กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ
“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า
“ปลาล่ะ”
“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่ง
กัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก
“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง
“คะ” สะใภ้รองหันมามอง
“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอ
กัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน
“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่มองหาพี่ตลอดเลย” สะใภ้รองบอก
“อือ” เพราะเธอไม่รู้จะทำตัวยังไงก็เลยไม่ได้เข้าไปดูแม่สามี แต่ก่อนนั้นกัวเหม่ยอิงจะเข้าไปคุยกับแม่สามีทุกวัน แม้จะคุยไม่กี่คำแต่ก็เข้าไปบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้คนป่วยได้ฟัง พอถิงถิงเข้ามาอยู่ในร่างเธอก็ไปให้เห็นหน้าแค่ครั้งเดียว
“ไก่พวกนี้คงจะเป็นพี่ใหญ่กัวให้มาสินะคะ” เพราะถ้าเป็นคนอื่นพวกเธอก็คงจะไม่ได้มัน
“ใช่”
บทสนทนาระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ดังขึ้นต่อเนื่องระหว่างล้างคราบดิน แล้วก็ทำความสะอาดของต่าง ๆ ที่ได้มาวันนี้ กัวเหม่ยอิงแล่เนื้อไก่สองตัวให้เหลือแต่กระดูก เนื้อไก่เธอนำไปหมักเค็มจะเอาไปตากแดดให้เนื้อแห้งจะได้เก็บไว้ได้
ส่วนกระดูกเธอนำมารวมกับไก่ที่เหลือ สับให้เป็นชิ้นแล้วนำไปตุ๋นรวมกับเกากี๋ในน้ำเดือด ตอนเย็นจะได้กินแกงไก่หอม ๆ บำรุงร่างกาย
พวกปลา กุ้งแล้วก็ปูที่ได้มากัวเหม่ยอิงขังไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยนำปลาตัวเล็กมาแล่ตากแดดเอาไว้ ส่วนปลาก็ค่อยตุ๋นรวมกันเป็นอาหารพรุ่งนี้ ส่วนผักหวานสะใภ้รองบอกแม่สามีชอบกินมาก เธอจึงจะผัดน้ำมันเย็นนี้ แล้วก็เอาไปต้มใส่เห็ดด้วยส่วนหนึ่ง มันเป็นเมนูที่เธอชอบมาก
กลิ่นไก่ตุ๋นเกากี๋หอมไปทั่วบริเวณบ้าน นาน ๆ ทีจะมีบ้านไหนทำกับข้าวที่มีเนื้อ จึงไม่แปลกที่จะมีคนมาเกาะรั้วดู และหนึ่งในนั้นก็เป็นคนจากบ้านใหญ่สกุลหานที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่
‘บ้านไหนทำอาหารจานเนื้อกันนะ!’ หญิงกลางวัยคน คนหนึ่งโพล่งถาม
‘โอ้ ป้าสะใภ้รองหาน ท่านไม่รู้หรือว่าบ้านสามของพวกท่านได้ไก่มา” คนที่เห็นพี่ใหญ่กัวยื่นไก่ให้กัวเหม่ยอิงพูดขึ้นด้วยความอิจฉา
ตาแก่ที่บ้านกับลูกชายของนางต่างไม่มีฝีมือในการล่าสัตว์ ทำให้พวกนางได้กินเนื้อแค่ตอนที่แจกจ่ายเท่านั้น
‘เนื้อ? ได้ยังไงกัน พวกนางไปซื้อมาหรือ!” เสียงแหลมสูงดังขึ้นด้วยความร้อนใจ
‘ฉันเห็นพี่ใหญ่กัวเอามาให้สะใภ้ใหญ่บ้านสาม ไม่เชื่อก็ถามบ้านจ้าวดู’ นางชี้ไปที่คนสกุลจ้าวที่อยู่บ้านข้าง ๆ ของบ้านสามสกุลหาน ถึงระยะจะบ้านจะห่างกันแต่ก็มองเห็นการกระทำอื่น ๆ
‘อกตัญญู อกตัญญู!’
เสียงข้างนอกยังดังต่อเนื่องแต่กัวเหมยอิงไม่ได้สนใจ แล้วก็ห้ามสะใภ้รองออกไปดูข้างนอก ถึงบ้านจะไม่มั่นคงจริง แต่เธอก็เชื่อว่าบ้านใหญ่ไม่กล้าพังเข้ามา ยังดีที่หลังบ้านนั้นมีรั้วสูงกั้นเกือบสองเมตรอีกรอบ คนข้างนอกก็เลยมองไม่เห็น
“ฉันว่าป้าสะใภ้รองต้องพาคนมาแน่ ๆ เลยค่ะ!” สะใภ้รองเอ่ยด้วยความร้อนใจ บ้านของพวกเธอมีเพียงคนป่วย เด็กและสตรีอ่อนแอสองคน จะสู้คนบ้านหานได้ยังไง
“ยังไงนางก็ไม่กล้าพังบ้านหรอก” กัวเหม่ยอิงส่ายหัว หากบ้านสามของพวกเธอถูกพังบ้านขึ้นมาจริง ๆ คนที่จะต้องเดือดร้อนก็คือบ้านใหญ่สกุลหานไม่ใช่บ้านพวกเธอ
กัวเหม่ยอิงจัดการทำความสะอาดในห้องครัว อะไรที่ควรเก็บและสามารถซ่อนได้เธอก็หาที่ซ่อน และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าบ้านหลังนี้มีที่ซ่อนของเต็มบ้าน! แม้แต่พื้นในห้องครัวก็สามารถซ่อนได้ ที่ไม่ได้ซ่อนก็คงจะเป็นไก่ตุ๋นเกากี๋ที่กำลังตุ๋นอยู่
พอจัดการเสร็จเธอจึงให้สะใภ้รองเข้าไปดูแม่สามีส่วนตัวเองเข้าห้องไปดูลูกสาวที่กำลังร้องไห้งอแง ไม่รู้ว่าไม่สบายตัวหรือสัมผัสไม่ได้ว่าไม่มีคนอยู่ใกล้
“โอ๋ ๆ เสี่ยวลู่น้อยตื่นแล้วหรอจ๊ะ” กัวเหม่ยอิงอุ้มลูกสาวขึ้นมาปลอบ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่อุ้มหล่อนก็เงียบเสียงลงอย่างน่าประหลาดใจ
“แอ้!”
“ช่างเลี้ยงง่ายจริง ๆ” กัวเหม่ยอิงหัวเราะ เสียดายที่นี่ไม่มีของเล่นหรือขวดนมให้ลูกสาวได้ดูดเล่นเธอจึงต้องเล่นกับลูกสาวเอง ถึงเธอจะเป็นแม่ของหล่อนแต่เธอก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กเล็กแบบนี้มาก่อน แต่ยังดีที่มีความทรงจำจากกัวเหม่ยอิงอยู่ และก็รู้ว่าหล่อนรักลูกสาวมาก
‘สะใภ้ใหญ่! สะใภ้รอง!’
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำเอาหานเมิ่งลู่หรือเสี่ยวลู่น้อยของเธอสะดุ้ง กัวเหม่ยอิงรีบคว้าเอาร่างลูกสาวที่กำลังจะอ้าปากร้องขึ้นมาปลอบ
“โอ๋ ๆ หนูตกใจหรอจ๊ะ ไม่ต้องตกใจจ้ะ แค่เสียงนกเสียงกา” กัวเหม่ยอิงหันไปยังทิศทางของเสียงอย่างไม่พอใจ ลูกของเธอกำลังอารมณ์ดีแท้ ๆ
“เธอพาเสี่ยวลู่เข้าไปหาคุณแม่ก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
กัวเหม่ยอิงอุ้มลูกสาวตัวน้อยออกจากห้องก่อนจะส่งให้สะใภ้รองที่ออกมาจากห้องของแม่สามีเช่นกัน สะใภ้รองที่ไม่กล้าปฎิเสธพี่สะใภ้ก็ทำได้เพียงอุ้มหลานเข้าห้องไป ส่วนตัวกัวเหม่ยอิงนั้นไม่ได้ออกไปเปิดประตูให้คนข้างนอก แต่เธอเข้าไปดูตุ๋นไก่ที่กำลังเคี่ยวได้ที่
‘มาเปิดประตูสิ!’
ตุ้บ! ตุ้บ!
‘เคาะแรง ๆ!’
‘เคาะจนกว่าพวกมันจะเปิด!’
‘บ้านใหญ่สกุลหานทำเกินไปแล้ว’
‘อย่ามายุ่ง! เจ้าเคาะแรง ๆ สิ!’
กัวเหม่ยอิงส่ายหัวให้กับเสียงข้างนอก และเนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นบ้านดิน พอมีคนเคาะบ้านแรง ๆ เศษดินแห้งที่ผุพังก็เริ่มหล่นลงมา กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ เธอไม่มีทางเลือกเลยในเวลานี้
“ป้าสะใภ้ใหญ่มีอะไรหรือเปล่าคะ ตอนนี้เสี่ยวลู่กับคุณแม่กำลังพักผ่อน กรุณาอย่าส่งเสียงดังค่ะ” ถึงอยากจะตะโกนกลับว่าอย่าเสียมารยาทแต่เธอก็ทำไม่ได้
‘เปิดประตูสิ!’
“ฉันไม่ว่างค่ะ” กัวเหม่ยอิงยืนอยู่หลังประตูไม้ที่เหลืออีกนิดเดียวก็จะหัก
‘เธอทำอะไร? ได้ไก่มาไม่คิดจะเอาไปให้พวกฉันหรือยังไง!’
เมื่อกลางวันตอนนางถึงบ้านก็ถูกแม่สามีด่าที่ไม่สามารถหาผักหวานให้ได้ และยิ่งถูกด่าเพิ่มไปอีกที่เอาผักจากหลานสะใภ้ไม่ได้ และไม่นานมานี้น้องสะใภ้ของนางก็ไปบอกว่าบ้านสามได้ไก่จากบ้านกัวนางจึงยอมไม่ได้!
โดยปกติหากบ้านสามได้เนื้อสัตว์มาพวกนางแค่เปิดประตูเข้าไปเอาของก็ไม่มีใครกล้าว่า ยิ่งคนให้อย่างบ้านกัวก็ไม่มีใครกล้าปริปากไม่อย่างนั้นลูกสาวคนเล็กก็จะถูกสั่งสอน พวกนางจึงได้ใจ แต่วันนี้พวกมันกลับลงกลอนประตูเอาไว้อย่างรู้ทัน
“ไก่พวกนี้พี่ใหญ่ของฉันเป็นคนให้มา คงจะเอาให้บ้านใหญ่ไม่ได้หรอกค่ะ” กัวเหม่ยอิงตอบอย่างใจเย็นทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะด่ากลับไปแล้ว วันนี้เข้าป่าเหนื่อย ๆ ควรจะได้พักแต่กลับมีเรื่องวุ่นวายทั้งวัน
‘ใช่ ๆ ไก่พวกนี้พี่ใหญ่กัวเอาให้สะใภ้ใหญ่บ้านสาม’
‘บ้านใหญ่หานก็จริง ๆ’
‘ฉันเห็นพวกนางเอาของบ้านสามไปตลอด!’
‘ดีจริง ๆ ที่ครั้งนี้สะใภ้ใหญ่ไม่เอาให้’
‘หุบปาก!’
กัวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปาก ถึงบ้านใหญ่สกุลหานจะมีพวกเยอะแต่พวกเขาก็ไม่กล้าผลีผลามขนาดนั้น กฎตอนแยกบ้านยังมี ไหนจะคนในหมู่บ้านที่อยู่ในหมู่บ้านอีก อีกอย่างถึงคนสกุลหานจะเป็นแบบนี้แต่พวกเขายังหน้าบางยิ่ง
“ฉันทำน้ำแกงให้คุณแม่ไปหมดแล้วล่ะค่ะ หากป้าสะใภ้อยากได้ก็ลองไปขอซื้อจากพี่ชายฉันดู” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเรียบแล้วเดินหนีจากหน้าประตู
‘จะไปไหน!’
‘ออกมาให้ฉันคุยด้วยสิ!’
‘ไม่ได้ยินหรือยังไง’
‘บ้านสามช่างน่าสงสารจริง ๆ ”
‘บ้านใหญ่หานก็จริง ๆ คนป่วยกับเด็กก็พักอยู่ยังมากวนได้’
‘ใช่ ๆ’
‘กลับสิ! จะยืนอยู่ทำไม!’
เห็นทีบ้านหลังนี้คงจะอยู่ยากแล้ว ความปลอดภัยก็ไม่มีอะไรเลย ยิ่งไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยแล้วยิ่งยากไปใหญ่
“หล่อนหลับหรือ” กัวเหม่ยอิงเดินเข้าห้องแม่สามีแล้วเห็นเสี่ยวลู่นอนอยู่ข้าง ๆ
“ใช่ค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้า
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ” กัวเหม่ยอิงนั่งลงบนตั่งข้างเตียงเตาที่แม่สามีนอนอยู่
แม่สามีของเธอล้มป่วยไม่มีเรี่ยวแรงหลังจากพ่อสามีเสียไปแต่ก็ไม่ถึงกลับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร่างกายส่วนบนยังขยับได้และก็มีอาการอ่อนแรงเท่านั้น
แม่สามีส่ายหัว“เธอไม่น่าไปมีปากมีเสียงกลับพวกเขา” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก่อนจะรับเอาน้ำอุ่นที่กัวเหม่ยอิงยื่นให้ขึ้นจิบ
ที่พวกนางยังอยู่กันได้แบบนี้ก็เพราะบ้านใหญ่คิดว่าคุมพวกนางได้จึงไม่ลงมือทำอะไร แต่หากมีเรื่องกันแล้วพวกนางก็คงต้องระวังตัว
“ช่างเถอะค่ะ ของพวกนี้พี่ใหญ่ของฉันเอาให้ หากให้พวกเขาไปอีกเดี๋ยวรอบหลังเราจะไม่ได้” ใช่แล้ว ช่วงหลัง ๆ มานี้พวกนางจะได้เนื้อสัตว์เดือนละครั้ง และส่วนมากบ้านกัวจะปรุงแล้วจึงเอามาให้ ไม่อย่างนั้นพวกเธอก็คงจะไม่ได้กิน
“ฉันน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่พวกเธอยังต้องอยู่อีกหลายปี” แม่หานถอนหายใจให้ลูกสะใภ้
ไม่รู้ว่าทำไมบ้านของพวกนางจึงมีแต่ปัญหา สามีของนางก็พลีชีพในการปฏิบัติหน้าที่ ยามนี้ลูกชายคนโตของนางก็พลีชีพไปอีกคนปล่อยให้เมียมาดูแลนางพร้อมกับลูกสาวที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน ไหนจะลูกสะใภ้คนรองที่ไม่ว่าใครจะบอกอะไรก็เชื่อฟังไปหมด หากเป็นคนอื่นยามนี้หล่อนคงจะกลับบ้านเดิมไปหาแต่งงานใหม่แล้ว ส่วนลูกชายคนเล็กก็ยังเรียนไม่จบ
นางแก่แล้วอีกไม่นานก็คงตายไป แต่ลูกสะใภ้ยังต้องอยู่ที่นี่ให้บ้านใหญ่กดขี่ นางไม่รู้ว่าต้องทำไงสะใภ้จึงจะหลุดพ้น หลานสาวก็ยังเล็ก
“พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอกค่ะ อย่างน้อยก็คงจะมาบีบให้เราส่งอาหารไปให้เหมือนเดิม” เพราะเวลานี้น้องรองของสามียังได้รับเงินเดือนจากกองทัพอยู่ ทางบ้านใหญ่สกุลหานจึงเข้ามาเอาส่วนแบ่งนี้ได้ แม้จะแยกบ้านกันแต่ยังไงพวกเธอก็ต้องส่งเงินไปให้พวกเขาทุกเดือน
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้น” แม่หานถอนหายใจอีกครั้ง
“แม่จะเอาอะไรไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าอำเภอ” กัวเหม่ยอิงที่คิดไว้แล้วเอ่ยถาม
“เธอจะเข้าอำเภอ?”
“ค่ะ ฉันจะไปซื้อนมผงมาให้เสี่ยวลู่น้อย จะให้หล่อนกินน้ำข้าวไปตลอดคงจะไม่โต อีกอย่างเราก็มีของกินไม่กี่อย่าง” กัวเหม่ยอิงอธิบาย
“ต้องใช้เงินมากขนาดไหน?” แม่สามีถามพลางหันไปเลื่อนกำแพงข้างเตียงเตา
“คะ?”
“ฉันมีเงินไม่มาก แต่ก็พอจะใช้ซื้อของได้” แม่หานยื่นเงินในถุงมาให้ลูกสะใภ้คนโตที่กำลังตะลึงอยู่
บ้านใหญ่สกุลหานเอาไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมแม่สามีของเธอจึงมีเงินพวกนี้ได้กัน ในความทรงจำหลังจากแม่สามีล้มป่วยนางก็เอาเงินของบ้านทั้งหมดที่มีอยู่ร้อยกว่าหยวนให้เธอดูแล และให้นำไปใช้จ่าย อีกอย่างสะใภ้รองก็ไม่มีท่าทีตกใจเหมือนจะรู้เรื่องนี้แล้ว
“เงินเก็บพวกนี้เป็นเงินที่ฉันเก็บไว้แต่งเมียให้ลูกสาม” แม่หานบอกลูกสะใภ้ที่นั่งนิ่ง
นางไม่ใช่แม่ผัวเข้มงวดหรือแม่ผัวที่กดขี่ลูกสะใภ้ และก็ไม่เคยหวงเงินไว้ซื้ออาหารการกิน เพียงแต่จะเก็บบางส่วนไว้ให้เหล่าลูกชาย
และในยามนี้พวกนางก็ไม่ได้มีเงินหากไม่เอาออกไม่ใช้พวกนางก็จะได้ตายจริง ๆ อีกอย่างนมผงของหลานสาวก็มีราคาแพงพอสมควร
“ค่ะ” กัวเหม่ยอิงไม่ได้ปฎิเสธที่จะรับเงินมาถือ ยังไงเธอก็เป็นคนดูแลภายในบ้าน จึงไม่แปลกที่จะรับเอาเงินมา หากน้องสามจะแต่งภรรยา เธอค่อยเอาเงินที่มีมาใส่ให้เขาก็ได้
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านมผง 1 กระป๋องอาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยสาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง“ค่ะ”เพราะแม่สามีล้มป่วยในตอนนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแม่สามีของ
“ไม่ได้!”เสียงตวาดของคุณย่าหานดังลั่นบ้านใหญ่เมื่อน้องชายสามเอ่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดและยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาว ไม่ให้ส่งลูกสาวกลับบ้านแม่เดิมของหล่อนสำหรับคนสกุลหานนั้นพวกเขาถือตัวเป็นใหญ่เพราะมีสมาชิกในบ้านเยอะ รวมถึงบ้านเดิมของเหล่าสะใภ้อีก พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาไม่ควรทำอะไรให้เสื่อมเสีย แต่แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ หล่อนเป็นลูกสาวของผม” น้องชายสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ ปกติเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าจะปฎิเสธใคร แต่เว้นคนสกุลหานเอาไว้ด้วยความที่เขาแทบจะเป็นแก้วตาดวงใจของบ้านจึงถูกเลี้ยงมาอย่างดี และที่เขาเป็นผู้เป็นคนอยู่ก็เพราะถูกสอนจากมารดา เว้นคนสกุลหานที่เขาไม่ค่อยจะฟังมารดา บ้านก็แยกกันแล้วบ้านใหญ่ก็ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป“เจ้าสาม! นายลืมไปแล้วเหรอว่านายยังไม่ได้แต่งงานแต่นายกลับมีลูกกลับมา” คุณย่าหานพยายามโน้มน้าวหลานชายในบรรดาหลานชายของนางที่มาจากบ้านสาม คุณย่าหานเอ็นดูหานหรงอี้ที่สุด เพราะเขาเรียนในระดับที่สูงกว่าเหล่าหลานชายในบ้านของนางที่ได้เรียน และเขายังเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนสกุลหานได้ เพียงแต่วันนี้กลับทำให้นางโกรธมาก เมื่อหลานชายที่คิดว
กัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองกับน้องชายคนเล็กของสามีไปยังบ้านเลขาธิการขอฃหมู่บ้าน ที่เธอพูดกับบ้านใหญ่ไปเธอไม่ได้แค่ขู่ เธอพูดจริงแล้วก็ทำจริง และระหว่างนั้นเธอก็แวะไปเอาเอกสารทั้งหมดที่มีไปด้วยโชคดีที่เลขาธิการหมู่บ้านทำธุระเสร็จแล้วก็เลยกลับมาดูแลหมู่บ้าน พรุ่งนี้ทุกคนก็จะต้องลงแปลงนาอีกครั้งเนื่องจากหยุดมาสามวันทุกอย่างก็เลยยุ่ง ๆ“เลขาธิการคะ”บริเวณที่กัวเหม่ยอิงมาเป็นกองผลิตของหมู่บ้าน จึงไม่แปลกหากบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าอาหาร ยุคนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง คนในหมู่บ้านที่ไม่มีเงินซื้อหรืออดอยากต่างก็ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดบางครั้งพวกเขาก็จะหาทางขโมยอาหารของหน่วยผลิตแต่ละตำบลและหมู่บ้านหน่วยผลิตจะแยกออกเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านไหนมีคนเยอะก็แยกเป็น 1 หน่วย แต่ถ้าหมู่บ้านที่มีน้อยก็จะถูกจัดคู่กับหมู่บ้านข้างเคียงให้เป็น 1 หน่วย และหมู่บ้านของพวกเธอนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงไม่ต้องรวมกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อเก็บผลผลิตเสร็จธัญพืชบางส่วนก็จะถูกส่งเข้ากองกลางของตำบล และเข้าเมืองต่อไปหากฤดูไหนได้ผลผลิตน้อยคนในหมู่บ้านต่างได้รับคงามเดือดร้อนกันทั่ว ลำพังผลผลิตน้อยมากแล้วยังต้องส่งเข้าก
การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้นนางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจ
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
ไข่เป็ดเป็นไข่ที่มีกลิ่นแรง เวลาทำอาหารถ้าไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่ง หรือรู้วิธีทำให้ไข่เป็ดไม่ให้มีกลิ่นคาวในยุคนี้หายากมาก บ้านไหนที่มีกำลังซื้อไข่กินก็จะเลือกซื้อไข่ไก่มากกว่าไข่เป็ดอย่างไข่เป็ดกับไข่ไก่ที่เอามาวางขายที่ร้าน กัวเหม่ยอิงถามคนในบ้านดูแล้ว มันถูกซื้อน้อยกว่าไข่ไก่เป็นครึ่ง อีกอย่างไข่เป็ดก็เหลือกลับบ้านทุกวัน เพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าเป็ดกับลูกเจี๊ยบจะฟักไข่ออกมาเป็นตัว ถ้าวันไหนขายไม่หมดก็ให้เอากลับมากินที่บ้าน อีกอย่างถ้าเก็บไว้มันก็จะผสมกับไข่ใหม่ ถ้าลูกค้าได้ไข่ที่ไม่ดีไปร้านก็จะเสียหายกัวเหม่ยอิงที่กลับมาอยู่บ้านหลายวันจึงแก้ปัญหาด้วยการที่ขายแค่ไข่ไก่ และนำไข่เป็ดที่ได้ในแต่ละวันออกมาทำไข่เค็ม บางส่วนก็นำไปทำอาหารกินในบ้านแต่ไข่ไก่ที่ร้านนั้นต้องบอกว่ามันขายดีมาก กัวเหม่ยอิงจึงเช่าที่ดินของบ้านกัวข้างบ้านในการสร้างเล้าแล้วเลี้ยงเป็ดกับไก่ โชคดีที่บ้านกัวได้เก็บเกี่ยวข้าวที่ทำหมดแล้วและปล่อยที่ดินว่างไว้ กัวเหม่ยอิงจึงขอเช่าที่ข้างบ้านปีละหนึ่งพันหยวน มันจะสามารถเลี้ยงไก่กับเป็นได้เป็นพัน ๆ ตัวซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกบ้านกัวจะไม่รับเงินในส่วนนี้ แต่กัวเหม่ยอิงก็ได้อธิบา
กัวเหม่ยอิงสอนมู่ลี่ มู่จี้ ทำบัญชีของร้าน เพราะเธอต้องกลับไปที่อำเภอจึงต้องให้สองสาวฝาแฝดเป็นคนจัดการในร้าน เธอต้องการขยายร้านให้มีหลายสาขาและขั้นตอนแรกเธอจึงต้องไว้ใจให้พนักงานเป็นคนดูแล และจะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะเอาส่วนเรื่องหน้าร้านกลัวเหม่ยอิงไม่ได้เป็นห่วงแล้ว ทั้งสองรู้จักวิธีขาย และจัดการเวลาพักได้อย่างดีตลอดหนึ่งเดือนที่ได้เปิดร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ถูกพูดถึงไปทั่วมณฑล เวลากัวเหม่ยอิงไปสั่งซื้อเสื้อยืดจากร้านประจำ เธอก็ถูกเเจ้าของร้านแซวว่าตอนนี้ร้านของเธอไปได้ไกลกว่าหล่อนซะอีก ซึ่งเธอก็บอกว่าเป็นแค่ช่วงขาขึ้นและตอนนี้กัวเหม่ยอิงได้ย้ายที่พักแล้ว มันเป็นบ้านพักสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องโถง มันเป็นหนึ่งในบ้านเช่าของคุณลี่หวานที่พอรู้ว่ากัวเหม่ยอิงหาบ้านก็ตื้อให้มาพักในบ้านเช่าของเขา โดยให้เหตุผลว่าไหน ๆ เธอก็จะกลับไปอยู่ที่อำเภอ แล้วเข้ามาพักในมณฑลเป็นบางครั้ง ก็เช่าบ้านเช่าเขาก็ได้ โดยที่เช่าเดือนละ 100 หยวน ซึ่งมันถูกมากหากเทียบกับคนอื่นที่เช่า เพราะบ้านเช่าแบบนี้เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 200 หยวนซึ่งกัวเหม่ยอิงจะกลับบ้านพรุ่งนี้ วันนี
ภายในตัวร้านเป็นร้านขนาดเล็กแต่พอเอาของที่อยู่ภายในร้านออก มันก็กว้างแทบจะพอ ๆ กับร้านขายของหานอีเลย ซึ่งกว่าจะใช้เวลาทำความสะอาดและต่อเติมมันก็เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่รอร้านต่อเติมเสร็จกัวเหม่ยอิงก็แวะไปดูเสื้อที่สั่งตัดเย็บด้วย จากที่ตอนแรกมันจะได้วันละไม่ถึงห้าสิบตัว แต่พอกัวเหม่ยอิงให้ตัวละ 2 หยวน ทุกคนจึงเร่งฝีมือทำให้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เสื้อยืดที่ได้ส่งไปให้โรงตัดเย็บก็ปักเสร็จพอดี กัวเหม่ยอิงจึงให้ผู้หญิงในโรงตัดเย็บที่ฝีมือดีออกแบบลายเสื้อผ้าให้ส่วนสองสาวฝาแฝดมู่กัวเหม่ยอิงได้ทดสอบความรู้ของพวกเธอไป พวกเธอมีความรู้และรู้จักตัวหนังสือเยอะพอสมควร ตลอดหนึ่งสัปดาห์กัวเหม่ยอิงจึงได้บอกระบบของร้านว่าควรจะทำยังไง เวลาขายเสื้อได้ต้องจดยังไงซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่ได้คาดหวังให้ร้านเสื้อผ้าของเธอเป็นร้านใหญ่ที่สุดในมณฑล แต่เธอคาดหวังว่าร้านจะเป็นที่รู้จักไม่ว่าจะมณฑลนี้ หรือมณฑลไหน“เธอจดผิดนะมู่ลี่ มันต้องขีดสีขาวสองตัว สีดำสามตัว ไม่ใช่สีขาวสาม สีดำสอง” กัวเหม่ยอิงชี้จุดผิดให้หล่อนดูกำหนดเปิดร้านเสื้อผ้าเมิ่งลู่ ที่ย่อมาจากหานเมิ่งลู่ลูกสาวของเธอคืออีกสองวันข้างหน้า วันนี้
ก่อนที่จะไปหาเช่าสถานที่เปิดร้านเสื้อผ้า กัวเหม่ยอิงก็ได้เข้าไปสั่งซื้อเสื้อยืดจากร้านประจำ รอบนี้กัวเหม่ยอิงสั่งซื้อแค่จำนวน 500 ตัว โดยที่แยกเป็นสีดำ สีขาวสีละ 250 ตัว ที่เธอสั่งมาแค่ 500 ตัว ก็เพราะตอนนี้เธอยังอยู่ที่โรงแรม ร้านที่จะเปิดขายเสื้อผ้าก็ยังไม่มี จึงไม่อยากรบกวนทางโรงแรมมากนักเนื่องจากเธอได้รบกวนคุณลี่หวานมา 2 วันติด วันนี้จึงไม่ได้ให้เขามาช่วยหาร้านเช่าขายเสื้อ แต่เธอได้ฝากเสื้อยืดทั้งหมดให้คุณลี่หวานไปให้โรงตัดเย็บแล้วส่วนวันนี้หลังจากกินข้าวมื้อเช้าในห้องเสร็จกัวเหม่ยอิงกับพี่ใหญ่กัวก็เปลี่ยนชุด เตรียมตัวออกไปหาร้านเช่ากัน โชคดีที่โรงแรมไม่ได้ห่างย่านการค้ามากกัวเหม่ยอิงไม่ได้เจาะจงว่าร้านขายเสื้อจะเป็นตึกหรือเป็นร้านเล็ก ๆ เธอขอแค่ให้เป็นร้านที่ไม่ได้แออัดมาก และเป็นร้านที่โดดเด่นหรือไม่ก็เป็นที่สังเกตได้ง่ายของเหล่าลูกค้า“พี่ถามคุณลี่แล้ว เขาบอกห้องเช่าจะถูกกว่าตึกเกือบครึ่งหนึ่งเลย ถึงจะเล็กกว่ามาก แแต่เขาก็แนะนำให้เช่าห้องเช่าในย่านการค้า แล้วเขาก็บอกอีกว่าให้ทำสัญญาเช่าสักปี สองปี ไม่ต้องเช่านานแต่ก็ไม่เช่าน้อยไป เพราะถ้าเราขายดีแล้วเจ้าของที่จะไม่ให้เราขายต
คุณลี่หวานพากัวเหม่ยอิงขับรถวนหาโรงงาน7-8โรงงานแล้ว บางโรงงานมันก็ดี แต่สำหรับกัวเหม่ยอิงแล้วคุณภาพมันไม่ได้เลย บางโรงงานเก็บรายละเอียดตั้งแต่ใหญ่จนเล็ก แต่ผ้าที่ใช้ขาดคุณภาพ บางโรงงานผ้าคุณภาพดีแต่การปักเย็บไม่ละเอียดกัวเหม่ยอิงไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะสามารถหาโรงงานตัดเย็บได้ตั้งแต่วันแรก แต่เธอก็อยากได้สักโรงงานมาจดเอาไว้ก่อน ไม่มีโรงงานไหนที่ถูกใจกัวเหม่ยอิงเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงงามขนาดใหญ่ โรงงานขนาดกลาง และโรงงานขนาดเล็กกัวเหม่ยอิงไม่ว่าอะไรหากเสื้อผ้าของเธอจะมาจากโรงงานขนาดเล็ก แต่ขอให้ผ้ามีคุณภาพและสามารถตัดเย็บได้ตามที่เธอต้องการก็พอ“อันที่จริงผมว่าจะพาไปดูกลุ่มแม่บ้านแต่คงจะไม่ทันแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวผมจะพาไปใหม่นะครับ” คุณลี่หวานขับรถมาส่งสองพี่น้องบ้านกัวที่หน้าโรงแรมกัวเหม่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ “จะไม่รบกวนใช่ไหมคะ” วันนี้เธอก็รบกวนเขาทั้งวันแล้วคุณลี่หวานโบกมือปฎิเสธ “รบกวนอะไรกันครับผมเต็มใจ อีกอย่างพรุ่งนี้ร้านขายผลไม้ผมหยุดพอดี” เขาตอบ ถึงแม้จะต้องเข้าไปดูบัญชีแต่เขาก็สามารถตรวจตอนเย็นได้“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”กัวเหม่ยอิงว่าพลางลงจากรถ ตามด้วยพี่ใหญ่กัวที่แทบจะหลับแล้ว เนื่อ
ผักกาด ต้นหอม หัวไชเท้า และแครอทถูกตัดและขุดขึ้นมาหลังจากมันโตเต็มที่แล้ว จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาดเรียบร้อยก่อนจะถูกนำไปแช่ในน้ำเกลือ ผักรอบนี้ที่เก็บขึ้นมากัวเหม่ยอิงทำกิมจิทั้งหมด เพราะผักดองมันเหลือเก็บไว้อยู่ส่วนแปลงผักที่ว่างกัวเหม่ยอิงก็จัดการบำรุงดินอยู่สามวันถึงจะให้ลงเมล็ดผักรอบใหม่ และเน้นไปที่ผักกาดเอาไว้ทำกิมจิและวันนี้ก็เป็นวันที่กัวเหม่ยอิงกับพี่ใหญ่กัวจะเข้ามณฑลโดยที่จะเข้าแบบไม่มีกำหนดกลับ เนื่องจากจะหาโรงงานเย็บลวดลายเสื้อ ไหนจะหาเช่าขายเสื้อของเธออีกโดยเงินเก็บของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมามีมากถึงหนึ่งหมื่นกว่าหยวน จำนวนเงินนี้รวมกับที่เธอมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่รวมเงินส่วนแบ่งทุกเดือนของลูกสาวหรือเงินที่ผู้ใหญ่ให้ในวันสำคัญของหล่อน อันนั้นกัวเหม่ยอิงก็แยกไว้อีกส่วน ไว้หล่อนโตจนบริหารเงินเองได้ถึงจะเอาคืนให้“เดี๋ยวฉันตามไปค่ะ”กัวเหม่ยอิงบอกกับพนักงานร้านขายผลไม้ร้านประจำที่เธอซื้อบ่อย ๆ ทันทีที่พวกเธอเข้ามาในตัวมณฑล หล่อนก็วิ่งมาบอกอย่างรู้งาน และมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาเธอเข้ามาคุณลี่หวานหรือเจ้าของร้านผมไม้จะให้พนักงานในร้านมาเชิญกัวเหม่ยอิงไปกินข้าวด้วยท
กิมจิถูกเปิดชิมหลังทำการเก็บไว้ถึงสองอาทิตย์ สำหรับกัวเหม่ยอิงแล้วกลิ่นมันแปลกมาก ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่ามันจะกินไม่ได้ แต่เพราะได้ทำแล้วจะทิ้งก็เสียดายของ จึงตักขึ้นชิมดู และต่อให้มีกลิ่นที่แปลก รสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น แต่มันก็ยังสามารถกินได้เพราะมันไม่เน่าเลยสิ่งแรกที่กัวเหม่ยอิงจะทำคือการทอดใส่ไข่ไก่ ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร กัวเหม่ยอิงจึงหั่นกิมจิผักกาดออกเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นก็นำไปใส่ไข่ไก่ที่ตีไว้แล้ว กัวเหม่ยอิงไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่ม เพราะอยากรู้รสชาติว่ามันจะเป็นยังไงส่วนกิมจิผักกาดที่เหลือก็ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเหมือนกัน เธอตักใส่จานไว้ มันเป็นเครื่องเคียงอาหารมื้อเช้าของวันนี้ โดยมีข้าวต้มปลาเป็นอาหารจานหลัก ส่วนกิมจิแครอทกับหัวไชเท้าหั่นฝอยกัวเหม่ยอิงชิมแล้วรสชาติมันถูกปากจึงนำไปผัดใส่น้ำมันพริกให้กลิ่นหอม“ผักดองเหรอครับ” เป็นหลี่หม่าฮัวที่ถามขึ้นมาเมื่อเคี้ยวถูกผักกาดในไข่แต่มันมีรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้นกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “มันเป็นผักดองแบบใหม่ ฉันพึ่งทดลองทำขึ้นมาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว รสชาติเป็นยังไงบ้าง” ยอมรับว่าไข่เจียวกิมจิผักกาดมันถูกปากอยู่บ้าง แต่กัวเหม่ยอิงสนใจกิมจิแครอท
หลังจากแช่ผักไว้ครบ 2 ชั่วโมง กัวเหม่ยอิงก็นำผักกาดที่แช่ไว้มาใส่ชามที่เตรียมไว้ผสม ส่วนแครอทกับหัวไช้ท้าหั่นฝอยถูกแยกไว้อีกชาม เพราะกัวเหม่ยอิงแยกทำนอกจากผักยังมีเครื่องปรุงที่กัวเหม่ยอิงได้เตรียมไว้นั่นก็คือ แป้งข้าวเจ้า พริกป่นที่คั่วเก็บไว้ น้ำตาล เกลือ ขิงกับกระเทียมที่สับละเอียดต้มน้ำเปล่าด้วยไฟกลาง พร้อมกับเทแป้งข้าวเจ้าลงไปคนให้ละลายจนน้ำเริ่มข้น แล้วยกลงจากเตาเทใส่ชามเปล่าปรุงรสด้วยเกลือ พริก น้ำตาล คนผสมจนเข้ากันแล้วเทลงชามผัดกาด เติมขิง กระเทียมสับและต้นหอมลงไปนวดให้ผักกาดและเครื่องปรุงเข้ากัน กัวเหม่ยอิงก็เก็บใส่โหลแก้วที่ถูกทำความสะอาดแล้วส่วนแครอทกับหัวไชเท้าหั่นฝอยกัวเหม่ยอิงก็ทำเหมือนกันเพียงแค่ไม่ได้ใส่ต้นหอม เพราะเธอใส่ผักกาดขาวไปหมดไม่รู้ว่ากิมจิที่เธอลงมือทำครั้งแรกโดยที่ไม่เคยกินจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะพริกที่ใช้ทำเป็นพริกจีน ไม่ใช่พริกแบบที่ใช้ทำกัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เก็บเอาไว้ในโหล รอดูอีก 2-4 สัปดาห์ว่ามันจะกินได้ไหมหลังจากทำกิมจิเสร็จ หน้าที่ของกัวเหม่ยอิงก็ต้องล้างทำความสะอาด แล้วไปช่วยผู้เป็นพี่สาวฝานกล้วยที่จะนำไปตากแดด รอทอดใส่โหลวางขาย ซึ่งตอนนี้กั
บ้านสามสกุลหานลอยตัวเหนือข่าวที่บ้านใหญ่เอาที่ดินไปขาย แม้ภายหลังจะมีผู้อาวุโสของหมู่บ้านเข้ามาสอบถาม พวกเธอก็ตอบแค่ที่รู้เท่านั้น และปฎิเสธที่จะขายที่ดินต่อ เนื่องจากจะยกให้น้องชายสาม“เธออยู่พอดีเลย มานี่หน่อย”กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่ยืนนิ่ง จากนั้นก็เอากระดาษที่เอามาจากในอำเภอออกจากกระเป๋าผ้ากับเสื้อยืดสีขาวและสีดำอย่างละตัว “นี่เป็นลวดลายที่ฉันต้องการเย็บลายแบบนี้ เธอสามารถทำได้ไหม ลายไหนก็ได้ใน 5 ลายนี้ หรือถ้าไม่เข้าใจก็สามารถอ่านรายละเอียดได้” กัวเหม่ยอิงอธิบายเมื่อพาสะใภ้รองเข้าห้องตัดเย็บผ้าของบ้านสะใภ้รองนั่งลงประจำเก้าอี้ที่หล่อนเข้ามาบ่อย ๆ ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาดู มันเป็นรูปลวดลายที่พี่สะใภ้อยากให้เย็บเพิ่มเติมในเสื้อยืด พร้อมกับรายละเอียดอย่างชัดเจน และยังดีที่หล่อนอ่านหนังสือได้แล้ว มันจึงไม่ใช่ปัญหา“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะถูกใจพี่ไหมเพราะฉันไม่เคยทำเสื้อยืด อีกอย่างเสื้อยืดสีดำคงจะมีแค่ด้ายสีขาวที่ใช้ได้” เพราะถ้าใช้สีอื่นมันจะไม่เข้ากัน“ได้ แล้วก็ไม่ต้องเร่งเย็บก็ได้” กัวเหม่ยอิงบอกเธอสั่งให้พี่ชายทำราวไม้กับไม้แขวนเสื้อให้ก่อนที่จะเปิดร้าน เวลาขายเสื้อ