กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก
“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา
“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่า
เพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมา
ส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ
“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย
“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไป
กัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล
“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่อพวกเธอเดินถึงหน้าโรงเรียนมัธยมในอำเภอ
“ไปก็ได้ เดือนนี้เขายังไม่ได้กลับบ้านเลย” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
หานหรงอี้หรือน้องชายสามเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านสามสกุลหาน ปีนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับมัธยมตอนปลายปีสุดท้าย เขาเรียนและพักอยู่ในเภอเพราะแม่หานไม่อยากให้ลูกชายตื่นเช้าและกลับบ้านดึกมันจะเหนื่อย จึงตัดปัญหาให้พักในตัวอำเภอแม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
น้องชายสามรับรู้ว่าพี่ใหญ่เสียแล้วผ่านพี่ใหญ่กัวที่อาสามาบอกให้ แต่เนื่องจากช่วงนี้จะมีการสอบจึงไม่สามารถกลับบ้านได้ และเขาก็ได้เงินใช้จ่ายในอำเภอเดือนละสิบหยวน เป็นเงินจำนวนมากสำหรับคนในหมู่บ้านธรรมดาอย่างพวกเธอ แต่มันเป็นเงินที่คนในเมืองใช้ทุกเดือน
โรงเรียนมัธยมในอำเภอไม่ใช่โรงเรียนประจำ ห้องพักสำหรับนักเรียนจึงต้องหาเช่าเอาเอง แต่ห้องพักของน้องชายสามอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน พวกเธอจึงสามารถเดินถึงเพียงไม่กี่นาที
‘แอ้ แอ้ ฮึก แงงงง’
กัวเหม่ยอิงกำลังง้างมือจะเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเด็กร้อง เธอมองเลขห้องสลับกับมองหน้าน้องสะใภ้ก่อนจะพากันตกใจ
ในความทรงจำที่มี น้องชายสามยังไม่แต่งภรรยาเพราะเรียนยังไม่จบ และพักอยู่คนเดียวไม่ได้พักรวมกับใคร ทำไมถึงมีเสียงเด็กร้องได้?
‘โอ๋ ๆ เสี่ยวหนิงไม่ร้องนะ’ เสียงข้างในดังตะกุกตะกักพร้อมกับน้ำเสียงร้องรนของผู้ชายวัยแตกหนุ่ม
‘ฮึก แงง’
‘โอ๊ย เสียงเด็กเวรนี่ร้องอีกแล้ว!’
‘ฉันจะไม่ทนแล้วนะคะ!’
เสียงดังออกจากห้องข้าง ๆ พร้อมกับการเปิดประตูออกมายิ่งทำให้กัวเหม่ยอิงตกใจ ผู้ชายตรงหน้าของเธอมีร่างที่สูงใหญ่ข้างหลังยังมีผู้หญิงที่ทำหน้าไม่พอใจ
“มองอะไร!” หล่อนรีบเดินมาขวางกัวเหม่ยอิงที่มองสามีของหล่อน
ด้วยความที่ห้องพักมีหลายห้องและอยู่ติดกันจึงไม่แปลกเมื่อมีเสียงดังแล้วทุกคนจะออกมาดู แต่สำหรับที่นี่พวกเขาเริ่มไม่พอใจเมื่อมีเสียงเด็กร้อง ห้องพักที่นี่ส่วนมากจะเป็นนักเรียนที่มาเช่าอาศัยและเป็นคนวัยทำงาน ทุกคนจึงต้องการที่จะพักผ่อน
“เอ่อ…นี่ใช่ห้องของหานหรงอี้หรือเปล่าคะ” กัวเหม่ยอิงชี้ประตูห้องที่เธอยืนอยู่
“ใช่”
“หล่อนเป็นใคร เป็นเมียมันเหรอ ทำไมต้องเอาเด็กเวรมาไว้ที่นี่ด้วย!” หล่อนบ่นออกมาด้วยความรำคาญ หล่อนพักอยู่ที่นี่มาหลายเดือน ทุกวันมีเสียงโวกเวกโวยวายก็รำคาญจะแย่แล้ว สัปดาห์นี้ต้องมาทนฟังเสียงเด็กร้อง
“ฉันเป็นพี่สะใภ้ของเขาค่ะ ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้” กัวเหม่ยอิงที่ประเมินสถานการณ์แล้วรีบก้มหัวขอโทษคนที่ออกมาดู
“ดี!” หล่อนว่าก่อนจะดึงแขนสามีเข้าห้องและปิดประตูเสียงดัง
“เธอเป็นพี่สะใภ้ของเขาใช่ไหม ช่วยเอาเด็กออกไปที พวกเราต้องการพักผ่อน”
“ใช่ ฉันไม่รู้ว่าน้องชายหานจะเอาเด็กมาเลี้ยงทำไม แต่เสียงของหล่อนทำพวกเรานอนไม่หลับ”
“เอาเด็กออกไปด้วย ก่อนที่ฉันจะแจ้งเจ้าของห้อง”
“ค่ะ”
ก๊อก! ก๊อก!
“น้องชายสามเปิดประตูที”
กัวเหม่ยอิงหันไปเคาะประตูหลังทุกคนแยกย้ายกันและเสียงเด็กในห้องเงียบลง ใบหน้าของเธอยังมีสีหน้ากังวลปรากฏอยู่
“พะ…พี่สะใภ้!”
คนที่เดินมาเปิดประตูมีสีหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นเหล่าพี่สะใภ้ยืนอยู่หน้าประตู
กัวเหม่ยอิงมองลอดประตูเข้าไปข้างในเห็นเด็กที่น่าจะอายุเท่าเสี่ยวลู่นอนอยู่ เธอถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่แคบ ที่บ้านก็ว่าไม่น่าอยู่แล้ว ที่นี่ยิ่งไม่น่าอยู่มากกว่า กลิ่นอับชื้นตีขึ้นจนเกือบจะอ้วก กัวเหม่ยอิงจึงยกแขนเสื้อขึนมาปิดแล้วเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาดู
“เด็กคนนี้คือใคร” กัวเหม่ยอิงถามคนที่ยืนหลบสายตา “ไม่ได้ยินที่ถามหรือยังไง!”
“ละ…ลูก ผ ผมเอง” น้องชายสามหลับตาด้วยความกลัว
“เฮ้อ เรื่องราวมันเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ
เธอส่งเด็กไปให้สะใภ้รองอุ้มส่วนตัวเองก็หันมาถามน้องชายสามที่ไม่กล้าพูดอะไร ได้ความว่าปีที่แล้วมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่และเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน เขาดื่มเหล้ากับสหายภาพก็ตัดไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้นอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับผิดชอบเพราะหล่อนไม่ต้องการ
แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมาหล่อนก็มาบอกว่าท้องกับเขาและต้องการให้เขารับผิดชอบ หล่อนเป็นลูกสาวของหนึ่งในครูที่โรงเรียน หล่อนจบไปได้หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ทำงานจึงมางานเลี้ยงของโรงเรียน ที่บ้านของหล่อนไม่มีใครต้องการเด็กเพราะอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนในเมือง
ทว่าหญิงสาวกลับดื้อรั้นที่จะเอาเด็กไว้จึงมีปัญหากับคนในครอบครัว สุดท้ายหล่อนก็ต้องย้ายมาอยู่กับเขา และที่เขาไม่ได้บอกคนในครอบครัวก็เพราะยังไม่กล้าสู้หน้าใคร จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมาหล่อนได้คลอดลูกสาว
ยิ่งทำให้บ้านของหล่อนไม่พอใจ มีลูกก่อนแต่งงานก็ว่าเสียหายมากแล้ว ยังจะคลอดเด็กหญิงไร้ประโยชน์มาอีก
หล่อนกับลูกกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมเพราะต้องอยู่ไฟ แม่ของหล่อนยังมีเยื่อใยอยู่บ้างจึงเป็นห่วงหล่อน แต่พอหมดช่วงอยู่ไฟหล่อนก็มาหาเขาประจำ จนกระทั่งเกิดข่าวร้ายกับพี่ชาย วันนั้นเขาจำได้ดี พี่ชายของพี่สะใภ้มาแจ้งว่าพี่ใหญ่พลีชีพไปแล้ว และพี่รองบาดเจ็บหนักน่าจะต้องออกจากทหาร
วันนั้นเป็นวันที่เขาเสียใจแต่ยิ่งเสียใจหนักก็หล่อนเอาลูกสาวมาให้เขาเลี้ยง พร้อมกับบอกว่าอย่าติดต่อพวกหล่อนถ้ายังอยากจะเรียนให้จบอยู่ ซึ่งแม้พ่อของหล่อนจะเป็นเพียงคุณครู แต่ก็มีผลต่อการจบของเขาหากเขาไม่เชื่อฟัง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ยังจะทำเหมือนเรื่องมันนิดเดียว!” กัวเหม่ยอิงโมโห
ยอมมีปัญหากับคนที่บ้านเพราะอยากจะเก็บเด็กเอาไว้ แต่พอน้องชายสามมีเรื่องกลับทิ้งเด็กไว้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะหล่อนต้องการจะมาเป็นน้องสะใภ้ของพวกเธอหรือจึงทำแบบนี้? ในโรงเรียนใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าบ้านของนักเรียนหานเป็นทหารหมดบ้าน
“กะ…ก็”
“ไหนบอกช่วงนี้มีสอบ ไม่ใช่ว่าต้องเลี้ยงเด็กแล้วไม่ไปสอบนะ!”
“สอบ! ผะ…ผมไปสอบอยู่นะ” น้องชายสามพยักหน้ารัว ๆ
“แล้วนายเอาเวลาไหนไปเรียน”
“สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของการสอบ ใครจะสอบวันไหนเวลาไหนก็ต้องไปแจ้งครู ผมเข้าสอบสลับกับให้สหายช่วยเลี้ยงเสี่ยวหนิงให้” น้องชายสามอธิบาย ยังดีที่เขามีสหายให้ปรึกษาและสหายของเขาก็ช่วยเลี้ยงลูกสาวตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่
“สอบเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว”
“มีเรียนอีกวันไหน” เพราะน้องชายสามเป็นคนบอกว่าเป็นสัปดาห์ของการสอบ คุณครูทุกคนในโรงเรียนต่างก็อยากให้เด็กตัวเองสอบผ่านมีคะแนนสูง ๆ การเรียนจึงละเลยไป และแทนที่ด้วยการติวข้อสอบ ส่วนใครที่สอบเสร็จก็เจอกันวันเรียนได้เลย แต่ส่วนมากทุกคนจะเลือกสอบวันละหนึ่งวิชาแต่ไม่เกินสามวิชา เพราะการสอบสำคัญจึงไม่ต้องการจะกดดันตัวเองมาก
“สัปดาห์หน้าครับ”
เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด หลายปีก่อนเธอก็สอบแบบนี้โดยสอบเพียงวันละสองวิชาเท่านั้น
“เก็บของของหล่อนให้หมด สัปดาห์นี้นายต้องกลับบ้าน”
น้องชายสามสอบเสร็จก็จริงแต่เขายังต้องไปเรียนต่อ ในวันที่ต้องไปเรียนใครจะดูแลลูกสาวให้เขากันล่ะ
จะหวังพึ่งสหายก็คงไม่ได้เพราะเขาก็เรียนเช่นกัน จึงมีวิธีเดียวก็คือต้องเอาเด็กกลับบ้านด้วย
“ตะ…แต่”
“ไม่มีแต่ ฉันกับพี่สะใภ้รองของนายจะไปซื้อของ ระหว่างที่พวกฉันจะกลับมารับนายต้องเก็บของ เอาชุดนายไปด้วย ไปอยู่บ้านสักห้าวันแล้วค่อยกลับ” กัวเหม่ยอิงว่า
กัวเหม่ยอิงเดินออกจากห้องพักของน้องชายสามเพื่อกลับไปซื้อของที่สหกรณ์ ข้างหลังก็มีสะใภ้รองตามออกมา ตอนแรกเธอจะให้สะใภ้รองรออยู่ที่นี่ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะถึงจะเป็นพี่สะใภ้กับน้องเขย แต่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายกับผู้หญิง หรือแม้แต่สามีภรรยายังต้องถือใบสมรสไปไหนมาไหนด้วยหากเดินทางไกล แม้แต่เดินจับมือก็ยังไม่ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่จะทำยังไงคะ” สะใภ้รองคิดไม่ตก
การที่น้องชายสามของสามีมีลูกก่อนที่จะแต่งงานก็ว่าผิดประเพณีแล้ว การที่ไม่มีแม่ของลูกยิ่งแย่ไปใหญ่ เด็กคนนี้ควรจะมีพ่อแม่คอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่ต้องรอฟังเสียงนินทาของคนในหมู่บ้าน
“เราค่อยไปคุยที่บ้านอีกที” กัวเหม่ยอิงตอบ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เธอไม่สามารถตัดสินเองได้ จึงควรจะให้แม่สามีเป็นผู้ตัดสิน อีกอย่างเด็กคนนี้พวกเธอคงจะต้องเลี้ยงเอาไว้
กัวเหม่ยอิงเดินเข้าสหกรณ์ประจำอำเภอ ภายในสหกรณ์เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ของคนในหมู่บ้านที่นำมาขายให้กับกองผลิตอำเภอที่จะนำมาวางจำหน่ายที่สหกรณ์ สินค้าบางส่วนก็เป็นสินค้าต่างมณฑล
สิ่งแรกที่กัวเหม่ยอิงต้องการนั้นก็คือนมผงสำหรับเด็กแรกเกิด ตอนแรกเธอคิดที่จะซื้อไปเพียงพอสำหรับกินหนึ่งสัปดาห์
วันหลังค่อยมาซื้อใหม่จะได้ไม่เป็นที่จับตาของคนในหมู่บ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะมีเด็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“กระป๋องละ 5 หยวนเลยเหรอ” กัวเหม่ยอิงอุทานเบา ๆ นมผงพวกนี้นอกจากต้องใช้เงินแล้วยังต้องใช้คูปองอีก
“ถ้านมผงหมดล็อตนี้ทางสหกรณ์จะเอามาอีกทีคือสิ้นเดือนเลยนะคะ” พนักงานของสหกรณ์เดินเข้ามาบอกกัวเหม่ยอิงที่ลังเลจะซื้อ
วันนี้เพิ่งจะกลางเดือน แบบนี้แล้วหากเธอไม่ซื้อนมผงไปตุนเอาไว้ เธอก็จะไม่สามารถหาซื้อนมผงได้อีก จนกว่าจะขึ้นเดือนใหม่
“ถ้าหมดไม่ใช่ว่าต้องสั่งมาเพิ่มเหรอคะ” กัวเหม่ยอิงสงสัย เพราะนมผงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทางสหกรณ์กลับบอกว่าต้องรอหากต้องการจะมาซื้อ
“นมผงพวกนี้เราสั่งมาจากปักกิ่งค่ะ มันจึงต้องใช้เวลาในการขนส่ง และที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครซื้อนมผงกันหรอกน่ะค่ะ” ค่านมผงทำให้พวกหล่อนได้กินข้าวหลายมื้อ พนักงานในโรงงานหรือร้านต่าง ๆ จึงไม่ค่อยมีใครจะซื้อนมผงให้ลูก ส่วนมากถ้าไม่ให้กินน้ำนมตัวเองก็จะกินน้ำข้าวแทน
และนมผงพวกนี้ก็อยู่มาเกือบจะสองเดือนแล้ว เหลืออีก 10 กระปุกจึงจะหมดในล็อตนี้ หล่อนที่เห็นคนในหมู่บ้านเข้ามาซื้อจึงรีบแนะนำ
“ขอบคุณค่ะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงมองกระป๋องนมผงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกใส่ตะกร้าทั้ง 10 กระป๋อง แม้จะต้องใช้เงินเยอะมากแต่กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจ เธอกลัวเด็กจะขาดสารอาหารมากกว่า
“เธออยากได้อะไรก็ไปเลือกเอาเถอะ” กัวเหม่ยอิงบอกน้องสะใภ้ที่ทำตัวเหมือนคนติดตามของเธอ
“ฉันไม่ต้องการจะซื้ออะไรค่ะ” หล่อนส่ายหัวปฎิเสธ
“ตามใจก็แล้วกัน”
กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋องอาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยสาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง“ค่ะ”เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของ
“ไม่ได้!”เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อนสำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชายในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
“กรี๊ด”“พี่เสี่ยวลู่!”“หลิงเฟยยย”“ช่วยด้วย!”“ฮ่า ฮ่า”กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ในรอบหลายเดือนที่สาว ๆ ได้กลับมาเจอกันยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนเดิมหานหลินเฟยกับหานหลิงเฟยปิดเทอมได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งก็เพราะทั้งสองกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อน ค่อยขึ้นมาหาผู้เป็นป้าที่ปักกิ่งแต่น้องชายคนเล็กไม่ได้มาด้วยกัวเหม่ยอิงที่เห็นว่าเด็ก ๆ ได้กลับมาเจอกันในรอบหลายเดือนจึงชวนพี่น้องบ้านหลี่ บ้านสามของน้องชายสามมากินข้าวมื้อเย็นนอกบ้านนอกบ้านก็คือนอกบ้านจริง ๆ บริเวณหน้าบ้านของกัวเหม่ยอิงนอกจากจอดรถไว้แล้วก็ยังมีที่ให้นั่งได้อีก และแต่ก่อนเด็ก ๆ เรียนอยู่ในปักกิ่งก็จะนั่งกินข้าวด้านนอกกันเพราะคนเยอะ ซึ่งทุกคนก็คุ้นเคยกันดีวันนี้กัวเหม่ยอิงลงมือทำกับข้าวมื้อเย็น ทั้งเคาหยก ไข่ตุ๋น ต้มยำปลา ไก่ทอด สามชั้นทอดเกลือ หมูต้มสาหร่าย และของหวานอีกหลายอย่าง เป็นการลงครัวในรอบเดือนด้วยซ้ำเพราะทุกวันนี้หานเมิ่งลู่ลูกสาวคนเดียวของเธอห้ามไม่ให้กัวเหม่ยอิงทำกับข้าว หรือทำงานบ้านเพราะหล่อนจะทำเอง แต่กว่าจะเลิกงานในแต่ละวันกัวเหม่ยอิงทำงานบ้านรอแล้ว“เล่นกันเป็นเด็ก ๆ เลย” เหอลี่
ในระแวกตลาดประจำกรุงปักกิ่งใคร ๆ ก็รู้จักบ้านของคุณนายหานที่มีลูกสาวแสนสวยกับหลาน ๆ ที่สวยไม่แพ้กัน ยิ่งปีนี้พากันเรียนจบถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศแล้วต้องบอกว่านอกจากภูมิใจลูกสาวแล้วกัวเหม่ยอิงก็ภูมิใจหลาน ๆ ด้วย เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย ตอนนี้โตพอจะเลี้ยงเธอได้กันหมดแล้ว“คุณนายแม่”“หื้ม”กัวเหม่ยอิงลูบหัวลูกสาวที่พุ่งเข้ามากอด เธอรู้ว่าลูกสาวเครียดเพราะช่วงนี้หล่อนเข้าไปเรียนรู้งานในร้าน แม้จะมีผู้เป็นแม่คอยช่วยเหลือแต่ก็เครียดอยู่ดี เสี่ยวลู่บอกที่ผ่านมาคนเป็นแม่เก่งมาก จากที่มีร้านเล็ก ๆ ตอนนี้ขยายร้านใหญ่มากร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่มีมากถึงสิบสาขา สาขาหลักและสาขาที่สามตั้งอยู่มณฑลบ้านเกิด สาขารอง สาขาสี่ และสาขาห้า กระจายอยู่ในปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ห่างกันมาก เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวลูกสาวจะไปมาร้านลำบากสาขาที่หกและสาขาที่เก้าตั้งอยู่ในมหานครฉงชิ่ง สาขาที่เจ็ดและสาขาที่แปดตั้งอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ และสาขาที่สิบตั้งอยู่ในมหานครเทียนสินยังไม่รวมกับพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาขอซื้อเสื้อไปขายต่ออีก หลัง ๆ มานี้กัวเหม่ยอิงให้สั่งเป็นรอบ ๆ จะได้ตัดแยกกับที่เอามาขายในร้าน“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะ
หลังจากเสร็จงานของย่าหานกัวเหม่ยอิงก็พาสามีกลับปักกิ่งทันที เพราะเป็นห่วงเด็ก ๆ นี่ก็ทิ้งมากันหลายวันแล้วและเป็นไปตามที่สะใภ้รองบอกจริง ๆ แม่หานไม่ยอมไปปักกิ่งด้วย หลานก็เป็นห่วง แต่ห่วงลูกชายคนกลางที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านคนเดียวกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปด้วย ให้สะใภ้รองไปช่วยงานสักเดือนสองเดือนก็จะให้กลับมาอยู่ที่บ้านจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยงานหรอก แค่ช่วยอยู่กับเด็ก ๆ ระหว่างที่กัวเหม่ยอิงกับหานหรงเจ๋อไปทำธุระกันก็พอ ยิ่งช่วงนี้มีการติดประกาศขายที่ดิน ขายบ้าน ขายตึก กัวเหม่ยอิงก็อยากซื้อเก็บไว้ ถ้าไม่ใช้ค่อยขายต่อหรือให้คนอื่นเช่าแทนกัวเหม่ยอิงคิดว่าตัวเองจะทำงานได้อีกไม่เกินสามสิบปี ระหว่างที่สามารถทำงานได้เธอจึงรีบทำ ยิ่งพื้นที่ทำเลทองในอนาคตกัวเหม่ยอิงก็ต้องรีบซื้อเก็บไว้ เพราะบางผืนสามารถขายต่อในอนาคตได้มากกว่าเดิมหลานพันหยวน“พี่จะทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอคะ” สะใภ้รองถามกัวเหม่ยอิงที่ล้างผลไม้อยู่ทั้งสี่คน กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ สะใภ้รอง และน้องชายสามพึ่งมาถึงบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว กัวเหม่ยอิงเลยปล่อยให้ไปพักกัน แต่ถ้าถึงเวลาเด็ก
กัวเหม่ยอิงมองคนในบ้านใหญ่ที่ร้องห่มร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาตั้งแต่ที่เธอ หานหรงเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้วแวะมาดูย่าหาน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนในบ้านใหญ่ร้องไห้มีน้ำตาบ้าง และย่าหานยังไม่ถึงแก่กรรมแต่บ้านใหญ่กลับทำเหมือนย่าหานถึงแก่กรรมแล้ว“ทำไมเขาร้องไห้ไม่มีน้ำตาเลยล่ะคะ” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามสามีด้วยความอยากรู้ แต่จริง ๆ ก็คือจะบอกว่าพวกเขาแสดงไม่เนียนกันเลยหานหรงเจ๋อส่ายหน้าเพราะไม่มีคำตอบ แค่ตอนนี้เขาก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว มีที่ไหนบ้างที่คนป่วยไม่ไหวแล้วแต่เอาออกมานอนกลางบ้าน ทั้งยังฉุนไปด้วยกลิ่นฉี่และสิ่งปฏิกูลอีก นอกจากกลิ่นแล้วยังไม่ทำความสะอาดอีก“จะ..เจ้าใหญ่ แค่ก ๆ ละ…หลาน มารับ…พี่ ชะ ชาย นะ…น้อง ชาย ไป…ทะ ทำงาน ดะ…ด้วย ใช่…มะ ไหม แค่ก ๆ ”กัวเหม่ยอิงหันขวับทันที แค่ตอนนี้ตัวเองก็ยังเอาชีวิตจะไม่รอดยังจะมาห่วงหลานจากบ้านใหญ่แต่มาทำให้หลานอีกบ้านหนักใจอีก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวจะกระอักเลือดซะก่อน“บ้านใหญ่บอกย่าป่วยครับ ผมเลยลงมาดู แต่มานานไม่ได้” หานหรงเจ๋อบอกยังดีที่น้องชายสามทำงานในโรงงานของคนรู้จักจึงลางานมาได้ แต่ก็แลกกับการต้องหาคนไปทำงานแทนระหว่างที่ไม่อยู่ ซึ่งโชคดีที
ความสำเร็จของลูกสาวถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้กัวเหม่ยอิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ แค่ไม่กี่ปีลูกสาวของเธอก็จบในระดับชั้นประถมแล้ว และตอนนี้ยังเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าวันนี้มันเร็วมาก เหมือนเมื่อวานเด็กคนนี้ยังร้องไห้ข้าง ๆ เธออยู่ แต่จริง ๆ มันผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วปีนี้เสี่ยวลู่อายุสิบสามแล้วแต่เสี่ยวหนิงยังสิบสองย่างสิบสามอยู่ และเด็กแฝดตอนนี้ก็สิบขวบกันแล้ว ส่วนหลานชายคนเล็กก็เพิ่งจะเจ็ดขวบและกัวเหม่ยอิงก็ให้สามีไปรับเขามาเรียนในปักกิ่งแล้วด้วยหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวเรียนจบโรงเรียนภาคค่ำสาขาบัญชีเมื่อสามปีก่อน ทั้งสองมีงานที่มั่นคงแล้วนั้นก็คืองานในร้านเลยขอออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกันสองคน ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็อนุญาต ที่บ้านเลยมีแค่กัวเหม่ยอิง หานหรงเจ๋อ เสี่ยวหนิง หานหลินเฟย หานหลิงเฟยและหานหลงเฟย แต่พอมีหลานชายคนเล็กมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หลี่เวยเวยกลับมาช่วยในบ้าน บางวันก็ให้น้องชายสามมารับเด็ก ๆ ไปนอนด้วยน้องชายสามเรียนจบเศรษฐศาสตร์สาขาวิชาการเงิน ตอนนี้ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ เงินเดือนยังไม่มั่นคงเพราะเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีเงินที่สามารถเลี้ยงครอ
การปรับตัวช่วงแรกของเด็กแฝดเป็นการปรับตัวที่ต้องให้เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงต้องไปปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนด้วย เนื่องจากเด็กแฝดไม่ได้เรียนแบบจริงจังและยังไม่เคยเรียนโรงเรียนประถมส่วนสองพี่น้องบ้านลู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะทั้งสองมีพื้นฐานที่กัวเหม่ยอิงสอนก่อนเปิดเรียนภาคค่ำแล้ว ยิ่งในแต่ละวันสอนแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ทั้งหลี่เวยเวยกับหลี่หม่าฮัวก็มีเวลาทบทวนการเรียนมากขึ้นห้องนอนห้องแรกเป็นห้องนอนของกัวเหม่ยอิงกับสามี ห้องนอนห้องที่สองเป็นห้องของลูกสาวกับเสี่ยวหนิงเวลาหล่อนจะมานอนที่บ้านห้องนอนห้องที่สามเป็นห้องของหลินเฟย หลิงเฟย ห้องนอนห้องที่สี่เป็นห้องของหลี่เวยเวย ห้องนอนที่ห้าจะเป็นห้องนอนของหลี่หม่าฮัวและสุดท้ายห้องนอนที่หกกัวเหม่ยอิงสั่งให้หานหรงเจ๋อเอาโต๊ะเข้ามาตั้ง และเอาเตียงนอนชิดผนัง ห้องนี้จะเป็นห้องไว้ทำการบ้านหรือห้องอ่านหนังสือของเด็ก ๆเวลามีการบ้านกัวเหม่ยอิงก็จะสอนให้ทำก่อนที่จะไปเล่น เพราะตอนนี้เด็กทั้งสี่มาอยู่ด้วยกันจึงต้องจัดเวลาให้ดี เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านให้ทำการบ้านให้เสร็จ หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ถ้าให้ทำตอนเย็นก็ยุ่งทำกับข้าว ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่
กัวเหม่ยอิงกำลังหาบ้าน เธอให้สามีพาขับรถวนหาแถว ๆ บ้านเช่า บ้านต้องอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของลูกสาวและตลาดที่ขายเสื้อ เพื่อความสะดวกเวลามีปัญหาหรือไปทำงานในร้านจะไม่ได้เหนื่อยมากบ้านที่เช่าอยู่ตอนนี้มันมีวันที่หมดสัญญา หากเธอไม่เช่าต่อก็แค่ย้ายออก แต่ถ้าจะเช่าต่อก็แค่ทำสัญญาใหม่ และหากสองพี่น้องหลี่กับเด็กแฝดขึ้นมาอยู่ด้วย ห้องที่มีในตอนนี้มันไม่พอ หรือถ้าได้บ้านจริง ๆ กัวเหม่ยอิงก็จะพาไปอยู่ที่บ้าน ส่วนบ้านเช่าหลังนี้ก็ให้น้องชายสามเช่าต่อได้ แต่ถ้าเขาไม่เช่าต่อก็คืนกุญแจโจวเฟินไปกัวเหม่ยอิงมีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อบ้านหลังขนาดใหญ่ในปักกิ่ง แต่เงินบางส่วนเก็บไว้ให้ลูกสาว จึงต้องหาบ้านขนาดกลางที่มีห้าถึงหกห้องนอน แต่ถ้าห้องไม่พอและมีพื้นที่อีก กัวเหม่ยอิงก็ยินดีที่จะสร้างห้องเพิ่ม“บ้านหลังนี้เขาขายเหรอคะ” กัวเหม่ยอิงลงจากรถไปถามหญิงชราที่นั่งอยู่หน้าบ้าน แต่ตรงข้ามบ้านนางเป็นบ้านขนาดกลางที่กัวเหม่ยอิงชอบตัวบ้านมีลักษณะที่แปลก“ใช่ ๆ บ้านนี้เขาขาย จะเข้ามาดูเหรอ” คุณยายเอ่ยถาม“ฉันอยากได้บ้านน่ะค่ะเลยแวะมาดู” กัวเหม่ยอิงยิ้มให้นาง จริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนนั่งอยู่หน้าบ้านเพราะเป็นเวลากลา
ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านหานกับบ้านเจี๋ยตอนนี้เริ่มสนิทกันแล้ว เพราะทุก ๆ วันหยุดของเด็ก ๆ ไม่กัวเหม่ยอิงก็จางลี่ฮัวที่จะชวนไปกินอาหารมื้อเย็น ไม่ก็ชวนกันไปสวนสาธารณะอีกอย่างไปไหนด้วยกันก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง หานหรงเจ๋อกับเจี๋ยฮงผู้เป็นสามีของจางลี่ฮัวก็เรียกได้ว่าสนิทกัน เพราะบางทีภรรยากับเด็ก ๆ พากันไปทำกิจกรรม สามีทั้งสองจึงต้องเฝ้าของไปด้วยกันจางลี่ฮัวเป็นแม่บ้านที่ต้องเลี้ยงลูก หล่อนจึงว่างเวลาลูกไปเรียนทั้งหมด ส่วนเจี๋ยฮงผู้เป็นสามีเห็นว่าทำงานในโรงงานของคนรู้จัก แต่มีตำแหน่งใหญ่โตที่สามารถเลี้ยงสี่แม่ลูกให้สบายได้ร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ทั้งสามสาขาทำกำไรในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่าแสนหยวน กัวเหม่ยอิงจึงไม่ค่อยเป็นห่วง เวลาว่างก็จะออกแบบลวดลายเสื้อสั่งโรงงาน แต่บางวันก็ชวนจางลี่ฮัวออกไปหาอะไรทำและเพราะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา กัวเหม่ยอิงรู้สึกทำงานหนักมากเกินไปเลยให้แค่หานหรงเจ๋อแวะเข้าไปดูร้าน แต่วันนี้มีเรื่องราวที่น่าตกใจเหอลี่คบกับน้องชายสาม! จริง ๆ เรื่องนี้จะไม่แดงออกมาหากหานหรงเจ๋อไม่เข้าไปเห็นแล้วมาบอกเธอ เห็นว่าน้องชายสามอยากให้เหอลี่มาเปิดตัวกับเธอแต่หล่อนปฏิเสธ เพราะหล่อ
‘คุณลี่มาถามหาพี่ถึงบ้านเลยค่ะ จริง ๆ เขาก็มาสามวันติดแล้ว เลยต้องโทรบอก’เสียงปลายสายทำให้กัวเหม่ยอิงที่นั่งออกแบบลายเสื้อชะงัก มือที่กำลังจับปากกาต้องวางลง แล้วทวนคำบอกเล่าอีกรอบ“คุณลี่มาหาที่บ้าน?”‘ใช่ค่ะ เขาบอกอยากคุยกับพี่ แต่ที่บ้านก็บอกไปแล้วว่าพี่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่เราก็รับผลไม้มาจากเขา คุณแม่กลัวว่าจะมีปัญหา’ “เราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน แล้วคุณลี่ก็แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ เธอบอกคนอื่นว่าไม่ต้องกลัว” กัวเหม่ยอิงบอกเธอไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่กลับบ้านไปสองสัปดาห์ ทำไมเขาไม่มาหาหรือหาทางติดต่อเลยทั้ง ๆ ที่วันนั้นพนักงานมาดักรอเธอ แต่พอเธอกลับมาปักกิ่งกลับไปถามหาเธอซะงั้น อีกอย่างตอนนี้เขาคงจะแต่งงานไปแล้ว‘พี่จะไม่คุยกับเขาจริง ๆ เหรอ’“เราคุยกันแล้ว ฉันมีสามีส่วนเขาคงจะมีภรรยาแล้วด้วย”‘พี่รู้ไหม เขาล่มงานแต่งที่ทางครอบครัวหาให้ ฉันได้ยินมาจากสามีเพราะเขามีเพื่อนเป็นญาติของฝ่ายหญิง ทางนั้นเล่าให้ฟังว่าคุณลี่ไม่เต็มใจจะแต่งตั้งแต่แรกแล้ว'แต่เพราะคุณลี่ยังไม่แต่งงาน งานแต่งที่ว่าจึงต้องเกิดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นคุณลี่ก็กำลังตามจีบพี่สะใภ้ขอ งหล่อนอยู่ แล้วพอถูกพ