เวลาล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังคงนึกชื่อของตนไม่ออก ซ่งซูหลานเทียวไปเทียวมาดูแลเขาจนอาการบาดเจ็บเริ่มทุเลา จากถามคำตอบคำก็เริ่มพูดจาจัดเจนเสียจนชวนปวดหัว
"ที่นี่เรือนของเจ้าหรือ" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
ซ่งซูหลานลดช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกินครึ่งลง "คงนับว่าใช่กระมัง"
อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความฉงน "นับว่าใช่?... ข้าไม่ค่อยเข้าใจ"
"ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็มิใช่คนของที่นี่"
"เช่นนี้เอง" ชายหนุ่มพยักหน้า ดูเหมือนนางลำบากใจทีเดียว เขาจึงไม่อยากรบเร้าต่อ
ซ่งซูหลานจ่อช้อนไปยังริมฝีปากของเขา ทว่าชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ "ข้าอิ่มแล้ว"
นัยน์ตาดอกท้อลดมองโจ๊กที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง "ไม่ได้ ท่านเป็นบุรุษอย่างไร ไฉนกินน้อยเพียงนี้ กินทิ้งกินขว้างมันเป็นบาปเข้าใจหรือไม่ นึกถึงคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ๆ หน่อย ข้ารู้ว่าเดิมท่านอาจมาจากตระกูลผู้ดี ของพวกนี้ช่วยฝืนใจกินมิได้เชียวหรือ อีกอย่างกว่าพวกข้าจะสามารถซื้ออาหารมาตุนไว้ได้แต่ละมื้อหาใช่เรื่องง่ายดาย"
ชายหนุ่มนิ่งค้าง เขาตั้งใจฟังซ
ตระหนักถึงตรงนี้ ซ่งซูหลานก็พลันขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะ!"ชายหนุ่มกล่าวถาม "มีสิ่งใดหรือ""เมื่อครู่นี้ท่าน...ทะ...ท่านยกถ้วยโจ๊กขึ้นซด" ซ่งซูหลานชี้นิ้วไปยังถ้วยเปล่าข้างหัวเตียงเขาผินหน้ามองตามปลายนิ้วของนาง แล้วจึงตอบกลับหน้าตาย "ใช่แล้ว ทำไมหรือ""แล้วท่านหลอกให้ข้าป้อนท่านมาตั้งหลายวันเนี่ยนะ ข้าก็คิดว่าแขนของท่านยังบาดเจ็บอยู่"ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม "แม่นางไม่เคยถามข้าเสียหน่อยเข้ามาก็ป้อนข้าเอง อีกอย่างยามที่เจ้าป้อนข้าโจ๊กต้มเกลือก็รสชาติไม่เลวทีเดียว"ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ไม่รู้เพราะโมโหหรือขัดเขินกับคำพูดเมื่อครู่ของเขากันแน่ "หน็อย...ท่าน! ความจำเสื่อม ทว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก แล้วตอนนี้ขาของท่านขยับได้แล้วหรือไม่"เขาจึงกระตุกท่อนขาให้นางดู "น่าจะได้ แต่คิดว่าเดินยังไม่คล่องเท่าใด""งั้นหรือ" ซ่งซูหลานเอื้อมมือสัมผัสขาของเขาผะแผ่ว แล้วจึงออกแรงบีบ"โอ๊ย!...แม่นางท่านทำสิ่งใด ข้าเจ็บ""อา...เจ็บแล้ว เจ็บแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้ขาพิการ มือก็ใช้งานได้แล้ว ข้าว่าอีกเดี๋ยวความจำคงกล
ซ่งซูหลานนั่งมองเด็กน้อยที่ดูตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ด้วยสีหน้าแช่มชื่น มีทั้งเครื่องบินไม้ไผ่ เรือดำน้ำ รถของเล่น ปืนกล และอื่น ๆ อันมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอีกดาษดื่นซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือการประดิษฐ์ของนางเอง"พี่ฉาวอันนี้เขาเรียกว่าอะไรหรือขอรับ" เด็กน้อยยื่นสิ่งประดิษฐ์ที่มีปีกกางออกมาทั้งสองด้านและมีส่วนกลางเป็นท่อนลำดุจดั่งขอนไม้ ทว่ากลับเป็นการประกอบขึ้นอย่างประณีต"นี่หรือ ที่บ้านของพี่สาวเรียกว่าเครื่องบิน จริง ๆ แล้วลำใหญ่โตมาก สามารถบรรจุคนได้หลายคนเชียว ซ้ำยังบินอยู่บนนภาได้เหมือนนก"หยางเชาเบิกตากว้าง "โอ้โห อย่างนี้หมายความว่าอาเชาก็สามารถเข้าไปนั่งบนเจ้าเครื่อง...เอ่อ" หยางเชายกมือเกาศีรษะซ่งซูหลานยิ้มขัน "เครื่องบินจ๊ะ""อ้อ...เครื่องบิน จากนั้นก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วแบบนี้หยางเอ๋อร์เล่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ""หยางเอ๋อร์ยังเด็กมากนัก เดี๋ยวจะหยิบเข้าปาก ไว้พี่สาวจะทำของเล่นต่างหากให้หยางเอ๋อร์ดีหรือไม่"หยางเชาพยักหน้าหงึกหงัก "ดีมากขอรับ ว่าแต่เจ้าสิ่งนั้นที่พี่ฉาวกำลัง
เสียงทุ้มที่เอ่ยนามออกมาอย่างจริงจัง ส่งผลให้ขนอ่อนในกายของซ่งซูหลานลุกเกรียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ นางจึงเฉไฉมองไปทิศทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการประดักประเดิดนี้เสีย ซ่งซูหลานแอบได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว หรือว่าตนกำลังหูฝาดกันเล่าทั้งสองเดินพูดคุยเคียงกันไปเรื่อยเปื่อย ไป๋หมิงผู้ที่เพิ่งได้นามมาหมาด ๆ มองเห็นบางสิ่ง ก็พลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง"นี่เรียกว่าสิ่งใดหรือ"ซ่งซูหลานแหงนมองกังหันลมขนาดใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ เดิมทีโปรเจกต์ที่นางทำกว่าจะผ่านแต่ละครั้งล้วนทุลักทุเลไม่น้อย ยามนี้รู้สึกว่าตนได้ปล่อยให้ตัวเองทำตามสัญชาตญาณอย่างอิสระโดยแท้จริง แม้อาจดูธรรมดาไปบ้าง เมื่อเทียบกับของใช้ผู้คนในยุคนี้แล้วคงนับว่านางอัจฉริยะกว่านิดหนึ่งกระมัง ถึงจะเป็นความคิดส่วนตัวก็ตามที"เขาเรียกว่ากังหันลม อยู่ที่นี่พวกข้าต้องไปหาบน้ำยังลำธารด้านโน้นทุกวัน บริเวณที่ข้าพบท่านนั่นล่ะ ยามนี้ข้าได้คิดค้นเจ้ากังหันลมเพื่อเป็นพลังงานจลช่วยทุ่นแรงการขนส่งน้ำ""ซูหลานช่างเก่งกาจยิ่ง หากความทรงจำของข้าหวนคืนเมื่อใด ข้าจะต้องมาขอเจ้าเป็นฮูหยินอย่างแน่นอน
"ค้นหาให้ทั่ว หากวันนี้ไม่พบอย่าได้บากหน้ากลับวังหลวง""ขอรับ!"เสียงสั่งการจากองครักษ์ประจำพระองค์เย่จงเทียนประกาศก้องทั่วป่าไผ่ ทหารจากวังหลวงติดตามหาองค์รัชทายาทมานานนับแรมเดือน ทว่ากลับไร้ร่องรอยของเขา เดิมทีงานล่าสัตว์จัดขึ้นอีกฟากของชายป่าแถบชายแดนห่างไกลจากพื้นที่ทุรกันดารของตำบลแถบนี้มากนักตำบลเลี่ยงหลินจึงนับว่าเป็นตำบลสุดท้ายแล้วที่เขานั้นสามารถฝากความหวังไว้ได้ แม้จะดูริบหรี่ก็ตามที"รัชทายาทพระองค์อยู่ที่ใดกันแน่ หากแม้นไร้ลมหายใจกระทั่งร่างก็ไม่หลงเหลือเชียวหรือ ไยคนพวกนั้นจึงเหี้ยมโหดนัก เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ไม่ได้ติดตามพระองค์ในวันนั้น" เย่จงเทียนพร่ำรำพันต่อว่าตนเองด้วยท่าทีเศร้าสลด พริบตาก็แปรผันเป็นหนักแน่นและแน่วแน่ดังเดิม"ข้าจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รัชทายาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ สวรรค์ล้วนต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน หากยังไม่พบพระองค์ ข้าจะไม่ยอมถอดใจ""ทางนี้!...ทางนี้ขอรับ" เสียงทหารนายหนึ่งดังแว่วมาจากด้านในไผ่กอหนึ่งเย่จงเทียนสับเท้าถลันกายด้วยความเร่งร้อน "พบอันใดหรือ"
ตำบลเลี่ยงหลินเป็นพื้นที่ห่างไกลซ้ำยังทุรกันดาร เรื่องเกษตรกรรมการเพาะปลูกล้วนฝืดเคือง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล แม้จะนับว่าอยู่ในเขตการปกครองของแคว้นฮุ่ยเหอซึ่งมากล้นด้วยพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ทว่าการช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านยามแร้นแค้นกลับได้รับเพียงกะพร่องกะแพร่ง เกรงว่าบรรดาขุนนางที่ดูแลเขตแดนแห่งนี้ ล้วนมีแต่พวกคดโกง อาศัยว่าตนมีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งผนวกความรู้มากหน่อย ก็เอาเปรียบชาวบ้านตาดำ ๆ โดยคิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ซ่งซูหลานก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมลำธารกลางป่าไผ่ นางเป็นคุณหนูรองตระกูลซ่งทว่าบิดากลับไม่เหลียวแล ส่งตัวของนางมายังตำบลที่แสนอัตคัด เพียงเพราะหลงงมงายในคำทำนายไม่มีมูล แม้ซ่งซูหลานทราบดีว่าเป็นกลอุบายของฮูหยินรองกระนั้นนางก็เป็นลูกที่เกิดมาแล้วทำให้มารดาของตนต้องสิ้นใจจริง ๆ หากบิดาจะเกลียดชังบุตรสาวเช่นนางก็คงสมควรกระมัง "คุณหนูเจ้าคะ ท่านทำเหยาะแหยะเช่นนั้นแล้วเมื่อใดจะเสร็จเล่า ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้วเร่งมือเข้าเถิด" เสียงสตรีวัยกลางคนแผดขึ้น ลี่ถังเป็นผู้ดูแลเรือนของที่นี่ ตระกูลซ่งกว้านซื้อที่ดินและเรือนหลายหลังเอาไว้ บิดาของซ่งซูหลานส่งตัวบุตรสาวมาอยู่กับนางตั้ง
ซ่งซูหลานเดินตามเด็กตัวจ้อยซึ่งจูงมือนางเอาไว้อย่างงุนงง ในที่สุดทั้งสองก็มายืนจังก้าที่หน้าเรือนหลังโอ่อ่า ทว่าดูเก่าคร่ำคร่าอยู่ทีเดียว นางลดสายตามองหยางเชาด้วยความใคร่รู้ "นี่บ้านของหนูหรือจ๊ะ" เด็กน้อยส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้นิ้วมาที่นาง "บ้านพี่ฉาว แต่ว่าท่านแม่เป็นคนดูแลที่นี่ขอรับ" ซ่งซูหลานยอบกายนั่งยอง ฝ่ามือยกขึ้นลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดูยิ่ง ริมฝีปากผลิยิ้มอบอุ่น "นี่จะเป็นบ้านของพี่ได้ยังไง พี่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเอง" หยางเชาเอียงคอขณะเดียวกันก็ยกมือเกาแก้ม "พี่ฉาวลืมแล้วหรือ เช่นนั้นเข้าบ้านก่อนดีกว่า ท่านตัวเปียกเพียงนี้คงหนาวแย่แล้ว" ซ่งซูหลานกะพริบตาถี่ นางกวาดสายตามองเรือนร่างที่เปียกชุ่มโชกของตน พร้อมกับเสื้อผ้าสีซีดมีรอยปะชุน หนำซ้ำยังราวกับสตรีหลงยุค จะว่าไปแล้วเด็กน้อยก็แต่งกายไม่ต่างจากนางเช่นกัน ซ้ำภาษาที่เอ่ยยังดูแปลกพิกล ซ่งซูหลานใจเต้นระรัว เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางคงไม่ได้เจอกับเรื่องอัศจรรย์พันลึกใดใช่หรือไม่ เดิมทีซ่งซูหลานทำการทดลองอยู่ที่ห้องแล็บในบ้านของตนเอง เหตุใดจึงมาโผล่ที่ไม่คุ้นตาเช่นนี้ได้กัน ทว่าเมื่อนางมองผ่านความอนธการซ
หยางเชายื่นโคมไฟให้นาง ซ่งซูหลานรับมาแบบงง ๆ จากนั้นจึงใช้สำรวจบรรยากาศโดยรอบ ด้านในมีโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้สักเก่าซีด ส่วนเสื้อผ้าถูกแยกไว้เป็นสัดส่วน ที่มีกลิ่นหอมสดชื่นคงเพราะเหล่าถุงหอมที่วางพะเนินกองกันนี้จึงส่งผลให้การอาศัยอยู่ห้องใต้บันไดมิได้แย่เท่าใด ซ่งซูหลานกวาดสายตามองเสื้อผ้าในยุคโบราณด้วยความตื่นเต้น ถึงจะเก่าไปบ้างแต่ทว่ากลับมีบางตัวที่ยังดูสะอาดและใหม่เอี่ยมทีเดียว นางจึงตัดสินใจหยิบชุดนั้นขึ้นทาบบนกายของตน"พอดีเป๊ะเลย"หยางเชาเข้ามาด้านในพร้อมถ้วยอาหารสองสามอย่าง จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ซ่งซูหลานผินหน้ามองตามอีกฝ่ายด้วยความสนใจ คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกจะสามารถช่วยเหลือและปรนนิบัติผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่วเพียงนี้"พี่ฉาว ท่านจะฉวมชุดนี้หรือขอรับ เดิมทีท่านเคยบอกว่าไม่กล้าหยิบมาใช้ เพราะท่านต้องทำงานบ้านทุกวัน เกรงว่าจะเปื้อนเอาได้ เพราะเป็นอาภรณ์ตัวเดียวที่ท่านแม่ของท่านทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า"ซ่งซูหลานส่งยิ้ม นางไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ตนคือผู้ใด และอยู่ในสถานะไหนของบ้านหลังนี้ ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีโชคชะตา เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยเรือตามน้ำไปก่อน"ถ้างั้นวั
"ฝ่าบาทองค์รัชทายาทถูกลอบสังหารระหว่างงานล่าสัตว์ ยามนี้องครักษ์ทุกหน่วยออกค้นหาทว่ากลับไร้ร่องรอย เกรงว่า..." องครักษ์ม้าเร็วกล่าวรายงาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นฮุ่ยเหอดีดกายขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร ม่านมุกสะบัดแกว่งไปตามองศาการขยับไหว บรรดาขุนนางซ้ายขวาต่างก้มหน้างุดเมื่ออารมณ์ผู้เป็นนายกราดเกรี้ยวจนแทบเผาผลาญท้องพระโรง"พวกเจ้าดูแลรัชทายาทอย่างไร! แล้วองค์ชายทั้งสองเล่า" นัยน์ตาที่ทอดมองเบื้องล่างขมึงทึง "ทูลฝ่าบาท องค์ชายสามปลอดภัย ทว่ามีเพียงองค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะว่าทั้งสองพระองค์ไล่ล่าพญาอินทรีเพลิงไปยังเส้นทางเดียวกัน เพียงแต่องค์รัชทายาทถูกไล่ต้อนและเป็นเป้าหมายของมือสังหาร จึงทำให้พระองค์พลัดหลงไปโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ" "บัดซบ!" ขุนนางในท้องพระโรงล้วนสะดุ้งโหยง"เจ้า!" ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนชี้ปลายนิ้วไปยังองครักษ์ม้าเร็ว"พ่ะย่ะค่ะ" "เร่งกลับไปแจ้งทางลานพิธีให้พาองค์ชายทั้งสองกลับมาโดยเร็ว ส่วนเรื่องรัชทายาท มอบหน้าที่ให้องครักษ์เย่เป็นฝ่ายจัดการ รวบรวมกำลังพลให้มากที่สุด รอดต้องเจอตัว ตายต้องพบศพ" "พ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างกำยำในชุดเกราะเร่งสะบัดกายจากไปทันควัน เดิมทีท้องพระ
"ค้นหาให้ทั่ว หากวันนี้ไม่พบอย่าได้บากหน้ากลับวังหลวง""ขอรับ!"เสียงสั่งการจากองครักษ์ประจำพระองค์เย่จงเทียนประกาศก้องทั่วป่าไผ่ ทหารจากวังหลวงติดตามหาองค์รัชทายาทมานานนับแรมเดือน ทว่ากลับไร้ร่องรอยของเขา เดิมทีงานล่าสัตว์จัดขึ้นอีกฟากของชายป่าแถบชายแดนห่างไกลจากพื้นที่ทุรกันดารของตำบลแถบนี้มากนักตำบลเลี่ยงหลินจึงนับว่าเป็นตำบลสุดท้ายแล้วที่เขานั้นสามารถฝากความหวังไว้ได้ แม้จะดูริบหรี่ก็ตามที"รัชทายาทพระองค์อยู่ที่ใดกันแน่ หากแม้นไร้ลมหายใจกระทั่งร่างก็ไม่หลงเหลือเชียวหรือ ไยคนพวกนั้นจึงเหี้ยมโหดนัก เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ไม่ได้ติดตามพระองค์ในวันนั้น" เย่จงเทียนพร่ำรำพันต่อว่าตนเองด้วยท่าทีเศร้าสลด พริบตาก็แปรผันเป็นหนักแน่นและแน่วแน่ดังเดิม"ข้าจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รัชทายาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ สวรรค์ล้วนต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน หากยังไม่พบพระองค์ ข้าจะไม่ยอมถอดใจ""ทางนี้!...ทางนี้ขอรับ" เสียงทหารนายหนึ่งดังแว่วมาจากด้านในไผ่กอหนึ่งเย่จงเทียนสับเท้าถลันกายด้วยความเร่งร้อน "พบอันใดหรือ"
เสียงทุ้มที่เอ่ยนามออกมาอย่างจริงจัง ส่งผลให้ขนอ่อนในกายของซ่งซูหลานลุกเกรียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ นางจึงเฉไฉมองไปทิศทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการประดักประเดิดนี้เสีย ซ่งซูหลานแอบได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว หรือว่าตนกำลังหูฝาดกันเล่าทั้งสองเดินพูดคุยเคียงกันไปเรื่อยเปื่อย ไป๋หมิงผู้ที่เพิ่งได้นามมาหมาด ๆ มองเห็นบางสิ่ง ก็พลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง"นี่เรียกว่าสิ่งใดหรือ"ซ่งซูหลานแหงนมองกังหันลมขนาดใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ เดิมทีโปรเจกต์ที่นางทำกว่าจะผ่านแต่ละครั้งล้วนทุลักทุเลไม่น้อย ยามนี้รู้สึกว่าตนได้ปล่อยให้ตัวเองทำตามสัญชาตญาณอย่างอิสระโดยแท้จริง แม้อาจดูธรรมดาไปบ้าง เมื่อเทียบกับของใช้ผู้คนในยุคนี้แล้วคงนับว่านางอัจฉริยะกว่านิดหนึ่งกระมัง ถึงจะเป็นความคิดส่วนตัวก็ตามที"เขาเรียกว่ากังหันลม อยู่ที่นี่พวกข้าต้องไปหาบน้ำยังลำธารด้านโน้นทุกวัน บริเวณที่ข้าพบท่านนั่นล่ะ ยามนี้ข้าได้คิดค้นเจ้ากังหันลมเพื่อเป็นพลังงานจลช่วยทุ่นแรงการขนส่งน้ำ""ซูหลานช่างเก่งกาจยิ่ง หากความทรงจำของข้าหวนคืนเมื่อใด ข้าจะต้องมาขอเจ้าเป็นฮูหยินอย่างแน่นอน
ซ่งซูหลานนั่งมองเด็กน้อยที่ดูตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ด้วยสีหน้าแช่มชื่น มีทั้งเครื่องบินไม้ไผ่ เรือดำน้ำ รถของเล่น ปืนกล และอื่น ๆ อันมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอีกดาษดื่นซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือการประดิษฐ์ของนางเอง"พี่ฉาวอันนี้เขาเรียกว่าอะไรหรือขอรับ" เด็กน้อยยื่นสิ่งประดิษฐ์ที่มีปีกกางออกมาทั้งสองด้านและมีส่วนกลางเป็นท่อนลำดุจดั่งขอนไม้ ทว่ากลับเป็นการประกอบขึ้นอย่างประณีต"นี่หรือ ที่บ้านของพี่สาวเรียกว่าเครื่องบิน จริง ๆ แล้วลำใหญ่โตมาก สามารถบรรจุคนได้หลายคนเชียว ซ้ำยังบินอยู่บนนภาได้เหมือนนก"หยางเชาเบิกตากว้าง "โอ้โห อย่างนี้หมายความว่าอาเชาก็สามารถเข้าไปนั่งบนเจ้าเครื่อง...เอ่อ" หยางเชายกมือเกาศีรษะซ่งซูหลานยิ้มขัน "เครื่องบินจ๊ะ""อ้อ...เครื่องบิน จากนั้นก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วแบบนี้หยางเอ๋อร์เล่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ""หยางเอ๋อร์ยังเด็กมากนัก เดี๋ยวจะหยิบเข้าปาก ไว้พี่สาวจะทำของเล่นต่างหากให้หยางเอ๋อร์ดีหรือไม่"หยางเชาพยักหน้าหงึกหงัก "ดีมากขอรับ ว่าแต่เจ้าสิ่งนั้นที่พี่ฉาวกำลัง
ตระหนักถึงตรงนี้ ซ่งซูหลานก็พลันขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะ!"ชายหนุ่มกล่าวถาม "มีสิ่งใดหรือ""เมื่อครู่นี้ท่าน...ทะ...ท่านยกถ้วยโจ๊กขึ้นซด" ซ่งซูหลานชี้นิ้วไปยังถ้วยเปล่าข้างหัวเตียงเขาผินหน้ามองตามปลายนิ้วของนาง แล้วจึงตอบกลับหน้าตาย "ใช่แล้ว ทำไมหรือ""แล้วท่านหลอกให้ข้าป้อนท่านมาตั้งหลายวันเนี่ยนะ ข้าก็คิดว่าแขนของท่านยังบาดเจ็บอยู่"ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม "แม่นางไม่เคยถามข้าเสียหน่อยเข้ามาก็ป้อนข้าเอง อีกอย่างยามที่เจ้าป้อนข้าโจ๊กต้มเกลือก็รสชาติไม่เลวทีเดียว"ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ไม่รู้เพราะโมโหหรือขัดเขินกับคำพูดเมื่อครู่ของเขากันแน่ "หน็อย...ท่าน! ความจำเสื่อม ทว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก แล้วตอนนี้ขาของท่านขยับได้แล้วหรือไม่"เขาจึงกระตุกท่อนขาให้นางดู "น่าจะได้ แต่คิดว่าเดินยังไม่คล่องเท่าใด""งั้นหรือ" ซ่งซูหลานเอื้อมมือสัมผัสขาของเขาผะแผ่ว แล้วจึงออกแรงบีบ"โอ๊ย!...แม่นางท่านทำสิ่งใด ข้าเจ็บ""อา...เจ็บแล้ว เจ็บแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้ขาพิการ มือก็ใช้งานได้แล้ว ข้าว่าอีกเดี๋ยวความจำคงกล
เวลาล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังคงนึกชื่อของตนไม่ออก ซ่งซูหลานเทียวไปเทียวมาดูแลเขาจนอาการบาดเจ็บเริ่มทุเลา จากถามคำตอบคำก็เริ่มพูดจาจัดเจนเสียจนชวนปวดหัว"ที่นี่เรือนของเจ้าหรือ" ชายหนุ่มเอ่ยถามซ่งซูหลานลดช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกินครึ่งลง "คงนับว่าใช่กระมัง"อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความฉงน "นับว่าใช่?... ข้าไม่ค่อยเข้าใจ""ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็มิใช่คนของที่นี่""เช่นนี้เอง" ชายหนุ่มพยักหน้า ดูเหมือนนางลำบากใจทีเดียว เขาจึงไม่อยากรบเร้าต่อซ่งซูหลานจ่อช้อนไปยังริมฝีปากของเขาทว่าชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ "ข้าอิ่มแล้ว"นัยน์ตาดอกท้อลดมองโจ๊กที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง "ไม่ได้ ท่านเป็นบุรุษอย่างไร ไฉนกินน้อยเพียงนี้ กินทิ้งกินขว้างมันเป็นบาปเข้าใจหรือไม่ นึกถึงคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ๆ หน่อย ข้ารู้ว่าเดิมท่านอาจมาจากตระกูลผู้ดี ของพวกนี้ช่วยฝืนใจกินมิได้เชียวหรืออีกอย่างกว่าพวกข้าจะสามารถซื้ออาหารมาตุนไว้ได้แต่ละมื้อหาใช่เรื่องง่ายดาย"ชายหนุ่มนิ่งค้าง เขาตั้งใจฟังซ
ลี่ถังจึงเดินลับตาไปอีกครั้ง ส่วนหยางเชานั้นออกไปนั่งเล่นแล้ว ด้านในกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนักไม่เหมาะกับเด็กเช่นเขา ซ่งซูหลานใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดให้หมาด จากนั้นบรรจงเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เมื่อเศษดินและโลหิตถูกชะล้าง โครงหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏต่อสายตา"นะ...นี่ เขาดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ขนาดใบหน้าฟกช้ำยังทำอะไรลูกรักพระเจ้าไม่ได้เชียวหรือ"ลี่ถังเดินเข้ามาพอดีก็ทันได้เห็นเข้า "โอ้โห พ่อหนุ่มคนนี้เทพบุตรขนานแท้เลยเจ้าค่ะ"ซ่งซูหลานเหลียวหน้ามองเบื้องหลัง "บางทีคนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ ข้าจะรีบรักษาเขา หลังจากเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วจะรีบให้เขาจากไปเสีย""แหม น่าเสียดายจริง ๆ นะเจ้าคะ""แม่บ้านลี่" ซ่งซูหลานเอ็ดเสียงแผ่ว"เอาล่ะ ๆ ข้าไม่รบกวนแล้ว จะรอด้านนอกนะเจ้าคะ ข้าเองก็กลัวเลือด หากต้องการสิ่งใดเพิ่มคุณหนูเรียกข้าได้เลย""ขอบใจมาก"ลี่ถังเดินจากไปแล้ว ซ่งซูหลานก็เริ่มทำแผลเล็กน้อยก่อน ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ได้สติ นับเป็นการดีมากที่นางจะถอนเอาธนูดอกนั้นออกจากอกของเขา มาถึงขั้นตอนนี้แขนขาวเนียนยกข
"คุณหนู ท่านพาใครมาเจ้าคะ ท่าทางเฉกเช่นคนไร้บ้าน เขายังมีลมหายใจอยู่แน่หรือ" ลี่ถังกะพริบตาถี่ มองหน้าบุรุษที่นอนสลบไสลเนื้อตัวเปื้อนเขรอะ ร่างกายมอซอจนดูไม่จืดซ่งซูหลานสบดวงตากับหยางเชา "ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า ก็มิอาจใจจืดใจดำลง""นั่นฉิท่านแม่ พี่ฉาวไปเจอพี่ชายท่านนี้นอนเล่นอยู่ในป่า""หา...นอนเล่น อาเชาพูดอันใดของเจ้า หากนอนเล่นเขาจะอยู่ในสภาพนี้รึ" ลี่ถังเอ็ดบุตรชายของตนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงผินหน้ากลับเพื่อมองซ่งซูหลาน"บุรุษตัวโตเพียงนี้ เขาคงมิใช่โจรป่ากระมัง หากไม่ทำความผิดคงไม่บาดเจ็บร่อแร่ขนาดนี้"ทั้งสองก้มหน้างุดประดุจกำลังถูกมารดาสั่งสอน ตามที่ลี่ถังเอ่ยก็จริงอยู่ เนื่องจากซ่งซูหลานอยากเข้าไปตัดต้นไผ่เพื่อทำกังหันลมเพื่อช่วยในการลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ในเรือน คาดไม่ถึงภารกิจยังไม่แล้วเสร็จก็พบเข้ากับชายปริศนานอนบาดเจ็บจมกองโลหิต จากต้องทำกังหันลมก็ได้มานั่งทำรถลากเพื่อเข็นตัวของเขาออกจากป่าแทนเสียได้"ขออภัยแม่บ้านลี่ คือ... ข้าเองก็จนใจ เห็นคนขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหน้าไ
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อหยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก""พี่ฉาวข้าไปด้วย"ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน""เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กิน
ย่ำรุ่งก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ซ่งซูหลานและลี่ถังตื่นขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเรือนให้ดูสะอาดตา เดิมทีสภาพแวดล้อมของที่นี่น่าอยู่และเรียบร้อยยิ่ง ทว่ายังขาดการดูแลรักษาเพียงหน่อยเดียว ส่วนเด็กทั้งสองยังนอนฝันหวานอยู่ด้านใน เรือนนี้โอ่อ่ามากเกินไปสำหรับสตรีสองนางกับเด็กตัวเล็กจริง ๆ มองไปมุมใดล้วนดูบางตาไม่น่าอบอุ่น "คุณหนู ข้าจะออกไปตลาดครู่หนึ่ง ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่" ซ่งซูหลานครุ่นคิด "อืม...เช่นนั้นที่ตลาดของยุคนี้ เอ่อ...ไม่ใช่สิ ที่ตลาดมียางรักหรือไม่" "ยางรัก หมายถึงสิ่งใดเจ้าคะ" ลี่ถังงุนงง "เดิมทีเวลาที่เราทำเครื่องใช้ตกแต่งบ้านจะต้องมีการเคลือบหรือลงสีเพื่อความสวยงามอีกทั้งยังรักษาสภาพให้คงทน ยางรักคือน้ำยางที่เก็บได้จากไม้ประเภทยืนต้น หากข้าเก็บเองกว่าจะได้ลงมือทำเครื่องใช้คงต้องรอหลายวันนัก เช่นนั้นเจ้าลองไปสอบถามร้านที่ขายเก้าอี้ โต๊ะ ตู้ พวกนี้ดูได้หรือไม่" ลี่ถังพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นฝากท่านดูแลเด็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม "ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วง ตลาดไกลหรือไม่" "ไม่ไกลมากเจ้าค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วยามข้าจะรีบกลับนะเจ้าคะ" "โอเค"