กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว
“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง
“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้า
อาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ
“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง
“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”
“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”
สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้ว
กัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัวเหม่ยอิงต้องการที่จะเก็บน้ำไว้ในโถหรือไหมากกว่าชาม แต่เพราะไหนั้นกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่สะอาด
ต่อให้ล้างฆ่าเชื้อมากแค่ไหน ถ้าเก็บพวกของกินกัวเหม่ยอิงก็ใส่ได้แต่นี้เป็นน้ำต้มสุกให้เด็กเล็ก
“เสี่ยวลู่หิวแล้วเหรอจ๊ะ” กัวเหม่ยอิงก้มพูดกับเด็กในอ้อมแขน
หลังจากกินข้าวมื้อเช้าเสร็จเด็ก ๆ ก็พากันตื่นพอดี กัวเหม่ยอิงจึงชงนมโดยใช้น้ำที่ต้มไว้ก่อนจะทำกับข้าวมื้อเช้าเพราะต้องรอให้เย็นด้วยจะทำให้สารอาหารในนมไม่ลดลง อันนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่เห็นคนรู้จักเขาบอกมาแบบนี้ เธอจึงทำตามเพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างต่อให้ใช้น้ำร้อนก็ต้องรอให้เย็นอีกอยู่ดี
หานเมิ่งลู่น้อยกินนมเก่งมาก คงเพราะน้ำข้าวมีความเหนียวจึงต้องกินช้า ๆ แต่นมที่เธอซื้อมานั้นมันสำหรับเด็กแรกเกิดพอดีหล่อนจึงกินได้ง่ายมาก
กัวเหม่ยอิงรวบมัดผมด้วยผ้าผูกผมจากนั้นจึงหยิบตะกร้าไม้สานขึ้นมาสะพายพร้อมกับหยิบเอาเสียม
ติดมือออกจากบ้าน เธอจะไปดูที่ดินแล้วก็จะลองเข้าป่าแถวนั้นดู
ในหมู่บ้านนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขา ต้นไม้นานาพันธุ์ และทางออกของหมู่บ้านมีเพียงทางเดียวที่จะออกไปได้ หากไม่รวมกับที่ต้องออกไปทางป่าและแน่นอนว่าไม่มีใครใช้วิธีนี้ โดยป่าที่คนในหมู่บ้านนิยมไปจะเป็นป่าที่คนในหมู่บ้านเข้ากันตั้งแต่ก่อสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมาแล้ว
ส่วนป่าที่กัวเหม่ยอิงอยากจะลองเข้าไปในเป็นป่าที่คนในหมู่บ้านไม่เดินเข้าใกล้ ป่าแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับป่าที่เธอเข้าไปวันก่อน และน่าจะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก คนในหมู่บ้านไม่ได้เข้าไปเป็นสิบกว่าปีแล้วเพราะตอนนั้นเห็นว่ามีนายพรานเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมา
กัวเหม่ยอิงกระชับตะกร้าขึ้นบ่าอย่างมั่นคงพร้อมกับเดินไปยังจุดหมาย ระหว่างเดินไปคนในหมู่บ้านต่างหันมามองแล้วซุบซิบกัน ใครจะไม่รู้เรื่องราวเมื่อวานกันล่ะ อีกอย่างได้ยินว่าบ้านสามได้เงินคืนเป็นพันหยวน
ไหนสะใภ้รองจะหยุดงานในแปลงนาอีก ทุกคนต่างอิจฉากันมาก ใคร ๆ ก็ไม่อยากทำงาน แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ทำงานก็ไม่ได้กิน
โดยเฉพาะบ้านใหญ่สกุลหานที่ไม่ลงรอยกันตั้งแต่เมื่อคืน ไหนเมื่อเช้าเลขาธิการหมู่บ้านยังมาเอาเงินที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีเยอะขนาดนั้นไปให้บ้านสามยิ่งทำให้สถานการณ์ภายในแย่ลง หากเรื่องพวกนี้ไม่แดงขึ้นมาพวกเขาก็ไม่รู้ว่าคุณย่าหานเก็บเงินและเก็บทุกอย่างไว้ให้ครอบครัวของลูกชายคนโต แล้วครอบครัวของพวกเขาล่ะ? คุณย่าหานช่างลำเอียง!
‘เหอะ!’
‘ถ้าคุณแม่ไม่เก็บเงินไว้คนเดียวก็คงจะไม่ต้องคืนเยอะขนาดนั้นหรอก’
‘เงียบ ๆ ’
‘จริงค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณแม่จะเก็บไว้ให้บ้านใหญ่หมด’
‘เก็บเงินไว้มากมายแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ หึ’
‘หุบปาก!’
ที่ดิน 12 หมู่ ที่พ่อสามีซื้อไว้เป็นที่ดินที่ได้มาในราคาถูก หากเป็นคนอื่นขายคงไม่ต่ำกว่า 200 หยวน แต่พ่อสามีของเธอได้มาในราคา 125 หยวนเท่านั้น กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าที่ดินมันจะกว้างขนาดนี้ และอีกอย่างที่ดินผืนนี้ก็มีครบแทบจะทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นรั้วไม้ที่สูงมากกว่า 2 เมตร แต่หนาแน่นไม่ผุเหมือนกับบ้านที่อยู่ปัจจุบัน บ่อน้ำที่อยู่หลังบ้านไม่ต้องไปลำบากหาบน้ำมาใช้ ไหนจะมีเล้าไก่ เล้าหมูอีก 2-3 เล้า แต่เสียดายที่เจ้าของที่คนเก่านั้นรื้อตัวบ้านออกไปแล้วไม่งั้นเธอคงจะรีบย้ายเข้ามาอยู่
ตรงข้ามกับที่ดินผืนนี้เป็นบ้านของครอบครัวสกุลกัวที่กัวเหม่ยอิงได้เติบโตมา บ้านสกุลกัวมีขนาดน้อยกว่าที่ดินของสามีเธอถึงครึ่งหนึ่ง
ตัวบ้านเป็นดินโคลนที่สร้างมามากว่าสิบปีแล้ว บ้านสามที่ว่าผุพังยังต้องยอมให้กับบ้านกัว แต่ภายในรั้วบ้านนั้นคงจะดีกว่าบ้านสามเพราะได้รับการดูแลทุกวันจากสมาชิกในครอบครัว
ส่วนบ้านของคนอื่น ๆ ก็อยู่ห่างกันไป แต่บ้านของสกุลกัวนั้นเรียกได้ว่าแยกออกมาจากหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่เกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้น หลายบ้านที่อยู่บริเวณนี้ก็ต่างย้ายกันเข้าไปรวมในหมู่บ้าน แต่บ้านสกุลกัวไม่ได้มีเงินพอที่จะย้ายไปจึงต้องอยู่ที่นี่และห่างจากคนอื่น ส่วนที่ดินผืนของสามี สหายของปู่สามีอาศัยอยู่คนเดียวจึงไม่คิดจะย้ายไปไหน ได้ยินว่าเขามีลูกเพียง 3 คน คนโตกับคนรองเป็นผู้หญิงแต่งออกไปอยู่บ้านสามี ส่วนลูกชายคนเล็กทำงานในเมืองและสร้างบ้านอยู่ที่นั่น พอคนเป็นพ่อเกิดเรื่องก็มารับไปอยู่ด้วย
ระหว่างน้องชายสามกลับไปเรียนเธอจะให้เขาหาทางซื้ออิฐมาสร้างบ้านใหม่ ตอนนี้เธอมีคูปองสำหรับใช้สร้างบ้านจำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าจะพอ
กัวเหม่ยอิงหยุดสำรวจที่ดินแล้วสะพายตะกร้าไม้สานเข้าป่า ตอนนี้เธอยังสร้างบ้านใหม่ไม่ได้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสำรวจนาน เธอเพียงมาดูพื้นที่ และที่ดินก็รกมากเพราะไม่มีคนอยู่หลายปีแล้ว
บรรยากาศภายในป่าเงียบสงบและเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงลงพื้นดิน กัวเหม่ยอิงหยุดมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ บรรยากาศเต็มไปด้วยความวังเวงจนน่ากลัวแต่กัวเหม่ยอิงคิดว่าในป่านี้จะต้องเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์แน่ ๆ
หน่อไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและไม่มีใครเก็บเกิดขึ้นเต็มกอไผ่ กัวเหม่ยอิงจึงเก็บใส่ตะกร้าจนเต็ม วันนี้เธอมาคนเดียวจึงไม่กล้าที่จะอยู่นาน เอาไว้ให้พี่ใหญ่กัวพาเข้ามาจะดีกว่า
ส่วนหน่อไม้กัวเหม่ยอิงคิดว่าจะต้มเก็บไว้แล้วลองเอาไปขายในตลาดมืดที่เคยอ่านในนิยายดู ในความทรงจำของกัวเหม่ยอิงแล้วเธอเคยเข้าไปอยู่หลายครั้งแต่เธอเข้าไปซื้อไม่ได้เข้าไปขาย
‘หนักจริง ๆ’ กัวเหม่ยอิงบ่นแต่เธอก็สะพายตะกร้าไม้สานออกจากป่าแล้วกลับบ้าน
เพราะกัวเหม่ยอิงใช้เวลาไม่นานในการเข้าป่าครั้งนี้และรวม ๆ กับที่เดินดูที่ดิน เวลาเธอเดินกลับบ้านจึงเป็นเวลาพักของคนในหมู่บ้านพอดี
“โอ้ หน่อไม้อวบมาก!” คนในหมู่บ้านที่นั่งพักอยู่สังเกตเห็น
กัวเหม่ยอิงไม่ได้ใช้ผักหรืออะไรปิดหน่อไม้ไว้มันจึงไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะเห็น และไม่ใช่เพราะเธอตั้งใจให้ทุกคนเห็นแต่เธอลืมหาอะไรปิดต่างหาก
“เธอไปหาหน่อไม้มาจากไหนน่ะสะใภ้ใหญ่!” สะใภ้บ้านเฉียววิ่งเข้ามาดู
หน่อไม้ที่คนในหมู่บ้านเข้าไปหานั้นน้อยมากที่จะอวบและโตขนาดนี้ แค่พ้นดินไม่ถึงวันก็ถูกคนไปขุดเอาแล้ว จะดีหน่อยก็คนที่กล้าเข้าไปหาลึก ๆ ที่จะได้หน่อไม้มาหลายหน่อ
“ในป่าน่ะค่ะ” เพราะเธอไม่ได้มีปัญหากับสะใภ้บ้านเฉียวจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไม่ตอบ
“ฉันเข้าไปหาทุกวันแต่ไม่เจอ” หล่อนว่า
“ต้องเข้าไปหาลึก ๆ น่ะค่ะถึงจะเจอ ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ” กัวเหม่ยอิงบอกหลังเห็นคนบ้านใหญ่สกุลหานลุกขึ้นยืน
เธอไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะมาเอาหน่อไม้ไป แต่วันนี้เธอไม่ได้อยากปะทะกับใครจึงหลีกเลี่ยง อีกอย่างช่วงนี้ไม่เข้าใกล้บ้านใหญ่จะดีที่สุดแล้ว
“ให้พี่เอาไปส่งไหม” เป็นพี่ใหญ่กัวที่นั่งอยู่บริเวณนี้วิ่งมาดูเมื่อเห็นน้องสาวสะพายของหนัก
กัวเหม่ยอิงส่ายหัว“ไม่ล่ะค่ะ พี่ไปพักเถอะ ฉันเดินไม่นานก็ถึงแล้ว”
“ได้ ๆ ”
กัวเหม่ยอิงเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นเพราะรู้สึกหนัก กว่าจะถึงบ้านคนในบ้านก็พากันกินข้าวมื้อกลางวันกันแล้ว อันที่จริงเป็นกัวเหม่ยอิงเองที่บอกกับทุกคนว่าไม่ต้องรอเธอ ให้กินกันไปก่อนเลย
“โอ้! หน่อไม้” สะใภ้รองอุทาน
นาน ๆ ทีบ้านสามของพวกเธอจะได้หน่อไม้เพราะไปไม่ทันใคร หน่อไม้ที่ต้มเก็บไว้ก็ยังมีอีก คาดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะหามันมาได้อีก
“ต้มเหมือนเดิมเลยนะ” กัวเหม่ยอิงว่าเพราะเธอต้องไปอาบน้ำ
“ได้ค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงที่ทำความสะอาดร่างกายและกินข้าวเสร็จแล้วออกมาดูน้องชายสามทำเล้าไก่และแปลงผัก คาดว่าพรุ่งนี้คงจะเสร็จทันก่อนที่น้องชายสามจะกลับไปเรียน
“พี่สะใภ้” น้องชายสามทัก
“ไม่ต้องหนาแน่นมากแต่สามารถอยู่ได้อีกหลายเดือน” กัวเหม่ยอิงบอกกับน้องชายสามที่มัดเชือกเล้าไก่
2-3 วันมานี้ไก่ที่ไม่ค่อยออกไข่นั้นออกไข่ให้พวกเธอวันละเกือบสิบฟอง คาดว่าหากพวกเธอบำรุงไก่และให้กินแต่ของดี ๆ ไม่นานมันก็คงจะออกเยอะกว่านี้
“ได้ครับ” น้องชายสามพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงเอ่ยเสียงเบา“นายพอจะรู้จักคนขายอิฐไหม”
น้องชายสามตาโตก่อนจะพยักหน้า “สหายของผมเป็นลูกชายของคนขายอิฐในอำเภอครับ”
“อ่อ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ารับรู้
เอาไว้เขากลับเธอค่อยคุยกับเขาอีกทีดีกว่า เพราะตอนนี้น้องชายสามกำลังทำเล้าไก่อยู่ พอเธอชวนคุยเขาจึงต้องหยุดมือและหันมาคุยกับเธอ
กัวเหม่ยอิงเดินกลับเข้าตัวบ้านไปช่วยสะใภ้รองปอกหน่อไม้เพื่อต้มเก็บเอาไว้ โชคดีที่ที่บ้านมีไหเก็บไว้หลายไหจึงไม่ต้องไปหาซื้อมาไว้
“มื้อเย็นเราจะทำอะไรดี” เพราะเธอทำอาหารได้ก็จริงแต่ก็ทำไม่ค่อยอร่อยเท่าสะใภ้รอง คงจะเป็นเพราะหล่อนทำกับข้าวมาตลอด
“แกงหน่อไม้ใส่เห็ดป่าดีไหมคะ เรายังไม่ได้ใช้เห็ดป่าแห้งเลย” สะใภ้รองว่า เห็ดป่าที่พวกเธอตากเอาไว้และเก็บใส่ไหนั้นมีเต็มไห และพวกเธอก็ยังไม่ได้เอาออกมาทำกับข้าว
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า เอาออกมากินก็ดีเหมือนกัน ส่วนแม่สามีก็เพิ่มไข่ต้มให้ก็แล้วกัน
“ไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้งแล้วก็หน่อไม้ที่เราต้มเก็บไว้ พรุ่งนี้แบ่งเตรียมให้น้องชายสามด้วยนะ” กัวเหม่ยอิงบอก
เพราะอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นน้องชายสามจะจบมัธยมปลาย เธอจึงไม่ได้เตรียมอะไรไปให้เขามาก หรือไม่หากขาดเหลืออะไรก็ให้ไปซื้อเอาเอง
“หน่อไม้พวกนี้ถ้าเราต้มเสร็จแล้วก็น่าจะใช้ไหหลายใบเลยนะคะ” เพราะหน่อไม้มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับไหที่มีขนาดกลางจึงจำเป็นต้องใช้ไหหลายใบ
กัวเหม่ยอิงกระแอม “เธอเคยเข้าไปในตลาดมืดหรือเปล่า” เธอถามเสียงเบาจนเรียกได้ว่าแทบจะกระซิบ
สะใภ้รองตาโตพลางส่ายหัว “ไม่ค่ะ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่น”
และคนในหมู่บ้านอย่างพวกเธอมีน้อยมากที่จะเข้าไปเพราะราคาค่อนข้างจะสูงแม้จะไม่ต้องใช้คูปองก็ตาม
กัวเหม่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ เพื่อบอกว่าเธอรับรู้แล้ว แต่เธอก็คิดหาเหตุผลที่จะเข้าไปให้สะใภ้รองไม่ห้าม กัวเหม่ยอิงต้องการที่จะนำหน่อไม้ไปขายในตลาดมืด ไหหนึ่งได้สัก 3-4 เหมาก็คงจะดี
อีกอย่างหน่อไม้ในป่าที่เพิ่งเข้าไปเธอก็เจอเยอะมาก และคงต้องรีบ ๆ ให้น้องชายสามหาอิฐมาสร้างบ้านเพราะเธอไม่อยากแบกหน่อไม้หนัก ๆ กลับมาที่บ้านเพราะมันเหนื่อยมาก
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
ช่วงเช้ามืดก่อนฟ้าสางกัวเหม่ยอิงตื่นขึ้นมานึ่งซาลาเปา เพราะเธอทำไส้ไว้เมื่อคืนนี้พอตื่นมาจึงขึ้นรูปซาลาเปาแล้วนึ่งได้เลย ส่วนกับข้าวแม่สามีนั้นเธอจะทำทีหลังสุดเพราะใช้เวลาทำไม่นานหลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชในครั้งนี้เสร็จ กัวเหม่ยอิงมีความคิดที่จะเอาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง โดยที่ไก่ในเล้าที่มีคงต้องฆ่าแล้วตากแห้งเอาไว้ ยังไงไก่พวกนี้ก็อยู่มาหลายปีแล้ว และโชคดีที่พอเธอให้กินอาหารดี ๆ มันก็ออกให้วันละหลายฟอง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็คงไม่เหมือนกับไก่ที่ยังสาวอยู่“ผัดฝักทองใส่ไข่ด้วยดีไหมคะ เมื่อวานพี่ใหญ่กัวเอามาให้” สะใภ้รองที่กำลังหั่นผักหันมาถามกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยผัดฟักทอง ผัดเยอะหน่อยนะ มื้อกลางวันฉันจะเอาไปให้บ้านกัว”แม้จะเป็นเช้ามืดแต่ตอนนี้คนบ้านกัวคงจะลงมือถอนหญ้ากันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเช้าออกไปทำงาน ยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวทุกคนยิ่งตื่นเช้ากันมาก และยิ่งถอนหญ้าใกล้บ้านกัวพวกเข้าจึงรีบเข้าไปถอน ซึ่งกว่าเธอจะไปถึงทุกคนคงจะถอนได้เยอะแล้ว“ผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานล่ะคะ” สะใภ้รองไม่ใช่คนโง่ การที่พี่สะใภ้ของหล่อนซื้อผลไม
กัวเหม่ยอิงมองรอบ ๆ ตัว ในสถานที่ที่ไฉ่หูอ้ายพามา น่าจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะนอกจากอิฐแล้วที่นี่ยังมีเหล็ก ไม้ เสา ดินและหินอีกมากมาย ซึ่งมันพร้อมที่จะใช้สร้างบ้านได้เลย แต่ไม่รู้ว่าของพวกนี้มีคนจองไปหรือยัง“ที่นี่ปลอดภัยใช่ไหม” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามน้องชายสาม เพราะที่นี่มันเงียบมากแม้จะเป็นวันหยุดเธอจึงระแวงไปบ้างน้องชายสายพนักหน้า “ปลอดภัยครับ ผมมาที่นี่บ่อย ๆ อาจจะเพราะเป็นวันหยุดที่ไม่มีคนทำงานเลยมันจึงเงียบ”ด้วยความที่กำแพงสูงถึงสองเมตรและมีประตูที่แน่นหนา วันหยุดของคนงานที่นี่จึงไม่จำเป็นที่ต้องจะเฝ้า ที่พ่อของสหายเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาเป็นหัวหน้าคนงานจึงต้องอยู่ดูเอกสารต่าง ๆ และบางครั้งเขากับสหายก็ได้เข้ามาช่วยกัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อไฉ่หูอ้ายเดินออกมากวักมือเรียกให้เข้าไปข้างใน“สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เป็นชายวัยกลางคนที่เอ่ยทักพวกเธอก่อน คนนี้คงจะเป็นพ่อของไฉ่หูอ้ายเพราะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันบ้าง“สวัสดีค่ะหัวหน้าไฉ่” กัวเหม่ยอิงตอบหัวหน้าไฉ่ยื่นกระดาษให้กัวเหม่ยอิงอ่านมัน “หูอ้ายบอกผมว่าพี่สะใภ้ของหรงอี้ต้องการอิฐจึงต้องการให้ผมเก็บอิฐไว้
บ้านกัวใช้เวลาถอนหญ้าและเก็บกวาดซากต่าง ๆ ในเขตที่ดินจนสะอาดเป็นเวลาเกือบสิบวัน และวันนี้พวกเขาจะทำคอกเลี้ยงสัตว์ให้ใหม่ ไม่ใช่ว่ามันพังแต่มันมีรูอยู่บ้างจึงจะทำให้ และบอกว่าวันนี้ไม่รับค่าจ้างซึ่งสมาชิกบ้านกัวมีกันอยู่หกคน กลัวเหม่ยอิงจึงนับค่าจ้างให้วันละ 1 หยวน และเมื่อคิดว่ายังไงก็จะสิบวันแล้วก็เลยจะให้ 10 หยวนต่อคนเป็นค่าจ้าง สรุปก็คือค่าจ้างทั้งหมด 60 หยวนและแน่นอนว่าบ้านกัวคิดว่าลูกสาวจะให้ค่าจ้างวันละ 1 เหมา จึงไม่ได้คุยเรื่องราคาตั้งแต่แรก และตลอดระยะที่ทำงานให้ลูกสาวคนเล็กของบ้านส่วนมากแม่กัวจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่สามีของเธอ และกัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองก็พากันออกไปช่วยทุกคนทำงาน อย่างเช่นวันนี้ที่แม่กัวต้องไปเลี้ยงลูกสาวให้เธอและอยู่เป็นเพื่อนแม่สามี“ฉันว่าพี่รองต้องขยับมาอีกตรงนี้” กัวเหม่ยอิงชี้มือให้พี่ชายรองของเธอขยับไม้ตามที่เธอต้องการพี่ชายรองมองแล้วถาม “พี่ว่ามันใหญ่เกินไปไหมน้องสาวห้า” ตอนนี้พวกเขากำลังล้อมพื้นที่แปลงผักไว้ จึงต้องใช้ไม้สักไว้รอบ ๆกัวเหม่ยอิงส่ายหัว “มันไม่ใหญ่ค่ะ กำลังพอดีแล้ว” เธอตอบเนื่องจากยังไม่สร้างบ้านและยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่กัวเหม่ยอ
กัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองขอติดเกวียนวัวของคนในหมู่บ้านเข้าอำเภอเพราะไม่ต้องการที่จะเหนื่อยเกินไป โดยที่เธอจ่ายค่าเดินทางให้คนละ 1 เหมา ไม่รวมกับตอนที่จะกลับเพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพร้อมด้วยหรือเปล่า“เราไปหาน้องชายสามกันก่อน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองทันทีที่ลงจากเกวียนวัวสะใภรองพยักหน้า “ได้ค่ะ เขาคงจะเตรียมตัวรอแล้ว” พวกเธอนัดกันเอาไว้ว่าจะมาวันนี้ ให้น้องชายสามเตรียมตัวรอไว้ได้เลย เพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงคงไม่เหมาะหากจะออกหน้าซื้ออิฐเอง อันที่จริงจะซื้อเองก็ไม่ผิดแต่มีน้องชายสามไปด้วยก็อุ่นใจมากกว่ากัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองอย่างคุ้นชินทางในอำเภอที่จะไปห้องพักของน้องชายสาม ส่วนสะใภ้รองแม้จะเดิมตามแต่หล่อนก็จำทางได้พอเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องพักดูเหมือนทุกคนจะวุ่นวายกันอยู่ วันนี้พวกเธอออกมาตั้งแต่เช้าจึงไม่แปลกที่จะมีคนอยู่ที่ห้องพัก และบางส่วนก็คงจะไปทำงานกันแล้วสะใภ้รองพอมาถึงก็เอาของที่จะให้น้องชายสามติดตัวไปด้วยให้น้องชายสามที่หน้าห้องพัก แล้วให้เขาเอาเข้าไปเก็บไว้เพราะพวกเธอต้องไปด้วยกันอีก“พี่สะใภ้มาเร็วเกินไปแล้ว” น้องชายสามว่าเมื่อเห็นพี่สะใภ้มาถึงห้องพักในเวลาเจ็ดโมงนิด ๆ แต่พี
สามวันแล้วที่เมื่อได้ข่าวว่าน้องชายรองของสามีจะกลับมา กัวเหม่ยอิงก็ให้หล่อนทำความสะอาดห้องนอน ส่วนเสี่ยวหนิงที่อยู่ในความดูแลของน้องสะใภ้รอง กัวเหม่ยอิงก็เอามาดูแลระหว่างที่สะใภ้รองกำลังยุ่งส่วนบ้านกัวตอนนี้กลับไปลงแปลงนาแล้วเพราะถึงวันเก็บเกี่ยว และหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จกัวเหม่ยอิงก็จะคุยกับพี่ชายและพี่สาวเรื่องจะต้องแต่งาน เพราะช่วงนี้เธอก็ไม่ค่อยจะว่างจึงไม่ได้ไปคุย“จ๊ะเอ๋!”“แอ้!”กัวเหม่ยอิงหัวเราะให้หลานสาวที่ทำหน้าตกใจเมื่อเธอเล่นด้วย โดยที่มีเสี่ยวลู่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ กัน เมื่อคืนหล่อนไม่ยอมนอนทั้งคืนตอนนี้ก็เลยหลับไป ส่วนเสี่ยวหนิงตื่นได้สักพักแล้ว กัวเหม่ยอิงไม่มีอะไรทำจึงนั่งเล่นกับหลานสาวแทน“แอะ! แอะ” หานเผยหนิงเป่าน้ำลายเล่นจนกัวเหม่ยอิงต้องยื่นมือเอาผ้ามาเช็ดให้เธอส่ายหน้าพลางลางหัวเราะ “ประท้วงคุณป้าเหรอจ๊ะ” ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นกัวเหม่ยอิงในด้านนี้เพราะเธอต้องออกไปนู่นนี่ตลอดทั้งวันจึงไม่ค่อยได้ใช้เวลากลับเด็ก ๆ ส่วนมากถ้าว่างเด็ก ๆ ก็หลับกัน แต่พอเด็ก ๆ ตื่นกัวเหม่ยอิงก็ไม่ว่างแล้ว“หล่อนคงจะหิวแล้ว” เป็นสะใภ้รองที่เข้ามาหลังทำงานบ้านเสร็จกัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วส่
เพราะสะใภ้รองมีครรภ์ที่ใหญ่ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ท้องแรกจะใหญ่มันก็ไม่ผิดปกติเท่าไร แต่เมื่อครรภ์ได้ 5 เดือน ท้องของสะใภ้รองกับเหมือนคนใกล้จะคลอดแล้ว กัวเหม่ยอิงจึงให้น้องชายรองพาสะใภ้รองเข้าไปพักในอำเภอ หากมีอะไรจะได้เข้าโรงพยาบาลง่าย ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยโดยเฉพาะแม่กัวกับแม่หานที่ผ่านการมีลูกมากก่อน พวกนางไม่เคยเห็นคนที่ท้องได้ไม่กี่เดือน ท้องใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หากถามคนที่ไม่รู้ก็คงจะบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้วส่วนแม่หานนั้นตอนนี้กำลังฝึกเดินเพราะน้องชายสามขอร้อง เขาอยากให้แม่ของเขากลับมาเดินได้อีกครั้ง อยากให้แม่ของเขาออกไปเดินดูข้างนอกบ้างลูกเจี๊ยบที่เอามาเลี้ยงก็โตกันหมดแล้ว แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงได้ 3 ตัว กัวเหม่ยอิงจึงจับเชือดจนตอนนี้มีไก่เหลืออยู่ 4 ตัว เธอจะเอาไว้ให้บำรุงสะใภ้รอง 1 ตัว ตอนคลอดลูก“สะใภ้รองจะเป็นยังไงบ้างนะ”แม่หานถามกัวเหม่ยอิงที่ยกกับข้าวมื้อกลางให้ ตอนนี้ก็เกือบสี่เดือนแล้วที่กัวเหม่ยอิงให้สะใภ้รองกับน้องชายรองเข้าไปอยู่ในอำเภอ“คงใกล้จะคลอดแล้วค่ะ วันก่อนที่น้องชายรองมาหาเขาบอกไม่เกินเดือนนี้จะคลอดแล้ว” กัวเหม่ยอิงตอบแม่กัวที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดขึ้น “ท้องส
พี่ใหญ่กัวแบกตะกร้านำกัวเหม่ยอิงกับพี่รองกัวเข้าป่าตามที่ได้ตกลงกันแล้วเมื่อวาน เนื่องจากพี่ใหญ่กัวก็อยากจะลองเข้าป่านี้เหมือนกัน ทันทีที่กัวเหม่ยอิงบอกความต้องการเขาก็ตกลงทันทีก้าวแรกที่เดินเข้าไปในป่ามันก็ยังเหมือนเดิม บรรยากาศภายในป่าเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงร้อง สร้างความระแวงให้แก่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัว ยกเว้นกัวเหม่ยอิงที่จากเดินอยู่กลางกลายเป็นเดิมนำหน้าสุด“น้องสาวห้าเดินระวังด้วย” พี่ใหญ่กัวบอกน้องสาวที่เดินนำไปแล้วกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ฉันรู้จักทางนี้ค่ะ แต่ยังไม่เคยเห็นลำธารในป่านี้ ฉันอยากจะลองจับกุ้งที่นี่ดู” เธอบอกพี่ชายที่หันซ้ายหันขวา“ได้ยินเสียงน้ำอยู่ทางนั้น” พี่ใหญ่กัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง แต่กัวเหม่ยอิงกับพี่ชายรองมองหน้ากันเพราะไม่ได้ยินเสียงกัวเหม่ยอิงเดินตามพี่ใหญ่กัวไปยังทิศทางที่พี่ใหญ่กัวชี้ รั้งท้ายด้วยพี่รองกัวที่ดูแลความปลอดภัยให้น้องสาว เดินไปไม่ไกลพวกเขาก็เห็นลำธารที่มีน้ำใสจริง ๆ ใสกว่าน้ำที่ใช้ประจำซะอีก“มีปลาด้วย!” พี่รองกัวตะโกนด้วยความดีใจพวกเขาไปจับกุ้งเป็นเดือน ๆ แต่ไม่เคยเจอปลาเลย มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะมีคนไปหาปลาตลอด แต่พอเข้ามาใ
ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่กัวเหม่ยอิงก็ทำอะไรได้สะดวกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาหาหน่อไม้มาต้มเก็บใส่ไห หรือบางทีก็ทำหน่อไม้ดอง ไหนจะทำกุ้งแห้งอีก โชคดีที่ผู้ชายบ้านหานกับบ้านกัวมีฝีมืองานไม้อยู่บ้าง การสร้างห้องเก็บไหจึงถูกสร้างขึ้นข้างบ้านเนื่องจากตอนนี้ยังไม่เปิดการค้าเสรีพวกเธอจึงไม่สามารถขายตรง ๆ ได้ แต่น้องชายรองนั้นจะออกบ้านตอนเช้ามืดเพื่อไปทำงานเขาจึงเอาไหกุ้งแห้งกับหน่อไม้ต้มไปขายได้ตอนนี้ที่บ้านมีจักรยาน 2 คัน ได้มาในราคา 350 กับคูปองเกือบ 20 ใบ ถ้าซื้อหนึ่งคันราคาจะอยู่ที่คันละ 200 หยวน กับคูปองอีก 10 ใบ และน้องชายสามเห็นว่าจักรยานมีสภาพดีจึงได้ตกลงที่จะซื้อสองคันอีกอย่างจักรยานหนึ่งคันน้องชายรองปั่นไปทำงานในอำเภอ ส่วนน้องชายสามก็ปั่นไปโรงเรียนในตำบลคันหนึ่ง หากพวกเธอในบ้านต้องการจะใช้จักรยานก็บอกน้องชายสาม เพราะเขาจะเอาจักรยานไว้ให้แล้วเดินไปโรงเรียนแทน“ค่อย ๆ จับนะคะแม่ ฉันคอยพยุงอยู่” กัวเหม่ยอิงบอกแม่สามีที่จับราวไม้ที่ถูกสั่งทำไว้โดยเฉพาะแม่หานลังเล แม้จะถูกสะใภ้ยืนยันว่าจะไม่เป็นอะไรแต่นางก็กลัว กลัวว่าจะเป็นภาระของทุกคนหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีใครพูดอะไรให
การหาซื้อเนื้อหมูในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากมีเส้นสายมันก็จะต่างออกไป และกัวเหม่ยอิงก็คิดว่าตัวเองมีเส้นสายมากพอสมควรโดยเฉพาะน้องชายรองและน้องชายสาม“อีก 2 วัน เป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ของบ้าน ตอนนี้้เรามีกุ้ง มีปลา มีไก่ และมีผักแล้ว แต่ยังไม่มีหมู น้องชายรองกับน้องชายสามพอจะหาได้ไหม” กัวเหม่ยอิงถามอย่างไม่อ้อมค้อมอย่างที่รู้กันว่าตอนนี้พวกเธอขายของในตลาดมืด จึงไม่ต้องกลัวว่าสมาชิกในบ้านจะตกใจ และเพราะต้องขึ้นบ้านใหม่ อาหารที่ทำขึ้นต้องพอเลี้ยงแขก กัวเหม่ยอิงจึงต้องถามน้องชายรองส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักใครเลยครับ แต่ช่วงนี้ผมติดภารกิจสำคัญครับ ลาไว้แล้ว 3 วัน ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้ผมจะไปหาให้” เขาบอกก่อนจะหันไปถามน้องชาย “นายรู้จักคนเยอะพอจะมีไหม”“มีครับ แต่เราต้องไปถามก่อนเพราะมันไม่ต้องใช้คูปองและราคาสูง” น้องชายสามพยักหน้า เขาก็พอจะรู้จักคนนี้มีเนื้อหมู่อยู่กัวเหม่ยอิงยิ้ม “ดีเลย นายไม่ต้องไปสอนแล้วใช่ไหมสัปดาห์นี้ ฉันอยากได้เนื้อสัก 10 ชั่ง กระดูกด้วยก็ดีพอจะไปหาได้หรือเปล่า” ที่โรงเรียนเหมือนจะมีของหาย ทางโรงเรียนจึงประกาศหยุดการเรียนตลอดหนึ่งสัปดาห์ และคณะกรรมหน่วยผลิตของตำบลกำ
กัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าช่วงนี้บ้านของพวกเธอถูกนินทาบ่อยมาก เมื่อมีคนไปเห็นน้องชายรองทำงานอยู่ในสถานีสักแห่งในอำเภอเพราะเข้าไปทำธุระ ยิ่งพอรู้ว่าน้องชายรองได้กลับไปทำงานเสียงนินทาก็ยิ่งกว้างไปจนถึงหมู่บ้านข้าง ๆ กันแล้วแต่ถึงจะนินทายังไงกัวเหม่ยอิงกับครอบครัวของสามีก็ไม่ได้ไปสนใจ พวกเธอพากันสนใจกิจการของบ้านมากกว่า ตอนนี้กุ้งแห้งมีรวม ๆ กันเกือบ 50 ไหแล้ว เพราะน้องชายรองเอาออกไปขายแค่วันละไห แต่ที่บ้านทำเพิ่มได้วันละไม่ต่ำกว่า 3 ไห กุ้งแห้งจึงมีเยอะมากตอนนี้ที่บ้านมีรายได้วันละ 5 หยวน จากการขายกุ้งแห้ง 1 ไห หรือบางวันก็ขายไหไปด้วยก็ได้กำไรอีก 1 หยวน ไหนจะเงินเดือนของน้องชายสามที่เป็นครูสอนเด็กประถม 10 หยวน และเงินเดือนของน้องชายรองอีกที่ได้มาถึงเดือนละ 80 หยวน แต่เงินเดือนที่ได้มาจะถูกหักเข้ากองกลางของบ้านเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งสามารถเก็บเอาไว้ได้เลย“สะใภ้รองบ้านเดิมของเธอมาหา” เสียงของพี่สาวใหญ่กัวร้องบอกหลังออกไปดูหน้าบ้านเมื่อมีคนมาร้องเรียกสะใภ้รองหันมองพี่สาวใหญ่กัวก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธที่จะคุยด้วย ไหนบอกว่ากลัวหล่อนจะไปสร้างปัญหาให้จึงให้เลิกติดต่อ แต่วันนี้พอสามีของหล
กัวเหม่ยอิงยืนมองกุ้งเกือบสิบตะกร้าด้วยความภูมิใจวันนี้เป็นวันแรกที่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัวมาช่วยเธอจับกุ้ง และเป็นวันแรกที่จับกุ้งได้เยอะที่สุด อีกอย่างตอนนี้ก็เพิ่งจะช่วงบ่าย กัวเหม่ยอิงที่ปกติต้องไปจับกุ้งจึงเปลี่ยนมาแปรรูปกุ้งแทนต้องขอบคุณน้องชายรองที่แนะนำให้สร้างที่ตากกุ้งไว้เพิ่ม ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาที่ตากกุ้งไม่ได้ และดีที่ใช้เวลาตากกุ้งเพียงหนึ่งวันกุ้งก็แห้งให้แล้ว ต่างจากอนาคตที่ใช้เวลาหลายวัน“น้องชายรองไปแล้วเหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่เดิมตามหลังมาเหมือนว่าน้องชายรองจะได้รับการติดต่อจากสหายร่วมกองทัพของเขา ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ ขอแค่เขาเอาของเข้าไปขายให้ตอนนี้เงินจากการขายกุ้งแห้งและหน่อไม้ต้มได้มาเกือบหนึ่งพันหยวน แต่มันยังไม่ได้หักค่าไห ค่าฟืน ค่าเกลือ และค่าแรงงานอีก แต่ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็นับจำนวนเงินนี้เป็นทุนสำหรับการค้าขายภายหน้าสะใภ้รองพยักหน้าแล้วนั่งลงหน้าเตาไฟเพราะหล่อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาช่วย “ใช่ค่ะ เห็นว่าสหายของเขาขึ้นมาหา ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นแล้ว” ถึ
หลังจากที่น้องสะใภ้กลับบ้านเดิมได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหล่อนก็กลับมาพร้อมกับความเงียบ และปิดประตูห้องไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง แม้แต่น้องชายรองเองก็เข้าหน้าไม่ติด กับข้าววันนั้นจึงเป็นกัวเหม่ยอิงที่ทำและเธอก็ไม่ได้ถามหาสาเหตุจากสะใภ้รอง หากหล่อนอยากจะพูดหล่อนก็คงจะพูดเองนับจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วห้าวัน และการที่สตรีบ้านกัวขอหยุดงานในแปลงนาสร้างความฮือฮาในหมู่บ้านอีกรอบ อีกไม่นานก็จะได้รับผลผลิตแล้ว ทำไมอยู่ ๆ สตรีบ้านกัวก็หยุดงานไปดื้อ ๆ ? มันเป็นเรื่องที่หยุดพูดไม่ได้กันเลยทีเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ได้ยินว่าคนบ้านกัวกำลังหาลูกเขยกับลูกสะใภ้ให้ลูกสาวกับลูกชายที่อายุมากแล้ว“สะใภ้รองขยับมาทางนี้” กัวเหม่ยอิงกวักมือเรียกน้องสะใภ้ที่หากุ้งฝั่งตรงข้ามเพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าสะใภ้รองจะคิดมากเกินไป จึงชวนหล่อนพร้อมกับน้องชายสามีทั้งสองออกมาจับกุ้งอีกครั้ง ไหน ๆ กุ้งแห้งในบ้านก็ลดลงไปมากแล้ว“พี่จับกุ้งเก่งมาก” สะใภ้รองชมหล่อนจับกุ้งได้เพียงสามตัวตั้งแต่มาถึง ต่างจะพี่สะใภ้ที่ตอนนี้จับได้มากกว่ายี่สิบตัวแล้วกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ก็เพราะฉันเก่งยังไงล่ะ” ต้องบอกว่ามีความสามารถพิเศษจะดีกว่า“ฉันเชื่อค่ะ”
จะว่าไปแล้วชีวิตของกัวเหม่ยอิงในตอนนี้สบายมาก ทำอะไรก็ลงตัวไปซะทุกอย่าง แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยอย่างลงตัว“กุ้งผัดหน่อไม้ได้แล้วนะคะ” สะใภ้รองที่จัดการปิ่นโตเสร็จหันมาบอกกับกัวเหม่ยอิงเพราะกัวเหม่ยอิงเห็นว่าสะใภ้รองน่าจะเหงามากเมื่ออยู่บ้านคนเดียว จึงจะเข้าไปคุยกับคนบ้านกัวตามที่คิดไว้กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ครบแล้วใช่ไหม” หากไม่ครบมันจะได้ไม่เสียเวลาต้องกลับมาเอา“ฉันดูให้แล้วค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้าวันนี้เป็นวันหยุดประจำเดือนของทุกคนในหมู่บ้าน ถึงตอนนี้กำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แต่ทุกคนก็ยังได้หยุด เพราะในหนึ่งเดือนทุกคนจะได้หยุดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี กัวเหม่ยอิงจึงจะไปคุยด้วย อีกอย่างน้องชายสามก็ออกไปหาฟืนกับน้องชายรอง ที่ตากกุ้งแห้งมันก็เต็มด้วยกุ้ง วันนี้จึงยังไม่ไปหากัน“น้องสาวห้า” เป็นพี่สาวใหญ่ที่กวาดลานบ้านร้องทักกัวเหม่ยอิงกัวเหม่ยอิงหันไปมองแล้วยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ทำอะไรกันคะ” เธอถามถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่าพี่สาวกำลังทำอะไร“กำลังกวาดลานบ้านน่ะไหน ๆ ก็วันหยุดแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบ “แล้วน้องสาวห้ามาทำอะไรที่นี่หรือมาดูบ้าน” ถ้ามาดูบ้านปกติน้องสาวของหล่อนไม่ได
กัวเหม่ยอิงแวะดูคนงานสร้างตอนช่วงสายของวันพร้อมกับส่งซาลาเปา จากนั้นก็ได้นำน้องชายรอง น้องชายสามเข้าป่าไปจับกุ้งที่เจอเมื่อวานหลังจากได้ลิ้มรสเมนูกุ้งฝีมือของสะใภ้รองทุกคนก็ชอบมันมาก น้องชายสามจึงขอไปจับกุ้งระหว่างรอหางาน แต่กัวเหม่ยอิงก็เลยเปลี่ยนให้พวกเขาไปจับกุ้งแทนที่จะไปหางานเธอได้นอนคิดทั้งคืนว่าหลังจากนี้พวกเธอจะทำอะไร ลำพังจะให้น้องชายสามออกไปทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายมันไม่พอแน่ ๆ แม้จะมีเงินเก็บ แต่จะให้น้องชายรองเข้าไปหางานในเมืองสะใภ้รองก็ไม่ยอมเพราะห่วงร่างกายของสามี ซึ่งกัวเหม่ยอิงเห็นด้วยจะให้สะใภ้รองไปก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่เพราะหล่อนไม่ได้เรียน ไหนจะต้องทำงานบ้านและดูแลแม่สามีอีกส่วนกัวเหม่ยอิงเธอต้องติดตามดูบ้านตลอด และต้องดูลูกสาวไปด้วย แล้วจู่ ๆ การทำกุ้งแห้งก็ผุดขึ้นมาให้หัวของเธอ ปกติพวกเธอก็มีกุ้งแห้งไว้ทำอาหารให้แม่สามีอยู่แล้วและมีราคาแพง หากเธอจะทำขายโดยที่ไม่ต้องใช้คูปองซื้อ และมีราคาถูกลงนิดนึงย่อมมีคนสนใจและเรื่องนี้กัวเหม่ยอิงก็ได้คุยกันเมื่อเช้านี้ซึ่งทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นน้องชายรองที่อยากจะขัดเพราะตัวเขาก็เป็นทหารมาก่อน ซึ่งรู้ว่าเรื่องขายของนั้นมันทำไม่ได้