"แม่บ้านลี่เราต้องไปตักน้ำเช่นนี้ตลอดเลยหรือ" ซ่งซูหลานเอ่ยถาม เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะ พวกนางกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวซึ่งตักน้ำมาเกินครึ่งเพื่อเติมให้เต็มอ่างของที่บ้านในทุก ๆ วัน หนำซ้ำระยะทางก็สุดแสนทรหด
"เจ้าค่ะ...คุณหนู หากท่านไม่ไหวก็ไปพักเถิด ที่เหลือข้าทำเอง"
นับตั้งแต่พวกนางได้เปิดใจคุยกันครั้งแรก นิสัยและอารมณ์ของลี่ถังก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือราวแผ่นฟ้าพลิกกลับ
"เอ่อ...ไม่ดีกว่า ไหน ๆ ก็อาศัยชายคาเดียวกันอยู่ จะให้ท่านทำคนเดียวได้อย่างไร" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม
ความรู้สึกกระดากอายพลันโหมกระหน่ำเข้ามากระทบจิตใจของลี่ถังดุจเกลียวคลื่น นางเคี่ยวเข็ญซ่งซูหลานให้โหมงานอย่างหนักมาโดยตลอด แม้แต่ความห่วงใยก็ยังมิเคยปริปากถามไถ่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดีแต่พูดจากระทบกระเทียบอีกทั้งยังให้นางกินอาหารคุณภาพต่ำ อยู่ห้องแสนอับชื้นขณะที่บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต
ทว่าลี่ถังจำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หาไม่แล้วหากฮูหยินรองจับได้ขึ้นมา เงินสักอีแปะนางก็คงไม่ได้รับแน่แท้ ยามนี้ลี่ถังมิสนใจแล้ว ต่อให้ต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม นางจะไม่ยินยอมกลับไปเป็นพวกไร้มโนธรรมนั่นอีกเป็นอันขาด นางเลี้ยงดูซ่งซูหลานมากับมือ มีหรือจะแสร้งใจจืดใจดำได้ตลอด ทุกอย่างเป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ปกป้องตนเองก็เท่านั้น
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไปพักเถิด"
ซ่งซูหลานส่ายหน้า "ข้าจะช่วย"
ลี่ถังไม่อาจขัดน้ำใจอีกฝ่าย พวกนางจึงช่วยกันแบกถังไม้เทียวไปเทียวมานับสิบรอบ และแล้วก็ได้ปริมาณน้ำที่เพียงพอ หยางเชาวิ่งเตาะแตะเข้ามาพร้อมถ้วยชาในมือ
"พี่ฉาว ท่านแม่ พวกท่านดื่มน้ำก่อนเถิด คงเหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่ขอรับ หากหยางเชาโตเมื่อไหร่จะทำเรื่องพวกนี้เอง"
ลี่ถังรับไว้จากนั้นเดินไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนเอกเขนกอยู่ในเปล
ซ่งซูหลานคลี่ยิ้มอบอุ่น "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด หยางเชาช่างรู้จักคิดและเป็นเด็กกตัญญูยิ่ง ทว่าพวกข้าได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็ดีเช่นกัน เหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว ยามปกติข้ามักนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อยู่ห้องแล็บเพื่อทดลองจนพุงย้วยสวมแว่นหนาเตอะ ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตแบบธรรมชาติและอบอุ่นเช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว"
"ข้าดีใจที่เห็นท่านแม่คุยกับพี่ฉาวแบบเฉียงเบาได้แล้ว ยามปกติข้ามักเห็นท่านแม่ขึ้นเฉียงกับท่าน จากนั้นก็ลามมาถึงข้า ราวกับนางยักษ์" หยางเชาทำท่าแยกเขี้ยว
ซ่งซูหลานหัวเราะขัน นางยกกายเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักพลางเขี่ยปลายจมูกเล็ก ๆ เล่นด้วยความเอ็นดู "นี่แน่ะ เจ้าเด็กแสบ จุ๊ ๆ ไว้"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นจุ๊ปากตามที่ซ่งซูหลานทำ พลางเอียงคอมองด้วยความฉงน "จุ๊แบบนี้หมายถึงอันใดขอรับ"
"เงียบไว้อย่างไรเล่า ก่อนที่ท่านแม่ของเจ้าจะกลับมาแยกเขี้ยวจริง ๆ"
หยางเชาทำท่าขนลุกเกรียว พลางยกมือขึ้นปิดหน้า "ฮื่อ...ไม่เอาขอรับ เป็นเช่นนี้ข้ามีความฉุกที่ฉุดแล้ว ต่อไปหากหยางเชาเติบโตจะต้องช่วยงานพี่ฉาวได้แน่ ๆ"
"เอาสิ ข้าจะรอวันที่เจ้าโตทันข้านะ เพียงแต่หากอาเชาโตแล้ว พี่สาวก็คงกลายเป็นยายแก่หงำเหงือก"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นประคองใบหน้างามไว้ทั้งสองแขน "พี่ฉาวแก่ยังไงก็ฉวยเหมือนเดิม"
"ฮ่า ฮ่า ตัวแค่เนี่ยปากหวานจริงเชียว เอาไว้ฟันหน้างอกแล้วมาพูดใหม่นะ"
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ลี่ถังไม่เคยได้เห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ไยนางจำต้องทารุณเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงเพียงนั้นกันนะ
ลี่ถังนั่งให้นมหยางหยางลูกน้อยของตนไปพลาง สายตาก็เมียงมองภาพทั้งสองหัวเราะเริงร่าไปพลาง รอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงปรากฏขึ้น ซ่งซูหลานทันได้หันหน้ามาประสานสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ลี่ถังจึงหลุบตาลงด้วยความเก้อกระดาก
แม่บ้านลี่เดิมทีท่านเองก็จิตใจงามไม่น้อย ใครเสี้ยมให้ท่านต้องทำตัวแบบนี้กัน หรือว่าชีวิตของคุณหนูรองซ่งยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเล่า
ซ่งซูหลานครุ่นคิด นางละสายตาจากลี่ถังพลางมองนกมองไม้และบรรยากาศรอบด้านไปเรื่อย สายลมที่ปลิวไสวโบกสะบัดยามอาทิตย์อัสดงช่างงดงามยิ่ง ต้นไผ่สูงชะลูดเอนไหวล้อสายลมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดประสานกันดุจดั่งทำนองแสนเสนาะ นัยน์ตาดอกท้อหลับพริ้ม ฝ่ามือเรียวค่อย ๆ ตีเปาะแปะบริเวณบ่าเล็กของเด็กในอ้อมแขน หยางเชาถูกกล่อมพร้อมกับอากาศเย็นฉ่ำก็พลอยรู้สึกหนังตาหย่อนขึ้นฉับพลัน
ซ่งซูหลานร้องเพลงด้วยท่วงทำนองไพเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ตนมิได้ผ่อนคลายเช่นนี้ เด็กน้อยในอ้อมแขนเงียบเสียงลงแล้ว นัยน์ตาดอกท้อลดมองอีกฝ่าย รอยยิ้มละไมปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา
"อาเชา หลับแล้วหรือ พี่สาวร้องเพลงเพราะใช่หรือไม่" เสียงใสกระซิบแผ่ว
นางไม่ได้คาดหวังคำตอบแต่อย่างใด เพียงได้มองดูใบหน้าเล็ก ๆ หลับพริ้มอย่างมีความสุขก็เพียงพอ ยิ่งเป็นเช่นนี้ซ่งซูหลานก็ยิ่งคิดถึงโลกอีกด้านที่ตนจากมา นางเคยมีน้องชายเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายมีโอกาสเติบโตก็อาจมีนิสัยเฉกเช่นหยางเชา น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้น อย่างน้อย ๆ การทะลุมิติครั้งนี้ก็ดุจดั่งได้น้องชายกลับสู่อ้อมแขน ช่วยเติมเต็มชีวิตอันไร้ค่าให้สุขสมมากขึ้น
ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ ๆ นางก็ตระหนักนึกบางอย่างขึ้นได้ "จริงสิ คิดออกแล้ว"
ซ่งซูหลานอุ้มหยางเชาไปส่งด้านใน จากนั้นจึงออกมาสนทนากับลี่ถัง"แม่บ้านลี่""เจ้าคะ""ป่าไผ่แห่งนี้มีเจ้าของหรือไม่"ลี่ถังกะพริบตาถี่ "เดิมทีก็ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ทว่าไม่นานมานี้นายท่านกว้านซื้อพื้นที่บริเวณนี้ไว้หมดแล้ว ป่าไผ่รกร้างพวกนั้นไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ก็คงนับว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของนายท่านด้วยกระมัง เอ่อ...ว่าแต่ คุณหนูลืมหรือเจ้าคะ"ซ่งซูหลานส่งยิ้มฝืดฝืน "เปล่า ๆ ข้าถามดูเฉย ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไหน ๆ ต้นไผ่พวกนั้นก็มีมากโข ข้าตัดมาใช้งานสักต้นสองต้นคงไม่เสียหายกระมัง""ย่อมได้แน่นอน ว่าแต่คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ"คิ้วสวยยึกยักขึ้นลงสองสามครา ลี่ถังถึงกับยกมือขึ้นทาบอก "คุณหนู ท่านเป็นสตรีไยทำท่าทางเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ไม่งามเอาเสียเลย"ซ่งซูหลานขำพรืด "โถแม่บ้านลี่ หัวโบราณนัก""หา...ก็...""เอาล่ะ ๆ ต่อไปไม่ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว พอใจหรือยัง"ลี่ถังตอบรับเสียงค่อย "เจ้าค่ะ หากท่านทำกิริยาเมื่อครู่ แล้วอยู่ ๆ นายท่านเรียกตัวกลับ นิสัยม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ ข้าต้องหลังลายเป็นแน่""แหม ที่แท้ก็กลัวหลังลาย จากที่ข้ารู้มาบิดาของข้าเกลียดข้าจะตายไป ชาตินี้ข้าคงไม่ได้กลับไปตระกูลซ่งนั่นอ
ย่ำรุ่งก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ซ่งซูหลานและลี่ถังตื่นขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเรือนให้ดูสะอาดตา เดิมทีสภาพแวดล้อมของที่นี่น่าอยู่และเรียบร้อยยิ่ง ทว่ายังขาดการดูแลรักษาเพียงหน่อยเดียว ส่วนเด็กทั้งสองยังนอนฝันหวานอยู่ด้านใน เรือนนี้โอ่อ่ามากเกินไปสำหรับสตรีสองนางกับเด็กตัวเล็กจริง ๆ มองไปมุมใดล้วนดูบางตาไม่น่าอบอุ่น "คุณหนู ข้าจะออกไปตลาดครู่หนึ่ง ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่" ซ่งซูหลานครุ่นคิด "อืม...เช่นนั้นที่ตลาดของยุคนี้ เอ่อ...ไม่ใช่สิ ที่ตลาดมียางรักหรือไม่" "ยางรัก หมายถึงสิ่งใดเจ้าคะ" ลี่ถังงุนงง "เดิมทีเวลาที่เราทำเครื่องใช้ตกแต่งบ้านจะต้องมีการเคลือบหรือลงสีเพื่อความสวยงามอีกทั้งยังรักษาสภาพให้คงทน ยางรักคือน้ำยางที่เก็บได้จากไม้ประเภทยืนต้น หากข้าเก็บเองกว่าจะได้ลงมือทำเครื่องใช้คงต้องรอหลายวันนัก เช่นนั้นเจ้าลองไปสอบถามร้านที่ขายเก้าอี้ โต๊ะ ตู้ พวกนี้ดูได้หรือไม่" ลี่ถังพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นฝากท่านดูแลเด็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม "ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วง ตลาดไกลหรือไม่" "ไม่ไกลมากเจ้าค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วยามข้าจะรีบกลับนะเจ้าคะ" "โอเค"
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อหยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก""พี่ฉาวข้าไปด้วย"ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน""เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กิน
"คุณหนู ท่านพาใครมาเจ้าคะ ท่าทางเฉกเช่นคนไร้บ้าน เขายังมีลมหายใจอยู่แน่หรือ" ลี่ถังกะพริบตาถี่ มองหน้าบุรุษที่นอนสลบไสลเนื้อตัวเปื้อนเขรอะ ร่างกายมอซอจนดูไม่จืดซ่งซูหลานสบดวงตากับหยางเชา "ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า ก็มิอาจใจจืดใจดำลง""นั่นฉิท่านแม่ พี่ฉาวไปเจอพี่ชายท่านนี้นอนเล่นอยู่ในป่า""หา...นอนเล่น อาเชาพูดอันใดของเจ้า หากนอนเล่นเขาจะอยู่ในสภาพนี้รึ" ลี่ถังเอ็ดบุตรชายของตนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงผินหน้ากลับเพื่อมองซ่งซูหลาน"บุรุษตัวโตเพียงนี้ เขาคงมิใช่โจรป่ากระมัง หากไม่ทำความผิดคงไม่บาดเจ็บร่อแร่ขนาดนี้"ทั้งสองก้มหน้างุดประดุจกำลังถูกมารดาสั่งสอน ตามที่ลี่ถังเอ่ยก็จริงอยู่ เนื่องจากซ่งซูหลานอยากเข้าไปตัดต้นไผ่เพื่อทำกังหันลมเพื่อช่วยในการลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ในเรือน คาดไม่ถึงภารกิจยังไม่แล้วเสร็จก็พบเข้ากับชายปริศนานอนบาดเจ็บจมกองโลหิต จากต้องทำกังหันลมก็ได้มานั่งทำรถลากเพื่อเข็นตัวของเขาออกจากป่าแทนเสียได้"ขออภัยแม่บ้านลี่ คือ... ข้าเองก็จนใจ เห็นคนขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหน้าไ
ลี่ถังจึงเดินลับตาไปอีกครั้ง ส่วนหยางเชานั้นออกไปนั่งเล่นแล้ว ด้านในกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนักไม่เหมาะกับเด็กเช่นเขา ซ่งซูหลานใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดให้หมาด จากนั้นบรรจงเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เมื่อเศษดินและโลหิตถูกชะล้าง โครงหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏต่อสายตา"นะ...นี่ เขาดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ขนาดใบหน้าฟกช้ำยังทำอะไรลูกรักพระเจ้าไม่ได้เชียวหรือ"ลี่ถังเดินเข้ามาพอดีก็ทันได้เห็นเข้า "โอ้โห พ่อหนุ่มคนนี้เทพบุตรขนานแท้เลยเจ้าค่ะ"ซ่งซูหลานเหลียวหน้ามองเบื้องหลัง "บางทีคนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ ข้าจะรีบรักษาเขา หลังจากเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วจะรีบให้เขาจากไปเสีย""แหม น่าเสียดายจริง ๆ นะเจ้าคะ""แม่บ้านลี่" ซ่งซูหลานเอ็ดเสียงแผ่ว"เอาล่ะ ๆ ข้าไม่รบกวนแล้ว จะรอด้านนอกนะเจ้าคะ ข้าเองก็กลัวเลือด หากต้องการสิ่งใดเพิ่มคุณหนูเรียกข้าได้เลย""ขอบใจมาก"ลี่ถังเดินจากไปแล้ว ซ่งซูหลานก็เริ่มทำแผลเล็กน้อยก่อน ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ได้สติ นับเป็นการดีมากที่นางจะถอนเอาธนูดอกนั้นออกจากอกของเขา มาถึงขั้นตอนนี้แขนขาวเนียนยกข
เวลาล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังคงนึกชื่อของตนไม่ออก ซ่งซูหลานเทียวไปเทียวมาดูแลเขาจนอาการบาดเจ็บเริ่มทุเลา จากถามคำตอบคำก็เริ่มพูดจาจัดเจนเสียจนชวนปวดหัว"ที่นี่เรือนของเจ้าหรือ" ชายหนุ่มเอ่ยถามซ่งซูหลานลดช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกินครึ่งลง "คงนับว่าใช่กระมัง"อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความฉงน "นับว่าใช่?... ข้าไม่ค่อยเข้าใจ""ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็มิใช่คนของที่นี่""เช่นนี้เอง" ชายหนุ่มพยักหน้า ดูเหมือนนางลำบากใจทีเดียว เขาจึงไม่อยากรบเร้าต่อซ่งซูหลานจ่อช้อนไปยังริมฝีปากของเขาทว่าชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ "ข้าอิ่มแล้ว"นัยน์ตาดอกท้อลดมองโจ๊กที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง "ไม่ได้ ท่านเป็นบุรุษอย่างไร ไฉนกินน้อยเพียงนี้ กินทิ้งกินขว้างมันเป็นบาปเข้าใจหรือไม่ นึกถึงคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ๆ หน่อย ข้ารู้ว่าเดิมท่านอาจมาจากตระกูลผู้ดี ของพวกนี้ช่วยฝืนใจกินมิได้เชียวหรืออีกอย่างกว่าพวกข้าจะสามารถซื้ออาหารมาตุนไว้ได้แต่ละมื้อหาใช่เรื่องง่ายดาย"ชายหนุ่มนิ่งค้าง เขาตั้งใจฟังซ
ตระหนักถึงตรงนี้ ซ่งซูหลานก็พลันขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะ!"ชายหนุ่มกล่าวถาม "มีสิ่งใดหรือ""เมื่อครู่นี้ท่าน...ทะ...ท่านยกถ้วยโจ๊กขึ้นซด" ซ่งซูหลานชี้นิ้วไปยังถ้วยเปล่าข้างหัวเตียงเขาผินหน้ามองตามปลายนิ้วของนาง แล้วจึงตอบกลับหน้าตาย "ใช่แล้ว ทำไมหรือ""แล้วท่านหลอกให้ข้าป้อนท่านมาตั้งหลายวันเนี่ยนะ ข้าก็คิดว่าแขนของท่านยังบาดเจ็บอยู่"ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม "แม่นางไม่เคยถามข้าเสียหน่อยเข้ามาก็ป้อนข้าเอง อีกอย่างยามที่เจ้าป้อนข้าโจ๊กต้มเกลือก็รสชาติไม่เลวทีเดียว"ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ไม่รู้เพราะโมโหหรือขัดเขินกับคำพูดเมื่อครู่ของเขากันแน่ "หน็อย...ท่าน! ความจำเสื่อม ทว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก แล้วตอนนี้ขาของท่านขยับได้แล้วหรือไม่"เขาจึงกระตุกท่อนขาให้นางดู "น่าจะได้ แต่คิดว่าเดินยังไม่คล่องเท่าใด""งั้นหรือ" ซ่งซูหลานเอื้อมมือสัมผัสขาของเขาผะแผ่ว แล้วจึงออกแรงบีบ"โอ๊ย!...แม่นางท่านทำสิ่งใด ข้าเจ็บ""อา...เจ็บแล้ว เจ็บแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้ขาพิการ มือก็ใช้งานได้แล้ว ข้าว่าอีกเดี๋ยวความจำคงกล
ซ่งซูหลานนั่งมองเด็กน้อยที่ดูตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ด้วยสีหน้าแช่มชื่น มีทั้งเครื่องบินไม้ไผ่ เรือดำน้ำ รถของเล่น ปืนกล และอื่น ๆ อันมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอีกดาษดื่นซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือการประดิษฐ์ของนางเอง"พี่ฉาวอันนี้เขาเรียกว่าอะไรหรือขอรับ" เด็กน้อยยื่นสิ่งประดิษฐ์ที่มีปีกกางออกมาทั้งสองด้านและมีส่วนกลางเป็นท่อนลำดุจดั่งขอนไม้ ทว่ากลับเป็นการประกอบขึ้นอย่างประณีต"นี่หรือ ที่บ้านของพี่สาวเรียกว่าเครื่องบิน จริง ๆ แล้วลำใหญ่โตมาก สามารถบรรจุคนได้หลายคนเชียว ซ้ำยังบินอยู่บนนภาได้เหมือนนก"หยางเชาเบิกตากว้าง "โอ้โห อย่างนี้หมายความว่าอาเชาก็สามารถเข้าไปนั่งบนเจ้าเครื่อง...เอ่อ" หยางเชายกมือเกาศีรษะซ่งซูหลานยิ้มขัน "เครื่องบินจ๊ะ""อ้อ...เครื่องบิน จากนั้นก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วแบบนี้หยางเอ๋อร์เล่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ""หยางเอ๋อร์ยังเด็กมากนัก เดี๋ยวจะหยิบเข้าปาก ไว้พี่สาวจะทำของเล่นต่างหากให้หยางเอ๋อร์ดีหรือไม่"หยางเชาพยักหน้าหงึกหงัก "ดีมากขอรับ ว่าแต่เจ้าสิ่งนั้นที่พี่ฉาวกำลัง
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน
"ข้าให้เจ้ารับไปสิ นั่นมันสกปรกแล้วกินไม่ได้"เด็กชายช้อนตาขึ้น ก็พบกับเด็กผู้หญิงแต่งกายมอซอ ทว่าใบหน้าเปื้อนเปรอะกระนั้นกลับดูจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากบางส่งยิ้มแฉ่งพลางยื่นถังหูลู่แบ่งให้เขาโดยไม่คิดเสียดาย เจ้าผลสีแดงเคลือบน้ำตาลแวววาวยังไม่พร่องสักลูกเดียวด้วยซ้ำจากวันนั้นกู้เจียฮ่านเฝ้าติดตามหานางมาโดยตลอด ผิดที่เขาปากหนักไม่ยอมเอ่ยถามกระทั่งชื่อแซ่ เหลียวหน้าขึ้นอีกคราเด็กหญิงตัวเล็กก็หายลับตาไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้วเขาได้แต่นึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจ ที่ปล่อยอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดทำสิ่งใดเลย แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ เด็กคนนั้นที่เขาเฝ้าตามหาจะปรากฏกายอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขาได้พบนางในสถานะพี่สะใภ้ เขาไม่อาจยื้อแย่งนางมาจากกู้หย่งเฟิงได้ แต่เขายังสามารถช่วยเหลือและปกป้องนางได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้พบนางอีกหน ซ้ำยังได้เห็นรอยยิ้มที่เฝ้าคะนึงถึงก็นับว่าคุ้มค่าแล้วนัยน์ตาดอกท้อแหงนมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆเหตุใดเขาต้องช่วยข้า"พี่สะใภ้ ท่านจะไปที่ใดเล่ากลับจวนสกุลซ่งหรือ"ซ่งซูห
กลางดึกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ซ่งซูหลานเปิดปรือเปลือกตาขึ้นด้วยอาการอ่อนล้านางเหลียวมองบุรุษข้างกายที่ยามนี้หลับสนิทเพราะใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น แขนแกร่งพาดวางกกกอดเอวคอดเปลือยเปล่าไว้แน่นประดุจกลัวอีกฝ่ายจะหายตัวไปร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ ทั่วสรรพางค์ร้าวระบมไปเสียหมด ซ่งซูหลานหยัดกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ หยิบแขนแกร่งออกให้พ้นตัวหนักชะมัดยามเขาหลับเช่นนี้ช่างดูหล่อเหลาไร้พิษสงเหมาะสมกับการเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำกับนางไปไม่นานกลับเฉกเช่นจอมปีศาจแสนดุร้าย ซ่งซูหลานโกรธเขา อยากจะบดขยี้อีกฝ่ายให้เจ็บปวดเช่นเขาทำกับนาง ทว่าซ่งซูหลานมิอาจหลีกหนีความเป็นจริงที่ว่า นางรักเขา!เท้าเรียวหย่อนลงเบื้องล่าง ซ่งซูหลานสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความเข้มแข็ง หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอถูกปัดทิ้งไปเอาเถิดซูหลาน กลับไปตั้งหลักก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไม่นานสตรีร่างบอบบางก็พลันอยู่ในอาภรณ์บุรุษสีเข้มทะมัดทะแมง เพราะซ่งซูหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักรั
ไยเขาจึงกระทำรุนแรงกับนางนัก กำปั้นน้อย ๆ พยายามทุบตีผลักไสกระนั้นดุจดั่งมดขย่มต้นไม้ใหญ่เขาไม่สะทกสะท้านสักนิด หนำซ้ำยังยึดแขนทั้งสองด้านของนางเอาไว้เหนือศีรษะ ร่างกำยำโถมเข้าหากายบอบบางจนต้องเอนราบลู่ลงบนฟูกนอนอื้อ...ซ่งซูหลานหอบกระชั้น ลิ้นด้านในกระหวัดเกี่ยวดูดกลืนลมหายใจนางไปแทบหมดสิ้นเขาเป็นบ้าใดกัน!นางก่นด่าเขาในใจ โพรงปากชุ่มฉ่ำถูกเขาย่ำยีเสียจนเจ็บปวด ฟันเรียงสวยกัดลิ้นที่ดื้อดึงด้วยความกรุ่นโกรธ"โอ๊ย!"กู้หย่งเฟิงผละห่างทันควัน นัยน์ตาคมเข้มเขม้นมองด้วยความเคียดขึง เสียงทุ้มแหบพร่าเย็นเยียบ "หลานเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร ที่เป็นแบบนี้เพราะบุรุษอื่นงั้นหรือ"ซ่งซูหลานโมโหจนตัวสั่นเทา หยาดน้ำตาปริ่มรื้นคั่งค้างบริเวณขอบตาเพียะ!ซ่งซูหลานตวัดมือตบเขาเสียจนหน้าหัน "ท่านเป็นบ้าอะไรกันแน่ ข้าน่ะหรือมีชายอื่น มีแต่ท่านที่ยามนี้กำลังใกล้ชิดกับสตรีนางอื่น ท่านไม่แยแสข้าสักนิด ข้ามีค่าแค่เพียงยามค่ำคืนงั้นหรือ คนโลเล!"กู้หย่งเฟิงหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์ ทว่าเขาไม่อาจทานทนสิ่งที่กำลังหมุนเวียนในกระแสโล
"พี่รอง..." กู้เจียฮ่านเอ่ยทักทว่ากู้หย่งเฟิงตวัดเพียงหางตามองเขา ซ้ำยังไม่ตอบกลับ จากนั้นคว้าหมับไปที่ต้นแขนของซ่งซูหลาน เขาแบกสตรีร่างบางขึ้นบนบ่าด้วยสีหน้าและดวงตาแดงก่ำซ่งซูหลานตะลึงลานเบิกตากว้าง "อ๊ะ!...ท่านทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ"ขาเล็กดีดไปมากลางอากาศ เย่จงเทียน เฉินซู่ และกู้เจียฮ่านต่างจดจ้องภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยอารมณ์แตกต่างกัน เย่จงเทียนเหลียวมองกู้เจียฮ่านแล้วจึงค้อมศีรษะลง "องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงแบกซ่งซูหลานเดินห่างออกไปแล้ว กู้เจียฮ่านผินหน้าถาม "เกิดอะไรขึ้น"เย่จงเทียนกระอักกระอ่วน"เอ่อ...เมื่อครู่รัชทายาททรงงานอยู่ จากนั้นกระหม่อมได้ยินเสียงถ้วยชาแตก คุณหนูเจี่ยนั่งตัวสั่นร่ำไห้พักใหญ่ ดูเหมือนองค์รัชทายาทควบคุมสติของตนไม่อยู่ จากนั้นวิ่งเตลิดมาหาพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"กู้เจียฮ่านหรี่นัยน์ตามองตามพวกเขาทั้งสองที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ขาเล็กดีดดิ้นขัดขืน เขาอยากวิ่งเข้าไปช่วยซ่งซูหลานแต่ดูเหมือนเรื่องสามีภรรยาคนนอกเช่นเขามิอาจก้าวก่าย กู้เจียฮ่านผ่อนหายใจแผ่วคิ้วเข้มขมวดมุ่น แขนแกร่งยกขึ้
บทสนทนาที่นางได้ยินช่างคลุมเครือยิ่ง ซ่งซูหลานและกู้หย่งเฟิงหารู้ไม่ว่าเจี่ยอีหนิงลอบเห็นนางมาสักพักแล้ว เมื่อซ่งซูหลานมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกฝ่ายจึงแสร้งแขนขาอ่อนเปลี้ยเพื่อให้กู้หย่งเฟิงรับตนเอาไว้ หนำซ้ำยังสาดชาร้อน ๆ เสียจนอาภรณ์ตัวที่สองซึ่งเพิ่งผลัดเปลี่ยนไม่นานเปรอะเปื้อนอีกหนซ่งซูหลานไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาได้อีกต่อไป นางเดินดุ่ม ๆ ไปยังสระสัตตบงกชโดยไม่ได้เข้าไปด้านในดังที่ตนมาดมั่นแต่คราแรก จากนั้นขว้างกล้องส่องทางไกลที่ห้อยติดคอทิ้งลงน้ำเพื่อระบายโทสะอย่างไม่ไยดีเฉินซู่เบิกตากว้าง "พระชายาโยนทิ้งทำไมเพคะ มิใช่กว่าท่านจะทำมันได้""ช่างมัน! ข้าว่าคงไม่จำเป็นแล้ว ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้" กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ซ่งซูหลานคว้ากล้องอีกตัวมาจากมือของเฉินซู่ หมายปาลงน้ำทิ้งให้หมด ทว่าเสียงทุ้มกลับดังขึ้นจากทางเบื้องหลังเสียก่อน"ผู้ใดรังแกพี่สะใภ้ให้ต้องเดือดดาลปานนี้หรือ"ซ่งซูหลานหมุนกายเนิบช้า พร้อมกับมือที่ยังชูง้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น บุรุษร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้สตรีร่างเล็ก เขามองสิ่งที่ซ่งซูหลานเตรียมเขวี้ยงออกไปด้วยความสนใจใคร่รู้
ซ่งซูหลานลอบส่องห้องทรงงานของรัชทายาทด้วยความใคร่รู้ เหตุใดพ่อลูกคู่นี้จึงได้แวะเวียนเข้ามาทุกวัน กระนั้นวันนี้นางเห็นผู้เป็นบิดาออกจากห้องไปด้านนอก ท่าทางเร่งร้อนคล้ายจงใจนัก"มาอีกแล้ว คราวนี้ปล่อยให้ลูกสาวตัวเองอยู่กับสวามีข้าสองต่อสองเชียวรึ" มือเรียวยกกล้องส่องทางไกลที่ตนประดิษฐ์ขึ้นมาหมาด ๆ สอดส่ายสายตาสำรวจอย่างถ้วนทั่ว อุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำให้นางสามารถจับพิรุธสวามีได้อย่างดียิ่ง ร่างบอบบางชะเง้อมองข้างต้นไม้ใหญ่ เบื้องหลังมีสาวใช้ข้างกายยืนเป็นลูกคู่ ทว่าท่าทีของนางยังคงงุ่นง่านกับสิ่งประดิษฐ์ในมือพลางเกาแก้มเกาหัวด้วยความฉงน"เฉินซู่เจ้าเห็นอะไรหรือไม่"ซ่งซูหลานเหลียวมองสาวใช้ของตนกำลังยกกล้องส่องทางไกลขึ้นด้วยท่าทีเงอะงะ "พระชายาหม่อมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยเพคะ มืดไปหมด"ซ่งซูหลานยกมือกุมขมับ "เจ้าทำอะไร ผิดด้านแล้ว"นางช่วยหันด้านที่ถูกต้องให้สาวใช้ข้างกาย เฉินซู่ยิ้มแหย "ขอประทานอภัยเพคะ"คลาดสายตาครู่เดียวด้านในห้องก็หลงเหลือเพียงกู้หย่งเฟิงกับเจี่ยอีหนิงเสียแล้ว ซ่งซูหลานกระฟัดกระเฟียด "จงเทียนไปไหน!"&n
"เฉินซู่ เจ้าว่า…" ซ่งซูหลานนิ่วหน้าขบคิด ผินหน้ามองสาวใช้ จากนั้นเอ่ยต่อด้วยความฉงน "…ไยสตรีนางนั้นต้องติดตามบิดาของตนมาด้วยหรือ"เฉินซู่เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร นางได้ยินเรื่องเล่าจากนางกำนัลต้นห้องมามาก ว่ายามนี้คุณหนูตระกูลเจี่ยถูกสนับสนุนให้เป็นสนมเอกของรัชทายาท "เอ่อ...พระชายาเพคะ เกรงว่านางอาจต้องการตำแหน่งพระสนม"ซ่งซูหลานเลิกคิ้ว "พระสนมงั้นหรือ"หัวใจของซ่งซูหลานกระเพื่อมไหว หลายเดือนแล้วที่นางเป็นชายาของเขา เรื่องอย่างว่าก็หาได้ว่างเว้นเพียงแต่มิได้ประกอบกิจกันเสียทุกวัน ทว่านางกลับไม่ตั้งครรภ์เสียที ดูเหมือนต้องตามหมอหลวงมาตรวจหน่อยหรือไม่ หรือว่าซ่งซูหลานในยุคนี้ก็เป็นโรคเดียวกันกับนางในยุคที่จากมานางมีบุตรไม่ได้เช่นนั้นหรือ!ทว่าเขารับปากนางแล้วว่าจะไม่มีสนม แล้วเหตุใดยามนี้ต้องปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาชิดใกล้อย่างไม่ควร คิดไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็ผุดขึ้นเป็นริ้ว พานให้ต้องหัวร้อนดุจถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง..ราตรีกาลคืบคลานมาถึง เป็นอีกคืนที่ซ่งซูหลานเริ่มรู้สึกหนาวเหน็บสะท้านไปถึงจิตใจ นางกำลังนอนไม่หลับรู้สึกระส่ำระสายย
เวลาล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว ทว่าพระชายากลับไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์ บรรดาขุนนางจึงเร่งเสนอเรื่องแต่งตั้งพระสนมให้แก่รัชทายาท ฮ่องเต้เองก็ลำบากใจเพราะกู้หย่งเฟิงประกาศกร้าวว่าตนไม่ประสงค์รับสนม"ฝ่าบาทแม้ยามนี้รัชทายาทยังมิได้ครองบัลลังก์ ทว่าเรื่องการมีโอรสหาละเลยได้ไม่" เจี่ยเหวยเจินกราบทูลเขากำลังคิดหาหนทางเสริมส่งให้บุตรสาวขึ้นเป็นสนมของรัชทายาท เพราะอย่างน้อยหากตนมีความเกี่ยวดองกับราชวงศ์อำนาจและตำแหน่งล้วนมั่นคงตามไปด้วย แม้จะนับว่ายังห่างชั้นกับตระกูลซ่งมากโข ทว่าการขึ้นเป็นสนมของผู้ที่รอรับบัลลังก์มังกรต่อนับว่าดีกว่าเป็นชายาองค์ชายที่ไร้ยศถาเป็นไหน ๆขุนนางคนอื่นก็พลอยเรียกร้องให้ระเบ็งเซ็งแซ่ไปตามกันกู้หย่งเฟิงยืนฟังข้อถกเถียงของเหล่าขุนนางมานานก็ให้รู้สึกรำคาญใจนัก เดิมทีเขาเองก็มิได้ละเลยซ่งซูหลานสักนิด เพียงแต่ผู้มีบุญญาธิการช่างถือกำเนิดยากยิ่ง หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกัน"ทูลฝ่าบาท ถึงข้าจะเป็นรัชทายาท ทว่าการมีโอรสก็หาได้ต้องเร่งร้อนถึงเพียงนั้น"ขุนนางนายหนึ่งสาวเท้ามาเบื้องหน้า เขาค้อมศีรษะลง "ทูลฝ่า