กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ
“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า
“ปลาล่ะ”
“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่ง
กัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก
“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง
“คะ” สะใภ้รองหันมามอง
“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอ
กัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน
“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่มองหาพี่ตลอดเลย” สะใภ้รองบอก
“อือ” เพราะเธอไม่รู้จะทำตัวยังไงก็เลยไม่ได้เข้าไปดูแม่สามี แต่ก่อนนั้นกัวเหม่ยอิงจะเข้าไปคุยกับแม่สามีทุกวัน แม้จะคุยไม่กี่คำแต่ก็เข้าไปบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้คนป่วยได้ฟัง พอถิงถิงเข้ามาอยู่ในร่างเธอก็ไปให้เห็นหน้าแค่ครั้งเดียว
“ไก่พวกนี้คงจะเป็นพี่ใหญ่กัวให้มาสินะคะ” เพราะถ้าเป็นคนอื่นพวกเธอก็คงจะไม่ได้มัน
“ใช่”
บทสนทนาระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ดังขึ้นต่อเนื่องระหว่างล้างคราบดิน แล้วก็ทำความสะอาดของต่าง ๆ ที่ได้มาวันนี้ กัวเหม่ยอิงแล่เนื้อไก่สองตัวให้เหลือแต่กระดูก เนื้อไก่เธอนำไปหมักเค็มจะเอาไปตากแดดให้เนื้อแห้งจะได้เก็บไว้ได้
ส่วนกระดูกเธอนำมารวมกับไก่ที่เหลือ สับให้เป็นชิ้นแล้วนำไปตุ๋นรวมกับเกากี๋ในน้ำเดือด ตอนเย็นจะได้กินแกงไก่หอม ๆ บำรุงร่างกาย
พวกปลา กุ้งแล้วก็ปูที่ได้มากัวเหม่ยอิงขังไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยนำปลาตัวเล็กมาแล่ตากแดดเอาไว้ ส่วนปลาก็ค่อยตุ๋นรวมกันเป็นอาหารพรุ่งนี้ ส่วนผักหวานสะใภ้รองบอกแม่สามีชอบกินมาก เธอจึงจะผัดน้ำมันเย็นนี้ แล้วก็เอาไปต้มใส่เห็ดด้วยส่วนหนึ่ง มันเป็นเมนูที่เธอชอบมาก
กลิ่นไก่ตุ๋นเกากี๋หอมไปทั่วบริเวณบ้าน นาน ๆ ทีจะมีบ้านไหนทำกับข้าวที่มีเนื้อ จึงไม่แปลกที่จะมีคนมาเกาะรั้วดู และหนึ่งในนั้นก็เป็นคนจากบ้านใหญ่สกุลหานที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่
‘บ้านไหนทำอาหารจานเนื้อกันนะ!’ หญิงกลางวัยคน คนหนึ่งโพล่งถาม
‘โอ้ ป้าสะใภ้รองหาน ท่านไม่รู้หรือว่าบ้านสามของพวกท่านได้ไก่มา” คนที่เห็นพี่ใหญ่กัวยื่นไก่ให้กัวเหม่ยอิงพูดขึ้นด้วยความอิจฉา
ตาแก่ที่บ้านกับลูกชายของนางต่างไม่มีฝีมือในการล่าสัตว์ ทำให้พวกนางได้กินเนื้อแค่ตอนที่แจกจ่ายเท่านั้น
‘เนื้อ? ได้ยังไงกัน พวกนางไปซื้อมาหรือ!” เสียงแหลมสูงดังขึ้นด้วยความร้อนใจ
‘ฉันเห็นพี่ใหญ่กัวเอามาให้สะใภ้ใหญ่บ้านสาม ไม่เชื่อก็ถามบ้านจ้าวดู’ นางชี้ไปที่คนสกุลจ้าวที่อยู่บ้านข้าง ๆ ของบ้านสามสกุลหาน ถึงระยะจะบ้านจะห่างกันแต่ก็มองเห็นการกระทำอื่น ๆ
‘อกตัญญู อกตัญญู!’
เสียงข้างนอกยังดังต่อเนื่องแต่กัวเหมยอิงไม่ได้สนใจ แล้วก็ห้ามสะใภ้รองออกไปดูข้างนอก ถึงบ้านจะไม่มั่นคงจริง แต่เธอก็เชื่อว่าบ้านใหญ่ไม่กล้าพังเข้ามา ยังดีที่หลังบ้านนั้นมีรั้วสูงกั้นเกือบสองเมตรอีกรอบ คนข้างนอกก็เลยมองไม่เห็น
“ฉันว่าป้าสะใภ้รองต้องพาคนมาแน่ ๆ เลยค่ะ!” สะใภ้รองเอ่ยด้วยความร้อนใจ บ้านของพวกเธอมีเพียงคนป่วย เด็กและสตรีอ่อนแอสองคน จะสู้คนบ้านหานได้ยังไง
“ยังไงนางก็ไม่กล้าพังบ้านหรอก” กัวเหม่ยอิงส่ายหัว หากบ้านสามของพวกเธอถูกพังบ้านขึ้นมาจริง ๆ คนที่จะต้องเดือดร้อนก็คือบ้านใหญ่สกุลหานไม่ใช่บ้านพวกเธอ
กัวเหม่ยอิงจัดการทำความสะอาดในห้องครัว อะไรที่ควรเก็บและสามารถซ่อนได้เธอก็หาที่ซ่อน และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าบ้านหลังนี้มีที่ซ่อนของเต็มบ้าน! แม้แต่พื้นในห้องครัวก็สามารถซ่อนได้ ที่ไม่ได้ซ่อนก็คงจะเป็นไก่ตุ๋นเกากี๋ที่กำลังตุ๋นอยู่
พอจัดการเสร็จเธอจึงให้สะใภ้รองเข้าไปดูแม่สามีส่วนตัวเองเข้าห้องไปดูลูกสาวที่กำลังร้องไห้งอแง ไม่รู้ว่าไม่สบายตัวหรือสัมผัสไม่ได้ว่าไม่มีคนอยู่ใกล้
“โอ๋ ๆ เสี่ยวลู่น้อยตื่นแล้วหรอจ๊ะ” กัวเหม่ยอิงอุ้มลูกสาวขึ้นมาปลอบ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่อุ้มหล่อนก็เงียบเสียงลงอย่างน่าประหลาดใจ
“แอ้!”
“ช่างเลี้ยงง่ายจริง ๆ” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ เสียดายที่นี่ไม่มีของเล่นหรือขวดนมให้ลูกสาวได้ดูดเล่นเธอจึงต้องเล่นกับลูกสาวเอง ถึงเธอจะเป็นแม่ของหล่อนแต่เธอก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กเล็กแบบนี้มาก่อน แต่ยังดีที่มีความทรงจำจากกัวเหม่ยอิงอยู่ และก็รู้ว่าหล่อนรักลูกสาวมาก
‘สะใภ้ใหญ่! สะใภ้รอง!’
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำเอาหานเมิ่งลู่หรือเสี่ยวลู่น้อยของเธอสะดุ้ง กัวเหม่ยอิงรีบคว้าเอาร่างลูกสาวที่กำลังจะอ้าปากร้องขึ้นมาปลอบ
“โอ๋ ๆ หนูตกใจหรอจ๊ะ ไม่ต้องตกใจจ้ะ แค่เสียงนกเสียงกา” กัวเหม่ยอิงหันไปยังทิศทางของเสียงอย่างไม่พอใจ ลูกของเธอกำลังอารมณ์ดีแท้ ๆ
“เธอพาเสี่ยวลู่เข้าไปหาคุณแม่ก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
กัวเหม่ยอิงอุ้มลูกสาวตัวน้อยออกจากห้องก่อนจะส่งให้สะใภ้รองที่ออกมาจากห้องของแม่สามีเช่นกัน สะใภ้รองที่ไม่กล้าปฎิเสธพี่สะใภ้ก็ทำได้เพียงอุ้มหลานเข้าห้องไป ส่วนตัวกัวเหม่ยอิงนั้นไม่ได้ออกไปเปิดประตูให้คนข้างนอก แต่เธอเข้าไปดูตุ๋นไก่ที่กำลังเคี่ยวได้ที่
‘มาเปิดประตูสิ!’
ตุ้บ! ตุ้บ!
‘เคาะแรง ๆ!’
‘เคาะจนกว่าพวกมันจะเปิด!’
‘บ้านใหญ่สกุลหานทำเกินไปแล้ว’
‘อย่ามายุ่ง! เจ้าเคาะแรง ๆ สิ!’
กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับเสียงข้างนอก และเนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นบ้านดิน พอมีคนเคาะบ้านแรง ๆ เศษดินแห้งที่ผุพังก็เริ่มหล่นลงมา กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ เธอไม่มีทางเลือกเลยในเวลานี้
“ป้าสะใภ้ใหญ่มีอะไรหรือเปล่าคะ ตอนนี้เสี่ยวลู่กับคุณแม่กำลังพักผ่อน กรุณาอย่าส่งเสียงดังค่ะ” ถึงอยากจะตะโกนกลับว่าอย่าเสียมารยาทแต่เธอก็ทำไม่ได้
‘เปิดประตูสิ!’
“ฉันไม่ว่างค่ะ” กัวเหม่ยอิงยืนอยู่หลังประตูไม้ที่เหลืออีกนิดเดียวก็จะหัก
‘เธอทำอะไร? ได้ไก่มาไม่คิดจะเอาไปให้พวกฉันหรือยังไง!’
เมื่อกลางวันตอนนางถึงบ้านก็ถูกแม่สามีด่าที่ไม่สามารถหาผักหวานให้ได้ และยิ่งถูกด่าเพิ่มไปอีกที่เอาผักจากหลานสะใภ้ไม่ได้ และไม่นานมานี้น้องสะใภ้ของนางก็ไปบอกว่าบ้านสามได้ไก่จากบ้านกัวนางจึงยอมไม่ได้!
โดยปกติหากบ้านสามได้เนื้อสัตว์มาพวกนางแค่เปิดประตูเข้าไปเอาของก็ไม่มีใครกล้าว่า ยิ่งคนให้อย่างบ้านกัวก็ไม่มีใครกล้าปริปากไม่อย่างนั้นลูกสาวคนเล็กก็จะถูกสั่งสอน พวกนางจึงได้ใจ แต่วันนี้พวกมันกลับลงกลอนประตูเอาไว้อย่างรู้ทัน
“ไก่พวกนี้พี่ใหญ่ของฉันเป็นคนให้มา คงจะเอาให้บ้านใหญ่ไม่ได้หรอกค่ะ” กัวเหม่ยอิงตอบอย่างใจเย็นทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะด่ากลับไปแล้ว วันนี้เข้าป่าเหนื่อย ๆ ควรจะได้พักแต่กลับมีเรื่องวุ่นวายทั้งวัน
‘ใช่ ๆ ไก่พวกนี้พี่ใหญ่กัวเอาให้สะใภ้ใหญ่บ้านสาม’
‘บ้านใหญ่หานก็จริง ๆ’
‘ฉันเห็นพวกนางเอาของบ้านสามไปตลอด!’
‘ดีจริง ๆ ที่ครั้งนี้สะใภ้ใหญ่ไม่เอาให้’
‘หุบปาก!’
กัวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปาก ถึงบ้านใหญ่สกุลหานจะมีพวกเยอะแต่พวกเขาก็ไม่กล้าผลีผลามขนาดนั้น กฎตอนแยกบ้านยังมี ไหนจะคนในหมู่บ้านที่อยู่ในหมู่บ้านอีก อีกอย่างถึงคนสกุลหานจะเป็นแบบนี้แต่พวกเขายังหน้าบางยิ่ง
“ฉันทำน้ำแกงให้คุณแม่ไปหมดแล้วล่ะค่ะ หากป้าสะใภ้อยากได้ก็ลองไปขอซื้อจากพี่ชายฉันดู” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเรียบแล้วเดินหนีจากหน้าประตู
‘จะไปไหน!’
‘ออกมาให้ฉันคุยด้วยสิ!’
‘ไม่ได้ยินหรือยังไง’
‘บ้านสามช่างน่าสงสารจริง ๆ ”
‘บ้านใหญ่หานก็จริง ๆ คนป่วยกับเด็กก็พักอยู่ยังมากวนได้’
‘ใช่ ๆ’
‘กลับสิ! จะยืนอยู่ทำไม!’
เห็นทีบ้านหลังนี้คงจะอยู่ยากแล้ว ความปลอดภัยก็ไม่มีอะไรเลย ยิ่งไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยแล้วยิ่งยากไปใหญ่
“หล่อนหลับหรือ” กัวเหม่ยอิงเดินเข้าห้องแม่สามีแล้วเห็นเสี่ยวลู่นอนอยู่ข้าง ๆ
“ใช่ค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้า
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ” กัวเหม่ยอิงนั่งลงบนตั่งข้างเตียงเตาที่แม่สามีนอนอยู่
แม่สามีของเธอล้มป่วยไม่มีเรี่ยวแรงหลังจากพ่อสามีเสียไปแต่ก็ไม่ถึงกลับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร่างกายส่วนบนยังขยับได้และก็มีอาการอ่อนแรงเท่านั้น
แม่สามีส่ายหัว“เธอไม่น่าไปมีปากมีเสียงกลับพวกเขา” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก่อนจะรับเอาน้ำอุ่นที่กัวเหม่ยอิงยื่นให้ขึ้นจิบ
ที่พวกนางยังอยู่กันได้แบบนี้ก็เพราะบ้านใหญ่คิดว่าคุมพวกนางได้จึงไม่ลงมือทำอะไร แต่หากมีเรื่องกันแล้วพวกนางก็คงต้องระวังตัว
“ช่างเถอะค่ะ ของพวกนี้พี่ใหญ่ของฉันเอาให้ หากให้พวกเขาไปอีกเดี๋ยวรอบหลังเราจะไม่ได้” ใช่แล้ว ช่วงหลัง ๆ มานี้พวกนางจะได้เนื้อสัตว์เดือนละครั้ง และส่วนมากบ้านกัวจะปรุงแล้วจึงเอามาให้ ไม่อย่างนั้นพวกเธอก็คงจะไม่ได้กิน
“ฉันน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่พวกเธอยังต้องอยู่อีกหลายปี” แม่หานถอนหายใจให้ลูกสะใภ้
ไม่รู้ว่าทำไมบ้านของพวกนางจึงมีแต่ปัญหา สามีของนางก็พลีชีพในการปฏิบัติหน้าที่ ยามนี้ลูกชายคนโตของนางก็พลีชีพไปอีกคนปล่อยให้เมียมาดูแลนางพร้อมกับลูกสาวที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน ไหนจะลูกสะใภ้คนรองที่ไม่ว่าใครจะบอกอะไรก็เชื่อฟังไปหมด หากเป็นคนอื่นยามนี้หล่อนคงจะกลับบ้านเดิมไปหาแต่งงานใหม่แล้ว ส่วนลูกชายคนเล็กก็ยังเรียนไม่จบ
นางแก่แล้วอีกไม่นานก็คงตายไป แต่ลูกสะใภ้ยังต้องอยู่ที่นี่ให้บ้านใหญ่กดขี่ นางไม่รู้ว่าต้องทำไงสะใภ้จึงจะหลุดพ้น หลานสาวก็ยังเล็ก
“พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอกค่ะ อย่างน้อยก็คงจะมาบีบให้เราส่งอาหารไปให้เหมือนเดิม” เพราะเวลานี้น้องรองของสามียังได้รับเงินเดือนจากกองทัพอยู่ ทางบ้านใหญ่สกุลหานจึงเข้ามาเอาส่วนแบ่งนี้ได้ แม้จะแยกบ้านกันแต่ยังไงพวกเธอก็ต้องส่งเงินไปให้พวกเขาทุกเดือน
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้น” แม่หานถอนหายใจอีกครั้ง
“แม่จะเอาอะไรไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าอำเภอ” กัวเหม่ยอิงที่คิดไว้แล้วเอ่ยถาม
“เธอจะเข้าอำเภอ?”
“ค่ะ ฉันจะไปซื้อนมผงมาให้เสี่ยวลู่น้อย จะให้หล่อนกินน้ำข้าวไปตลอดคงจะไม่โต อีกอย่างเราก็มีของกินไม่กี่อย่าง” กัวเหม่ยอิงอธิบาย
“ต้องใช้เงินมากขนาดไหน?” แม่สามีถามพลางหันไปเลื่อนกำแพงข้างเตียงเตา
“คะ?”
“ฉันมีเงินไม่มาก แต่ก็พอจะใช้ซื้อของได้” แม่หานยื่นเงินในถุงมาให้ลูกสะใภ้คนโตที่กำลังตะลึงอยู่
บ้านใหญ่สกุลหานเอาไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมแม่สามีของเธอจึงมีเงินพวกนี้ได้กัน ในความทรงจำหลังจากแม่สามีล้มป่วยนางก็เอาเงินของบ้านทั้งหมดที่มีอยู่ร้อยกว่าหยวนให้เธอดูแล และให้นำไปใช้จ่าย อีกอย่างสะใภ้รองก็ไม่มีท่าทีตกใจเหมือนจะรู้เรื่องนี้แล้ว
“เงินเก็บพวกนี้เป็นเงินที่ฉันเก็บไว้แต่งเมียให้ลูกสาม” แม่หานบอกลูกสะใภ้ที่นั่งนิ่ง
นางไม่ใช่แม่ผัวเข้มงวดหรือแม่ผัวที่กดขี่ลูกสะใภ้ และก็ไม่เคยหวงเงินไว้ซื้ออาหารการกิน เพียงแต่จะเก็บบางส่วนไว้ให้เหล่าลูกชาย
และในยามนี้พวกนางก็ไม่ได้มีเงินหากไม่เอาออกไม่ใช้พวกนางก็จะได้ตายจริง ๆ อีกอย่างนมผงของหลานสาวก็มีราคาแพงพอสมควร
“ค่ะ” กัวเหม่ยอิงไม่ได้ปฎิเสธที่จะรับเงินมาถือ ยังไงเธอก็เป็นคนดูแลภายในบ้าน จึงไม่แปลกที่จะรับเอาเงินมา หากน้องสามจะแต่งภรรยา เธอค่อยเอาเงินที่มีมาใส่ให้เขาก็ได้
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก
เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามีแต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าวแต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอ
กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก“น้องสาวห้า”ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก“พี่ใหญ่!”“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”“ค่ะ”กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจ
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่
กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก“น้องสาวห้า”ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก“พี่ใหญ่!”“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”“ค่ะ”กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจ
เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามีแต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าวแต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอ
ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก