กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋อง
อาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง
“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย
สาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ
“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง
“ค่ะ”
เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของเธอป่วยใจเพราะพ่อสามีจากไป เหล่าลูกชายและสะใภ้ไม่ได้เอะใจเรื่องอาการป่วยเพราะคิดว่าพอผ่านช่วงนั้นไปเดี๋ยวแม่สามีก็ดีขึ้น
แต่ในเวลานั้นพี่ใหญ่หานหรือก็คือสามีของเธอ และน้องชายรองหานหมดวันลาจึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ ส่วนน้องชายสามหานนั้นเพิ่งจะขึ้นมัธยมต้นจึงไม่ค่อยได้มาหาผู้เป็นมารดา ส่วนสะใภ้ต่างต้องลงแปลงหน้า รู้ตัวอีกที่แม่สามีก็ล้มป่วยแล้ว
หากจะต้องรักษาจริง ๆ กัวเหม่ยอิงคิดว่าต้องใช้เวลาหลายปีและต้องใช้เงินมากพอสมควร เพราะอุปกรณ์การรักษาหรือความรู้ของที่นี่ยังไม่ได้พัฒนามาก ไม่เหมือนกับอนาคตที่บางโรค บางอาการก็ตรวจเจอแค่หนึ่งชั่วโมง
ตอนนี้พวกเธอทำได้เพียงบำรุงร่างกายของแม่สามีให้ดี อีกอย่างก็คือรอน้องชายคนรองของสามีกลับมา ถึงในตอนนี้เธอจะเหมือนหัวหน้าครอบครัวแค่ไหนแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าลูกชายคนโตต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว หากลูกชายคนโตเสียชีวิตก็ต้องเป็นหลานชายที่ต้องดูแล แต่กัวเหม่ยอิงมีเพียงลูกสาว
พวกเธอแยกบ้านออกจากบ้านใหญ่สกุลหานก็จริง แต่พวกเธอไม่ได้แยกบ้านกัน เพราะแบบนี้แล้วน้องชายรองของสามีจึงเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป
อีกอย่างเธอเป็นเพียงลูกสะใภ้จึงต้องรอความเห็นจากคนเป็นลูกชายของแม่สามีก่อน หากจะให้ทำการรักษา และไม่แน่ว่าบางทีแม่สามีอาจเดินไม่ได้อีกตลอดชีวิต ซึ่งมันเป็นเรื่องในอนาคต อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
กัวเหม่ยอิงเลือกซื้อของแห้งอีก 2-3 อย่างจึงไปดูเครื่องปรุงเพิ่ม เครื่องปรุงที่บ้านมีแทบจะทุกอย่างเพราะกัวเหม่ยอิงเอาออกจากตู้ในห้องนอน แต่แม้จะมีทุกอย่างมันก็มีแค่น้อยนิด
“อยากได้เหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่มองชั้นผลไม้
หล่อนเม้มปากก่อนจะส่ายหัว ในชีวิตนี้หล่อนเคยกินครั้งหนึ่งในวันที่สามีซื้อมาฝาก แม้จะมีผลเดียวแต่มันก็อร่อยมาก ๆ แต่ว่าราคาของมันก็ไม่ได้ถูก
มันสามารถซื้ออาหารได้มื้อหนึ่ง หล่อนบังเอิญเหลือบไปเห็นไม่คิดว่าพี่สะใภ้จะเห็นสายตาของหล่อน
แอปเปิล 1 ถุงใหญ่ พร้อมกับสาลี่อีก 1 ถุง ถูกกัวเหม่ยอิงยกมาถือเอาไว้แล้วเดินนำหน้าสะใภ้รองไปจ่ายเงิน ของในตะกร้าก็เยอะพอสมควร เธอไม่กล้าใช้น้องสะใภ้ตัวเองหอบทั้งหมดหรอก
“ทั้งหมด 68.9 หยวนค่ะ”
สิ้นเสียงพนักงานของสหกรณ์ผู้คนที่กำลังรอจ่ายเงินและเลือกซื้อของอยู่ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพียง เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้ง่าย ๆ ขนาดพนักงานของรัฐเงินเดือนยังเริ่มต้นที่ 20-35 หยวน ไหนจะหักค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนแล้วต้องออมเงินกี่เดือนถึงจะสามารถใช้จ่ายแบบนี้ได้? อีกอย่างจากการเฉลี่ยหลาย ๆ บ้านแล้ว ในหนึ่งเดือนพวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน หรือหากเป็นคนในหมู่บ้านที่ทำงานเก็บแต้มสมาชิกในบ้านพวกเขาเยอะแค่ไหนของยิ่งต้องประหยัดกว่านั้น รวม ๆ แล้ว 1 ปี พวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน
“นี่ค่ะ” กัวเหม่ยอิงยื่นทั้งธนบัตรทั้งเหรียญให้พนักงานพร้อมกับคูปองที่ต้องใช้
วันนี้เธอใช้เงินของแม่สามีเกือบครึ่งในการซื้อของเพราะจะไม่เป็นที่สงสัยของสะใภ้รอง แต่เธอก็จดจำนวนเงินพวกนี้ไว้ในกระดาษที่มีอยู่ในห้องไว้แล้ว
กัวเหม่ยอิงเรียกพี่ชายที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาช่วยขนของเนื่องจากไม่สามารถนำตะกร้าออกจากสหกรณ์ได้ และที่นี่ก็ไม่มีถุงให้เธอใส่ด้วยเช่นกันจึงต้องขนออกไป และคนหนึ่งก็ต้องเฝ้าของเอาไว้ ถ้าเธอขนคนเดียวกว่าจะขนครบน่าจะมืดเสียก่อน
“ซื้อครบแล้วหรือ” พี่ใหญ่กัวถาม
“ค่ะ/ค่ะ”
“งั้นเรากลับกันเลยไหม”
“กลับเลยก็ได้ค่ะ แต่แวะไปห้องพักของน้องชายสามทีนะคะ”
“ได้”
เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด ทันทีที่เธอให้สะใภ้รองอุ้มหลานสาวอย่างหานเผยหนิงลงจากเกวียนวัว คนในหมู่บ้านที่พักอยู่หน้าบ้านหรือจับกลุ่มคุยกันต่างหันมาสนใจ
จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้ เพียงแค่บ้านไหนขยับตัวบ้านข้าง ๆ ต่างก็รู้แล้ว อีกอย่างในตอนนี้บ้านสามสกุลหานมีหลานสาวคนเดียวแต่ตอนนี้มีแม่กัวอุ้มนั่งเล่นอยู่ลานบ้าน แต่สะใภ้รองที่ยังไม่มีลูกกลับอุ้มเด็กลงจากเกวียนวัว อีกทั้งยังมีลูกชายคนเล็กของบ้านหานอีก
‘เอาเกวียนวัวไปเทียบหน้าประตูแล้วขนของลง’ กัวเหม่ยอิงกระซิบน้องชายสาม
เพราะเธอแต่งออกจากบ้านกัวแล้วก็ถือว่าไม่ใช้ครอบครัวเดียวกัน
การที่จะให้พี่ใหญ่กัวขนของเข้าบ้านให้ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เธอทำแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้ใครเห็นของที่ซื้อมา เดี๋ยวบ้านใหญ่สกุลหานจะอยากได้ไปอีก และที่เธอไม่ขนของเข้าบ้านก็เพราะเธอต้องเผชิญหน้ากับคนในหมู่บ้านที่ต้องการจะเข้ามาสอด
“สะใภ้ใหญ่! นั่นเด็กที่ไหนน่ะ”
ก่อนที่จะมีใครเข้ามาในบ้านกัวเหม่ยอิงจึงสั่งให้สะใภ้รองนำหลานสาวและนำแม่กัวที่อุ้มลูกสาวของเธอเข้าไปในบ้าน ส่วนตัวเธอแล้วก็ทำการปิดประตูรั้วเอาไว้
‘ไม่ใช่ว่าลูกของเจ้าสามหรือ!’
‘จริงหรือ’
‘ไหนว่าเรียนมัธยมในเมือง’
‘ใช่’
‘หรือบ้านสามสกุลหานโกหก’
‘น้องชายสามเรียนเหรอ ฉันคิดว่าเขาทำงานในเมืองซะอีก’
‘ไม่รู้ ฉันไม่เห็นใครเห็นเขาไปเรียนนะ’
‘แล้วเด็กนั่นเป็นลูกใคร’
‘บ้านสามจะเรื่องเด็กนั่นเหรอ’
“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องตอบค่ะ” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเรียบ ลำพังเรื่องในครอบครัวก็ยังไม่ได้คุยกัน คนนอกกลับอยากรู้เรื่องราวภายในก่อนพวกเธอ
“หึ คงจะเป็นเรื่องร้ายแรงสินะ”
“ลูกน้องชายสามจริง ๆ เหรอ”
“เขายังไม่ได้แต่งเมียนะ”
“นั่นสิ”
“รบกวนไม่เสียงดังนะคะ พอดีพวกเราอยากอยู่เงียบ ๆ ” กัวเหม่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเธอแค่เหนื่อย
กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอกที่พยายามจะเปิดประตูจนรั้วไม้เริ่มหัก เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ห้องโถงที่ทุกคนนั่งรออยู่ยกเว้นแม่สามี
“แม่กับพี่ใหญ่กลับไปพักกันเถอะค่ะ ฉันรบกวนทั้งวันแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกผู้เป็นมารดาและพี่ชาย
“ได้ เดี๋ยวพี่จะกลับเลย” พี่ใหญ่กัวพยักหน้า เขาพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าว ๆ จากน้องสาวตอนไปรับน้องชายสามกับลูก เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรจึงทำได้แค่เงียบ ๆ
“มะ…แม่” แม่กัวพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มีเรื่องที่อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม
“เอาไว้เดี๋ยวฉันจะไปหานะคะ แต่วันนี้แม่กลับไปก่อนเถอะค่ะ อีกอย่างก็ขอบคุณนะคะที่มาดูแลเสี่ยวลู่ให้ค่ะ”
“อืม” แม่กัวพยักหน้าให้ลูกสาวแล้วเดินออกไป
“แอ้ แอ้”
“นายอุ้มลูกเข้าไปหาคุณแม่” กันเหม่ยอิงสั่งน้องชายสามี อันที่จริงก็อยากจะพาเข้าไปบอกเล่าเรื่องราว แต่กัวเหม่ยอิงก็อยากให้น้องชายสามเป็นคนบอกผู้เป็นแม่เอง อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเข้าไปทำให้น้องชายสามไม่กล้าพูด
“จะดีเหรอครับ”
“อืม กล้าทำก็ต้องกล้ารับ นายก็รู้จักนิสัยของแม่นายดี”
ก็เพราะรู้จักเขาถึงไม่อยากเข้าไป ไม่ใช่ว่ากลัวผู้เป็นแม่จะด่า แต่เขากลัวนางจะเป็นลม
กัวเหม่ยอิงส่ายหน้าตามหลังน้องชายสามีก่อนจะหันมาดูของที่ซื้อมา กัวเหม่ยอิงแบ่งของออกให้เหลืออย่างละชั่ง ของพวกนี้เธอจะเก็บไว้ในครัว ส่วนของที่เหลือเธอจะเก็บไว้ในห้องของเธอเพราะห้องของสะใภ้รองไม่มีตู้ และจะเป็นการรบกวนแม่สามีหากเอาของเข้าไปเก็บ ๆ
ส่วนห้องของน้องชายสามยิ่งไม่ได้เลย ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่น้องชายสามยังไม่ได้แต่งงานจึงไม่สมควรยิ่ง
เธอได้ยินเสียงภายในห้องของแม่สามีและเสียงตกใจของแม่สามีแต่เธอไม่ได้เข้าไปดู น้องชายสามเป็นคนผูกเรื่องราวนี้เขาก็ต้องเป็นคนแก้มันเอง
“เดี๋ยวแบ่งแอปเปิลกับสาลี่ไปให้บ้านกัวอย่างละ 5 ลูก” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่ช่วยแยกของ
ถุงหนึ่งบรรจุแอปเปิลกับสาลี่ถุงละ 12-15 ลูก และมันก็ผลใหญ่มาก กว่าจะกินหมดกัวเหม่ยอิงคิดว่าพวกเธอจะกินมันไม่ทัน และเธอก็คิดก่อนจะซื้อเอาไว้แล้วว่าจะแบ่งไปให้บ้านกัว ที่เธอไม่ได้เอาให้เลยก็เพราะต่อให้หาเหตุผลอะไรมาแย้งแม่กับพี่ชายของเธอก็ไม่ยอมเอาไป เอาไว้ดึก ๆ ค่อยให้น้องชายสามเอาไปส่งก็ได้
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันแยกไว้ให้” สะใภ้รองพยักหน้า หล่อนไม่ได้ห้ามพี่สะใภ้ว่าไม่ให้เอาให้บ้านกัว ถ้าพวกเธอไม่ได้บ้านกัวช่วย ในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรกินหรือเปล่า
“อืม เราไปทำกับข้าวกันเถอะ”
เช้าวันใหม่ของกัวเหม่ยอิงไม่ใช่เช้าวันที่สดใสมากนัก เมื่อคืนเรื่องที่เธอพาเด็กกับน้องชายสามกลับบ้านเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน จริง ๆ มันจะไม่ใช่อะไรเลยหากเธอไม่ได้พาเด็กกลับมาด้วย
“ขอโทษครับ” น้องชายสามก้มหน้าสำนึกผิด
“เฮ้อ ต่อให้เรื่องนี้เราไม่พูดก็ต้องมีคนพูดอยู่ดี” กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวอย่างง่วงนอน เมื่อคืนเธอแทบจะไม่ได้นอนเพราะลูกสาวของเธอตัวร้อนจึงต้องดูอาการทั้งคืน แต่ไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะมีคนให้ไปพบ
และใช่ บ้านใหญ่สกุลหานพอรู้เรื่องนี้ก็รีบให้คนมาเรียกไปพบ คงจะกลัวว่าพวกนางจะทำให้เสียหน้า แต่มาเรียกก็เช้าเกินไป กับข้าวมื้อเช้าจึงเป็นสะใภ้รองทำ ส่วนเธอก็นั่งหาวอยู่บนโต๊ะกินข้าว พร้อมกับน้องชายสามีที่นั่งสำนึกผิด
“แต่เราแยกบ้านออกมาแล้ว” น้องชายสามพูดอย่างไม่พอใจ ถึงวันที่เขาได้แยกบ้านออกมาเขาจะเด็ก แต่ก็รู้หลาย ๆ เรื่อง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่บ้านถูกรังแก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทุกคนทำเพียงบอกให้เขาเรียนไม่ต้องยุ่งเรื่องภายในบ้าน
“ใช่ เราแยกบ้านแล้ว” กัวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปาก
“?”
“เอาเถอะ นายจะกลับไปเรียนอีกสี่วัน คิดไว้ยังว่าจะทำยังไง” กัวเหม่ยอิงถาม ถึงเมื่อคืนเธอจะได้ยินคำที่แม่สามีพูดแต่เธอก็รอให้น้องสามีเป็นคนมาบอก
“แม่บอกให้ลองถามพี่สะใภ้ครับ”
“อืม นายก็ลองถามหล่อนดู ฉันไม่มีเวลาเลี้ยงให้หรอกนะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงนั่งคุยกับน้องชายสามเกือบครึ่งชั่วโมงสะใภ้รองก็เอากับข้าวออกมาให้ ส่วนของแม่สามีสะใภ้รองทำไปให้ตั้งแต่เช้าพร้อมกับแอบเปิลหั่นเต๋าครึ่งลูก พวกเธอต่างรีบกินมื้อเช้าเพราะต้องไปบ้านใหญ่สกุลหานที่ส่งคนมาตามตั้งแต่เช้า
“ไม่ได้!”เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อนสำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชายในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
ช่วงเช้ามืดก่อนฟ้าสางกัวเหม่ยอิงตื่นขึ้นมานึ่งซาลาเปา เพราะเธอทำไส้ไว้เมื่อคืนนี้พอตื่นมาจึงขึ้นรูปซาลาเปาแล้วนึ่งได้เลย ส่วนกับข้าวแม่สามีนั้นเธอจะทำทีหลังสุดเพราะใช้เวลาทำไม่นานหลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชในครั้งนี้เสร็จ กัวเหม่ยอิงมีความคิดที่จะเอาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง โดยที่ไก่ในเล้าที่มีคงต้องฆ่าแล้วตากแห้งเอาไว้ ยังไงไก่พวกนี้ก็อยู่มาหลายปีแล้ว และโชคดีที่พอเธอให้กินอาหารดี ๆ มันก็ออกให้วันละหลายฟอง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็คงไม่เหมือนกับไก่ที่ยังสาวอยู่“ผัดฝักทองใส่ไข่ด้วยดีไหมคะ เมื่อวานพี่ใหญ่กัวเอามาให้” สะใภ้รองที่กำลังหั่นผักหันมาถามกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยผัดฟักทอง ผัดเยอะหน่อยนะ มื้อกลางวันฉันจะเอาไปให้บ้านกัว”แม้จะเป็นเช้ามืดแต่ตอนนี้คนบ้านกัวคงจะลงมือถอนหญ้ากันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเช้าออกไปทำงาน ยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวทุกคนยิ่งตื่นเช้ากันมาก และยิ่งถอนหญ้าใกล้บ้านกัวพวกเข้าจึงรีบเข้าไปถอน ซึ่งกว่าเธอจะไปถึงทุกคนคงจะถอนได้เยอะแล้ว“ผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานล่ะคะ” สะใภ้รองไม่ใช่คนโง่ การที่พี่สะใภ้ของหล่อนซื้อผลไม
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่
กัวเหม่ยอิงกำลังหาบ้าน เธอให้สามีพาขับรถวนหาแถว ๆ บ้านเช่า บ้านต้องอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของลูกสาวและตลาดที่ขายเสื้อ เพื่อความสะดวกเวลามีปัญหาหรือไปทำงานในร้านจะไม่ได้เหนื่อยมากบ้านที่เช่าอยู่ตอนนี้มันมีวันที่หมดสัญญา หากเธอไม่เช่าต่อก็แค่ย้ายออก แต่ถ้าจะเช่าต่อก็แค่ทำสัญญาใหม่ และหากสองพี่น้องหลี่กับเด็กแฝดขึ้นมาอยู่ด้วย ห้องที่มีในตอนนี้มันไม่พอ หรือถ้าได้บ้านจริง ๆ กัวเหม่ยอิงก็จะพาไปอยู่ที่บ้าน ส่วนบ้านเช่าหลังนี้ก็ให้น้องชายสามเช่าต่อได้ แต่ถ้าเขาไม่เช่าต่อก็คืนกุญแจโจวเฟินไปกัวเหม่ยอิงมีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อบ้านหลังขนาดใหญ่ในปักกิ่ง แต่เงินบางส่วนเก็บไว้ให้ลูกสาว จึงต้องหาบ้านขนาดกลางที่มีห้าถึงหกห้องนอน แต่ถ้าห้องไม่พอและมีพื้นที่อีก กัวเหม่ยอิงก็ยินดีที่จะสร้างห้องเพิ่ม“บ้านหลังนี้เขาขายเหรอคะ” กัวเหม่ยอิงลงจากรถไปถามหญิงชราที่นั่งอยู่หน้าบ้าน แต่ตรงข้ามบ้านนางเป็นบ้านขนาดกลางที่กัวเหม่ยอิงชอบตัวบ้านมีลักษณะที่แปลก“ใช่ ๆ บ้านนี้เขาขาย จะเข้ามาดูเหรอ” คุณยายเอ่ยถาม“ฉันอยากได้บ้านน่ะค่ะเลยแวะมาดู” กัวเหม่ยอิงยิ้มให้นาง จริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนนั่งอยู่หน้าบ้านเพราะเป็นเวลากลา
ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านหานกับบ้านเจี๋ยตอนนี้เริ่มสนิทกันแล้ว เพราะทุก ๆ วันหยุดของเด็ก ๆ ไม่กัวเหม่ยอิงก็จางลี่ฮัวที่จะชวนไปกินอาหารมื้อเย็น ไม่ก็ชวนกันไปสวนสาธารณะอีกอย่างไปไหนด้วยกันก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง หานหรงเจ๋อกับเจี๋ยฮงผู้เป็นสามีของจางลี่ฮัวก็เรียกได้ว่าสนิทกัน เพราะบางทีภรรยากับเด็ก ๆ พากันไปทำกิจกรรม สามีทั้งสองจึงต้องเฝ้าของไปด้วยกันจางลี่ฮัวเป็นแม่บ้านที่ต้องเลี้ยงลูก หล่อนจึงว่างเวลาลูกไปเรียนทั้งหมด ส่วนเจี๋ยฮงผู้เป็นสามีเห็นว่าทำงานในโรงงานของคนรู้จัก แต่มีตำแหน่งใหญ่โตที่สามารถเลี้ยงสี่แม่ลูกให้สบายได้ร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ทั้งสามสาขาทำกำไรในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่าแสนหยวน กัวเหม่ยอิงจึงไม่ค่อยเป็นห่วง เวลาว่างก็จะออกแบบลวดลายเสื้อสั่งโรงงาน แต่บางวันก็ชวนจางลี่ฮัวออกไปหาอะไรทำและเพราะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา กัวเหม่ยอิงรู้สึกทำงานหนักมากเกินไปเลยให้แค่หานหรงเจ๋อแวะเข้าไปดูร้าน แต่วันนี้มีเรื่องราวที่น่าตกใจเหอลี่คบกับน้องชายสาม! จริง ๆ เรื่องนี้จะไม่แดงออกมาหากหานหรงเจ๋อไม่เข้าไปเห็นแล้วมาบอกเธอ เห็นว่าน้องชายสามอยากให้เหอลี่มาเปิดตัวกับเธอแต่หล่อนปฏิเสธ เพราะหล่อ
‘คุณลี่มาถามหาพี่ถึงบ้านเลยค่ะ จริง ๆ เขาก็มาสามวันติดแล้ว เลยต้องโทรบอก’เสียงปลายสายทำให้กัวเหม่ยอิงที่นั่งออกแบบลายเสื้อชะงัก มือที่กำลังจับปากกาต้องวางลง แล้วทวนคำบอกเล่าอีกรอบ“คุณลี่มาหาที่บ้าน?”‘ใช่ค่ะ เขาบอกอยากคุยกับพี่ แต่ที่บ้านก็บอกไปแล้วว่าพี่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่เราก็รับผลไม้มาจากเขา คุณแม่กลัวว่าจะมีปัญหา’ “เราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน แล้วคุณลี่ก็แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ เธอบอกคนอื่นว่าไม่ต้องกลัว” กัวเหม่ยอิงบอกเธอไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่กลับบ้านไปสองสัปดาห์ ทำไมเขาไม่มาหาหรือหาทางติดต่อเลยทั้ง ๆ ที่วันนั้นพนักงานมาดักรอเธอ แต่พอเธอกลับมาปักกิ่งกลับไปถามหาเธอซะงั้น อีกอย่างตอนนี้เขาคงจะแต่งงานไปแล้ว‘พี่จะไม่คุยกับเขาจริง ๆ เหรอ’“เราคุยกันแล้ว ฉันมีสามีส่วนเขาคงจะมีภรรยาแล้วด้วย”‘พี่รู้ไหม เขาล่มงานแต่งที่ทางครอบครัวหาให้ ฉันได้ยินมาจากสามีเพราะเขามีเพื่อนเป็นญาติของฝ่ายหญิง ทางนั้นเล่าให้ฟังว่าคุณลี่ไม่เต็มใจจะแต่งตั้งแต่แรกแล้ว'แต่เพราะคุณลี่ยังไม่แต่งงาน งานแต่งที่ว่าจึงต้องเกิดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นคุณลี่ก็กำลังตามจีบพี่สะใภ้ขอ งหล่อนอยู่ แล้วพอถูกพ