พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อหยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก""พี่ฉาวข้าไปด้วย"ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน""เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กิน
"คุณหนู ท่านพาใครมาเจ้าคะ ท่าทางเฉกเช่นคนไร้บ้าน เขายังมีลมหายใจอยู่แน่หรือ" ลี่ถังกะพริบตาถี่ มองหน้าบุรุษที่นอนสลบไสลเนื้อตัวเปื้อนเขรอะ ร่างกายมอซอจนดูไม่จืดซ่งซูหลานสบดวงตากับหยางเชา "ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า ก็มิอาจใจจืดใจดำลง""นั่นฉิท่านแม่ พี่ฉาวไปเจอพี่ชายท่านนี้นอนเล่นอยู่ในป่า""หา...นอนเล่น อาเชาพูดอันใดของเจ้า หากนอนเล่นเขาจะอยู่ในสภาพนี้รึ" ลี่ถังเอ็ดบุตรชายของตนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงผินหน้ากลับเพื่อมองซ่งซูหลาน"บุรุษตัวโตเพียงนี้ เขาคงมิใช่โจรป่ากระมัง หากไม่ทำความผิดคงไม่บาดเจ็บร่อแร่ขนาดนี้"ทั้งสองก้มหน้างุดประดุจกำลังถูกมารดาสั่งสอน ตามที่ลี่ถังเอ่ยก็จริงอยู่ เนื่องจากซ่งซูหลานอยากเข้าไปตัดต้นไผ่เพื่อทำกังหันลมเพื่อช่วยในการลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ในเรือน คาดไม่ถึงภารกิจยังไม่แล้วเสร็จก็พบเข้ากับชายปริศนานอนบาดเจ็บจมกองโลหิต จากต้องทำกังหันลมก็ได้มานั่งทำรถลากเพื่อเข็นตัวของเขาออกจากป่าแทนเสียได้"ขออภัยแม่บ้านลี่ คือ... ข้าเองก็จนใจ เห็นคนขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหน้าไ
ลี่ถังจึงเดินลับตาไปอีกครั้ง ส่วนหยางเชานั้นออกไปนั่งเล่นแล้ว ด้านในกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งนักไม่เหมาะกับเด็กเช่นเขา ซ่งซูหลานใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดให้หมาด จากนั้นบรรจงเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เมื่อเศษดินและโลหิตถูกชะล้าง โครงหน้าหล่อเหลาพลันปรากฏต่อสายตา"นะ...นี่ เขาดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ขนาดใบหน้าฟกช้ำยังทำอะไรลูกรักพระเจ้าไม่ได้เชียวหรือ"ลี่ถังเดินเข้ามาพอดีก็ทันได้เห็นเข้า "โอ้โห พ่อหนุ่มคนนี้เทพบุตรขนานแท้เลยเจ้าค่ะ"ซ่งซูหลานเหลียวหน้ามองเบื้องหลัง "บางทีคนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริง ๆ ข้าจะรีบรักษาเขา หลังจากเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วจะรีบให้เขาจากไปเสีย""แหม น่าเสียดายจริง ๆ นะเจ้าคะ""แม่บ้านลี่" ซ่งซูหลานเอ็ดเสียงแผ่ว"เอาล่ะ ๆ ข้าไม่รบกวนแล้ว จะรอด้านนอกนะเจ้าคะ ข้าเองก็กลัวเลือด หากต้องการสิ่งใดเพิ่มคุณหนูเรียกข้าได้เลย""ขอบใจมาก"ลี่ถังเดินจากไปแล้ว ซ่งซูหลานก็เริ่มทำแผลเล็กน้อยก่อน ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ได้สติ นับเป็นการดีมากที่นางจะถอนเอาธนูดอกนั้นออกจากอกของเขา มาถึงขั้นตอนนี้แขนขาวเนียนยกข
เวลาล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ทว่าชายหนุ่มยังคงนึกชื่อของตนไม่ออก ซ่งซูหลานเทียวไปเทียวมาดูแลเขาจนอาการบาดเจ็บเริ่มทุเลา จากถามคำตอบคำก็เริ่มพูดจาจัดเจนเสียจนชวนปวดหัว"ที่นี่เรือนของเจ้าหรือ" ชายหนุ่มเอ่ยถามซ่งซูหลานลดช้อนที่มีโจ๊กอยู่เกินครึ่งลง "คงนับว่าใช่กระมัง"อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความฉงน "นับว่าใช่?... ข้าไม่ค่อยเข้าใจ""ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่รู้ เดิมทีข้าก็มิใช่คนของที่นี่""เช่นนี้เอง" ชายหนุ่มพยักหน้า ดูเหมือนนางลำบากใจทีเดียว เขาจึงไม่อยากรบเร้าต่อซ่งซูหลานจ่อช้อนไปยังริมฝีปากของเขาทว่าชายหนุ่มกลับส่ายศีรษะ "ข้าอิ่มแล้ว"นัยน์ตาดอกท้อลดมองโจ๊กที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง "ไม่ได้ ท่านเป็นบุรุษอย่างไร ไฉนกินน้อยเพียงนี้ กินทิ้งกินขว้างมันเป็นบาปเข้าใจหรือไม่ นึกถึงคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มาก ๆ หน่อย ข้ารู้ว่าเดิมท่านอาจมาจากตระกูลผู้ดี ของพวกนี้ช่วยฝืนใจกินมิได้เชียวหรืออีกอย่างกว่าพวกข้าจะสามารถซื้ออาหารมาตุนไว้ได้แต่ละมื้อหาใช่เรื่องง่ายดาย"ชายหนุ่มนิ่งค้าง เขาตั้งใจฟังซ
ตระหนักถึงตรงนี้ ซ่งซูหลานก็พลันขมวดคิ้ว "เดี๋ยวนะ!"ชายหนุ่มกล่าวถาม "มีสิ่งใดหรือ""เมื่อครู่นี้ท่าน...ทะ...ท่านยกถ้วยโจ๊กขึ้นซด" ซ่งซูหลานชี้นิ้วไปยังถ้วยเปล่าข้างหัวเตียงเขาผินหน้ามองตามปลายนิ้วของนาง แล้วจึงตอบกลับหน้าตาย "ใช่แล้ว ทำไมหรือ""แล้วท่านหลอกให้ข้าป้อนท่านมาตั้งหลายวันเนี่ยนะ ข้าก็คิดว่าแขนของท่านยังบาดเจ็บอยู่"ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม "แม่นางไม่เคยถามข้าเสียหน่อยเข้ามาก็ป้อนข้าเอง อีกอย่างยามที่เจ้าป้อนข้าโจ๊กต้มเกลือก็รสชาติไม่เลวทีเดียว"ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ไม่รู้เพราะโมโหหรือขัดเขินกับคำพูดเมื่อครู่ของเขากันแน่ "หน็อย...ท่าน! ความจำเสื่อม ทว่าเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก แล้วตอนนี้ขาของท่านขยับได้แล้วหรือไม่"เขาจึงกระตุกท่อนขาให้นางดู "น่าจะได้ แต่คิดว่าเดินยังไม่คล่องเท่าใด""งั้นหรือ" ซ่งซูหลานเอื้อมมือสัมผัสขาของเขาผะแผ่ว แล้วจึงออกแรงบีบ"โอ๊ย!...แม่นางท่านทำสิ่งใด ข้าเจ็บ""อา...เจ็บแล้ว เจ็บแล้ว เช่นนั้นท่านก็ไม่ได้ขาพิการ มือก็ใช้งานได้แล้ว ข้าว่าอีกเดี๋ยวความจำคงกล
ซ่งซูหลานนั่งมองเด็กน้อยที่ดูตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ด้วยสีหน้าแช่มชื่น มีทั้งเครื่องบินไม้ไผ่ เรือดำน้ำ รถของเล่น ปืนกล และอื่น ๆ อันมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอีกดาษดื่นซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือการประดิษฐ์ของนางเอง"พี่ฉาวอันนี้เขาเรียกว่าอะไรหรือขอรับ" เด็กน้อยยื่นสิ่งประดิษฐ์ที่มีปีกกางออกมาทั้งสองด้านและมีส่วนกลางเป็นท่อนลำดุจดั่งขอนไม้ ทว่ากลับเป็นการประกอบขึ้นอย่างประณีต"นี่หรือ ที่บ้านของพี่สาวเรียกว่าเครื่องบิน จริง ๆ แล้วลำใหญ่โตมาก สามารถบรรจุคนได้หลายคนเชียว ซ้ำยังบินอยู่บนนภาได้เหมือนนก"หยางเชาเบิกตากว้าง "โอ้โห อย่างนี้หมายความว่าอาเชาก็สามารถเข้าไปนั่งบนเจ้าเครื่อง...เอ่อ" หยางเชายกมือเกาศีรษะซ่งซูหลานยิ้มขัน "เครื่องบินจ๊ะ""อ้อ...เครื่องบิน จากนั้นก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วแบบนี้หยางเอ๋อร์เล่นด้วยได้หรือไม่ขอรับ""หยางเอ๋อร์ยังเด็กมากนัก เดี๋ยวจะหยิบเข้าปาก ไว้พี่สาวจะทำของเล่นต่างหากให้หยางเอ๋อร์ดีหรือไม่"หยางเชาพยักหน้าหงึกหงัก "ดีมากขอรับ ว่าแต่เจ้าสิ่งนั้นที่พี่ฉาวกำลัง
เสียงทุ้มที่เอ่ยนามออกมาอย่างจริงจัง ส่งผลให้ขนอ่อนในกายของซ่งซูหลานลุกเกรียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ นางจึงเฉไฉมองไปทิศทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการประดักประเดิดนี้เสีย ซ่งซูหลานแอบได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว หรือว่าตนกำลังหูฝาดกันเล่าทั้งสองเดินพูดคุยเคียงกันไปเรื่อยเปื่อย ไป๋หมิงผู้ที่เพิ่งได้นามมาหมาด ๆ มองเห็นบางสิ่ง ก็พลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง"นี่เรียกว่าสิ่งใดหรือ"ซ่งซูหลานแหงนมองกังหันลมขนาดใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ เดิมทีโปรเจกต์ที่นางทำกว่าจะผ่านแต่ละครั้งล้วนทุลักทุเลไม่น้อย ยามนี้รู้สึกว่าตนได้ปล่อยให้ตัวเองทำตามสัญชาตญาณอย่างอิสระโดยแท้จริง แม้อาจดูธรรมดาไปบ้าง เมื่อเทียบกับของใช้ผู้คนในยุคนี้แล้วคงนับว่านางอัจฉริยะกว่านิดหนึ่งกระมัง ถึงจะเป็นความคิดส่วนตัวก็ตามที"เขาเรียกว่ากังหันลม อยู่ที่นี่พวกข้าต้องไปหาบน้ำยังลำธารด้านโน้นทุกวัน บริเวณที่ข้าพบท่านนั่นล่ะ ยามนี้ข้าได้คิดค้นเจ้ากังหันลมเพื่อเป็นพลังงานจลช่วยทุ่นแรงการขนส่งน้ำ""ซูหลานช่างเก่งกาจยิ่ง หากความทรงจำของข้าหวนคืนเมื่อใด ข้าจะต้องมาขอเจ้าเป็นฮูหยินอย่างแน่นอน
"ค้นหาให้ทั่ว หากวันนี้ไม่พบอย่าได้บากหน้ากลับวังหลวง""ขอรับ!"เสียงสั่งการจากองครักษ์ประจำพระองค์เย่จงเทียนประกาศก้องทั่วป่าไผ่ ทหารจากวังหลวงติดตามหาองค์รัชทายาทมานานนับแรมเดือน ทว่ากลับไร้ร่องรอยของเขา เดิมทีงานล่าสัตว์จัดขึ้นอีกฟากของชายป่าแถบชายแดนห่างไกลจากพื้นที่ทุรกันดารของตำบลแถบนี้มากนักตำบลเลี่ยงหลินจึงนับว่าเป็นตำบลสุดท้ายแล้วที่เขานั้นสามารถฝากความหวังไว้ได้ แม้จะดูริบหรี่ก็ตามที"รัชทายาทพระองค์อยู่ที่ใดกันแน่ หากแม้นไร้ลมหายใจกระทั่งร่างก็ไม่หลงเหลือเชียวหรือ ไยคนพวกนั้นจึงเหี้ยมโหดนัก เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ไม่ได้ติดตามพระองค์ในวันนั้น" เย่จงเทียนพร่ำรำพันต่อว่าตนเองด้วยท่าทีเศร้าสลด พริบตาก็แปรผันเป็นหนักแน่นและแน่วแน่ดังเดิม"ข้าจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รัชทายาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ สวรรค์ล้วนต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน หากยังไม่พบพระองค์ ข้าจะไม่ยอมถอดใจ""ทางนี้!...ทางนี้ขอรับ" เสียงทหารนายหนึ่งดังแว่วมาจากด้านในไผ่กอหนึ่งเย่จงเทียนสับเท้าถลันกายด้วยความเร่งร้อน "พบอันใดหรือ"
ร่างสูงเดินวนไปมาอยู่หน้าตำหนัก มือแกร่งไพล่หลังเคร่งขรึม เหล่านางกำนัลและองครักษ์มองตามก็พลอยปวดเศียรเวียนเกล้าไปเสียด้วย"เอ่อ...รัชทายาท พระทัยเย็น ๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นาน ไม่นานเกินรอ" เย่จงเทียนเอ่ยปลอบประโลมทว่ากู้หย่งเฟิงกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด "จงเทียน ข้าเป็นห่วงนาง เหตุใดจึงนานนัก หมอทำเป็นหรือไม่"เย่จงเทียนยกมือเกาแก้ม เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม"องค์รัชทายาท นี่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ [1] เลยนะพ่ะย่ะค่ะ"กู้หย่งเฟิงตวัดสายตามองฉับ เย่จงเทียนหน้าหงอทันควัน "หนึ่งหรือสองเค่อก็นานทั้งนั้น ข้าเป็นห่วงนางใจแทบขาดแล้ว"..ภายในตำหนัก"เบ่งเพคะ เอ้า หนึ่ง สอง..." มือเหี่ยวย่นช่วยประคองครรภ์กลมโตพลางทำปากพองลมตาม"อื้อ..." ซ่งซูหลานพยายามออกแรงเบ่งเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กลี่ถังและเฉินซู่คอยซับเหงื่อให้ผู้เป็นนายอยู่ไม่ห่าง ขณะที่พระชายาเบ่งพวกนางก็ออกแรงเฉกเช่นตนจะคลอดด้วยเสียเอง"พระชายา อีกนิดเท่านั้นท่านอดทน
ซ่งหยวนหมิงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้ตรวจสอบเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางที่ตำบลเลี่ยงหลินอย่างลับ ๆ เขาระแคะระคายมาสักพักแล้วว่ากงเจิ้งจงกำลังคิดกระทำการบางอย่าง คาดไม่ถึงว่านอกจากไม่ส่งความช่วยเหลือมายังราษฎร กลับอ้างชื่อของรัชทายาทเพื่อทำเรื่องต่ำช้าสร้างความเข้าใจผิดให้ใต้หล้า ซ้ำยังลอบทำร้ายรัชทายาทในพิธีล่าสัตว์ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนทราบดีว่าเขามิอาจกักบริเวณรัชทายาทได้จริงดังว่า จึงให้ใต้เท้าซ่งรวบรวมกำลังทหารไปสมทบ นอกจากจับได้ทั้งคนพร้อมหลักฐานแล้ว สิ่งที่ลำบากใจที่สุดยามนี้ก็คือ กงเจิ้งจงคือบิดาของกงกุ้ยเฟย ซ้ำร้ายกงกุ้ยเฟยยังเคยวางยาห้ามครรภ์ให้บรรดาสนมคนอื่น ๆ รวมถึงฮองเฮาด้วย ทว่าจางฮองเฮากลับสามารถให้กำเนิดโอรสได้หนึ่งพระองค์ หลังจากรัชทายาทประสูติไม่นานร่างกายของจางฮองเฮาก็มิสู้ดีมาโดยตลอด กระทั่งกู้หย่งเฟิงรู้ความ นางก็ได้จากไปอย่างสงบกงเจิ้งจงกระทำการอุกอาจเช่นนี้เพียงต้องการให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทแห่งแคว้น เพราะตนมิอาจควบคุมกู้หย่งเฟิงได้ ทว่าองค์ชายทั้งสองกลับมิได้รู้เห็นด้วย ฮ่องเต้จึงทำการสำเร็จโทษกงเจิ้งจงด้วยทัณฑ์ของกบฏขั้นสูงส
ซ่งซูหลานตกใจสะดุ้งโหยง บรรดาชายชุดดำด้านหลังต่างวิ่งกรูเข้ามา ซ่งซูหลานล้วงเอาระเบิดปิงปองสามสี่ลูกออกจากกระเป๋า แล้วจึงใช้อุปกรณ์จุดไฟที่ประดิษฐ์ขึ้นจุดชนวนด้านบน โชคดีที่เส้นทางในถ้ำคับแคบ ชายเหล่านั้นเลยไม่อาจดาหน้าเข้ามาในคราวเดียวกันซ่งซูหลานปาระเบิดปิงปองออกไปอย่างรวดเร็ว"วิ่ง!"กู้หย่งเฟิงกุมมือซ่งซูหลานไว้เหนียวแน่น พวกเขาตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ภายในถ้ำเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนตู้ม!!แรงระเบิดทำให้หินนับร้อยร่วงกราวลงมาดุจใบไม้แห้ง ที่นี่กำลังจะพังทลาย"บัดซบ! จับพวกมันมาให้ได้" เสียงทุ้มตะโกนไล่หลังฝีเท้านับร้อยคู่วิ่งกรูใกล้เข้ามาทุกขณะ พร้อมกับเสียงโอดโอยร้องดังระงม ถึงแรงระเบิดไม่อาจคร่าชีวิต ทว่าสามารถสร้างรอยบาดแผลเพื่อลดทอนกำลังฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสองมาถึงทางออกแล้ว แต่วิธีออกไปกลับไม่เหมือนยามที่ตนเข้ามากู้หย่งเฟิงพยายามคลำหาเปะปะ "ตรงไหนกันเล่า"ซ่งซูหลานหายใจหอบเหนื่อย "ข้าหาเอง"ทั้งสองช่วยกันคลำไปทั่วผนัง ทว่าเบื้องหลังกลับถูกอีกฝ่ายล้อมไว้ ชายร่างสูงสวมหน้ากากเยื้องย่างด้วยท่าทีใจเย็น
ซ่งซูหลานหัวใจไหวระทึก ชายฉกรรจ์ทั้งสองเยื้องย่างใกล้เข้ามาทุกขณะ อยู่ ๆ ปากของนางก็ถูกฝ่ามือใครบางคนตะปบปิดเอาไว้"อื้อ..." นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้างตื่นตระหนกผู้ใดกัน!?"ชู่ว..."นางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหู ซ่งซูหลานมิกล้าขยับส่งเดช มือแกร่งโยนบางอย่างไปอีกฝั่งจี๊ด จี๊ด จี๊ด...บุรุษในชุดสีทะมึนหันตามขวับ"โถ่ บัดซบ! ที่แท้ก็หนูนี่เอง"เท้ากำยำเตะหินก้อนหนึ่งกระทบผนังถ้ำอย่างหัวเสีย"ไปกันเถอะ ลาดตระเวนมานานจนข้าชักเพลียแล้ว วันนี้ใต้เท้าจะลงมาดูงานด้วย"ชายอีกคนพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นพวกเขาก็หายลับไปทางแยกด้านซ้าย ซ่งซูหลานมองตามบุรุษทั้งสองตาปริบ ๆ ทว่าเบื้องหลังกลับมีใครบางคนกำลังควบคุมนางเอาไว้ ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อประดุจรูปปั้น นางไม่กล้ากระทั่งหายใจแรงเสียงทุ้มกระซิบแผ่ว "เด็กดื้อ เจ้าทำตัวเช่นนี้ข้าเป็นห่วงมากรู้หรือไม่"สะ...เสียงนี่มัน...ฝ่ามือหยาบระคายลดลงแล้ว เขาจับไหล่บอบบางของคนเบื้องหน้าให้หั
เสียงบุรุษสองนายสนทนากันดังเป็นระยะ "เจ้าว่าแผนการนี้จะได้ผลหรือ รัชทายาทหาใช่คนโง่เง่า""เอาน่า อย่างน้อย ๆ สร้างชื่อเสียงให้เขาเสื่อมเสียสักหน่อย เมื่อราษฎรไม่ยอมรับเขา ต่อไปแผนการของใต้เท้าก็จะสำเร็จโดยง่าย""นั่นสินะ ข้าล่ะอยากไปร่ำสุราเคล้านารีในวังหลวงเสียจริง คงมีแต่สตรีงามหยดดุจนางฟ้า น่าเสียดายหากวันนั้นหัวหน้าไม่ห้าม รัชทายาทคงไม่รอดจวบจนวันนี้""เอาเถิด อีกไม่นานเกินรอแผนสำรองก็น่าจะสำเร็จ"วาจาคลุมเครือพร้อมท่าทางหยาบโลนของพวกเขาทำให้ซ่งซูหลานขนลุกซู่พวกนี้เองหรือที่ทำร้ายเขาปางตายในป่าไผ่ตอนนั้นทุกอย่างเป็นเช่นที่นางคาดไม่มีผิด กู้หย่งเฟิงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องสักนิด เขากำลังถูกปรักปรำทว่าใต้เท้าที่พวกเขาเอ่ยถึงคือใต้เท้าใดกัน ในวังหลวงมีตั้งกี่ใต้เท้าเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดขมับตุ๊บ!จู่ ๆ หินก่อนหนึ่งดันร่วงบริเวณที่นางกำลังซ่อนตัวอยู่ราวจับวาง ซ่งซูหลานตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก"ผู้ใด!?"แย่แล้วซูหลาน ยังไม่ทันได้เรื่องก็ไม่เหลือชีวิตไปต่อแล้ว ฮือ...ปืนกลที่พกขนาบเอ
"คุณหนู ท่านเพิ่งมาถึงมิใช่หรือ นี่ท่านกำลังทำอันใดเจ้าคะ แล้วไยจึงยังแต่งกายเฉกเช่นบุรุษอยู่อีก" ลี่ถังทราบเพียงว่าซ่งซูหลานถูกพาตัวไปอภิเษกกับรัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางได้เข้าพิธีอภิเษกจริงหรือไม่ เพราะตั้งแต่พบหน้าซ่งซูหลาน นางก็มิได้เอ่ยถึงเลย ลี่ถังจึงตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายในสถานะเดิมซ่งซูหลานยังคงทำโน่นจัดนี่มือเป็นระวิง "แม่บ้านลี่ อยู่เรือนอย่าลืมปิดประตูให้ดี อ้อ...อีกอย่าง อย่าได้ออกไปไกลจากตัวเรือนเกินหนึ่งหลี่ [1] เข้าใจหรือไม่ ข้าทำเส้นกั้นไว้เรียบร้อยแล้ว"ลี่ถังงุนงง "ทำไมหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เอาตามนี้ อย่าพาเด็ก ๆ ออกมาเล่า แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานพกกระเป๋าอุปกรณ์ที่นางตัดเย็บเองยามว่าง จึงสามารถนำมาใส่สัมภาระที่จำเป็นสำหรับภารกิจหนนี้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่ชาวบ้านถูกรีดไถเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ จะใช่คำสั่งของรัชทายาทจริงหรือซ่งซูหลานมุ่งหน้าออกจากเรือนโดยไม่ลืมกำชับลี่ถังอีกหน เพราะนางได้วางกับดักเอาไว้โดยรอบ ทั้งยังมีดินประสิวใ
"จงเทียนเจ้าไปที่ตำบลเลี่ยงหลิน แล้วเร่งส่งข่าวซูหลานมาให้ข้า""พ่ะย่ะค่ะ" เย่จงเทียนหมุนกายกลับ ทว่าใครบางคนกำลังยืนขวางทางอยู่หน้าธรณีทางเข้า"องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงมองผ่านไหล่ของเย่จงเทียนไป เขาหรี่นัยน์ตามองอีกฝ่ายด้วยความคลางแคลง "เจียฮ่าน มาได้อย่างไร""กำลังจะไปที่ใดหรือพี่รอง" กู้เจียฮ่านเอ่ยเรียบเรื่อย"ข้าก็มิได้จะไปที่ใด ทำไมเล่า เจ้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อรึ"กู้หย่งเฟิงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาโบกมือหนึ่งคราเพื่อให้เย่จงเทียนเร่งออกไปกู้เจียฮ่านมองตามองครักษ์ของผู้เป็นพี่ชาย จากนั้นผ่อนหายใจเบา "พี่รอง ท่านกำลังให้องครักษ์เย่ไปตำบลเลี่ยงหลินกระมัง""ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"กู้เจียฮ่านย่างกรายเนิบนาบ เย่จงเทียนไม่กล้ากระดิกกายออกไปทันที เพราะเขาเกรงว่าอาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมา เนื่องจากรัชทายาทยังถูกกักบริเวณเพราะราชโองการร่างสูงหย่อนกายลงนั่งพิงพนักเก้าอี้เนื้อดี จากนั้นยกมือขึ้นมาครูดเล็บสะบัดนิ้วทั้งห้าเล่นหนึ่งฝั่งด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์กู้ห
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ซ่งซูหลานรู้สึกขุ่นเคืองนัก ไฉนบรรดาทหารหน้าบากเหล่านั้นต้องมาทำลายกังหันลมของนางด้วย นางอุตส่าห์ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจกว่าจะทำสำเร็จ เช่นนี้ต้องสั่งสอนให้รู้เข็ดหลาบ"เอาเถิด เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลใจ พวกเขาย้อนกลับมาบ่อยหรือไม่"ลี่ถังพยักหน้า "บางคราก็ห้าวัน บางคราก็เจ็ดวันเจ้าค่ะ""ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด ทุกอย่างจะเรียบร้อย อย่าลืมดูแลลูก ๆ ให้ดี"..ขันทีและทหารเรียงหน้าเข้ามายังตำหนักของรัชทายาท ร่างสูงที่นั่งประทับบนหลังม้าขมวดคิ้วมุ่นกู้หย่งเฟิงเอ่ยถามเสียงขรึม "พวกเจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"เสียงขันทีประกาศก้อง "องค์รัชทายาทรับราชโองการ"เย่จงเทียนขมวดคิ้ว "ราชโองการใดกัน""ขออภัยท่านองครักษ์ เป็นราชโองการโดยตรงจากฝ่าบาท" ขันทีเอ่ยนอบน้อมกู้หย่งเฟิงจึงกระโดดลงจากหลังม้าทันควัน จากนั้นคุกเข่าโดยไม่ปริปากเรื่องใดต่อ"รัชทายาทไร้คุณธรรมกระทำเรื่องเสื่อมเสีย รีดไถราษฎร ไม่คำนึงถึงความผาสุกบรรเทาทุกข์แก่ผู้ยากไร้ จึงให้กักตัวอยู่ที่ตำหนักจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างแจ้ง
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน