"คุณหนู นี่ท่านคิดเช่นไรจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งกายเยี่ยงนี้"
ซ่งซูหลานช้อนตามองอีกฝ่าย ตะเกียบยกค้างกลางอากาศ นางเหลียวมองหน้าหยางเชาแวบหนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือปาดเศษอาหารที่เกาะขอบปากหยางเชาออก เด็กน้อยคลี่ยิ้มอวดเหงือกชมพู ลี่ถังมองท่าทีราวหูทวนลมของนางก็พลอยหงุดหงิด
"นะ...นี่ ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ"
"คุณแม่บ้าน จะเสียงดังทำไมคะ" ซ่งซูหลานถอนหายใจ นางวางตะเกียบในมือลง
ตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ห้องที่นางใช้หลับนอนก็ถูกเคาะเรียกเสียงดังสนั่น เมื่อตกตะกอนความคิดเรื่องที่หยางเชาเล่าให้ฟัง นางจึงพอทำใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว แม้ความจริงอาจยอมรับได้ยากว่าซ่งซูหลานนั้นข้ามมิติเข้ามายังอีกศตวรรษให้หลังจริง ๆ คิดเสียว่าบ้านหลังนี้ก็คือบ้านในอดีตของตนก็แล้วกัน
"พูดจาไม่รู้ความสักนิด กลับดึกกลับดื่นจนกลายเป็นคนวิปลาสเชียวรึ เสื้อผ้าก็ทิ้งเกลื่อนอยู่ริมลำธาร เหอะ!" ลี่ถังค้อนควัก
ซ่งซูหลานยิ้มเยาะ พลางยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอก "ผู้ใดกันแน่วิปลาส เอาล่ะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ"
ลี่ถังโมโหแทบประสาทเสีย "นะ...นี่ ๆ ไยท่านจึงปีกกล้าขาแข็งขึ้น เถียงคำไม่ตกฟาก"
"เหอะ...ประสาท ข้าพอเข้าใจอะไรบ้างแล้วล่ะ คุณหนูซ่งคนนี้คงถูกท่านรังแกจนหนีไปเที่ยวปรโลก เลยต้องเรียกให้ข้ามาจัดการคนเช่นท่านแทนเนี่ย"
"หา..." ลี่ถังอึ้งงัน นางดูแลคุณหนูผู้นี้มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย หากนางจะเถียงก็ใช่จะใช้วาจาฉอด ๆ เช่นนี้
"เอาล่ะ เดิมทีข้าเป็นคุณหนูของเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ แล้วท่านเป็นผู้ดูแล"
ลี่ถังกะพริบตาถี่ คิ้วของนางเริ่มเคลื่อนเข้าหากัน ภายในใจเต้นกระหน่ำ หากซ่งซูหลานผู้นี้เกิดขี่ม้าสามศอกไปฟ้องนายใหญ่ของตนขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไร แต่สิ่งที่นางทำไปก็เพราะคำสั่งของฮูหยินรองมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวกันเล่า
"ชะ...ใช่แล้วอย่างไร ท่านจะนอนงอมืองอเท้ารึ นายท่านและนายหญิงส่งท่านมาอยู่กับข้าก็เพื่อดัดนิสัย อีกทั้งยังช่วยลดข้อครหาที่ท่านเป็นตัวอัปมงคลของตระกูล ข้าเองคิดว่าตำบลเลี่ยงหลินที่เคยอุดมสมบูรณ์แร้นแค้นมาจวบจนบัดนี้คงเป็นเพราะท่านเช่นเดียวกัน"
ซ่งซูหลานปรบมือเปาะแปะ "ข้ารึ ข้าเป็นตัวอัปมงคล ท่านเอาที่ใดมาตัดสิน อีกอย่างเป็นคุณหนูก็ต้องงอมืองอเท้าเป็นธรรมดามิใช่หรือ"
"แต่ไม่ใช่กับสตรีไร้ค่าเช่นท่าน"
ซ่งซูหลานเหลืออด สตรีเช่นนางไร้ค่าอย่างไร คอยดูเอาเถิดจะเพิ่มมูลค่าของตนเสียจนไม่มีผู้ใดสามารถอาจเอื้อม นางยืดกายขึ้น พลางกวาดสายตาสำรวจตัวเรือนด้านใน จากนั้นวกดวงตากลับมายังลี่ถัง "หน้าที่ของท่านดูแลเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่"
"ข้าก็บอกท่านไปแล้วไม่ใช่รึ"
ซ่งซูหลานกระตุกยิ้ม "ดูแลอย่างไร เหตุใดจึงทรุดโทรมนัก ข้าว่านอกจากเงินเดือนของเจ้า ตระกูลซ่งก็คงมีค่าซ่อมบำรุงบ้านเข้ามาทุกปีกระมัง"
ลี่ถังหน้าเผือดสี ซ่งซูหลานไม่เคยเคลือบแคลงเรื่องนี้มาก่อน ลี่ถังได้รับค่าซ่อมบำรุงมาจริงแต่นั่นเพียงน้อยนิดเกรงว่าฮูหยินรองคงฮุบไว้เองถึงแปดส่วน เหลือมาถึงนางเพียงสองส่วนเท่านั้น ซ่งซูหลานเขม้นมองท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่าย นางจึงทราบได้ทันทีว่าตนคาดเดาได้ถูกทางแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยต่อ "ท่านคิดว่าหากท่านพ่อทราบเรื่องนี้..."
"นี่ท่าน! จะไปฟ้องนายท่านรึ ถึงอย่างไรนายท่านก็ส่งคุณหนูมาแต่ไม่เคยให้ค่าเลี้ยงดูข้าเพิ่มสักอีแปะ เช่นนี้แล้วค่าซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ จะนับเป็นอะไร อีกอย่างบิดาของท่านตัดหางปล่อยวัดท่านนานแล้วไม่รู้ตัวอีกรึ"
"อ้อ...อย่างนี้เองสินะ เช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งจดหมายถึงท่านพ่อ ขอค่าซ่อมบำรุงเพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่ และจะถามเขาเสียเลยว่าตัดหางของข้าปล่อยวัดได้จริงหรือ"
ลี่ถังกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ แขนขาเกิดอาการสั่นระริก กายของนางทรุดฮวบลงเดี๋ยวนั้น "คะ...คุณหนู...ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้เลย ถึงอย่างไรข้าก็เลี้ยงดูท่านตั้งแต่แบเบาะ อีกอย่างข้ามีลูกเล็กท่านเองก็ทราบ"
ซ่งซูหลานลดตามองเด็กน้อยทั้งสอง จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไป อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาในอ้อมแขน
"หม่ำ หม่ำ หม่ำ"
เด็กน้อยอ้อแอ้ ควานมือจับแก้มจับหน้าของนางสะเปะสะปะ
"พ่อเด็กเล่า"
ลี่ถังส่ายศีรษะ นางเป็นหญิงหม้ายที่ถูกสามีทอดทิ้ง เดิมทีนางสามารถหาเงินได้มากหน่อยเพราะคอยยักยอกเบี้ยน้อยหอยน้อยจากค่าซ่อมบำรุงเรือน ทว่าสองสามปีให้หลังนางแทบไม่ได้รับเงินค่าซ่อมบำรุงนั้นอีกเลย มีเพียงเงินเดือนอันน้อยนิดที่ฮูหยินรองส่งมาก็เท่านั้น ซ้ำยังกำชับให้นางกดขี่รังแกคุณหนูรองผู้นี้สารพัด หากนางไม่ทำตามเงินสักอีแปะก็จะไม่ได้ นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ
กล่าวตามตรง ลี่ถังเป็นสตรีหาเงินเลี้ยงบุรุษ ส่วนอีกฝ่ายมักมากหลายใจไข่ทิ้งไว้แล้วไม่แยแส คนเรายามสิ้นเนื้อประดาตัวอีกฝ่ายก็ย่อมหมดใจ ไม่สนกระทั่งเด็กน้อยตาดำ ๆ
"เอาล่ะ แม่บ้านลี่ เรื่องราวที่ผ่านมาข้าไม่รู้ว่าท่านต้องเผชิญหน้ากับอะไร อีกอย่างสิ่งที่ท่านเคยทำกับข้าที่แล้วมาก็ให้แล้วไป เดิมทีท่านทำไปเพราะคงมีเรื่องลำบากใจใช่หรือไม่"
ลี่ถังแหงนหน้าขึ้นกระบอกตาแดงก่ำ ทว่าศักดิ์ศรีกลับยังคงค้ำคอ นางพยายามขับไล่ม่านน้ำตาที่ตีตื้นขึ้นมาออกให้พ้นทาง
"ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"
ซ่งซูหลานหยอกล้อกับเด็กน้อยในอ้อมแขนชั่วครู่ นางยอบกายลงเนิบช้า นัยน์ตาดอกท้อจดจ้องเข้าไปยังดวงตาแดงก่ำ ประกายตามุ่งมั่นไม่เหมือนคุณหนูรองคนก่อนเช่นนี้ส่งผลให้ลี่ถังรู้สึกหนาวสะท้านพิกล
ช่างดูเด็ดเดี่ยวมากขึ้นนัก!
"ข้าจะช่วยท่านดูแลพวกเขาเอง นับจากนี้ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคุณหนูที่ถูกบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังทำให้มารดาสิ้นชีพ เช่นนั้นการใช้ชีวิตที่นี่คงนับว่าดีกับบั้นปลายที่หลงเหลือของข้าแล้วกระมัง"
ลี่ถังสะอึกจนหน้าชา นางไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ใดอยากเป็นครอบครัวเดียวกันกับตนด้วยซ้ำ อีกทั้งตนยังกดขี่คุณหนูผู้นี้สารพัด ถึงนางทำป่าเถื่อนกับอีกฝ่าย ซ่งซูหลานก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ
นับตั้งแต่ชายมักง่ายเห็นแก่เงินผู้นั้นทอดทิ้งลี่ถังไป นางก็ดูแลลูก ๆ เพียงลำพังมาโดยตลอด ขณะเดียวกันลี่ถังมักไม่ให้หยางเชาเข้าใกล้ซ่งซูหลาน ทว่าลับหลังนาง หยางเชาจะคอยลอบเข้าไปพูดคุยกับซ่งซูหลานอยู่เสมอ บางคราถูกจับได้ก็โดนลี่ถังหวดก้นไปหลายที
"คะ...คุณหนู" ลี่ถังเสียงสั่นเครือ
"เอาล่ะ ไม่ต้องร้อง ข้ารู้ว่าอารมณ์กราดเกรี้ยวของท่านก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ปกป้องตนเองเท่านั้น"
แม้ทุกอย่างเป็นการคาดเดาจากเรื่องเล่าของหยางเชาเพราะเขายังเด็กนักเรื่องราวที่ถ่ายทอดให้ตนอาจดูผิดเพี้ยนไปบ้าง ทว่าซ่งซูหลานกลับคิดว่าแม่บ้านลี่ถังผู้นี้หาใช่คนใจไม้ไส้ระกำใด เพียงพูดคุยดีหน่อย หว่านล้อมอีกนิด ก็นับว่าใช้ได้แล้ว หากนางจิตใจหยาบกระด้างดุจยักษ์มารจริงมีหรือจะเลี้ยงดูเด็กน้อยถึงสามคนให้เติบใหญ่ได้ สามคนที่ว่าก็รวมถึงนางด้วยนี่อย่างไร
"แม่บ้านลี่เราต้องไปตักน้ำเช่นนี้ตลอดเลยหรือ" ซ่งซูหลานเอ่ยถาม เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะ พวกนางกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวซึ่งตักน้ำมาเกินครึ่งเพื่อเติมให้เต็มอ่างของที่บ้านในทุก ๆ วัน หนำซ้ำระยะทางก็สุดแสนทรหด "เจ้าค่ะ...คุณหนู หากท่านไม่ไหวก็ไปพักเถิด ที่เหลือข้าทำเอง" นับตั้งแต่พวกนางได้เปิดใจคุยกันครั้งแรก นิสัยและอารมณ์ของลี่ถังก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือราวแผ่นฟ้าพลิกกลับ "เอ่อ...ไม่ดีกว่า ไหน ๆ ก็อาศัยชายคาเดียวกันอยู่ จะให้ท่านทำคนเดียวได้อย่างไร" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม ความรู้สึกกระดากอายพลันโหมกระหน่ำเข้ามากระทบจิตใจของลี่ถังดุจเกลียวคลื่น นางเคี่ยวเข็ญซ่งซูหลานให้โหมงานอย่างหนักมาโดยตลอด แม้แต่ความห่วงใยก็ยังมิเคยปริปากถามไถ่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดีแต่พูดจากระทบกระเทียบอีกทั้งยังให้นางกินอาหารคุณภาพต่ำ อยู่ห้องแสนอับชื้นขณะที่บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต ทว่าลี่ถังจำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หาไม่แล้วหากฮูหยินรองจับได้ขึ้นมา เงินสักอีแปะนางก็คงไม่ได้รับแน่แท้ ยามนี้ลี่ถังมิสนใจแล้ว ต่อให้ต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม นางจะไม่ยินยอมกลับไปเป็นพวกไร้มโนธรรมนั่นอีกเป็นอันขาด นางเลี้ยงดู
ซ่งซูหลานอุ้มหยางเชาไปส่งด้านใน จากนั้นจึงออกมาสนทนากับลี่ถัง"แม่บ้านลี่""เจ้าคะ""ป่าไผ่แห่งนี้มีเจ้าของหรือไม่"ลี่ถังกะพริบตาถี่ "เดิมทีก็ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ทว่าไม่นานมานี้นายท่านกว้านซื้อพื้นที่บริเวณนี้ไว้หมดแล้ว ป่าไผ่รกร้างพวกนั้นไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ก็คงนับว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของนายท่านด้วยกระมัง เอ่อ...ว่าแต่ คุณหนูลืมหรือเจ้าคะ"ซ่งซูหลานส่งยิ้มฝืดฝืน "เปล่า ๆ ข้าถามดูเฉย ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไหน ๆ ต้นไผ่พวกนั้นก็มีมากโข ข้าตัดมาใช้งานสักต้นสองต้นคงไม่เสียหายกระมัง""ย่อมได้แน่นอน ว่าแต่คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ"คิ้วสวยยึกยักขึ้นลงสองสามครา ลี่ถังถึงกับยกมือขึ้นทาบอก "คุณหนู ท่านเป็นสตรีไยทำท่าทางเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ไม่งามเอาเสียเลย"ซ่งซูหลานขำพรืด "โถแม่บ้านลี่ หัวโบราณนัก""หา...ก็...""เอาล่ะ ๆ ต่อไปไม่ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว พอใจหรือยัง"ลี่ถังตอบรับเสียงค่อย "เจ้าค่ะ หากท่านทำกิริยาเมื่อครู่ แล้วอยู่ ๆ นายท่านเรียกตัวกลับ นิสัยม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ ข้าต้องหลังลายเป็นแน่""แหม ที่แท้ก็กลัวหลังลาย จากที่ข้ารู้มาบิดาของข้าเกลียดข้าจะตายไป ชาตินี้ข้าคงไม่ได้กลับไปตระกูลซ่งนั่นอ
ย่ำรุ่งก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ซ่งซูหลานและลี่ถังตื่นขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเรือนให้ดูสะอาดตา เดิมทีสภาพแวดล้อมของที่นี่น่าอยู่และเรียบร้อยยิ่ง ทว่ายังขาดการดูแลรักษาเพียงหน่อยเดียว ส่วนเด็กทั้งสองยังนอนฝันหวานอยู่ด้านใน เรือนนี้โอ่อ่ามากเกินไปสำหรับสตรีสองนางกับเด็กตัวเล็กจริง ๆ มองไปมุมใดล้วนดูบางตาไม่น่าอบอุ่น "คุณหนู ข้าจะออกไปตลาดครู่หนึ่ง ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่" ซ่งซูหลานครุ่นคิด "อืม...เช่นนั้นที่ตลาดของยุคนี้ เอ่อ...ไม่ใช่สิ ที่ตลาดมียางรักหรือไม่" "ยางรัก หมายถึงสิ่งใดเจ้าคะ" ลี่ถังงุนงง "เดิมทีเวลาที่เราทำเครื่องใช้ตกแต่งบ้านจะต้องมีการเคลือบหรือลงสีเพื่อความสวยงามอีกทั้งยังรักษาสภาพให้คงทน ยางรักคือน้ำยางที่เก็บได้จากไม้ประเภทยืนต้น หากข้าเก็บเองกว่าจะได้ลงมือทำเครื่องใช้คงต้องรอหลายวันนัก เช่นนั้นเจ้าลองไปสอบถามร้านที่ขายเก้าอี้ โต๊ะ ตู้ พวกนี้ดูได้หรือไม่" ลี่ถังพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นฝากท่านดูแลเด็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม "ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วง ตลาดไกลหรือไม่" "ไม่ไกลมากเจ้าค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วยามข้าจะรีบกลับนะเจ้าคะ" "โอเค"
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อหยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก""พี่ฉาวข้าไปด้วย"ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน""เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กิน
"คุณหนู ท่านพาใครมาเจ้าคะ ท่าทางเฉกเช่นคนไร้บ้าน เขายังมีลมหายใจอยู่แน่หรือ" ลี่ถังกะพริบตาถี่ มองหน้าบุรุษที่นอนสลบไสลเนื้อตัวเปื้อนเขรอะ ร่างกายมอซอจนดูไม่จืดซ่งซูหลานสบดวงตากับหยางเชา "ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า ก็มิอาจใจจืดใจดำลง""นั่นฉิท่านแม่ พี่ฉาวไปเจอพี่ชายท่านนี้นอนเล่นอยู่ในป่า""หา...นอนเล่น อาเชาพูดอันใดของเจ้า หากนอนเล่นเขาจะอยู่ในสภาพนี้รึ" ลี่ถังเอ็ดบุตรชายของตนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงผินหน้ากลับเพื่อมองซ่งซูหลาน"บุรุษตัวโตเพียงนี้ เขาคงมิใช่โจรป่ากระมัง หากไม่ทำความผิดคงไม่บาดเจ็บร่อแร่ขนาดนี้"ทั้งสองก้มหน้างุดประดุจกำลังถูกมารดาสั่งสอน ตามที่ลี่ถังเอ่ยก็จริงอยู่ เนื่องจากซ่งซูหลานอยากเข้าไปตัดต้นไผ่เพื่อทำกังหันลมเพื่อช่วยในการลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ในเรือน คาดไม่ถึงภารกิจยังไม่แล้วเสร็จก็พบเข้ากับชายปริศนานอนบาดเจ็บจมกองโลหิต จากต้องทำกังหันลมก็ได้มานั่งทำรถลากเพื่อเข็นตัวของเขาออกจากป่าแทนเสียได้"ขออภัยแม่บ้านลี่ คือ... ข้าเองก็จนใจ เห็นคนขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหน้าไ
ลี่ถังจึงเดินลับตาไปอีกครั้ง ส่วนหยางเชานั้นออกไปนั่งเล่นแล้ว ด้านในกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนักไม่เหมาะกับเด็กเช่นเขา ซ่งซูหลานใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดให้หมาด จากนั้นบรรจงเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เมื่อเศษดินและโลหิตถูกชะล้าง โครงหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏต่อสายตา"นะ...นี่ เขาดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ขนาดใบหน้าฟกช้ำยังทำอะไรลูกรักพระเจ้าไม่ได้เชียวหรือ"ลี่ถังเดินเข้ามาพอดีก็ทันได้เห็นเข้า "โอ้โห พ่อหนุ่มคนนี้เทพบุตรขนานแท้เลยเจ้าค่ะ"ซ่งซูหลานเหลียวหน้ามองเบื้องหลัง "บางทีคนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ ข้าจะรีบรักษาเขา หลังจากเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วจะรีบให้เขาจากไปเสีย""แหม น่าเสียดายจริง ๆ นะเจ้าคะ""แม่บ้านลี่" ซ่งซูหลานเอ็ดเสียงแผ่ว"เอาล่ะ ๆ ข้าไม่รบกวนแล้ว จะรอด้านนอกนะเจ้าคะ ข้าเองก็กลัวเลือด หากต้องการสิ่งใดเพิ่มคุณหนูเรียกข้าได้เลย""ขอบใจมาก"ลี่ถังเดินจากไปแล้ว ซ่งซูหลานก็เริ่มทำแผลเล็กน้อยก่อน ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ได้สติ นับเป็นการดีมากที่นางจะถอนเอาธนูดอกนั้นออกจากอกของเขา มาถึงขั้นตอนนี้แขนขาวเนียนยกข
เวลาล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังคงนึกชื่อของตนไม่ออก ซ่งซูหลานเทียวไปเทียวมาดูแลเขาจนอาการบาดเจ็บเริ่มทุเลา จากถามคำตอบคำก็เริ่มพูดจาจัดเจนเสียจนชวนปวดหัว"ที่นี่เรือนของเจ้าหรือ" ชายหนุ่มเอ่ยถามซ่งซูหลานลดช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกินครึ่งลง "คงนับว่าใช่กระมัง"อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความฉงน "นับว่าใช่?... ข้าไม่ค่อยเข้าใจ""ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็มิใช่คนของที่นี่""เช่นนี้เอง" ชายหนุ่มพยักหน้า ดูเหมือนนางลำบากใจทีเดียว เขาจึงไม่อยากรบเร้าต่อซ่งซูหลานจ่อช้อนไปยังริมฝีปากของเขาทว่าชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ "ข้าอิ่มแล้ว"นัยน์ตาดอกท้อลดมองโจ๊กที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง "ไม่ได้ ท่านเป็นบุรุษอย่างไร ไฉนกินน้อยเพียงนี้ กินทิ้งกินขว้างมันเป็นบาปเข้าใจหรือไม่ นึกถึงคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ๆ หน่อย ข้ารู้ว่าเดิมท่านอาจมาจากตระกูลผู้ดี ของพวกนี้ช่วยฝืนใจกินมิได้เชียวหรืออีกอย่างกว่าพวกข้าจะสามารถซื้ออาหารมาตุนไว้ได้แต่ละมื้อหาใช่เรื่องง่ายดาย"ชายหนุ่มนิ่งค้าง เขาตั้งใจฟังซ
ตระหนักถึงตรงนี้ ซ่งซูหลานก็พลันขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะ!"ชายหนุ่มกล่าวถาม "มีสิ่งใดหรือ""เมื่อครู่นี้ท่าน...ทะ...ท่านยกถ้วยโจ๊กขึ้นซด" ซ่งซูหลานชี้นิ้วไปยังถ้วยเปล่าข้างหัวเตียงเขาผินหน้ามองตามปลายนิ้วของนาง แล้วจึงตอบกลับหน้าตาย "ใช่แล้ว ทำไมหรือ""แล้วท่านหลอกให้ข้าป้อนท่านมาตั้งหลายวันเนี่ยนะ ข้าก็คิดว่าแขนของท่านยังบาดเจ็บอยู่"ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม "แม่นางไม่เคยถามข้าเสียหน่อยเข้ามาก็ป้อนข้าเอง อีกอย่างยามที่เจ้าป้อนข้าโจ๊กต้มเกลือก็รสชาติไม่เลวทีเดียว"ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ไม่รู้เพราะโมโหหรือขัดเขินกับคำพูดเมื่อครู่ของเขากันแน่ "หน็อย...ท่าน! ความจำเสื่อม ทว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก แล้วตอนนี้ขาของท่านขยับได้แล้วหรือไม่"เขาจึงกระตุกท่อนขาให้นางดู "น่าจะได้ แต่คิดว่าเดินยังไม่คล่องเท่าใด""งั้นหรือ" ซ่งซูหลานเอื้อมมือสัมผัสขาของเขาผะแผ่ว แล้วจึงออกแรงบีบ"โอ๊ย!...แม่นางท่านทำสิ่งใด ข้าเจ็บ""อา...เจ็บแล้ว เจ็บแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้ขาพิการ มือก็ใช้งานได้แล้ว ข้าว่าอีกเดี๋ยวความจำคงกล
ร่างสูงเดินวนไปมาอยู่หน้าตำหนัก มือแกร่งไพล่หลังเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลและองครักษ์มองตามก็พลอยปวดเศียรเวียนเกล้าไปเสียด้วย"เอ่อ...รัชทายาท พระทัยเย็น ๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ" เย่จงเทียนเอ่ยปลอบประโลมทว่ากู้หย่งเฟิงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด "จงเทียน ข้าเป็นห่วงนาง เหตุใดจึงนานนัก หมอทำเป็นหรือไม่"เย่จงเทียนยกมือเกาแก้ม เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม"องค์รัชทายาท นี่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ [1] เลยนะพ่ะย่ะค่ะ"กู้หย่งเฟิงตวัดสายตามองฉับ เย่จงเทียนหน้าหงอทันควัน "หนึ่งหรือสองเค่อก็นานทั้งนั้น ข้าเป็นห่วงนางใจแทบขาดแล้ว"..ภายในตำหนัก"เบ่งเพคะ เอ้า หนึ่ง สอง..." มือเหี่ยวย่นช่วยประคองครรภ์กลมโตพลางทำปากพองลมตาม"อื้อ..." ซ่งซูหลานพยายามออกแรงเบ่งเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กลี่ถังและเฉินซู่คอยซับเหงื่อให้ผู้เป็นนายอยู่ไม่ห่าง ขณะที่พระชายาเบ่งพวกนางก็ออกแรงเฉกเช่นตนจะคลอดด้วยเสียเอง"พระชายา อีกนิดเท่านั้นท่านอดทน
ซ่งหยวนหมิงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้ตรวจสอบเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางที่ตำบลเลี่ยงหลินอย่างลับ ๆ เขาระแคะระคายมาสักพักแล้วว่ากงเจิ้งจงกำลังคิดกระทำการบางอย่าง คาดไม่ถึงว่านอกจากไม่ส่งความช่วยเหลือมายังราษฎร กลับอ้างชื่อของรัชทายาทเพื่อทำเรื่องต่ำช้าสร้างความเข้าใจผิดให้ใต้หล้า ซ้ำยังลอบทำร้ายรัชทายาทในพิธีล่าสัตว์ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนทราบดีว่าเขามิอาจกักบริเวณรัชทายาทได้จริงดังว่า จึงให้ใต้เท้าซ่งรวบรวมกำลังทหารไปสมทบ นอกจากจับได้ทั้งคนพร้อมหลักฐานแล้ว สิ่งที่ลำบากใจที่สุดยามนี้ก็คือ กงเจิ้งจงคือบิดาของกงกุ้ยเฟย ซ้ำร้ายกงกุ้ยเฟยยังเคยวางยาห้ามครรภ์ให้บรรดาสนมคนอื่น ๆ รวมถึงฮองเฮาด้วย ทว่าจางฮองเฮากลับสามารถให้กำเนิดโอรสได้หนึ่งพระองค์ หลังจากรัชทายาทประสูติไม่นานร่างกายของจางฮองเฮาก็มิสู้ดีมาโดยตลอด กระทั่งกู้หย่งเฟิงรู้ความ นางก็ได้จากไปอย่างสงบกงเจิ้งจงกระทำการอุกอาจเช่นนี้เพียงต้องการให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทแห่งแคว้น เพราะตนมิอาจควบคุมกู้หย่งเฟิงได้ ทว่าองค์ชายทั้งสองกลับมิได้รู้เห็นด้วย ฮ่องเต้จึงทำการสำเร็จโทษกงเจิ้งจงด้วยทัณฑ์ของกบฏขั้นสูงส
ซ่งซูหลานตกใจสะดุ้งโหยง บรรดาชายชุดดำด้านหลังต่างวิ่งกรูเข้ามา ซ่งซูหลานล้วงเอาระเบิดปิงปองสามสี่ลูกออกจากกระเป๋า แล้วจึงใช้อุปกรณ์จุดไฟที่ประดิษฐ์ขึ้นจุดชนวนด้านบน โชคดีที่เส้นทางในถ้ำคับแคบ ชายเหล่านั้นเลยไม่อาจดาหน้าเข้ามาในคราวเดียวกันซ่งซูหลานปาระเบิดปิงปองออกไปอย่างรวดเร็ว"วิ่ง!"กู้หย่งเฟิงกุมมือซ่งซูหลานไว้เหนียวแน่น พวกเขาตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ภายในถ้ำเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนตู้ม!!แรงระเบิดทำให้หินนับร้อยร่วงกราวลงมาดุจใบไม้แห้ง ที่นี่กำลังจะพังทลาย"บัดซบ! จับพวกมันมาให้ได้" เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังฝีเท้านับร้อยคู่วิ่งกรูใกล้เข้ามาทุกขณะ พร้อมกับเสียงโอดโอยร้องดังระงม ถึงแรงระเบิดไม่อาจคร่าชีวิต ทว่าสามารถสร้างรอยบาดแผลเพื่อลดทอนกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสองมาถึงทางออกแล้ว แต่วิธีออกไปกลับไม่เหมือนยามที่ตนเข้ามากู้หย่งเฟิงพยายามคลำหาเปะปะ "ตรงไหนกันเล่า"ซ่งซูหลานหายใจหอบเหนื่อย "ข้าหาเอง"ทั้งสองช่วยกันคลำไปทั่วผนัง ทว่าเบื้องหลังกลับถูกอีกฝ่ายล้อมไว้ ชายร่างสูงสวมหน้ากากเยื้องย่างด้วยท่าทีใจเย็น
ซ่งซูหลานหัวใจไหวระทึก ชายฉกรรจ์ทั้งสองเยื้องย่างใกล้เข้ามาทุกขณะ อยู่ ๆ ปากของนางก็ถูกฝ่ามือใครบางคนตะปบปิดเอาไว้"อื้อ..." นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนกผู้ใดกัน!?"ชู่ว..."นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหู ซ่งซูหลานมิกล้าขยับส่งเดช มือแกร่งโยนบางอย่างไปอีกฝั่งจี๊ด จี๊ด จี๊ด...บุรุษในชุดสีทะมึนหันตามขวับ"โถ่ บัดซบ! ที่แท้ก็หนูนี่เอง"เท้ากำยำเตะหินก้อนหนึ่งกระทบผนังถ้ำอย่างหัวเสีย"ไปกันเถอะ ลาดตระเวนมานานจนข้าชักเพลียแล้ว วันนี้ใต้เท้าจะลงมาดูงานด้วย"ชายอีกคนพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นพวกเขาก็หายลับไปทางแยกด้านซ้าย ซ่งซูหลานมองตามบุรุษทั้งสองตาปริบ ๆ ทว่าเบื้องหลังกลับมีใครบางคนกำลังควบคุมนางเอาไว้ ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อประดุจรูปปั้น นางไม่กล้ากระทั่งหายใจแรงเสียงทุ้มกระซิบแผ่ว "เด็กดื้อ เจ้าทำตัวเช่นนี้ข้าเป็นห่วงมากรู้หรือไม่"สะ...เสียงนี่มัน...ฝ่ามือหยาบระคายลดลงแล้ว เขาจับไหล่บอบบางของคนเบื้องหน้าให้หั
เสียงบุรุษสองนายสนทนากันดังเป็นระยะ "เจ้าว่าแผนการนี้จะได้ผลหรือ รัชทายาทหาใช่คนโง่เง่า""เอาน่า อย่างน้อย ๆ สร้างชื่อเสียงให้เขาเสื่อมเสียสักหน่อย เมื่อราษฎรไม่ยอมรับเขา ต่อไปแผนการของใต้เท้าก็จะสำเร็จโดยง่าย""นั่นสินะ ข้าล่ะอยากไปร่ำสุราเคล้านารีในวังหลวงเสียจริง คงมีแต่สตรีงามหยดดุจนางฟ้า น่าเสียดายหากวันนั้นหัวหน้าไม่ห้าม รัชทายาทคงไม่รอดจวบจนวันนี้""เอาเถิด อีกไม่นานเกินรอแผนสำรองก็น่าจะสำเร็จ"วาจาคลุมเครือพร้อมท่าทางหยาบโลนของพวกเขาทำให้ซ่งซูหลานขนลุกซู่พวกนี้เองหรือที่ทำร้ายเขาปางตายในป่าไผ่ตอนนั้นทุกอย่างเป็นเช่นที่นางคาดไม่มีผิด กู้หย่งเฟิงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด เขากำลังถูกปรักปรำทว่าใต้เท้าที่พวกเขาเอ่ยถึงคือใต้เท้าใดกัน ในวังหลวงมีตั้งกี่ใต้เท้าเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับตุ๊บ!จู่ ๆ หินก่อนหนึ่งดันร่วงบริเวณที่นางกำลังซ่อนตัวอยู่ราวจับวาง ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก"ผู้ใด!?"แย่แล้วซูหลาน ยังไม่ทันได้เรื่องก็ไม่เหลือชีวิตไปต่อแล้ว ฮือ...ปืนกลที่พกขนาบเอ
"คุณหนู ท่านเพิ่งมาถึงมิใช่หรือ นี่ท่านกำลังทำอันใดเจ้าคะ แล้วไยจึงยังแต่งกายเฉกเช่นบุรุษอยู่อีก" ลี่ถังทราบเพียงว่าซ่งซูหลานถูกพาตัวไปอภิเษกกับรัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางได้เข้าพิธีอภิเษกจริงหรือไม่ เพราะตั้งแต่พบหน้าซ่งซูหลาน นางก็มิได้เอ่ยถึงเลย ลี่ถังจึงตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายในสถานะเดิมซ่งซูหลานยังคงทำโน่นจัดนี่มือเป็นระวิง "แม่บ้านลี่ อยู่เรือนอย่าลืมปิดประตูให้ดี อ้อ...อีกอย่าง อย่าได้ออกไปไกลจากตัวเรือนเกินหนึ่งหลี่ [1] เข้าใจหรือไม่ ข้าทำเส้นกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว"ลี่ถังงุนงง "ทำไมหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เอาตามนี้ อย่าพาเด็ก ๆ ออกมาเล่า แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานพกกระเป๋าอุปกรณ์ที่นางตัดเย็บเองยามว่าง จึงสามารถนำมาใส่สัมภาระที่จำเป็นสำหรับภารกิจหนนี้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่ชาวบ้านถูกรีดไถเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จะใช่คำสั่งของรัชทายาทจริงหรือซ่งซูหลานมุ่งหน้าออกจากเรือนโดยไม่ลืมกำชับลี่ถังอีกหน เพราะนางได้วางกับดักเอาไว้โดยรอบ ทั้งยังมีดินประสิวใ
"จงเทียนเจ้าไปที่ตำบลเลี่ยงหลิน แล้วเร่งส่งข่าวซูหลานมาให้ข้า""พ่ะย่ะค่ะ" เย่จงเทียนหมุนกายกลับ ทว่าใครบางคนกำลังยืนขวางทางอยู่หน้าธรณีทางเข้า"องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงมองผ่านไหล่ของเย่จงเทียนไป เขาหรี่นัยน์ตามองอีกฝ่ายด้วยความคลางแคลง "เจียฮ่าน มาได้อย่างไร""กำลังจะไปที่ใดหรือพี่รอง" กู้เจียฮ่านเอ่ยเรียบเรื่อย"ข้าก็มิได้จะไปที่ใด ทำไมเล่า เจ้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อรึ"กู้หย่งเฟิงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาโบกมือหนึ่งคราเพื่อให้เย่จงเทียนเร่งออกไปกู้เจียฮ่านมองตามองครักษ์ของผู้เป็นพี่ชาย จากนั้นผ่อนหายใจเบา "พี่รอง ท่านกำลังให้องครักษ์เย่ไปตำบลเลี่ยงหลินกระมัง""ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"กู้เจียฮ่านย่างกรายเนิบนาบ เย่จงเทียนไม่กล้ากระดิกกายออกไปทันที เพราะเขาเกรงว่าอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมา เนื่องจากรัชทายาทยังถูกกักบริเวณเพราะราชโองการร่างสูงหย่อนกายลงนั่งพิงพนักเก้าอี้เนื้อดี จากนั้นยกมือขึ้นมาครูดเล็บสะบัดนิ้วทั้งห้าเล่นหนึ่งฝั่งด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์กู้ห
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซ่งซูหลานรู้สึกขุ่นเคืองนัก ไฉนบรรดาทหารหน้าบากเหล่านั้นต้องมาทำลายกังหันลมของนางด้วย นางอุตส่าห์ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจกว่าจะทำสำเร็จ เช่นนี้ต้องสั่งสอนให้รู้เข็ดหลาบ"เอาเถิด เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลใจ พวกเขาย้อนกลับมาบ่อยหรือไม่"ลี่ถังพยักหน้า "บางคราก็ห้าวัน บางคราก็เจ็ดวันเจ้าค่ะ""ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด ทุกอย่างจะเรียบร้อย อย่าลืมดูแลลูก ๆ ให้ดี"..ขันทีและทหารเรียงหน้าเข้ามายังตำหนักของรัชทายาท ร่างสูงที่นั่งประทับบนหลังม้าขมวดคิ้วมุ่นกู้หย่งเฟิงเอ่ยถามเสียงขรึม "พวกเจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"เสียงขันทีประกาศก้อง "องค์รัชทายาทรับราชโองการ"เย่จงเทียนขมวดคิ้ว "ราชโองการใดกัน""ขออภัยท่านองครักษ์ เป็นราชโองการโดยตรงจากฝ่าบาท" ขันทีเอ่ยนอบน้อมกู้หย่งเฟิงจึงกระโดดลงจากหลังม้าทันควัน จากนั้นคุกเข่าโดยไม่ปริปากเรื่องใดต่อ"รัชทายาทไร้คุณธรรมกระทำเรื่องเสื่อมเสีย รีดไถราษฎร ไม่คำนึงถึงความผาสุกบรรเทาทุกข์แก่ผู้ยากไร้ จึงให้กักตัวอยู่ที่ตำหนักจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างแจ้ง
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน