะใภ้รองน่าจะเหงามากเมื่ออยู่บ้านคนเดียว จึงจะเข้าไปคุยกับคนบ้านกัวตามที่คิดไว้กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ครบแล้วใช่ไหม” หากไม่ครบมันจะได้ไม่เสียเวลาต้องกลับมาเอา“ฉันดูให้แล้วค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้าวันนี้เป็นวันหยุดประจำเดือนของทุกคนในหมู่บ้าน ถึงตอนนี้กำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แต่ทุกคนก็ยังได้หยุด เพราะในหนึ่งเดือนทุกคนจะได้หยุดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี กัวเหม่ยอิงจึงจะไปคุยด้วย อีกอย่างน้องชายสามก็ออกไปหาฟืนกับน้องชายรอง ที่ตากกุ้งแห้งมันก็เต็มด้วยกุ้ง วันนี้จึงยังไม่ไปหากัน“น้องสาวห้า” เป็นพี่สาวใหญ่ที่กวาดลานบ้านร้องทักกัวเหม่ยอิงกัวเหม่ยอิงหันไปมองแล้วยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ทำอะไรกันคะ” เธอถามถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่าพี่สาวกำลังทำอะไร“กำลังกวาดลานบ้านน่ะไหน ๆ ก็วันหยุดแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบ “แล้วน้องสาวห้ามาทำอะไรที่นี่หรือมาดูบ้าน” ถ้ามาดูบ้านปกติน้องสาวของหล่อนไม่ได
กัวเหม่ยอิงแวะดูคนงานสร้างตอนช่วงสายของวันพร้อมกับส่งซาลาเปา จากนั้นก็ได้นำน้องชายรอง น้องชายสามเข้าป่าไปจับกุ้งที่เจอเมื่อวานหลังจากได้ลิ้มรสเมนูกุ้งฝีมือของสะใภ้รองทุกคนก็ชอบมันมาก น้องชายสามจึงขอไปจับกุ้งระหว่างรอหางาน แต่กัวเหม่ยอิงก็เลยเปลี่ยนให้พวกเขาไปจับกุ้งแทนที่จะไปหางานเธอได้นอนคิดทั้งคืนว่าหลังจากนี้พวกเธอจะทำอะไร ลำพังจะให้น้องชายสามออกไปทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายมันไม่พอแน่ ๆ แม้จะมีเงินเก็บ แต่จะให้น้องชายรองเข้าไปหางานในเมืองสะใภ้รองก็ไม่ยอมเพราะห่วงร่างกายของสามี ซึ่งกัวเหม่ยอิงเห็นด้วยจะให้สะใภ้รองไปก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่เพราะหล่อนไม่ได้เรียน ไหนจะต้องทำงานบ้านและดูแลแม่สามีอีกส่วนกัวเหม่ยอิงเธอต้องติดตามดูบ้านตลอด และต้องดูลูกสาวไปด้วย แล้วจู่ ๆ การทำกุ้งแห้งก็ผุดขึ้นมาให้หัวของเธอ ปกติพวกเธอก็มีกุ้งแห้งไว้ทำอาหารให้แม่สามีอยู่แล้วและมีราคาแพง หากเธอจะทำขายโดยที่ไม่ต้องใช้คูปองซื้อ และมีราคาถูกลงนิดนึงย่อมมีคนสนใจและเรื่องนี้กัวเหม่ยอิงก็ได้คุยกันเมื่อเช้านี้ซึ่งทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นน้องชายรองที่อยากจะขัดเพราะตัวเขาก็เป็นทหารมาก่อน ซึ่งรู้ว่าเรื่องขายของนั้นมันทำไม่ได้