การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป
“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าว
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่ง
ลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้น
นางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจะเอาให้หลานชายคนโตแล้วคนเป็นพ่ออย่างลูกชายคนที่สามย่อมต้องเอาให้ลูกคนโตเหมือนกัน ครั้งนี้พวกนางพลาดแล้ว
“บนโฉนดจะมีชื่อของสามีฉันค่ะ ให้คุณย่าไปเอามาก็รู้แล้วว่ามันเป็นชื่อใคร” กัวเหม่ยอิงยิ้ม
“ได้!”
กัวเหม่ยอิงมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของคนบ้านใหญ่ด้วยความอารมณ์ดี จะว่าไปแล้วย่าสามีของเธอไม่คิดว่านางจะลำเอียงได้ขนาดนี้ นางเอ่ยปากออกมาเองว่าเป็นชื่อของพี่ใหญ่หานเซินลูกพี่ลูกน้องของสามีเธอ และกัวเหม่ยอิงคิดว่านอกจากย่าสามีแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นรู้ ไม่งั้นจะมีอาการตกใจหรือเมื่อย่าสามีบอกว่าเป็นของพี่ใหญ่หานเซิน
พี่ใหญ่หานเซินไม่ได้ทำงานในอำเภอหรือรับตำแหน่งใด ๆ ภายในหมู่บ้าน เขาทำงานเก็บแต้มเหมือนกับคนอื่น ๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะซื้อที่ดินผืนนั้นได้ อีกอย่างทุกคนยังไม่ได้แยกบ้านแล้วพี่ใหญ่หานเซินจะไปเอาเงินมาแต่ไหน
คนที่ทำหน้าไม่ยอมรับที่สุดก็คงจะเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ นางคิดว่าลูกชายของนางจะได้ที่ดินผืนนั้นในวันที่มันกลับคืนเจ้าของอย่างถูกต้อง
“ต้องขอบคุณเลขาธิการด้วยนะคะ ฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามต้องขอตัวลาก่อน” กัวเหม่ยอิงหันไปพูดกับเลขาธิการหลังบ้านใหญ่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
“ดูแลตัวเองกันดี ๆ ส่วนอีกเรื่องพรุ่งนี้ลุงกับคณะกรรมจะจัดการให้” เลขาธิการตอบ
“ขอบคุณค่ะ”
รอบนี้กัวเหม่ยอิงเดินตามน้องชายสามกลับเพราะไม่ต้องแวะที่ไหนอีกจึงไม่ต้องรีบก็ได้ สองข้างทางเต็มไปด้วยธัญพืชที่เริ่มแตกหน่อขึ้นมา
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เธอไม่ต้องไปลงแปลงนาแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่เดินข้างกัน
“ทำไมคะ? ถ้าฉันไม่ลงแปลงนาแล้วเราจะมีอะไรกิน” สะใภ้รองแย้ง
เพราะตอนนี้เสาหลักของครอบครัวไม่สามารถส่งเงินมาได้แล้ว ไหนจะน้องสามีที่เรียนกำลังจะจบ หลานสาวสองคนที่ยังเล็ก และแม่สามีที่ป่วยอีก หากหล่อนมัวแต่อู้ทุกคนจะกินอะไรกัน
“ไม่ใช่ว่าเธอรับปากน้องชายสามหรือว่าจะเลี้ยงหลานให้? เธอก็รู้ว่าลำพังแค่เสี่ยวลู่ฉันก็ไม่ไหวแล้ว จะเอาให้แม่สามีเลี้ยงเธอก็คงรู้ว่ามันจะเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงอธิบาย
สะใภ้รองที่แต่งเข้าบ้านสามหลังจากเธอแต่งเข้าไม่ถึงเดือนในตอนนี้หล่อนยังไม่ตั้งครรภ์ น้องชายรองที่ได้รับบาดเจ็บไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หากสะใภ้รองยังอยากจะมีลูกก็คงต้องพักร่างกายเพราะตั้งแต่แต่งเข้ามานางก็ทำงานหนักมาตลอด ยิ่งช่วงเธอท้องสะใภ้รองยิ่งทำงานหนักกว่าเดิมจนแทบจะไม่ได้พัก
“แต่เราไม่มีเงิน…”
“เธอคิดว่าตอนนี้เราไม่มีเงิน? เธอคงจะลืมไปว่าอีกไม่นานค่าพลีชีพของสามีฉันคงจะถูกส่งมาให้ และสามีเธอถึงเขาจะถูกปลดก็มีเงินเดือนจ่ายให้ในวันสุดท้ายที่ปฏิบัติหน้าที่” กัวเหม่ยอิงว่า
เงินค่าพลีชีพหรือก็คือค่าทำขวัญของครอบครัวนั้นจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญในกองทัพ หากเป็นทหารใหม่ก็ร้อยกว่าหยวน ทหารที่ผ่านการฝึกก็คงจะ 200-300 ร้อยหยวน เป็นขั้น ๆ ไป และสามีของเธอก็เป็นทหารที่ประจำนานแล้วย่อมไม่ต่ำกว่า 1,000 หยวน แน่นอน
“แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นี่คะ” สะใภ้รองกังวล
หล่อนไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้เงิน แต่หล่อนกังวลว่าเงินและธัญพืชที่มีอยู่ในตอนนี้จะไม่พอใช้ ยิ่งมีเด็กเล็กและไม่มีนมให้กินอีกยิ่งต้องมีเงินสำรอง ถึงแม้งานในแปลงนาจะทำให้หล่อนได้เงินไม่เยอะ
แต่ก็เป็นทางเดียวที่ทำให้มีเงินไว้ซื้อธัญพืชและได้ธัญพืชมาเป็นเสบียงสำรองอีก
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันที่บ้าน ส่วนนายระหว่างรอกลับไปเรียนก็หาฟืนมาเก็บไว้ก็แล้วกัน” กัวเหม่ยอิงหยุดพูดเพราะอยู่นอกบ้าน อีกอย่างคนในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ต่างเอียงคอมองใกล้จะเคล็ดอยู่แล้ว
“ค่ะ/ครับ”
บรรยากาศของสมาชิกบ้านสามสกุลหานตอนเดินกลับนั้นมีเพียงความเงียบ ช่างแตกต่างจากบ้านใหญ่ที่เดินลากถูกันกลับบ้านพร้อมกับเสียงประท้วงผู้เป็นแม่สามี
ก็แน่สิหากนับรวม ๆ แล้ว หลานชายของคุณย่าหานมีมากกว่าสิบห้าคน แต่คุณย่าหานกลับจะเอาโฉนดที่ดินที่ได้มาจากบ้านสามให้หลานชายคนโต ทุกคนต่างไม่พอใจ พวกเขาที่เป็นลูกและหลานชายต่างก็มีสิทธิ์ในโฉนดนี้
กัวเหม่ยอิงชวนสะใภ้รองปอกหน่อไม้ เธอจะต้มแล้วเก็บเอาไว้กินในวันหน้า ส่วนน้องชายสามให้เขาไปหาฟืนและหากเจอหน่อไม้ก็ให้เก็บมาด้วย ถึงแม้เธอจะบอกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คาดหวังเพราะยามนี้ทุกคนคงจะไปเก็บหมดแล้ว
หน่อไม้แปรรูปออกมาได้หลายอย่าง อย่างแรกกัวเหม่ยอิงนำไปนึ่งครึ่งชั่วโมงให้มันสุก หากเป็นอนาคตคงจะเก็บด้วยการนำใส่ถุงแล้วแขวนไว้ แต่เพราะตอนนี้ไม่มีเธอจึงต้องนำไหที่มีในบ้านไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำเดือดแล้วรอให้แห้งค่อยเอามาใส่ อย่างที่สองกัวเหม่ยอิงสับให้เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปใส่ไหที่ต้มฆ่าเชื้อแล้ว
หน่อไม้ที่ได้มามันสามารถทำให้พวกเธอเก็บไว้กินได้เป็นเดือน เพราะพวกเธอมีแต่คนที่กินไม่เยอะ ไหนจะเห็นที่ตากแห้งไว้อีก พวกเธอคงจะมีเสบียงเก็บไว้กินได้อีกนาง
กุ้งที่จับมามันยังเหลือ อาหารมื้อกลางวันกัวเหม่ยอิงจึงผัดหน่อไม้ใส่กุ้งตัวโต ๆ ปรุงรสด้วยเกลือ
และซอสมักเค็มก็พอใช้ได้ นอกจากผัดหน่อไม้ใส่กุ้ง กัวเหม่ยอิงยังตุ๋นไข่ใส่กุ้งสับและผักที่มีให้แม่สามีกินอีก เพราะผัดหน่อไม้มีรสจัดกัวเหม่ยอิงจึงเพิ่มอย่างอื่นให้แค่แม่สามี
หานเมิ่งลู่กับหานเผยหนิงนั้นรู้ความมากหลังจากดื่มนมอิ่มก็หลับไป กัวเหม่ยอิงจึงให้สะใภ้รองเอากับข้าวไปให้แม่สามีส่วนเด็ก ๆ เธอก็เช็ดตัวให้ระหว่างรอแม่สามีกินข้าวเสร็จ พอทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เอาเด็ก ๆ ย้ายเข้าไปนอนในห้องของแม่สามีให้นางไม่เหงาเกินไป
ส่วนเธอกับสะใภ้รองก็พากันกินข้าวก่อนน้องชายสามเพราะเธอแยกเอาไว้แล้ว และกว่าจะรอน้องชายสามกลับมาก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานไหม จึงกินข้าวก่อนและเก็บในส่วนของน้องชายสามเอาไว้
ปลาตัวเล็กถูกกัวเหม่ยอิงขอดเกล็ดและแล่แผ่ออก เธอจะนำไปหมักแล้วก็ตากแดดเอาไว้ ตอนนี้กับข้าวที่บ้านมีแต่จานเนื้อที่เธอคิดว่าสำคัญต่อครอบครัวเพียงพอจึงต้องนำปลาที่ได้มาตากแดด ส่วนปลาตัวใหญ่ค่อยตุ๋นเย็นนี้
“นายได้อะไรมาเยอะแยะ” สะใภ้รองถามน้องชายสามีที่สะพายตะกร้ากับฟืนเข้าบ้าน
“หน่อไม้ครับ ผมเห็นมันขึ้นเยอะเลยใช้เวลานาน” น้องชายสามตอบเสียงเบาเพราะกลัวบ้านอื่นได้ยิน
จริง ๆ เขาก็คำนวนเวลาในการกลับมาแล้ว แต่ระหว่างกลับบ้านเขาบังเอิญเห็นหน่อไม้พอดีจึงเก็บกลับมาด้วย
“ดี ๆ ” สะใภ้รองว่าพลางลุกเอาข้าวไปให้น้องชายสามี
ส่วนกัวเหม่ยอิงนั้นหมักปลาที่กำลังจะนำไปตากแดดจึงไม่สามารถลุกไปคุยกับน้องชายสามได้
หน่อไม้ถูกปอกอีกครั้งด้วยสองสะใภ้ และเพราะทำคล่องมือแล้วการปอกหน่อไม้เกือบร้อยหน่อจึงใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
แต่ถึงจะปอกเสร็จถ้าไม่นึ่งมันก็ไม่เสร็จ กว่าจะทำเรียบร้อยก็ปาไปสามชั่วโมง ส่วนปลาที่หมักไว้นั้นเอาไปตากตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้ว
กัวเหม่ยอิงต้มน้ำร้อนเสียดายที่เธอไม่สามารถหาซื้อขาดนมให้เด็ก ๆ ได้ ไม่อย่างงั้นเด็ก ๆ ก็คงไม่ต้องนอนรอให้พวกเธอใช้ช้อนป้อนแบบนี้
“ต้มน้ำให้เด็ก ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองที่ยกไหหน่อไม้ไปเก็บถาม
“อืม น้ำที่ต้มไว้เหลือก็จริงแต่มันก็สกปรกแล้ว” เพราะพวกเธอต้มน้ำแล้วเทใส่ชามไว้ พอทิ้งไว้สักพักฝุ่นก็เริ่มจับ จึงไม่ควรจะดื่มมัน
“ฉันไปแจ้งเลขาธิการแล้วนะคะ เขาตกใจมาก” สะใภ้รองหัวเราะ
เพราะกัวเหม่ยอิงให้เหตุผลสะใภ้รองว่าทำไมหล่อนต้องหยุดงาน ในที่สุดสะใภ้รองก็ไปบอกกับเลขาธิการว่าจะหยุดงานเพราะต้องเลี้ยงเด็กเพิ่ม ส่วนงานที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็รอแค่แจกจ่าย ซึ่งทางเลขาธิการก็ไม่ได้ห้ามเพราะมันไม่เกี่ยวกับเขา
“ดีแล้ว แล้วเธอได้ไปถามข่าวน้องชายรองหรือเปล่า” เพราะคนที่มาแจ้งข่าวคือสหายของน้องชายรอง ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่รู้จักและหากจะไปถามก็ยังไง ๆ อยู่เพราะเธอเป็นที่สะใภ้ของเขา จึงต้องให้สะใภ้รองเป็นคนไปถามเอาเอง
“ฉันถามสหายเขาแล้วค่ะ เขาบอกเดี๋ยวจะถามทางนู้นให้” สะใภ้รองพยักหน้า
เพราะสหายของน้องชายรองนั้นไม่ได้เป็นทหารแต่ก็ทำงานในที่เดียวกัน การติดต่อจึงง่ายกว่าพวกเธอที่ต้องไปขอติดต่อและยืนยันตัวตนอีกมากมาย
“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
พรุ่งนี้คงต้องไปดูที่ดินผืนนั้นซะแล้ว บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบ้านอื่นก็จริงแต่มันก็ทำให้เธออึดอัด สู้ย้ายไปอยู่อีกที่ที่ปลอดภัยจะดีกว่า
“อีกไม่นานน้องชายสามก็คงเรียนจบแล้ว” สะใภ้รองกล่าว
น้องชายสามเรียนอีก 1 เดือนก็น่าจะได้จบแล้วหากคะแนนหรือการสอบครบก็ไม่มีจะมีอะไรที่น่าผิดคาด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องหาที่ทำงาน และที่รู้ ๆ กันว่าหากไม่มีเส้นสายงานก็จะหายากมาก
“ใช่ ค่าใช้จ่ายก็คงจะลดลงพอสมควร ให้เขากลับมาอยู่ที่บ้านหลังเรียนจบ” เพราะไม่รู้ว่าเขาจะสามารถหางานได้หรือเปล่า การที่เรียนจบแล้วกลับมาพักอยู่บ้านก่อนเพื่อหางานเป็นการประหยัดเงินได้บ้าง
เธอไม่ได้ว่าเขาเป็นภาระเพราะหากว่ากันตามจริงเธอก็คงจะเหมือนภาระมากกว่า
พ่อสามีและพี่ชายต่างคาดหวังให้เขาได้เรียนจบในระดับที่สูง และหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัวเหมือนกับที่พวกเขาเคยหาให้
“เดี๋ยวฉันทำเองดีกว่าค่ะ พี่ไปดูหลานสาวเถอะ” เพราะเธอได้ยินเสียงเด็กร้อง หากปล่อยไว้นานเกรงว่าแม่สามีจะแย่เอา
“ได้”
กัวเหม่ยอิงไม่รู้ว่าเลขาธิการของหมู่บ้านทำยังไงให้ได้เงินจากบ้านใหญ่คืนมา แต่เมื่อเช้านี้เขาเป็นคนเอามาให้พวกเธอที่ตื่นมาทำกับข้าวมื้อเช้า ถึงแม้จำนวนเงินจะได้มาเพียง 1,000 หยวน แต่มันก็ทำให้พวกเธออยู่ได้อีกนาน เมื่อรวมกับเงินที่มีก็ถือว่ามากพอแล้ว“เดี๋ยวสาย ๆ ฉันจะออกไปดูที่ดิน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่กำลังทุบไก่แห้ง“งั้นฉันจะดูแลเด็ก ๆ ก็แล้วกันค่ะ เมื่อวานคุณแม่อยู่กับหลานทั้งวันท่านคงอยากจะพัก” สะใภ้รองพยักหน้าอาหารมื้อเช้าของพวกเธอกัวเหม่ยอิงทำแกงจืดเนื้อไก่ให้ผู้เป็นแม่สามี ส่วนพวกเธอนั้นกัวเหม่ยอิงหุงข้าวแล้วนำไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ“จริงสิ ให้น้องชายสามทำคอกไก่แล้วก็แปลงผักด้วยนะ ถ้าทำเสร็จแล้วค่อยให้ไปหาฟืน” กัวเหม่ยอิงว่าพลางยกหม้อแกงจืดลง“ได้ค่ะ พี่จะไปดูที่ดินตอนไหน”“กินข้าวเสร็จ เดี๋ยวอากาศจะร้อน”สองสะใภ้ต่างช่วยกันทำกับข้าวมื้อเช้าของบ้าน ส่วนน้องชายสามนั้นไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้พวกเธอใช้เพราะน้ำเริ่มจะหมดแล้วกัวเหม่ยอิงเทน้ำในชามที่เทน้ำร้อนใส้ไว้เมื่อคืนทิ้ง นำชามไปล้างให้สะอาดแล้วก็นำมาลวกในน้ำร้อน จากนั้นนำไปคว่ำไว้ พอแห้งจึงจะเทน้ำต้มสุกเก็บไว้ จริง ๆ กัว
น้องชายสามกลับไปเรียนได้หลายวันแล้ว กลับไปพร้อมกับความหวังของกัวเหม่ยอิงที่อยากจะได้อิฐมาสร้างบ้านหลังใหม่ แม้ในใจของหานหรงอี้อยากจะปฎิเสธแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้พี่สะใภ้ก็เป็นคนดูแลคนในบ้าน จึงต้องพยักหน้ารับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สะใภ้รองห่อของกินให้น้องชายของสามีตามคำสั่งของพี่สะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นไก่ตากแห้ง เห็ดตากแห้ง และหน่อไม้ที่ต้มใส่ไหไว้ กัวเหม่ยอิงให้เขาเอาไปให้สหาย 1 ไห เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานสาว พร้อมกับเงินที่ให้น้องชายของสามีไปใช้อีก 50 หยวน โดยที่กัวเหม่ยอิงบอกให้เขาใช้เต็มที่จนกว่าจะเรียนจบ และบางทีอาจต้องใช้เงินหาอิฐจำนวนมาก หากไม่พอค่อยกลับมาที่บ้านเล้าไก่ถูกซ่อมแซมจนแข็งแรงและทนทาน เธอเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่าเชือกเท่านั้น จากนั้นจึงทำความสะอาดเล้าไก่ โดยนำมูลไก่ไปทำปุ๋ยใส่แปลงผัก ส่วนแปลงผักกัวเหม่ยอิงกลัวว่าจะไม่ทันหากให้น้องชายสามีเป็นคนทำ เธอจึงจ้างพี่ชายของเธอมาทำแปลงผักให้ใหม่ โดยให้วันละ 1 หยวน และทำอย่างอื่นอีกจึงใช้เวลาสองวัน กัวเหม่ยอิงจึงจ่ายเงินให้ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฎิเสธเพราะเขาต้องการช่วยน้องสาวเท่านั้น แต่กัวเหม่ยอิงรู้ว่าพี่ชายจะ
กัวเหม่ยอิงใช้รถเข็นที่ให้พี่ชายทำขึ้นให้ในการเข็นไหครึ่งหนึ่งไปล้างในแม่น้ำ อันที่จริงมันก็อยู่ไม่ไกลหรอก แต่จะให้หอบไปทีละไหก็กลัวว่าจะเสียเวลาเพราะรถเข็นมีขนาดเล็กไหนจะจำนวนไหที่เยอะอีก กัวเหม่ยอิงจึงแบ่งครึ่งไปล้างสองรอบ โดยเธอใช้น้ำผสมขี้เถ้าที่ผสมไว้ล้างถ้วยชามกับกาบมะพร้าวในการขัดไห ขี้เถ้ามีฤทธิ์เป็นด่างช่วยลดคราบมันได้ด้วยความที่เป็นช่วงบ่ายจึงไม่มีใครมาใช้น้ำ น้ำในแม่ที่คนในหมู่บ้านใช้ทุกวันจึงใสมาก แต่หากเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานน้ำจะขุ่นเพราะคนในหมู่บ้านจะมาอาบน้ำและซักผ้าที่นี่ ใครบ้านอยู่ใกล้ก็ดีไปเพราะใครอาบน้ำก่อนก็จะได้อาบน้ำที่ใสกว่ากัวเหม่ยอิงล้างไหเสร็จก็คว่ำทิ้งไว้บนรถเข็น พอล้างครบก็เข็นกลับบ้าน จากนั้นก็เอาไปคว่ำทิ้งไว้ที่หลังบ้าน เวลาจะใช้ค่อยนำไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำที่เดือดก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในยุคนี้คนในหมู่บ้านต่างไม่มีขั้นตอนเยอะแบบนี้หรอก เพราะนอกจากเปลืองน้ำแล้ว ยังเปลืองฟืนอีก เธอทำแบบนี้อยู่สองรอบก็ล้างไหครบทั้งหมดสามสิบไห“ล้างเสร็จแล้วเหรอคะ ฉันว่าจะไปช่วยพอดี” สะใภ้รองที่เดินออกจากห้องแม่สามีถาม“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้ากัวเหม่ยอิงเดินเข้าครัวพร้อมก
มีคนในหมู่บ้านที่มีเกวียนวัวจะเข้าอำเภอพอดี กัวเหม่ยอิงจึงขอติดไปด้วยพร้อมกับให้เงินไป 1 เหมา เป็นค่าเดินทาง ซึ่งเจ้าของเกวียนก็อนุญาตวันนี้กัวเหม่ยอิงจะเข้าอำเภอเพื่อไปซื้อของมาทำซาลาเปาพรุ่งนี้ เพราะบ้านกัวให้คำตกลงแล้วว่าจะมาถอนหญ้าให้เมื่อวันก่อน และที่พวกเขาต้องรอทำพรุ่งนี้เพราะเพิ่งทำเรื่องขอหยุดงานในแปลงเสร็จนอกจากค่าจ้างแล้วกัวเหม่ยอิงก็จะทำกับข้าวมื้อกลางวันให้บ้านกัวด้วย จริง ๆ เธอต้องการจะทำกับข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน แต่บ้านกัวไม่เห็นด้วยเพราะมันสิ้นเปลือง แต่สุดท้ายกัวเหม่ยอิงก็ได้ทำกับข้าวมื้อกลางวัน โดยที่บ้านกัวจะหาเนื้อมาให้“สะใภ้ใหญ่บ้านหาน ฉันจะกลับหมู่บ้านบ่ายสองให้มารอที่นี่” เจ้าของเกวียนวัวบอกกัวเหม่ยอิงพยักหน้าพลางกระชับถุงผ้าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยตอบ “ได้ค่ะ ช่วงประมาณบ่ายโมงฉันจะมารอที่นี่”เมื่อเจ้าของเกวียนวัวห่างจากสายตาออกไปกัวเหม่ยอิงก็กำชับผ้าคลุมบนหัวแน่น พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังซอยเปลี่ยว วันนี้กัวเหม่ยอิงลองเอาหน่อไม้มาขายเพราะที่บ้านเริ่มจะไม่มีที่เก็บแล้วยามที่เฝ้าประตูทางเข้าตลาดมืดเดินเข้ามาขวางกัวเหม่ยอิงเอาไว้ กัวเหม่ยอิงจึงหยิบเงินให้เขา 1 เ
ช่วงเช้ามืดก่อนฟ้าสางกัวเหม่ยอิงตื่นขึ้นมานึ่งซาลาเปา เพราะเธอทำไส้ไว้เมื่อคืนนี้พอตื่นมาจึงขึ้นรูปซาลาเปาแล้วนึ่งได้เลย ส่วนกับข้าวแม่สามีนั้นเธอจะทำทีหลังสุดเพราะใช้เวลาทำไม่นานหลังจากการเก็บเกี่ยวธัญพืชในครั้งนี้เสร็จ กัวเหม่ยอิงมีความคิดที่จะเอาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง โดยที่ไก่ในเล้าที่มีคงต้องฆ่าแล้วตากแห้งเอาไว้ ยังไงไก่พวกนี้ก็อยู่มาหลายปีแล้ว และโชคดีที่พอเธอให้กินอาหารดี ๆ มันก็ออกให้วันละหลายฟอง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็คงไม่เหมือนกับไก่ที่ยังสาวอยู่“ผัดฝักทองใส่ไข่ด้วยดีไหมคะ เมื่อวานพี่ใหญ่กัวเอามาให้” สะใภ้รองที่กำลังหั่นผักหันมาถามกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “เดี๋ยวนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้วก็ต้มโจ๊กให้คุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยผัดฟักทอง ผัดเยอะหน่อยนะ มื้อกลางวันฉันจะเอาไปให้บ้านกัว”แม้จะเป็นเช้ามืดแต่ตอนนี้คนบ้านกัวคงจะลงมือถอนหญ้ากันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเช้าออกไปทำงาน ยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวทุกคนยิ่งตื่นเช้ากันมาก และยิ่งถอนหญ้าใกล้บ้านกัวพวกเข้าจึงรีบเข้าไปถอน ซึ่งกว่าเธอจะไปถึงทุกคนคงจะถอนได้เยอะแล้ว“ผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อวานล่ะคะ” สะใภ้รองไม่ใช่คนโง่ การที่พี่สะใภ้ของหล่อนซื้อผลไม
กัวเหม่ยอิงมองรอบ ๆ ตัว ในสถานที่ที่ไฉ่หูอ้ายพามา น่าจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะนอกจากอิฐแล้วที่นี่ยังมีเหล็ก ไม้ เสา ดินและหินอีกมากมาย ซึ่งมันพร้อมที่จะใช้สร้างบ้านได้เลย แต่ไม่รู้ว่าของพวกนี้มีคนจองไปหรือยัง“ที่นี่ปลอดภัยใช่ไหม” กัวเหม่ยอิงกระซิบถามน้องชายสาม เพราะที่นี่มันเงียบมากแม้จะเป็นวันหยุดเธอจึงระแวงไปบ้างน้องชายสายพนักหน้า “ปลอดภัยครับ ผมมาที่นี่บ่อย ๆ อาจจะเพราะเป็นวันหยุดที่ไม่มีคนทำงานเลยมันจึงเงียบ”ด้วยความที่กำแพงสูงถึงสองเมตรและมีประตูที่แน่นหนา วันหยุดของคนงานที่นี่จึงไม่จำเป็นที่ต้องจะเฝ้า ที่พ่อของสหายเขาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาเป็นหัวหน้าคนงานจึงต้องอยู่ดูเอกสารต่าง ๆ และบางครั้งเขากับสหายก็ได้เข้ามาช่วยกัวเหม่ยอิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อไฉ่หูอ้ายเดินออกมากวักมือเรียกให้เข้าไปข้างใน“สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เป็นชายวัยกลางคนที่เอ่ยทักพวกเธอก่อน คนนี้คงจะเป็นพ่อของไฉ่หูอ้ายเพราะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันบ้าง“สวัสดีค่ะหัวหน้าไฉ่” กัวเหม่ยอิงตอบหัวหน้าไฉ่ยื่นกระดาษให้กัวเหม่ยอิงอ่านมัน “หูอ้ายบอกผมว่าพี่สะใภ้ของหรงอี้ต้องการอิฐจึงต้องการให้ผมเก็บอิฐไว้
บ้านกัวใช้เวลาถอนหญ้าและเก็บกวาดซากต่าง ๆ ในเขตที่ดินจนสะอาดเป็นเวลาเกือบสิบวัน และวันนี้พวกเขาจะทำคอกเลี้ยงสัตว์ให้ใหม่ ไม่ใช่ว่ามันพังแต่มันมีรูอยู่บ้างจึงจะทำให้ และบอกว่าวันนี้ไม่รับค่าจ้างซึ่งสมาชิกบ้านกัวมีกันอยู่หกคน กลัวเหม่ยอิงจึงนับค่าจ้างให้วันละ 1 หยวน และเมื่อคิดว่ายังไงก็จะสิบวันแล้วก็เลยจะให้ 10 หยวนต่อคนเป็นค่าจ้าง สรุปก็คือค่าจ้างทั้งหมด 60 หยวนและแน่นอนว่าบ้านกัวคิดว่าลูกสาวจะให้ค่าจ้างวันละ 1 เหมา จึงไม่ได้คุยเรื่องราคาตั้งแต่แรก และตลอดระยะที่ทำงานให้ลูกสาวคนเล็กของบ้านส่วนมากแม่กัวจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่สามีของเธอ และกัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองก็พากันออกไปช่วยทุกคนทำงาน อย่างเช่นวันนี้ที่แม่กัวต้องไปเลี้ยงลูกสาวให้เธอและอยู่เป็นเพื่อนแม่สามี“ฉันว่าพี่รองต้องขยับมาอีกตรงนี้” กัวเหม่ยอิงชี้มือให้พี่ชายรองของเธอขยับไม้ตามที่เธอต้องการพี่ชายรองมองแล้วถาม “พี่ว่ามันใหญ่เกินไปไหมน้องสาวห้า” ตอนนี้พวกเขากำลังล้อมพื้นที่แปลงผักไว้ จึงต้องใช้ไม้สักไว้รอบ ๆกัวเหม่ยอิงส่ายหัว “มันไม่ใหญ่ค่ะ กำลังพอดีแล้ว” เธอตอบเนื่องจากยังไม่สร้างบ้านและยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่กัวเหม่ยอ
กัวเหม่ยอิงกับสะใภ้รองขอติดเกวียนวัวของคนในหมู่บ้านเข้าอำเภอเพราะไม่ต้องการที่จะเหนื่อยเกินไป โดยที่เธอจ่ายค่าเดินทางให้คนละ 1 เหมา ไม่รวมกับตอนที่จะกลับเพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพร้อมด้วยหรือเปล่า“เราไปหาน้องชายสามกันก่อน” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองทันทีที่ลงจากเกวียนวัวสะใภรองพยักหน้า “ได้ค่ะ เขาคงจะเตรียมตัวรอแล้ว” พวกเธอนัดกันเอาไว้ว่าจะมาวันนี้ ให้น้องชายสามเตรียมตัวรอไว้ได้เลย เพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงคงไม่เหมาะหากจะออกหน้าซื้ออิฐเอง อันที่จริงจะซื้อเองก็ไม่ผิดแต่มีน้องชายสามไปด้วยก็อุ่นใจมากกว่ากัวเหม่ยอิงเดินนำสะใภ้รองอย่างคุ้นชินทางในอำเภอที่จะไปห้องพักของน้องชายสาม ส่วนสะใภ้รองแม้จะเดิมตามแต่หล่อนก็จำทางได้พอเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องพักดูเหมือนทุกคนจะวุ่นวายกันอยู่ วันนี้พวกเธอออกมาตั้งแต่เช้าจึงไม่แปลกที่จะมีคนอยู่ที่ห้องพัก และบางส่วนก็คงจะไปทำงานกันแล้วสะใภ้รองพอมาถึงก็เอาของที่จะให้น้องชายสามติดตัวไปด้วยให้น้องชายสามที่หน้าห้องพัก แล้วให้เขาเอาเข้าไปเก็บไว้เพราะพวกเธอต้องไปด้วยกันอีก“พี่สะใภ้มาเร็วเกินไปแล้ว” น้องชายสามว่าเมื่อเห็นพี่สะใภ้มาถึงห้องพักในเวลาเจ็ดโมงนิด ๆ แต่พี
เพราะสะใภ้รองมีครรภ์ที่ใหญ่ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ท้องแรกจะใหญ่มันก็ไม่ผิดปกติเท่าไร แต่เมื่อครรภ์ได้ 5 เดือน ท้องของสะใภ้รองกับเหมือนคนใกล้จะคลอดแล้ว กัวเหม่ยอิงจึงให้น้องชายรองพาสะใภ้รองเข้าไปพักในอำเภอ หากมีอะไรจะได้เข้าโรงพยาบาลง่าย ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยโดยเฉพาะแม่กัวกับแม่หานที่ผ่านการมีลูกมากก่อน พวกนางไม่เคยเห็นคนที่ท้องได้ไม่กี่เดือน ท้องใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หากถามคนที่ไม่รู้ก็คงจะบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้วส่วนแม่หานนั้นตอนนี้กำลังฝึกเดินเพราะน้องชายสามขอร้อง เขาอยากให้แม่ของเขากลับมาเดินได้อีกครั้ง อยากให้แม่ของเขาออกไปเดินดูข้างนอกบ้างลูกเจี๊ยบที่เอามาเลี้ยงก็โตกันหมดแล้ว แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงได้ 3 ตัว กัวเหม่ยอิงจึงจับเชือดจนตอนนี้มีไก่เหลืออยู่ 4 ตัว เธอจะเอาไว้ให้บำรุงสะใภ้รอง 1 ตัว ตอนคลอดลูก“สะใภ้รองจะเป็นยังไงบ้างนะ”แม่หานถามกัวเหม่ยอิงที่ยกกับข้าวมื้อกลางให้ ตอนนี้ก็เกือบสี่เดือนแล้วที่กัวเหม่ยอิงให้สะใภ้รองกับน้องชายรองเข้าไปอยู่ในอำเภอ“คงใกล้จะคลอดแล้วค่ะ วันก่อนที่น้องชายรองมาหาเขาบอกไม่เกินเดือนนี้จะคลอดแล้ว” กัวเหม่ยอิงตอบแม่กัวที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดขึ้น “ท้องส
พี่ใหญ่กัวแบกตะกร้านำกัวเหม่ยอิงกับพี่รองกัวเข้าป่าตามที่ได้ตกลงกันแล้วเมื่อวาน เนื่องจากพี่ใหญ่กัวก็อยากจะลองเข้าป่านี้เหมือนกัน ทันทีที่กัวเหม่ยอิงบอกความต้องการเขาก็ตกลงทันทีก้าวแรกที่เดินเข้าไปในป่ามันก็ยังเหมือนเดิม บรรยากาศภายในป่าเงียบสงัดไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงร้อง สร้างความระแวงให้แก่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัว ยกเว้นกัวเหม่ยอิงที่จากเดินอยู่กลางกลายเป็นเดิมนำหน้าสุด“น้องสาวห้าเดินระวังด้วย” พี่ใหญ่กัวบอกน้องสาวที่เดินนำไปแล้วกัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ฉันรู้จักทางนี้ค่ะ แต่ยังไม่เคยเห็นลำธารในป่านี้ ฉันอยากจะลองจับกุ้งที่นี่ดู” เธอบอกพี่ชายที่หันซ้ายหันขวา“ได้ยินเสียงน้ำอยู่ทางนั้น” พี่ใหญ่กัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง แต่กัวเหม่ยอิงกับพี่ชายรองมองหน้ากันเพราะไม่ได้ยินเสียงกัวเหม่ยอิงเดินตามพี่ใหญ่กัวไปยังทิศทางที่พี่ใหญ่กัวชี้ รั้งท้ายด้วยพี่รองกัวที่ดูแลความปลอดภัยให้น้องสาว เดินไปไม่ไกลพวกเขาก็เห็นลำธารที่มีน้ำใสจริง ๆ ใสกว่าน้ำที่ใช้ประจำซะอีก“มีปลาด้วย!” พี่รองกัวตะโกนด้วยความดีใจพวกเขาไปจับกุ้งเป็นเดือน ๆ แต่ไม่เคยเจอปลาเลย มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะมีคนไปหาปลาตลอด แต่พอเข้ามาใ
ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่กัวเหม่ยอิงก็ทำอะไรได้สะดวกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาหาหน่อไม้มาต้มเก็บใส่ไห หรือบางทีก็ทำหน่อไม้ดอง ไหนจะทำกุ้งแห้งอีก โชคดีที่ผู้ชายบ้านหานกับบ้านกัวมีฝีมืองานไม้อยู่บ้าง การสร้างห้องเก็บไหจึงถูกสร้างขึ้นข้างบ้านเนื่องจากตอนนี้ยังไม่เปิดการค้าเสรีพวกเธอจึงไม่สามารถขายตรง ๆ ได้ แต่น้องชายรองนั้นจะออกบ้านตอนเช้ามืดเพื่อไปทำงานเขาจึงเอาไหกุ้งแห้งกับหน่อไม้ต้มไปขายได้ตอนนี้ที่บ้านมีจักรยาน 2 คัน ได้มาในราคา 350 กับคูปองเกือบ 20 ใบ ถ้าซื้อหนึ่งคันราคาจะอยู่ที่คันละ 200 หยวน กับคูปองอีก 10 ใบ และน้องชายสามเห็นว่าจักรยานมีสภาพดีจึงได้ตกลงที่จะซื้อสองคันอีกอย่างจักรยานหนึ่งคันน้องชายรองปั่นไปทำงานในอำเภอ ส่วนน้องชายสามก็ปั่นไปโรงเรียนในตำบลคันหนึ่ง หากพวกเธอในบ้านต้องการจะใช้จักรยานก็บอกน้องชายสาม เพราะเขาจะเอาจักรยานไว้ให้แล้วเดินไปโรงเรียนแทน“ค่อย ๆ จับนะคะแม่ ฉันคอยพยุงอยู่” กัวเหม่ยอิงบอกแม่สามีที่จับราวไม้ที่ถูกสั่งทำไว้โดยเฉพาะแม่หานลังเล แม้จะถูกสะใภ้ยืนยันว่าจะไม่เป็นอะไรแต่นางก็กลัว กลัวว่าจะเป็นภาระของทุกคนหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีใครพูดอะไรให
การหาซื้อเนื้อหมูในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากมีเส้นสายมันก็จะต่างออกไป และกัวเหม่ยอิงก็คิดว่าตัวเองมีเส้นสายมากพอสมควรโดยเฉพาะน้องชายรองและน้องชายสาม“อีก 2 วัน เป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ของบ้าน ตอนนี้้เรามีกุ้ง มีปลา มีไก่ และมีผักแล้ว แต่ยังไม่มีหมู น้องชายรองกับน้องชายสามพอจะหาได้ไหม” กัวเหม่ยอิงถามอย่างไม่อ้อมค้อมอย่างที่รู้กันว่าตอนนี้พวกเธอขายของในตลาดมืด จึงไม่ต้องกลัวว่าสมาชิกในบ้านจะตกใจ และเพราะต้องขึ้นบ้านใหม่ อาหารที่ทำขึ้นต้องพอเลี้ยงแขก กัวเหม่ยอิงจึงต้องถามน้องชายรองส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักใครเลยครับ แต่ช่วงนี้ผมติดภารกิจสำคัญครับ ลาไว้แล้ว 3 วัน ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้ผมจะไปหาให้” เขาบอกก่อนจะหันไปถามน้องชาย “นายรู้จักคนเยอะพอจะมีไหม”“มีครับ แต่เราต้องไปถามก่อนเพราะมันไม่ต้องใช้คูปองและราคาสูง” น้องชายสามพยักหน้า เขาก็พอจะรู้จักคนนี้มีเนื้อหมู่อยู่กัวเหม่ยอิงยิ้ม “ดีเลย นายไม่ต้องไปสอนแล้วใช่ไหมสัปดาห์นี้ ฉันอยากได้เนื้อสัก 10 ชั่ง กระดูกด้วยก็ดีพอจะไปหาได้หรือเปล่า” ที่โรงเรียนเหมือนจะมีของหาย ทางโรงเรียนจึงประกาศหยุดการเรียนตลอดหนึ่งสัปดาห์ และคณะกรรมหน่วยผลิตของตำบลกำ
กัวเหม่ยอิงรู้สึกว่าช่วงนี้บ้านของพวกเธอถูกนินทาบ่อยมาก เมื่อมีคนไปเห็นน้องชายรองทำงานอยู่ในสถานีสักแห่งในอำเภอเพราะเข้าไปทำธุระ ยิ่งพอรู้ว่าน้องชายรองได้กลับไปทำงานเสียงนินทาก็ยิ่งกว้างไปจนถึงหมู่บ้านข้าง ๆ กันแล้วแต่ถึงจะนินทายังไงกัวเหม่ยอิงกับครอบครัวของสามีก็ไม่ได้ไปสนใจ พวกเธอพากันสนใจกิจการของบ้านมากกว่า ตอนนี้กุ้งแห้งมีรวม ๆ กันเกือบ 50 ไหแล้ว เพราะน้องชายรองเอาออกไปขายแค่วันละไห แต่ที่บ้านทำเพิ่มได้วันละไม่ต่ำกว่า 3 ไห กุ้งแห้งจึงมีเยอะมากตอนนี้ที่บ้านมีรายได้วันละ 5 หยวน จากการขายกุ้งแห้ง 1 ไห หรือบางวันก็ขายไหไปด้วยก็ได้กำไรอีก 1 หยวน ไหนจะเงินเดือนของน้องชายสามที่เป็นครูสอนเด็กประถม 10 หยวน และเงินเดือนของน้องชายรองอีกที่ได้มาถึงเดือนละ 80 หยวน แต่เงินเดือนที่ได้มาจะถูกหักเข้ากองกลางของบ้านเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งสามารถเก็บเอาไว้ได้เลย“สะใภ้รองบ้านเดิมของเธอมาหา” เสียงของพี่สาวใหญ่กัวร้องบอกหลังออกไปดูหน้าบ้านเมื่อมีคนมาร้องเรียกสะใภ้รองหันมองพี่สาวใหญ่กัวก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธที่จะคุยด้วย ไหนบอกว่ากลัวหล่อนจะไปสร้างปัญหาให้จึงให้เลิกติดต่อ แต่วันนี้พอสามีของหล
กัวเหม่ยอิงยืนมองกุ้งเกือบสิบตะกร้าด้วยความภูมิใจวันนี้เป็นวันแรกที่พี่ใหญ่กัวกับพี่รองกัวมาช่วยเธอจับกุ้ง และเป็นวันแรกที่จับกุ้งได้เยอะที่สุด อีกอย่างตอนนี้ก็เพิ่งจะช่วงบ่าย กัวเหม่ยอิงที่ปกติต้องไปจับกุ้งจึงเปลี่ยนมาแปรรูปกุ้งแทนต้องขอบคุณน้องชายรองที่แนะนำให้สร้างที่ตากกุ้งไว้เพิ่ม ไม่อย่างงั้นเธอคงจะหาที่ตากกุ้งไม่ได้ และดีที่ใช้เวลาตากกุ้งเพียงหนึ่งวันกุ้งก็แห้งให้แล้ว ต่างจากอนาคตที่ใช้เวลาหลายวัน“น้องชายรองไปแล้วเหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่เดิมตามหลังมาเหมือนว่าน้องชายรองจะได้รับการติดต่อจากสหายร่วมกองทัพของเขา ซึ่งกัวเหม่ยอิงก็ไม่ได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ ขอแค่เขาเอาของเข้าไปขายให้ตอนนี้เงินจากการขายกุ้งแห้งและหน่อไม้ต้มได้มาเกือบหนึ่งพันหยวน แต่มันยังไม่ได้หักค่าไห ค่าฟืน ค่าเกลือ และค่าแรงงานอีก แต่ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็นับจำนวนเงินนี้เป็นทุนสำหรับการค้าขายภายหน้าสะใภ้รองพยักหน้าแล้วนั่งลงหน้าเตาไฟเพราะหล่อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาช่วย “ใช่ค่ะ เห็นว่าสหายของเขาขึ้นมาหา ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับที่นั่นแล้ว” ถึ
หลังจากที่น้องสะใภ้กลับบ้านเดิมได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหล่อนก็กลับมาพร้อมกับความเงียบ และปิดประตูห้องไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง แม้แต่น้องชายรองเองก็เข้าหน้าไม่ติด กับข้าววันนั้นจึงเป็นกัวเหม่ยอิงที่ทำและเธอก็ไม่ได้ถามหาสาเหตุจากสะใภ้รอง หากหล่อนอยากจะพูดหล่อนก็คงจะพูดเองนับจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วห้าวัน และการที่สตรีบ้านกัวขอหยุดงานในแปลงนาสร้างความฮือฮาในหมู่บ้านอีกรอบ อีกไม่นานก็จะได้รับผลผลิตแล้ว ทำไมอยู่ ๆ สตรีบ้านกัวก็หยุดงานไปดื้อ ๆ ? มันเป็นเรื่องที่หยุดพูดไม่ได้กันเลยทีเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ได้ยินว่าคนบ้านกัวกำลังหาลูกเขยกับลูกสะใภ้ให้ลูกสาวกับลูกชายที่อายุมากแล้ว“สะใภ้รองขยับมาทางนี้” กัวเหม่ยอิงกวักมือเรียกน้องสะใภ้ที่หากุ้งฝั่งตรงข้ามเพราะกัวเหม่ยอิงกลัวว่าสะใภ้รองจะคิดมากเกินไป จึงชวนหล่อนพร้อมกับน้องชายสามีทั้งสองออกมาจับกุ้งอีกครั้ง ไหน ๆ กุ้งแห้งในบ้านก็ลดลงไปมากแล้ว“พี่จับกุ้งเก่งมาก” สะใภ้รองชมหล่อนจับกุ้งได้เพียงสามตัวตั้งแต่มาถึง ต่างจะพี่สะใภ้ที่ตอนนี้จับได้มากกว่ายี่สิบตัวแล้วกัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ก็เพราะฉันเก่งยังไงล่ะ” ต้องบอกว่ามีความสามารถพิเศษจะดีกว่า“ฉันเชื่อค่ะ”
จะว่าไปแล้วชีวิตของกัวเหม่ยอิงในตอนนี้สบายมาก ทำอะไรก็ลงตัวไปซะทุกอย่าง แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยอย่างลงตัว“กุ้งผัดหน่อไม้ได้แล้วนะคะ” สะใภ้รองที่จัดการปิ่นโตเสร็จหันมาบอกกับกัวเหม่ยอิงเพราะกัวเหม่ยอิงเห็นว่าสะใภ้รองน่าจะเหงามากเมื่ออยู่บ้านคนเดียว จึงจะเข้าไปคุยกับคนบ้านกัวตามที่คิดไว้กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ครบแล้วใช่ไหม” หากไม่ครบมันจะได้ไม่เสียเวลาต้องกลับมาเอา“ฉันดูให้แล้วค่ะ” สะใภ้รองพยักหน้าวันนี้เป็นวันหยุดประจำเดือนของทุกคนในหมู่บ้าน ถึงตอนนี้กำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แต่ทุกคนก็ยังได้หยุด เพราะในหนึ่งเดือนทุกคนจะได้หยุดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และวันนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี กัวเหม่ยอิงจึงจะไปคุยด้วย อีกอย่างน้องชายสามก็ออกไปหาฟืนกับน้องชายรอง ที่ตากกุ้งแห้งมันก็เต็มด้วยกุ้ง วันนี้จึงยังไม่ไปหากัน“น้องสาวห้า” เป็นพี่สาวใหญ่ที่กวาดลานบ้านร้องทักกัวเหม่ยอิงกัวเหม่ยอิงหันไปมองแล้วยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ทำอะไรกันคะ” เธอถามถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่าพี่สาวกำลังทำอะไร“กำลังกวาดลานบ้านน่ะไหน ๆ ก็วันหยุดแล้ว” พี่สาวใหญ่ตอบ “แล้วน้องสาวห้ามาทำอะไรที่นี่หรือมาดูบ้าน” ถ้ามาดูบ้านปกติน้องสาวของหล่อนไม่ได
กัวเหม่ยอิงแวะดูคนงานสร้างตอนช่วงสายของวันพร้อมกับส่งซาลาเปา จากนั้นก็ได้นำน้องชายรอง น้องชายสามเข้าป่าไปจับกุ้งที่เจอเมื่อวานหลังจากได้ลิ้มรสเมนูกุ้งฝีมือของสะใภ้รองทุกคนก็ชอบมันมาก น้องชายสามจึงขอไปจับกุ้งระหว่างรอหางาน แต่กัวเหม่ยอิงก็เลยเปลี่ยนให้พวกเขาไปจับกุ้งแทนที่จะไปหางานเธอได้นอนคิดทั้งคืนว่าหลังจากนี้พวกเธอจะทำอะไร ลำพังจะให้น้องชายสามออกไปทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายมันไม่พอแน่ ๆ แม้จะมีเงินเก็บ แต่จะให้น้องชายรองเข้าไปหางานในเมืองสะใภ้รองก็ไม่ยอมเพราะห่วงร่างกายของสามี ซึ่งกัวเหม่ยอิงเห็นด้วยจะให้สะใภ้รองไปก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่เพราะหล่อนไม่ได้เรียน ไหนจะต้องทำงานบ้านและดูแลแม่สามีอีกส่วนกัวเหม่ยอิงเธอต้องติดตามดูบ้านตลอด และต้องดูลูกสาวไปด้วย แล้วจู่ ๆ การทำกุ้งแห้งก็ผุดขึ้นมาให้หัวของเธอ ปกติพวกเธอก็มีกุ้งแห้งไว้ทำอาหารให้แม่สามีอยู่แล้วและมีราคาแพง หากเธอจะทำขายโดยที่ไม่ต้องใช้คูปองซื้อ และมีราคาถูกลงนิดนึงย่อมมีคนสนใจและเรื่องนี้กัวเหม่ยอิงก็ได้คุยกันเมื่อเช้านี้ซึ่งทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นน้องชายรองที่อยากจะขัดเพราะตัวเขาก็เป็นทหารมาก่อน ซึ่งรู้ว่าเรื่องขายของนั้นมันทำไม่ได้