เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามี
แต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้
กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าว
แต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก
“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอคงจะอดตายจริง ๆ ก็คราวนี้ ซึ่งเธอยอมไม่ได้
“เอ๊ะ! มีไก่ด้วย!”
พอลองนึกถึงความทรงจำดูแล้ว ก็จำได้ว่าที่บ้านมีไก่ 6 ตัว ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้กินไข่ ซึ่งยุคนี้เป็นข้าวยากหมากแพง
ทุก ๆ บ้านจึงสามารถเลี้ยงไก่ 1 ตัว ต่อสมาชิก 2 คนในบ้าน แต่ไม่รู้ว่าทำไมไก่ที่บ้านจึงมีจำนวนเกินและไม่ถูกร้องเรียน
กัวเหม่ยอิงเข้าเล้าไก่ไปดูไข่ไก่ก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าจำไม่ผิดแม่ไก่พวกนี้ถูกเลี้ยงมาหลายปีแล้ว จึงออกไข่ให้วันละฟองหรือบางวันก็ไม่มีให้เก็บ แต่โชคดีที่วันนี้ไข่ในรังมีเกือบ ๆ สิบฟอง เธอจึงเก็บใส่ตะกร้าทั้งหมด
นอกจากไข่ไก่แล้ว กัวเหม่ยอิงยังเก็บแตงกวากับมะเขือเทศที่เหลือไม่กี่ลูกในสวนหลังบ้านด้วย วันนี้เธอจะทำผัดไข่ใส่แตงกวากับมะเขือเทศ
กัวเหม่ยอิงนำเครื่องปรุงที่เห็นในห้องออกมาใช้ เธอทำอาหารเป็นก็จริง แต่ถ้าไม่มีเครื่องปรุงต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่อร่อยอยู่ดี และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำมันที่มีอยู่เต็มไห ซึ่งเธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนซื้อมา แต่มันอยู่ในห้องของเธอก็แปลว่าเธอใช้ได้
“พี่สะใภ้ ให้ฉันทำเถอะค่ะ!”
“ตื่นแล้วก็ไปเตรียมตัว ฉันทำเสร็จหมดแล้ว” เธอส่ายหัวปฎิเสธ เหลือแค่รอแตงกวานิ่มก็เสร็จแล้ว
“พี่ตื่นนานหรือยังคะ” สะใภ้รองไม่ได้ออกไปเตรียมตัว แต่หล่อนเข้ามาช่วยเก็บอุปกรณ์ที่เธอยังไม่ได้ล้าง
กัวเหม่ยอิงพยักหน้า “ก็สักพักแล้วแหละ” จะให้ตอบว่าเพิ่งจะตื่นก็ไม่ใช่
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาพวกนี้ไปล้างเองค่ะ พี่เตรียมข้าวให้ฉันเอาไปให้คุณแม่ก็พอ” หล่อนว่า
“อืม”
คล้อยหลังสะใภ้รองเดินออกไปไม่นานกัวเหม่ยอิงก็ยกหมอลงจากเตา ตักกับข้าวใส่ชามเก็บไว้ครึ่งหนึ่งเอาไว้กินมื้อกลางวัน ส่วนที่เหลือกัวเหม่ยอิงแยกไว้เป็นสามชาม ชามแรกเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของสะใภ้รอง และชามสุดท้ายเป็นของแม่สามี
ส่วนหานเมิ่งลู่นั้นยังกินข้าวไม่ได้แต่กัวเหม่ยอิงก็เก็บน้ำต้มข้าวไว้ให้ลูกสาว เพราะน้ำนมของเธอไม่พอ หากจะไม่ให้กินน้ำต้มข้าวหล่อนก็แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้อง เอาไว้หากได้เข้าอำเภอกเธอจะไปหาซื้อนมผงให้ลูกสาว
กัวเหม่ยอิงตักข้าวใส่จานพร้อมกับถือเอาชามกับข้าวออกมานั่งกินบนโต๊ะในห้องโถง ที่เธอไม่รอกินพร้อมกับสะใภ้รองก็เพราะกลัวว่าจะทำตัวเผยพิรุธออกไป ยังไงสะใภ้รองกับกัวเหม่ยอิงก็แต่งเข้าบ้านสกุลหานมาอยู่ในบ้านเดียวกัน หากใครเปลี่ยนไปจะไม่แคลงใจบ้างเลยหรือ
ช่วงสาย สะใภ้รองก็แต่งตัวออกไปทำงานเก็บแต้มกับคนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนเธอก็อยู่บ้านดูแลแม่สามีกับลูกสาว ที่จริงแล้วคนในหมู่บ้านจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดเพราะยิ่งทำงานมาก แต้มแรงงานก็จะมากตาม
เพียงแต่สะใภ้รองได้รับการอนุญาตจากเลขาธิการ ให้ไปทำงานสายได้ โดยที่แต้มแรงงานจะได้เพียง 5 แต้มเท่านั้น ต่างจากแต่ก่อนที่ได้7-8 แต้ม ต่อวัน
พอร่างกายเริ่มจะดีขึ้นกัวเหม่ยอิงก็เริ่มจะเบื่อ ในตอนที่เป็นถิงถิงเธอต้องตื่นเช้าไปเรียนและนอนเกือบเช้าเพราะอ่านนิยาย แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ แม่สามีก็เดินไม่ได้ ลูกก็ยังเล็ก หากปล่อยไว้ด้วยกันก็คงจะไม่ดี
“เฮ้อออออ” กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ พลางใช้นิ้วจิ้มแก้มลูกสาวที่เพิ่งจะหลับไปด้วยความเบื่อหน่าย
ตกเย็นกัวเหม่ยอิงก็แทบจะกระโดดโลดเต้น เมื่อได้รับข่าวดีจากสะใภ้รองว่าคนในหมู่บ้านได้รับการหยุดงานสามวัน เพราะคณะกรรมการต้องเข้าไปประชุมในอำเภอ อีกส่วนก็ต้องเดินทางไปต่างมณฑลจึงไม่มีใครมาจ่ายแต้มค่าแรงงานให้ อันที่จริงก็เหลือคณะกรรมการไว้บ้างแต่จำนวนคนเยอะเกินไป จึงให้หยุดพักผ่อนกันดีกว่า
เพิ่งจะผ่านช่วงปีใหม่มาได้ไม่ถึงสามเดือน ธัญพืชที่เพิ่งเอาลงดินหลังปีใหม่ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะงอก การหยุดงานครั้งนี้จึงไม่เป็นปัญหามาก ถึงแม้จะไม่ได้แต้มงาน แต่คนในหมู่บ้านก็พากันไปแวะเวียนดูอยู่ตลอด เพราะถ้าเกิดธัญพืชเสียหายพวกเขาก็จะไม่ได้ส่วนแบ่ง
เพราะแบบนี้มื้อเย็นของพวกเธอจึงได้กินซุปไข่ที่เหลืออยู่ 3 ฟองจากเมื่อเช้า แต่เธอก็ให้สะใภ้รองไปซื้อมาเพิ่มไว้ทำกินพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมากัวเหม่ยอิงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางมาหุงข้าวเช้า วันนี้เธอจะทำข้าวผัดไข่ และต้มโจ๊กให้เฉพาะแม่สามี เมื่อวานเธอก็ลืมไปว่าคนป่วยควรที่จะกินอาหารอ่อน ๆ เพราะที่นี่ก็กินตามมีตามเกิด สะใภ้รองจึงไม่ได้ทักเธอเรื่องอาหาร
ส่วนหานเมิ่งลู่ก็เป็นน้ำต้มข้าวที่ใช้ต้มโจ๊ก พรุ่งนี้คงต้องเข้าอำเภอไปหาซื้อนมผงสำหรับลูกสาววัยเดือนเศษ
วันนี้เธอจะออกไปหาของป่าตามที่เคยอ่านในนิยายที่เคยอ่านผ่านมา อย่างน้อยได้หน่อไม้มาสักหน่อก็ยังดี
“ฉันจะไปหาผักป่า ฝากเธอดูลูกให้ฉันด้วย” กัวเหม่ยอิงเอ่ยบอกกับสะใภ้รองที่ตื่นมาช่วยทำอาหารสำหรับพวกเธอ
อันที่จริงการเข้าป่านั้นไม่สามารถเข้าไปได้เพราะถือว่าเป็นการลุกล้ำพื้นที่ของรัฐบาล
แต่เพราะคนในหมู่บ้านต่างมีฐานะไม่ต่างกันนั้นก็คือยากจน คณะกรรมการของหมู่บ้านจึงพากันปิดหูปิดตา ไม่รับรู้เพราะบางทีพวกเขาก็ทำเช่นเดียวกัน และหลาย ๆ หมู่บ้านรอบข้างต่างก็รับรู้ แต่ไม่มีใครพูด
“พี่จะเข้าป่ากับพี่ใหญ่กัวหรือ” สะใภ้รองที่กำลังจุดเตาหันมาถามเธอที่กำลังเตรียมข้าว
“ฉันจะไปเอง” กัวเหม่ยอิงตอบ
พี่ใหญ่กัวที่ว่าก็คือพี่ชายคนโตของเธอ เขาเป็นคนที่เข้าป่าล่าสัตว์ทุกวัน แม้จะไม่ได้อะไรติดมือทุกวันแต่ก็ยังเข้าไปเพราะที่บ้านไม่มีอะไรจะกิน และบ่อยครั้งกัวเหม่ยอิงก็จะติดตามเข้าไปหาของป่ามาไว้กินที่บ้าน แต่หลังจากที่ตั้งท้องได้ห้าเดือน เธอก็หยุดเข้าไปหาของป่าเพราะถูกห้าม และถ้าพี่ใหญ่ได้เนื้อกลับมาก็จะเอามาให้เธอ แต่พวกเธอก็ไม่ได้กินมันเพราะมันถูกบ้านใหญ่สกุลหานแย่งไป
“พี่ควรจะให้พี่ใหญ่กัวไปด้วย” สะใภ้รองว่า
พี่สะใภ้ของหล่อนในยามนี้ก็เป็นแม่ม่ายแล้ว และอายุก็ยังไม่มากไป ยิ่งมีการศึกษาดีแล้วแต่งเข้าบ้านใหม่ยังได้ ไม่รู้ว่าหากเจออันธพาลพี่สะใภ้จะทำเช่นไร
“เดี๋ยวก็คงจะเจอกันแหละ” กัวเหม่ยอิงส่ายหน้า
ตะกร้าสานใบใหญ่ถูกสะพายขึ้นบนหลังของกัวเหม่ยอิงที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ข้างในยังมีน้ำและข้าวมื้อกลางวันหนึ่งห่อ
นอกจากนั้นกัวเหม่ยอิงยังสะพายย่ามที่ใส่มีดเอาไว้ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงจะเข้าป่าไปคนเดียงก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี
สั่งสะใภ้รอง 2-3 คำ กัวเหม่ยอิงก็ออกเดินทางโดยที่ฟ้ากำลังจะสาง เพราะหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ อีกทั้งหยุดงาน เธอยังไม่พร้อมที่สนทนากับใคร
กัวเหม่ยอิงมุ่งหน้าเข้าป่าที่คนในหมู่บ้านจะเข้าในตอนเช้ามืด ยิ่งใครไปก่อนผักป่าที่เกิดก็จะได้ก่อน ใครไปทีหลังก็ไม่ได้อะไร ซึ่งกัวเหม่ยอิงที่คิดว่าออกมาเช้าแล้ว ยังมาหลังคนในหมู่บ้านอีกนับสิบคน
“สะใภ้ใหญ่บ้านสามสกุลหานอาการดีแล้วหรือ”
เพราะฟ้าสางกัวเหม่ยอิงจึงหาที่นั่งพักก่อน และบริเวณที่นั่งพักก็มีคนในหมู่บ้านคนอื่นเดินผ่าน ไม่ก็มานั่งพักบริเวณนี้ และเธอนั่งได้ไม่ถึงนาทีก็มีคนเดินเข้ามาทัก
“?”
“ก็เห็นสะใภ้รองบอกว่าเธอป่วย” นางจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่ได้คำตอบที่อยากจะได้
“ฉันอาการดีขึ้นแล้วค่ะ”
กัวเหม่ยอิงรีบนึกความทรงจำของกัวเหม่ยอิงคนเก่า เพื่อให้จำได้ว่าคนในหมู่บ้านตรงหน้าคือใคร แม้จะจำไม่ได้หลายอย่างแต่พอนึกถึงแล้วเธอกลับจำมันได้
“มากับพี่ใหญ่กัวหรือ ฉันเห็นเขาล่าไก่ฟ้าได้ตั้งหลายตัว!” หล่อนกระซิบถามเธอด้วยความอิจฉา ไก่พวกนั้นถูกยิงไปแล้ว มันจึงไม่สามารถเลี้ยงต่อได้ พี่ใหญ่กัวได้ไก่ฟ้าไปหลายตัวหนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นของสะใภ้ใหญ่บ้านสามสกุลหาน หรือบางทีอาจมากกว่าหนึ่งตัวด้วยซ้ำ
กัวเหม่ยอิงไม่ได้ตอบคำถามของหล่อน แต่เธอกำลังนึกถึงพี่ชายคนโตของกัวเหม่ยอิง พี่ใหญ่กัวคนนี้เป็นคนที่รักน้องสาวและน้องชาย รักถึงขั้นยอมให้มารดาเอาเงินเก็บไว้แต่งภรรยาของเขาให้น้องสาวคนเล็กนำไปเรียน
และเขาก็เป็นคนมีฝีมือในการล่าสัตว์คนหนึ่งของหมู่บ้าน
พี่ใหญ่กัวจะเข้าป่าล่าสัตว์ในเวลาก่อนฟ้าสางและจะเข้าป่าอีกครั้งหลังเวลาเลิกงาน หรือหากว่างก็จะเข้าป่า
จะว่าไปแล้วถึงกัวเหม่ยอิงจะเรียนจบได้หลายปีแต่ทำไมบ้านกัวยังไม่มีเงิน ก็เพราะทุกคนห่วงลูกสาวคนเล็กของบ้านยังไงล่ะ เวลากัวเหม่ยอิงไปที่บ้านก็จะได้เงินกลับบ้านสามีไม่ใช้น้อย ๆ และกัวเหม่ยอิงไม่ได้ใช้สิ้นเปลือง เพียงแต่บ้านใหญ่สกุลหานเอาไป
“นี่ ๆ ฉันได้เห็ดป่ามาหลายชั่งเลย! สะใภ้ใหญ่พอจะพูดกับพี่ใหญ่กัวให้ฉันได้หรือไม่” สะใภ้รองสกุลจางที่เข้ามาทัก ถามกัวเหม่ยอิงที่กำลังจะเดินจากไป
‘เหอะ! เห็ดป่ากับไก่ฟ้า หล่อนฝันกลางวันหรือยังไง’
เสียงด้านหลังทำให้กัวเหม่ยอิงหันไปมอง เธอเห็นผู้หญิงที่น่าจะอายุราว ๆ กับเธอเอ่ยค้านสะใภ้รองจาง ซึ่งมันเป็นคำที่กัวเหม่ยอิงถูกใจมาก
ยุคนี้เป็นยุคที่ขาดแคลนอาหาร และเนื้อสัตว์ไม่ต้องพูดถึง คงจะมีใครอยากแลกเนื้อสัตว์กับผักที่เก็บได้ทุกวันอยู่หรอก
“ฉันยังไม่เห็นพี่ใหญ่เลยค่ะ เอาไว้ถ้าเห็นก็จะถามให้ก็แล้วกัน” แม้อยากจะตอบว่าทำไมไม่ไปถามเองแต่เธอก็ยั้งมันเอาไว้ เธอไม่รู้ว่าสะใภ้รองจางมีญาติมากน้อยเพียงใด หากมีปัญหาด้วยเธอจะซวยเอาได้
กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก“น้องสาวห้า”ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก“พี่ใหญ่!”“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”“ค่ะ”กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจ
กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก
กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอเพิ่งเคยมาครั้งแรก“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่าเพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมาส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ“เราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไปกัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่
กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวระหว่างเช็ดผมหลังจากชำระร่างกายเสร็จ เมื่อเช้าเธอตื่นเช้าเกินไป ตอนนี้ก็เลยง่วงขึ้นมา แต่งตัวเสร็จก็ดูลูกสาวครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินออกไปหาสะใภ้รองที่ล้างเห็ดรอ“เหลืออีกเยอะไหม” กัวเหม่ยอิงถามน้องสะใภ้“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ แต่หน่อไม้ฉันยังไม่ได้ทำ” สะใภ้รองตอบพลางชี้ไปที่หน่อไม้ในตะกร้า“ปลาล่ะ”“ฉันแช่น้ำแล้วค่ะ” สะใภ้รองตอบพร้อมกับชี้ไปที่ถังข้างโอ่งกัวเหม่ยอิงเลิกคิ้ว เธอไม่ได้ใส่น้ำให้ปลาตั้งแต่แรกแต่ทำไมปลาถึงยังมีชีวิตอยู่? หากจำไม่ผิดปลาพวกนี้ขาดน้ำได้ไม่นานนี่ ถึงอย่างนั้นกัวเหม่ยอิงก็เดินไปดูปลาในถัง ข้าง ๆ ถังยังมีทั้งกุ้งแล้วก็ปูแยกอีก“เสียดายที่ไม่มีปลาไหล” กัวเหม่ยอิงบ่น เธอจำได้ว่าในนิยายหลายเรื่องจะนำปลาไหลไปตุ๋นบำรุงร่างกาย แต่ยังดีที่ได้ปลาหนีชิวมาอยู่บ้าง“คะ” สะใภ้รองหันมามอง“ไม่มีอะไร” กัวเหม่ยอิงส่ายหัวแล้วลุกไปดูไก่ฟ้าที่วางไว้ข้างเตาถ่านที่จุดไฟรอกัวเหม่ยอิงต้มน้ำให้เดือด พร้อมกับนำชามมาเตรียมไว้รอการถอนขนไก่ ยังดีที่ไก่พวกนี้มันตายแล้วไม่งั้นเธอคงจะไม่กล้าทำมัน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ถ้าไม่ทำก็คงจะไม่มีอะไรกิน“พี่เข้าไปหาคุณแม่หน่อยนะคะ คุณแม่
กัวเหม่ยอิงเดินเลี่ยงออกจากจุดพักของคนในหมู่บ้านเพื่อเข้าไปในป่าที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไป ส่วนมากแล้วจะเป็นคนในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มล่าสัตว์จะใช้เส้นทางนี้ และเพราะแบบนี้แล้วมันจึงอุดมสมบูรณ์กว่าด้านนอกมากนัก“น้องสาวห้า”ด้านหน้าของกัวเหม่ยอิงปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ที่ยิ้มให้กับเธอ กัวเหม่ยอิงมองพลางนึกถึงไปด้วยจนกระทั่งนึกออก“พี่ใหญ่!”“น้องห้าจะเข้าป่าทำไมไม่ไปบอกพี่ก่อน” พี่ใหญ่กัวที่เธอร้องตอบรับ รีบเดินตรงมาหาเธอที่กำลังนั่งเก็บเห็ดป่า ในมือของเขาถือไก่ฟ้าอยู่หลายตัว ด้านหลังยังสะพายตะกร้าไม้สานอันใหญ่พี่ใหญ่กัวขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็ก หลังจากที่หล่อนคลอดลูกสาวก็มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไหนสามีก็ตายจากตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ต่อไปน้องสาวของเขาจะทำยังไง ไหนจะบ้านใหญ่สกุลหานอีก ทุกครั้งที่เขาจะเข้าป่าเขาก็จะเป็นคนไปชวนน้องสาว หรือไม่ก็จะนัดกันเอาไว้ แต่หลังจากที่หล่อนตั้งท้องเขาก็ไม่ให้หล่อนติดตามเข้าป่า“ฉัน ฉันลืมน่ะค่ะ”“หากน้องสาวห้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอก พี่จะเอาไปให้”“ค่ะ”กัวเหม่ยอิงสนทนากับพี่ชายต่ออีกไม่กี่คำก็แยกย้ายกัน พี่ใหญ่กัวนัดแนะว่าให้ลงมาเจอกันที่ตีนเขาก่อนจ
เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง กัวเหม่ยอิงจึงพักผ่อนเอาแรงมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ในตอนเช้าเธอจึงตื่นมาทำกับข้าวก่อนที่สะใภ้รองจะตื่น กิจวัตรยามเช้าของสะใภ้รองก็คือทำกับข้าวให้เธอกับแม่สามี และออกไปทำงานเก็บแต้มข้างนอก ถึงมื้อเที่ยงก็จะกลับมาดูแลแม่สามีแต่วันนี้ร่างกายของเธอดีขึ้นมากแล้ว และหานเมิ่งลู่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เพิ่งจะหลับไปไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอจึงมีเวลาลุกขึ้นมาทำกับข้าวไว้ให้น้องสะใภ้กัวเหม่ยอิงใช้น้ำล้างข้าวให้สะอาดก่อนจะนำมาต้มในเตาที่จุดไว้ ระหว่างที่ต้องรอข้าวสุกเธอจึงต้องเตรียมของไว้ทำกับข้าวแต่ในครัวนั้นเรียกได้ว่านอกจากข้าวและธัญพืชแห้งก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว กัวเหม่ยอิงถอนหายใจดังเฮือก“ถ้าไม่รีบหาเนื้อสัตว์มา ฉันตายแน่ ๆ ” ในชีวิตก่อนกัวเหม่ยอิงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์มาก และยิ่งเป็นเนื้อหมูแล้วยิ่งชอบเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าอาหารแต่ละมื้อต้องมีเนื้อหมู แต่พอมาอยู่ที่นี่เธอไม่ได้กินเนื้อสัตว์สักชิ้น และข้าวก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำตะกร้าสานใบเล็กที่วางอยู่ในครัวถูกกัวเหม่ยอิงคว้าออกมาที่สวนหลังบ้าน ในครัวไมมีอะไรให้กินแล้ว หากไม่เอาผักไปประทั้งชีวิต เธอ
ถิงถิงจำได้ว่าเธอเพิ่งจะนอนหลังอ่านนิยายเรื่อง ‘ฝากรักไว้กับรักแรกของแฟนเก่า’ จบไปตอนบ่ายสามของวัน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าที่ถิงถิงชอบมาก และมันยังเป็นนิยายของนักเขียนที่เธอติดตาม เนื่องจากนักเขียนได้ส่งนิยายที่สั่งพิมพ์ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อมาถึง ถิงถิงที่ว่างจึงรีบอ่านนิยายเกือบห้าร้อยหน้าโดยที่ไม่ยอมพักจนจบโดยใช้เวลาเพียงสิบชั่วโมงในการอ่าน จากนั้นจึงหันไปหยิบหูฟังมาสวมพร้อมกับผ้าปิดตาที่ใช้ตลอดเพราะเดี๋ยวแดดจะแยงตาตอนเช้าแต่แล้วถิงถิงที่นอนอย่างสบายใจก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ข้างหู ถิงถิงขมวดคิ้วระหว่างรู้สึกตัวตั้งแต่จำความได้เธอก็โตมากับคุณยายสองคนที่บ้านนอกและเสียไปเมื่อห้าปีก่อน หลังเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายเข้ามาเรียนในมหาลัยรัฐบาลที่มีทุนเรียนฟรี นอกจากยายแล้วเธอก็ไม่ได้มีญาติคนอื่นอีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเด็กร้องในห้อง เพราะที่พักของเธอนั้นเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา เด็กที่ต่ำกว่าสิบสองขวบถูกห้ามเข้ามาอยู่เพราะเจ้าของหอกลัวจะรบกวนเหล่านักศึกษาในมหาลัยที่ต้องตื่นไปเรียนเช้าและกลับดึกบางคณะถิงถิงบิดขี้เกียจพร้อมกับใช้มือขยี้ดวงตาที่ก