กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก
“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา
“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่า
เพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมา
ส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ
“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย
“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไป
กัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล
“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่อพวกเธอเดินถึงหน้าโรงเรียนมัธยมในอำเภอ
“ไปก็ได้ เดือนนี้เขายังไม่ได้กลับบ้านเลย” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
หานหรงอี้หรือน้องชายสามเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านสามสกุลหาน ปีนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับมัธยมตอนปลายปีสุดท้าย เขาเรียนและพักอยู่ในเภอเพราะแม่หานไม่อยากให้ลูกชายตื่นเช้าและกลับบ้านดึกมันจะเหนื่อย จึงตัดปัญหาให้พักในตัวอำเภอแม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
น้องชายสามรับรู้ว่าพี่ใหญ่เสียแล้วผ่านพี่ใหญ่กัวที่อาสามาบอกให้ แต่เนื่องจากช่วงนี้จะมีการสอบจึงไม่สามารถกลับบ้านได้ และเขาก็ได้เงินใช้จ่ายในอำเภอเดือนละสิบหยวน เป็นเงินจำนวนมากสำหรับคนในหมู่บ้านธรรมดาอย่างพวกเธอ แต่มันเป็นเงินที่คนในเมืองใช้ทุกเดือน
โรงเรียนมัธยมในอำเภอไม่ใช่โรงเรียนประจำ ห้องพักสำหรับนักเรียนจึงต้องหาเช่าเอาเอง แต่ห้องพักของน้องชายสามอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน พวกเธอจึงสามารถเดินถึงเพียงไม่กี่นาที
‘แอ้ แอ้ ฮึก แงงงง’
กัวเหม่ยอิงกำลังง้างมือจะเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเด็กร้อง เธอมองเลขห้องสลับกับมองหน้าน้องสะใภ้ก่อนจะพากันตกใจ
ในความทรงจำที่มี น้องชายสามยังไม่แต่งภรรยาเพราะเรียนยังไม่จบ และพักอยู่คนเดียวไม่ได้พักรวมกับใคร ทำไมถึงมีเสียงเด็กร้องได้?
‘โอ๋ ๆ เสี่ยวหนิงไม่ร้องนะ’ เสียงข้างในดังตะกุกตะกักพร้อมกับน้ำเสียงร้องรนของผู้ชายวัยแตกหนุ่ม
‘ฮึก แงง’
‘โอ๊ย เสียงเด็กเวรนี่ร้องอีกแล้ว!’
‘ฉันจะไม่ทนแล้วนะคะ!’
เสียงดังออกจากห้องข้าง ๆ พร้อมกับการเปิดประตูออกมายิ่งทำให้กัวเหม่ยอิงตกใจ ผู้ชายตรงหน้าของเธอมีร่างที่สูงใหญ่ข้างหลังยังมีผู้หญิงที่ทำหน้าไม่พอใจ
“มองอะไร!” หล่อนรีบเดินมาขวางกัวเหม่ยอิงที่มองสามีของหล่อน
ด้วยความที่ห้องพักมีหลายห้องและอยู่ติดกันจึงไม่แปลกเมื่อมีเสียงดังแล้วทุกคนจะออกมาดู แต่สำหรับที่นี่พวกเขาเริ่มไม่พอใจเมื่อมีเสียงเด็กร้อง ห้องพักที่นี่ส่วนมากจะเป็นนักเรียนที่มาเช่าอาศัยและเป็นคนวัยทำงาน ทุกคนจึงต้องการที่จะพักผ่อน
“เอ่อ…นี่ใช่ห้องของหานหรงอี้หรือเปล่าคะ” กัวเหม่ยอิงชี้ประตูห้องที่เธอยืนอยู่
“ใช่”
“หล่อนเป็นใคร เป็นเมียมันเหรอ ทำไมต้องเอาเด็กเวรมาไว้ที่นี่ด้วย!” หล่อนบ่นออกมาด้วยความรำคาญ หล่อนพักอยู่ที่นี่มาหลายเดือน ทุกวันมีเสียงโวกเวกโวยวายก็รำคาญจะแย่แล้ว สัปดาห์นี้ต้องมาทนฟังเสียงเด็กร้อง
“ฉันเป็นพี่สะใภ้ของเขาค่ะ ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้” กัวเหม่ยอิงที่ประเมินสถานการณ์แล้วรีบก้มหัวขอโทษคนที่ออกมาดู
“ดี!” หล่อนว่าก่อนจะดึงแขนสามีเข้าห้องและปิดประตูเสียงดัง
“เธอเป็นพี่สะใภ้ของเขาใช่ไหม ช่วยเอาเด็กออกไปที พวกเราต้องการพักผ่อน”
“ใช่ ฉันไม่รู้ว่าน้องชายหานจะเอาเด็กมาเลี้ยงทำไม แต่เสียงของหล่อนทำพวกเรานอนไม่หลับ”
“เอาเด็กออกไปด้วย ก่อนที่ฉันจะแจ้งเจ้าของห้อง”
“ค่ะ”
ก๊อก! ก๊อก!
“น้องชายสามเปิดประตูที”
กัวเหม่ยอิงหันไปเคาะประตูหลังทุกคนแยกย้ายกันและเสียงเด็กในห้องเงียบลง ใบหน้าของเธอยังมีสีหน้ากังวลปรากฏอยู่
“พะ…พี่สะใภ้!”
คนที่เดินมาเปิดประตูมีสีหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นเหล่าพี่สะใภ้ยืนอยู่หน้าประตู
กัวเหม่ยอิงมองลอดประตูเข้าไปข้างในเห็นเด็กที่น่าจะอายุเท่าเสี่ยวลู่นอนอยู่ เธอถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่แคบ ที่บ้านก็ว่าไม่น่าอยู่แล้ว ที่นี่ยิ่งไม่น่าอยู่มากกว่า กลิ่นอับชื้นตีขึ้นจนเกือบจะอ้วก กัวเหม่ยอิงจึงยกแขนเสื้อขึนมาปิดแล้วเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาดู
“เด็กคนนี้คือใคร” กัวเหม่ยอิงถามคนที่ยืนหลบสายตา “ไม่ได้ยินที่ถามหรือยังไง!”
“ละ…ลูก ผ ผมเอง” น้องชายสามหลับตาด้วยความกลัว
“เฮ้อ เรื่องราวมันเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ
เธอส่งเด็กไปให้สะใภ้รองอุ้มส่วนตัวเองก็หันมาถามน้องชายสามที่ไม่กล้าพูดอะไร ได้ความว่าปีที่แล้วมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่และเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน เขาดื่มเหล้ากับสหายภาพก็ตัดไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้นอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับผิดชอบเพราะหล่อนไม่ต้องการ
แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมาหล่อนก็มาบอกว่าท้องกับเขาและต้องการให้เขารับผิดชอบ หล่อนเป็นลูกสาวของหนึ่งในครูที่โรงเรียน หล่อนจบไปได้หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ทำงานจึงมางานเลี้ยงของโรงเรียน ที่บ้านของหล่อนไม่มีใครต้องการเด็กเพราะอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนในเมือง
ทว่าหญิงสาวกลับดื้อรั้นที่จะเอาเด็กไว้จึงมีปัญหากับคนในครอบครัว สุดท้ายหล่อนก็ต้องย้ายมาอยู่กับเขา และที่เขาไม่ได้บอกคนในครอบครัวก็เพราะยังไม่กล้าสู้หน้าใคร จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมาหล่อนได้คลอดลูกสาว
ยิ่งทำให้บ้านของหล่อนไม่พอใจ มีลูกก่อนแต่งงานก็ว่าเสียหายมากแล้ว ยังจะคลอดเด็กหญิงไร้ประโยชน์มาอีก
หล่อนกับลูกกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมเพราะต้องอยู่ไฟ แม่ของหล่อนยังมีเยื่อใยอยู่บ้างจึงเป็นห่วงหล่อน แต่พอหมดช่วงอยู่ไฟหล่อนก็มาหาเขาประจำ จนกระทั่งเกิดข่าวร้ายกับพี่ชาย วันนั้นเขาจำได้ดี พี่ชายของพี่สะใภ้มาแจ้งว่าพี่ใหญ่พลีชีพไปแล้ว และพี่รองบาดเจ็บหนักน่าจะต้องออกจากทหาร
วันนั้นเป็นวันที่เขาเสียใจแต่ยิ่งเสียใจหนักก็หล่อนเอาลูกสาวมาให้เขาเลี้ยง พร้อมกับบอกว่าอย่าติดต่อพวกหล่อนถ้ายังอยากจะเรียนให้จบอยู่ ซึ่งแม้พ่อของหล่อนจะเป็นเพียงคุณครู แต่ก็มีผลต่อการจบของเขาหากเขาไม่เชื่อฟัง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ยังจะทำเหมือนเรื่องมันนิดเดียว!” กัวเหม่ยอิงโมโห
ยอมมีปัญหากับคนที่บ้านเพราะอยากจะเก็บเด็กเอาไว้ แต่พอน้องชายสามมีเรื่องกลับทิ้งเด็กไว้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะหล่อนต้องการจะมาเป็นน้องสะใภ้ของพวกเธอหรือจึงทำแบบนี้? ในโรงเรียนใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าบ้านของนักเรียนหานเป็นทหารหมดบ้าน
“กะ…ก็”
“ไหนบอกช่วงนี้มีสอบ ไม่ใช่ว่าต้องเลี้ยงเด็กแล้วไม่ไปสอบนะ!”
“สอบ! ผะ…ผมไปสอบอยู่นะ” น้องชายสามพยักหน้ารัว ๆ
“แล้วนายเอาเวลาไหนไปเรียน”
“สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของการสอบ ใครจะสอบวันไหนเวลาไหนก็ต้องไปแจ้งครู ผมเข้าสอบสลับกับให้สหายช่วยเลี้ยงเสี่ยวหนิงให้” น้องชายสามอธิบาย ยังดีที่เขามีสหายให้ปรึกษาและสหายของเขาก็ช่วยเลี้ยงลูกสาวตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่
“สอบเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว”
“มีเรียนอีกวันไหน” เพราะน้องชายสามเป็นคนบอกว่าเป็นสัปดาห์ของการสอบ คุณครูทุกคนในโรงเรียนต่างก็อยากให้เด็กตัวเองสอบผ่านมีคะแนนสูง ๆ การเรียนจึงละเลยไป และแทนที่ด้วยการติวข้อสอบ ส่วนใครที่สอบเสร็จก็เจอกันวันเรียนได้เลย แต่ส่วนมากทุกคนจะเลือกสอบวันละหนึ่งวิชาแต่ไม่เกินสามวิชา เพราะการสอบสำคัญจึงไม่ต้องการจะกดดันตัวเองมาก
“สัปดาห์หน้าครับ”
เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด หลายปีก่อนเธอก็สอบแบบนี้โดยสอบเพียงวันละสองวิชาเท่านั้น
“เก็บของของหล่อนให้หมด สัปดาห์นี้นายต้องกลับบ้าน”
น้องชายสามสอบเสร็จก็จริงแต่เขายังต้องไปเรียนต่อ ในวันที่ต้องไปเรียนใครจะดูแลลูกสาวให้เขากันล่ะ
จะหวังพึ่งสหายก็คงไม่ได้เพราะเขาก็เรียนเช่นกัน จึงมีวิธีเดียวก็คือต้องเอาเด็กกลับบ้านด้วย
“ตะ…แต่”
“ไม่มีแต่ ฉันกับพี่สะใภ้รองของนายจะไปซื้อของ ระหว่างที่พวกฉันจะกลับมารับนายต้องเก็บของ เอาชุดนายไปด้วย ไปอยู่บ้านสักห้าวันแล้วค่อยกลับ” กัวเหม่ยอิงว่า
กัวเหม่ยอิงเดินออกจากห้องพักของน้องชายสามเพื่อกลับไปซื้อของที่สหกรณ์ ข้างหลังก็มีสะใภ้รองตามออกมา ตอนแรกเธอจะให้สะใภ้รองรออยู่ที่นี่ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะถึงจะเป็นพี่สะใภ้กับน้องเขย แต่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายกับผู้หญิง หรือแม้แต่สามีภรรยายังต้องถือใบสมรสไปไหนมาไหนด้วยหากเดินทางไกล แม้แต่เดินจับมือก็ยังไม่ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่จะทำยังไงคะ” สะใภ้รองคิดไม่ตก
การที่น้องชายสามของสามีมีลูกก่อนที่จะแต่งงานก็ว่าผิดประเพณีแล้ว การที่ไม่มีแม่ของลูกยิ่งแย่ไปใหญ่ เด็กคนนี้ควรจะมีพ่อแม่คอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่ต้องรอฟังเสียงนินทาของคนในหมู่บ้าน
“เราค่อยไปคุยที่บ้านอีกที” กัวเหม่ยอิงตอบ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เธอไม่สามารถตัดสินเองได้ จึงควรจะให้แม่สามีเป็นผู้ตัดสิน อีกอย่างเด็กคนนี้พวกเธอคงจะต้องเลี้ยงเอาไว้
กัวเหม่ยอิงเดินเข้าสหกรณ์ประจำอำเภอ ภายในสหกรณ์เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ของคนในหมู่บ้านที่นำมาขายให้กับกองผลิตอำเภอที่จะนำมาวางจำหน่ายที่สหกรณ์ สินค้าบางส่วนก็เป็นสินค้าต่างมณฑล
สิ่งแรกที่กัวเหม่ยอิงต้องการนั้นก็คือนมผงสำหรับเด็กแรกเกิด ตอนแรกเธอคิดที่จะซื้อไปเพียงพอสำหรับกินหนึ่งสัปดาห์
วันหลังค่อยมาซื้อใหม่จะได้ไม่เป็นที่จับตาของคนในหมู่บ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะมีเด็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“กระป๋องละ 5 หยวนเลยเหรอ” กัวเหม่ยอิงอุทานเบา ๆ นมผงพวกนี้นอกจากต้องใช้เงินแล้วยังต้องใช้คูปองอีก
“ถ้านมผงหมดล็อตนี้ทางสหกรณ์จะเอามาอีกทีคือสิ้นเดือนเลยนะคะ” พนักงานของสหกรณ์เดินเข้ามาบอกกัวเหม่ยอิงที่ลังเลจะซื้อ
วันนี้เพิ่งจะกลางเดือน แบบนี้แล้วหากเธอไม่ซื้อนมผงไปตุนเอาไว้ เธอก็จะไม่สามารถหาซื้อนมผงได้อีก จนกว่าจะขึ้นเดือนใหม่
“ถ้าหมดไม่ใช่ว่าต้องสั่งมาเพิ่มเหรอคะ” กัวเหม่ยอิงสงสัย เพราะนมผงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทางสหกรณ์กลับบอกว่าต้องรอหากต้องการจะมาซื้อ
“นมผงพวกนี้เราสั่งมาจากปักกิ่งค่ะ มันจึงต้องใช้เวลาในการขนส่ง และที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครซื้อนมผงกันหรอกน่ะค่ะ” ค่านมผงทำให้พวกหล่อนได้กินข้าวหลายมื้อ พนักงานในโรงงานหรือร้านต่าง ๆ จึงไม่ค่อยมีใครจะซื้อนมผงให้ลูก ส่วนมากถ้าไม่ให้กินน้ำนมตัวเองก็จะกินน้ำข้าวแทน
และนมผงพวกนี้ก็อยู่มาเกือบจะสองเดือนแล้ว เหลืออีก 10 กระปุกจึงจะหมดในล็อตนี้ หล่อนที่เห็นคนในหมู่บ้านเข้ามาซื้อจึงรีบแนะนำ
“ขอบคุณค่ะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงมองกระป๋องนมผงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกใส่ตะกร้าทั้ง 10 กระป๋อง แม้จะต้องใช้เงินเยอะมากแต่กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจ เธอกลัวเด็กจะขาดสารอาหารมากกว่า
“เธออยากได้อะไรก็ไปเลือกเอาเถอะ” กัวเหม่ยอิงบอกน้องสะใภ้ที่ทำตัวเหมือนคนติดตามของเธอ
“ฉันไม่ต้องการจะซื้ออะไรค่ะ” หล่อนส่ายหัวปฎิเสธ
“ตามใจก็แล้วกัน”
กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋องอาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยสาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง“ค่ะ”เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของ
“ไม่ได้!”เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อนสำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชายในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
เพราะสะใภ้รองมีครรภ์ที่ใหญ่ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ท้องแรกจะใหญ่มันก็ไม่ผิดปกติเท่าไร แต่เมื่อครรภ์ได้ 5 เดือน ท้องของสะใภ้รองกับเหมือนคนใกล้จะคลอดแล้ว กัวเหม่ยอิงจึงให้น้องชายรองพาสะใภ้รองเข้าไปพักในอำเภอ หากมีอะไรจะได้เข้าโรงพยาบาลง่าย ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยโดยเฉพาะแม่กัวกับแม่หานที่ผ่านการมีลูกมากก่อน พวกนางไม่เคยเห็นคนที่ท้องได้ไม่กี่เดือน ท้องใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หากถามคนที่ไม่รู้ก็คงจะบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้วส่วนแม่หานนั้นตอนนี้กำลังฝึกเดินเพราะน้องชายสามขอร้อง เขาอยากให้แม่ของเขากลับมาเดินได้อีกครั้ง อยากให้แม่ของเขาออกไปเดินดูข้างนอกบ้างลูกเจี๊ยบที่เอามาเลี้ยงก็โตกันหมดแล้ว แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงได้ 3 ตัว กัวเหม่ยอิงจึงจับเชือดจนตอนนี้มีไก่เหลืออยู่ 4 ตัว เธอจะเอาไว้ให้บำรุงสะใภ้รอง 1 ตัว ตอนคลอดลูก“สะใภ้รองจะเป็นยังไงบ้างนะ”แม่หานถามกัวเหม่ยอิงที่ยกกับข้าวมื้อกลางให้ ตอนนี้ก็เกือบสี่เดือนแล้วที่กัวเหม่ยอิงให้สะใภ้รองกับน้องชายรองเข้าไปอยู่ในอำเภอ“คงใกล้จะคลอดแล้วค่ะ วันก่อนที่น้องชายรองมาหาเขาบอกไม่เกินเดือนนี้จะคลอดแล้ว” กัวเหม่ยอิงตอบแม่กัวที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดขึ้น “ท้องส
พี่ใหญ่กัวแบกตะกร้านำกัวเหม่ยอิงกับพี่รองกัวเข้าป่าตามที่ได้ตกลงกันแล้วเมื่อวาน เนื่องจากพี่ใหญ่กัวก็อยากจะลองเข้าป่านี้เหมือนกัน ทันทีที่กัวเหม่ยอิงบอกความต้องการเขาก็ตกลงทันทีก้าวแรกที่เดินเข้าไปในป่ามันก็ยังเหมือนเดิม บรรยากาศภายในป่าเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงร้อง สร้างความระแวงให้แก่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัว ยกเว้นกัวเหม่ยอิงที่จากเดินอยู่กลางกลายเป็นเดิมนำหน้าสุด“น้องสาวห้าเดินระวังด้วย” พี่ใหญ่กัวบอกน้องสาวที่เดินนำไปแล้วกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ฉันรู้จักทางนี้ค่ะ แต่ยังไม่เคยเห็นลำธารในป่านี้ ฉันอยากจะลองจับกุ้งที่นี่ดู” เธอบอกพี่ชายที่หันซ้ายหันขวา“ได้ยินเสียงน้ำอยู่ทางนั้น” พี่ใหญ่กัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง แต่กัวเหม่ยอิงกับพี่ชายรองมองหน้ากันเพราะไม่ได้ยินเสียงกัวเหม่ยอิงเดินตามพี่ใหญ่กัวไปยังทิศทางที่พี่ใหญ่กัวชี้ รั้งท้ายด้วยพี่รองกัวที่ดูแลความปลอดภัยให้น้องสาว เดินไปไม่ไกลพวกเขาก็เห็นลำธารที่มีน้ำใสจริง ๆ ใสกว่าน้ำที่ใช้ประจำซะอีก“มีปลาด้วย!” พี่รองกัวตะโกนด้วยความดีใจพวกเขาไปจับกุ้งเป็นเดือน ๆ แต่ไม่เคยเจอปลาเลย มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะมีคนไปหาปลาตลอด แต่พอเข้ามาใ
ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่กัวเหม่ยอิงก็ทำอะไรได้สะดวกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาหาหน่อไม้มาต้มเก็บใส่ไห หรือบางทีก็ทำหน่อไม้ดอง ไหนจะทำกุ้งแห้งอีก โชคดีที่ผู้ชายบ้านหานกับบ้านกัวมีฝีมืองานไม้อยู่บ้าง การสร้างห้องเก็บไหจึงถูกสร้างขึ้นข้างบ้านเนื่องจากตอนนี้ยังไม่เปิดการค้าเสรีพวกเธอจึงไม่สามารถขายตรง ๆ ได้ แต่น้องชายรองนั้นจะออกบ้านตอนเช้ามืดเพื่อไปทำงานเขาจึงเอาไหกุ้งแห้งกับหน่อไม้ต้มไปขายได้ตอนนี้ที่บ้านมีจักรยาน 2 คัน ได้มาในราคา 350 กับคูปองเกือบ 20 ใบ ถ้าซื้อหนึ่งคันราคาจะอยู่ที่คันละ 200 หยวน กับคูปองอีก 10 ใบ และน้องชายสามเห็นว่าจักรยานมีสภาพดีจึงได้ตกลงที่จะซื้อสองคันอีกอย่างจักรยานหนึ่งคันน้องชายรองปั่นไปทำงานในอำเภอ ส่วนน้องชายสามก็ปั่นไปโรงเรียนในตำบลคันหนึ่ง หากพวกเธอในบ้านต้องการจะใช้จักรยานก็บอกน้องชายสาม เพราะเขาจะเอาจักรยานไว้ให้แล้วเดินไปโรงเรียนแทน“ค่อย ๆ จับนะคะแม่ ฉันคอยพยุงอยู่” กัวเหม่ยอิงบอกแม่สามีที่จับราวไม้ที่ถูกสั่งทำไว้โดยเฉพาะแม่หานลังเล แม้จะถูกสะใภ้ยืนยันว่าจะไม่เป็นอะไรแต่นางก็กลัว กลัวว่าจะเป็นภาระของทุกคนหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีใครพูดอะไรให
การหาซื้อเนื้อหมูในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากมีเส้นสายมันก็จะต่างออกไป และกัวเหม่ยอิงก็คิดว่าตัวเองมีเส้นสายมากพอสมควรโดยเฉพาะน้องชายรองและน้องชายสาม“อีก 2 วัน เป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ของบ้าน ตอนนี้้เรามีกุ้ง มีปลา มีไก่ และมีผักแล้ว แต่ยังไม่มีหมู น้องชายรองกับน้องชายสามพอจะหาได้ไหม” กัวเหม่ยอิงถามอย่างไม่อ้อมค้อมอย่างที่รู้กันว่าตอนนี้พวกเธอขายของในตลาดมืด จึงไม่ต้องกลัวว่าสมาชิกในบ้านจะตกใจ และเพราะต้องขึ้นบ้านใหม่ อาหารที่ทำขึ้นต้องพอเลี้ยงแขก กัวเหม่ยอิงจึงต้องถามน้องชายรองส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักใครเลยครับ แต่ช่วงนี้ผมติดภารกิจสำคัญครับ ลาไว้แล้ว 3 วัน ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้ผมจะไปหาให้” เขาบอกก่อนจะหันไปถามน้องชาย “นายรู้จักคนเยอะพอจะมีไหม”“มีครับ แต่เราต้องไปถามก่อนเพราะมันไม่ต้องใช้คูปองและราคาสูง” น้องชายสามพยักหน้า เขาก็พอจะรู้จักคนนี้มีเนื้อหมู่อยู่กัวเหม่ยอิงยิ้ม “ดีเลย นายไม่ต้องไปสอนแล้วใช่ไหมสัปดาห์นี้ ฉันอยากได้เนื้อสัก 10 ชั่ง กระดูกด้วยก็ดีพอจะไปหาได้หรือเปล่า” ที่โรงเรียนเหมือนจะมีของหาย ทางโรงเรียนจึงประกาศหยุดการเรียนตลอดหนึ่งสัปดาห์ และคณะกรรมหน่วยผลิตของตำบลกำ
กัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าช่วงนี้บ้านของพวกเธอถูกนินทาบ่อยมาก เมื่อมีคนไปเห็นน้องชายรองทำงานอยู่ในสถานีสักแห่งในอำเภอเพราะเข้าไปทำธุระ ยิ่งพอรู้ว่าน้องชายรองได้กลับไปทำงานเสียงนินทาก็ยิ่งกว้างไปจนถึงหมู่บ้านข้าง ๆ กันแล้วแต่ถึงจะนินทายังไงกัวเหม่ยอิงกับครอบครัวของสามีก็ไม่ได้ไปสนใจ พวกเธอพากันสนใจกิจการของบ้านมากกว่า ตอนนี้กุ้งแห้งมีรวม ๆ กันเกือบ 50 ไหแล้ว เพราะน้องชายรองเอาออกไปขายแค่วันละไห แต่ที่บ้านทำเพิ่มได้วันละไม่ต่ำกว่า 3 ไห กุ้งแห้งจึงมีเยอะมากตอนนี้ที่บ้านมีรายได้วันละ 5 หยวน จากการขายกุ้งแห้ง 1 ไห หรือบางวันก็ขายไหไปด้วยก็ได้กำไรอีก 1 หยวน ไหนจะเงินเดือนของน้องชายสามที่เป็นครูสอนเด็กประถม 10 หยวน และเงินเดือนของน้องชายรองอีกที่ได้มาถึงเดือนละ 80 หยวน แต่เงินเดือนที่ได้มาจะถูกหักเข้ากองกลางของบ้านเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งสามารถเก็บเอาไว้ได้เลย“สะใภ้รองบ้านเดิมของเธอมาหา” เสียงของพี่สาวใหญ่กัวร้องบอกหลังออกไปดูหน้าบ้านเมื่อมีคนมาร้องเรียกสะใภ้รองหันมองพี่สาวใหญ่กัวก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธที่จะคุยด้วย ไหนบอกว่ากลัวหล่อนจะไปสร้างปัญหาให้จึงให้เลิกติดต่อ แต่วันนี้พอสามีของหล
กัวเหม่ยอิงยืนมองกุ้งเกือบสิบตะกร้าด้วยความภูมิใจวันนี้เป็นวันแรกที่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัวมาช่วยเธอจับกุ้ง และเป็นวันแรกที่จับกุ้งได้เยอะที่สุด อีกอย่างตอนนี้ก็เพิ่งจะช่วงบ่าย กัวเหม่ยอิงที่ปกติต้องไปจับกุ้งจึงเปลี่ยนมาแปรรูปกุ้งแทนต้องขอบคุณน้องชายรองที่แนะนำให้สร้างที่ตากกุ้งไว้เพิ่ม ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาที่ตากกุ้งไม่ได้ และดีที่ใช้เวลาตากกุ้งเพียงหนึ่งวันกุ้งก็แห้งให้แล้ว ต่างจากอนาคตที่ใช้เวลาหลายวัน“น้องชายรองไปแล้วเหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่เดิมตามหลังมาเหมือนว่าน้องชายรองจะได้รับการติดต่อจากสหายร่วมกองทัพของเขา ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ ขอแค่เขาเอาของเข้าไปขายให้ตอนนี้เงินจากการขายกุ้งแห้งและหน่อไม้ต้มได้มาเกือบหนึ่งพันหยวน แต่มันยังไม่ได้หักค่าไห ค่าฟืน ค่าเกลือ และค่าแรงงานอีก แต่ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็นับจำนวนเงินนี้เป็นทุนสำหรับการค้าขายภายหน้าสะใภ้รองพยักหน้าแล้วนั่งลงหน้าเตาไฟเพราะหล่อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาช่วย “ใช่ค่ะ เห็นว่าสหายของเขาขึ้นมาหา ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นแล้ว” ถึ
หลังจากที่น้องสะใภ้กลับบ้านเดิมได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหล่อนก็กลับมาพร้อมกับความเงียบ และปิดประตูห้องไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง แม้แต่น้องชายรองเองก็เข้าหน้าไม่ติด กับข้าววันนั้นจึงเป็นกัวเหม่ยอิงที่ทำและเธอก็ไม่ได้ถามหาสาเหตุจากสะใภ้รอง หากหล่อนอยากจะพูดหล่อนก็คงจะพูดเองนับจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วห้าวัน และการที่สตรีบ้านกัวขอหยุดงานในแปลงนาสร้างความฮือฮาในหมู่บ้านอีกรอบ อีกไม่นานก็จะได้รับผลผลิตแล้ว ทำไมอยู่ ๆ สตรีบ้านกัวก็หยุดงานไปดื้อ ๆ ? มันเป็นเรื่องที่หยุดพูดไม่ได้กันเลยทีเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ได้ยินว่าคนบ้านกัวกำลังหาลูกเขยกับลูกสะใภ้ให้ลูกสาวกับลูกชายที่อายุมากแล้ว“สะใภ้รองขยับมาทางนี้” กัวเหม่ยอิงกวักมือเรียกน้องสะใภ้ที่หากุ้งฝั่งตรงข้ามเพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าสะใภ้รองจะคิดมากเกินไป จึงชวนหล่อนพร้อมกับน้องชายสามีทั้งสองออกมาจับกุ้งอีกครั้ง ไหน ๆ กุ้งแห้งในบ้านก็ลดลงไปมากแล้ว“พี่จับกุ้งเก่งมาก” สะใภ้รองชมหล่อนจับกุ้งได้เพียงสามตัวตั้งแต่มาถึง ต่างจะพี่สะใภ้ที่ตอนนี้จับได้มากกว่ายี่สิบตัวแล้วกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ก็เพราะฉันเก่งยังไงล่ะ” ต้องบอกว่ามีความสามารถพิเศษจะดีกว่า“ฉันเชื่อค่ะ”
จะว่าไปแล้วชีวิตของกัวเหม่ยอิงในตอนนี้สบายมาก ทำอะไรก็ลงตัวไปซะทุกอย่าง แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยอย่างลงตัว“กุ้งผัดหน่อไม้ได้แล้วนะคะ” สะใภ้รองที่จัดการปิ่นโตเสร็จหันมาบอกกับกัวเหม่ยอิงเพราะกัวเหม่ยอิงเห็นว่าสะใภ้รองน่าจะเหงามากเมื่ออยู่บ้านคนเดียว จึงจะเข้าไปคุยกับคนบ้านกัวตามที่คิดไว้กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ครบแล้วใช่ไหม” หากไม่ครบมันจะได้ไม่เสียเวลาต้องกลับมาเอา“ฉันดูให้แล้วค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้าวันนี้เป็นวันหยุดประจำเดือนของทุกคนในหมู่บ้าน ถึงตอนนี้กำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แต่ทุกคนก็ยังได้หยุด เพราะในหนึ่งเดือนทุกคนจะได้หยุดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี กัวเหม่ยอิงจึงจะไปคุยด้วย อีกอย่างน้องชายสามก็ออกไปหาฟืนกับน้องชายรอง ที่ตากกุ้งแห้งมันก็เต็มด้วยกุ้ง วันนี้จึงยังไม่ไปหากัน“น้องสาวห้า” เป็นพี่สาวใหญ่ที่กวาดลานบ้านร้องทักกัวเหม่ยอิงกัวเหม่ยอิงหันไปมองแล้วยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ทำอะไรกันคะ” เธอถามถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่าพี่สาวกำลังทำอะไร“กำลังกวาดลานบ้านน่ะไหน ๆ ก็วันหยุดแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบ “แล้วน้องสาวห้ามาทำอะไรที่นี่หรือมาดูบ้าน” ถ้ามาดูบ้านปกติน้องสาวของหล่อนไม่ได
กัวเหม่ยอิงแวะดูคนงานสร้างตอนช่วงสายของวันพร้อมกับส่งซาลาเปา จากนั้นก็ได้นำน้องชายรอง น้องชายสามเข้าป่าไปจับกุ้งที่เจอเมื่อวานหลังจากได้ลิ้มรสเมนูกุ้งฝีมือของสะใภ้รองทุกคนก็ชอบมันมาก น้องชายสามจึงขอไปจับกุ้งระหว่างรอหางาน แต่กัวเหม่ยอิงก็เลยเปลี่ยนให้พวกเขาไปจับกุ้งแทนที่จะไปหางานเธอได้นอนคิดทั้งคืนว่าหลังจากนี้พวกเธอจะทำอะไร ลำพังจะให้น้องชายสามออกไปทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายมันไม่พอแน่ ๆ แม้จะมีเงินเก็บ แต่จะให้น้องชายรองเข้าไปหางานในเมืองสะใภ้รองก็ไม่ยอมเพราะห่วงร่างกายของสามี ซึ่งกัวเหม่ยอิงเห็นด้วยจะให้สะใภ้รองไปก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่เพราะหล่อนไม่ได้เรียน ไหนจะต้องทำงานบ้านและดูแลแม่สามีอีกส่วนกัวเหม่ยอิงเธอต้องติดตามดูบ้านตลอด และต้องดูลูกสาวไปด้วย แล้วจู่ ๆ การทำกุ้งแห้งก็ผุดขึ้นมาให้หัวของเธอ ปกติพวกเธอก็มีกุ้งแห้งไว้ทำอาหารให้แม่สามีอยู่แล้วและมีราคาแพง หากเธอจะทำขายโดยที่ไม่ต้องใช้คูปองซื้อ และมีราคาถูกลงนิดนึงย่อมมีคนสนใจและเรื่องนี้กัวเหม่ยอิงก็ได้คุยกันเมื่อเช้านี้ซึ่งทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นน้องชายรองที่อยากจะขัดเพราะตัวเขาก็เป็นทหารมาก่อน ซึ่งรู้ว่าเรื่องขายของนั้นมันทำไม่ได้