2
แม่เลี้ยงใจร้าย
“เจ้าหยุดตื่นกลัวเถิด ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้แม้ว่าจะโกรธที่นางคอยตบตีเรา แต่ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้เรื่องมันเกิดขึ้นเช่นนี้สักหน่อย” เด็กชายได้ปลอบน้องสาวของตน
“เฮือก! .” เสียงหายใจเฮือกใหญ่ทำให้ทั้งสองพี่น้องต้องหันไปมองด้วยความเร็ว
“ท่านพี่นางฟื้นแล้ว”
“เดี๋ยวข้าจะไปตามท่านพ่อเจ้าอยู่ที่นี่” เด็กชายได้เอ่ยบอกน้องสาวของตนแล้ววิ่งออกไป เด็กหญิงตัวเล็กจ้องมองร่างที่นอนอยู่บนเตียง
จิวฉิงลืมตาขึ้นมากวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้นัก จำได้ว่าตัวเองนั้นตกลงสู่แม่น้ำหรือที่นี่คือสวรรค์ แต่แล้วเธอก็หันไปสบตากับเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนจ้องเธออยู่ข้างเตียง
“นี่หนู ที่นี่ที่ไหน” จิวฉิงได้เอ่ยถามเด็กคนนั้นพร้อมลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน เด็กน้อยที่กลัวแม่เลี้ยงผู้นี้อยู่แล้วรีบตอบกลับมาอย่างสั่นกลัว
“ท่านแม่ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจท่านแม่อย่าลงโทษท่านพี่นะเจ้าคะข้าเป็นคนทำทั้งหมด” เด็กหญิงตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับว่านางไปทำอันใดให้เด็กคนนี้หวาดกลัวกัน จิวฉิงเลยลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือจับที่แขนของเด็กหญิง
“ทำไมต้องกลัวฉันด้วยล่ะ ฉันแค่ถามเท่านั้นแต่หนูทำเหมือนฉันเป็นนางยักษ์ไปได้” แต่ทว่าเด็กกลัวเธอมาก ๆ จนน้ำตาใส ๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโต
“เจ้าจะทำอันใดลู่เอ๋อร์ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” เสียงเย็นยะเยือกได้เอ่ยขึ้นมาทำให้จิวฉิงรีบหันไปมองผู้ที่กำลังย่างกรายเข้ามา แววตาดำสนิทราวกับหมึกดำแผ่ซ่านความอำมหิต เธอก็รีบปล่อยมือจากเด็กนั้นทันที
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าเองก็คิดว่าเจ้าเป็นสหายที่ดีของซู่ซ่าน และรักเอ็นดูลูก ๆ ของข้าแต่ทว่าเจ้ากลับมีจิตใจที่โหดเหี้ยมรังแกบุตรของข้าเสมอมา ต่อจากนี้ข้าจะไม่ใยดีกับเจ้า และไม่เกรงกลัวแม้ว่าเจ้าตระกูลของเจ้าจะมีอำนาจเพียงใดหากเจ้ากล้าลงมือกับบุตรทั้งสองของข้าอีกข้าจะอยู่เฉย ๆ แน่ ลู่เอ๋อร์ เลี่ยงเฟิงกลับไปที่ห้องของพวกเจ้าหากนางรักแกเจ้าอีกแจ้งข้าทันที” ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าจิวฉิงได้ต่อว่านางและหันไปบอกกับลูกให้กลับห้องของตน
“เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันแค่ถามเท่านั้นเองว่าที่นี่ที่ไหน” จิวฉิงรีบอธิบายให้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ฟัง
“เจ้าจะเสแสร้งอันใดอีกข้าจะไม่หลงกลเจ้าอีกต่อไป” เขาพูดจบก็ได้ออกไปปล่อยให้จิวฉิงงงงวยกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่าเธอตกลงสู่แม่น้ำแล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่เคยมาเช่นนี้
เมื่อทั้งหมดออกไปด้านนอกจิวฉิงเองก็ได้รีบหาคันฉ่องมาดูใบหน้าของตนเองตอนนี้ พบว่านี่ไม่ใช่ตัวของเธอแถมร่างนี้ช่างสวยงามอย่างมาก จิวฉิงตกใจจนทำให้คันฉ่องหล่นลงจากมือตนเองลงบนพื้นทำให้สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบเข้ามาดู
“คุณหนูเกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ” เข่อซิงหญิงสาวใช้ที่ติดตามเจ้าของร่างนี้มาตั้งแต่เด็กได้เข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน ฉันจะกลับบ้านพาฉันกลับบ้านที” จิวฉิงเริ่มกลัวจนเกิดความประหม่าที่ไม่รู้ว่าที่ตัวเองอยู่ตอนนี้คือที่ไหน
“โธ่! คุณหนูท่านตกน้ำทำให้ความทรงจำของท่านหายไปเลยหรือเจ้าคะ คุณหนูเป็นบุตรสาวของท่านเสนาบดีห่าวอู่นามว่าหานเสี่ยว์ และตอนนี้คุณหนูก็ได้มาเป็นฮูหยินของคุณชายเหิงเยว์เจ้าค่ะ” เข่อซิงอธิบายให้จิวฉิงฟัง
“แล้วเด็กทั้งสองเป็นลูกของฉันด้วยเหรอ” จิวฉิงพยายามลำดับเหตุการณ์เด็กทั้งสองเมื่อครู่เรียกตนเองว่าท่านแม่หรือว่าจะเป็นลูกของเจ้าของร่างนี้
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เด็กสองคนนั้นเป็นบุตรของสหายของท่านอย่างไรเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูจำอันใดไม่ได้เลยงั้นหรือ ข้าจะไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการของท่านนะเจ้าคะ" เข่อซิงเงยหน้ามองเจ้านายของตนอย่างสงสัย
"ไม่ต้องข้าไม่ได้เป็นอะไรอาจจะแค่ความทรงจำขาดหายชั่วคราวไม่นานความทรงจำอาจจะกลับมาในเร็ววัน"จิวฉิงรีบบอกกับสาวใช้ เข่อซิงจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับร่างนี้ให้ฟัง ทำให้จิวฉิงถึงกับเอามือทาบอกไม่คิดเลยว่าคนที่มีหน้าตางดงามเพียงนี้ถึงได้ใจร้ายเช่นนี้ ไม่แปลกที่ชายคนนั้นถึงได้โกรธเคืองร่างนี้ถึงเพียงนี้
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนั้นวิญญาณของฉันกับเจ้าของร่างนี้คงได้ทะลุมิติสลับกันสินะ แม้จะสุขสบายที่ไม่ได้ทำงานอะไรแต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่าเหลือเกิน คงต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาทางกลับไปยังโลกเดิมให้ได้ ต่อจากนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ต้องทำตัวดี ๆ สะแล้วไม่อย่างนั้นคงได้ถูกคุณชายอะไรนั้นตัดคอแน่ ๆ แค่เห็นแววตาก็น่ากลัวมาก ๆ แล้ว ฉันต้องเปลี่ยนแปลงการพูดก่อนสินะ” จิวฉิงได้ยืนขึ้นไปหันมองไปทางหน้าต่างก่อนจะพึมพำอย่างเบา ๆ เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
“ว่าแต่คุณชายอะไรนั้นได้ชอบหานเสี่ยว์หรือไม่” จิวฉิงอยากรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงได้เอ่ยถามเข่อซิง
“มีเพียงคุณหนูเท่านั้นเจ้าค่ะที่ชอบคุณชายเหิงเยว์ฝ่ายเดียว ตั้งแต่มาอยู่ที่เรือนนี้คุณชายไม่เคยมานอนกับคุณหนูที่ห้องเลย ข้าเองก็แปลกใจเหตุใดคุณหนูถึงไม่หย่ากับคุณชายเหิงเยว์แล้วไปหาคุณชายตระกูลอื่นแทน ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของคุณหนูก็งดงามไม่รองจากผู้ใด แถมยังต้องมาเลี้ยงเด็กแฝดทั้งสองนี่อีกด้วย ข้าเข้าใจคุณหนูนะเจ้าคะที่มักจะรังแกเด็ก ๆ เพราะเห็นเด็กนั้นเป็นขวากหนามคอยทิ่มแทงอก แม้บางครั้งข้าไม่เห็นด้วยก็เถิด” เข่อซิงได้เอ่ยออกมาด้วยความอยากรู้ความคิดของนายหญิงตนเอง
“นั้นสิ แล้วทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รักตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถิดในเมื่อเป็นเช่นนี้จากนี้ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่แต่ตอนนี้ข้าต้องกินอะไรก่อนถึงจะมีแรงเจ้าไปหาอะไรอร่อยมาให้ข้ากินที “เข่อซิงมองนายหญิงของจนจนคิ้วขมวดเข้าหากัน
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปนำอาหารมาให้คุณหนูโปรดรอสักครู่” เข่อซิงเดินออกไปด้านนอกเพื่อไปนำอาหารมาให้นางกิน จิวฉิงได้เดินดูเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องใช้แต่งกายต่าง ๆ มากสะจนเลือกไม่ถูกว่าจะใส่ชิ้นไหน
“เฮ้อ! โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับฉันกัน ให้ฉันกลับไปเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิมจะดีกว่า คุณย่ารอฉันอยู่ฉันจะกลับไปให้ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเปลี่ยนนิสัย ฉันจะต้องทำดีกับเด็กให้มาก ๆ เอาล่ะหานเสี่ยว์ฉันจะขอเปลี่ยนนิสัยเธอต่อจากนี้เธอต้องเป็นแม่เลี้ยงที่ดีให้ได้” จิวฉิงนั่งรอไม่นานเข่อซิงก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคนที่ยกสำรับเข้ามา จัดแจงวางไว้บนโต๊ะอาหาร สาวใช้ที่เดินเข้ามาก็ไม่ต่างจากเด็กหญิงที่เธอเจอเมื่อตอนที่ฟื้นเลย หานเสี่ยว์ต้องโหดร้ายแค่ไหนถึงทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ขนาดนี้
“อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงได้บอกกับจิวฉิงที่ตอนนี้กำลังครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
3ท่านมีแผนอันใดจิวฉิงหันมามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะมากมาย เธอรีบเดินมานั่งลงบนเก้าอี้พร้อมจับตะเกียบมาคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย การที่ทะลุมิติในครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปสำหรับเธอ เพราะต่อจากนี้เธอไม่ต้องตื่นเช้าหลับดึกและไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ จิวฉิงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วเธอก็ได้เดินดูรอบ ๆ บริเวณเรือนของคุณชายเหิงเยว์เข่อซิงก็ได้บอกรายละเอียดว่าวัน ๆ เธอต้องทำอะไรบ้าง เธอต้องดูแลทุกอย่างในเรือนเพราะเป็นฮูหยินของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้หรือว่าเรื่องเบี้ยอัฐค่าใช้จ่ายทั้งหมดรายงานต่อคุณชายเหิงเยว์ได้รับรู้ในแต่ละรอบ จิวฉิงได้เรียนรู้โดยเร็วโชคดีที่เธออ่านตัวหนังสือในโลกนี้ออก จึงได้เปิดอ่านรายรับรายจ่ายของเรือนแห่งนี้ ตาเธอลุกวาวเมื่อเห็นยอดเงินมากมายหากนับว่าเป็นโลกปัจจุบันบ้านของคุณชายผู้นี้อยู่ในระดับร่ำรวยทีเดียว จิวฉิงจึงได้รีบหันไปถามเข่อซิงโดยเร็วด้วยความอยากรู้“เข่อซิง หากนี่เป็นรายรับรายจ่ายของคุณชายเหิงเยว์เช่นนี้เท่ากับว่าตระกูลของข้าต้องมีมากกว่านี้ใช่มั้ย?” “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ ตระกูลของคุณหนูเป็นตระกูลที่ร่ำรวยแถมท่านใต
บทที่ 4 อย่างไรข้าก็ไม่มีทางชอบสตรีเช่นเจ้าจิวฉิงได้บอกให้เข่อซิงไปสั่งพ่อครัวของที่นี่จัดอาหารมาให้ทั้งสามได้กินด้วยกัน ผ่านไปสักระยะก็มีสาวใช้ได้ยกสำรับมาจัดวางอยู่บนโต๊ะจนเต็มไปหมด จิวฉิงมองดูเด็กทั้งสองยังคงกลัวว่านางมีแผนร้ายเมื่ออาหารมาวางตรงหน้าจิวฉิงก็ได้นำตะเกียบคีบทุกอย่างเข้าปากอย่างละนิดอย่างละน้อยจนทำให้เด็กมั่นใจว่านางไม่ได้วางยาพิษ“เห็นมั้ยว่าข้าไม่คิดจะทำอันใดพวกเจ้าหากข้าใส่ยาพิษปานนี้ข้าคงโดนพิษไปแล้ว กินเถิดตอนที่ทุกอย่างยังร้อน ๆ หากเย็นแล้วจะไม่อร่อย ” เด็กทั้งสองมองหน้ากันก่อนผู้เป็นพี่ได้พยักหน้าให้น้องสาวกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าจิวฉิงมองดูทั้งสองอย่างเอ็นดู ทั้งสามคนก็ได้กินอาหารอย่างอร่อย ๆ จิวฉิงได้พูดคุยอย่างที่เจ้าของร่างไม่เคยทำมาก่อน“เจ้าทั้งสองได้ร่ำเรียนหนังสือหรือไม่ ?”“ตัวของข้าท่านพ่อให้อ่านตำราอยู่ที่เรือนเสียก่อนเพราะท่านอาจารย์ยังไม่รับข้าเป็นศิษย์”“อย่างนี้นี่เอง แล้วลู่เอ๋อร์เล่า ?”“ท่านแม่ข้าเป็นสตรีหน้าที่ของข้าคือการเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ แต่ข้ายังเด็กนักท่านพ่อให้ข้าเรียนรู้กิริยาเท่านั้นเจ้าค่ะ” ลู่เอ๋อร์เริ่มกล้าที่จะพูดกับ
บทที่ 5 หาทางกลับจิวฉิงยิ้มร่าออกมาอย่างดีใจ“ท่านเอ่ยออกมาเองนะห้ามกลับคำ รุ่งเช้าข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านพ่อหลังจากนั้นข้าจะออกจากเรือนของท่านทันที” คำพูดของนางทำเอาเหิงเยว์ต้องสงสัยคิ้วขมวดเข้าหากัน นางยอมมาอยู่ที่เรือนของเขานานนับ 5 ปี ไม่ยอมไปไหนแต่เหตุใดวันนี้นางถึงดีใจที่เขาจะหย่าให้นางเช่นนี้ แต่ก็ดีเช่นกันตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่ได้มีใจให้นางสักนิด แม้นางจะงดงามแต่เวลาที่มองใบหน้าของนางก็เห็นใบหน้าของภรรยาทับซ้อนเข้ามาทุกครั้ง ทำให้เขาไม่เคยมานอนที่ห้องของนางเลยตั้งแต่แต่งนางเข้ามา“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก็เป็นการดีต่อตระกูลของข้าเช่นกัน” พูดจบเหิงเยว์ก็ได้เดินออกไปด้านนอก เข่อซิงก็ได้เดินเข้ามาเห็นนายหญิงของตนเองยิ้มมุมปากนางจึงเกิดความสงสัยมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางมีความสุขได้ขนาดนี้ “คุณหนูยิ้มเช่นนี้มีเรื่องดี ๆ อันใด หรือเจ้าคะ”“เข่อซิง คุณชายเหิงเยว์บอกว่าจะหย่าให้ข้า วันรุ่งขึ้นข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อท่านพ่อเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิดข้าเองก็จะไปพักเช่นกัน ” เข่อซิงงงงวยเอะใจที่เห็นคุณหนูดีใจขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางต้องร้องกรี๊ดออกมาไม่พอใจเป็นแน่ และไม่มีทา
บทที่ 6 ไข้หวัดรุ่งสางของอีกวันแสงแดดสาดส่องเข้ามากระทบร่างกายของหานเสี่ยว์แต่ทว่าตอนนี้นางกลับมีอาการหนาวสั่นไปทั้งร่างกาย เข่อซิงที่เขามาดูแลจัดการเสื้อผ้าอาภรณ์ของหานเสี่ยว์ในทุก ๆ เช้าเมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนเองยังไม่ตื่นก็รู้สึกผิดแปลกเพราะหานเสี่ยว์นั้นมักจะตื่นมารอเข่อซิงในทุก ๆ เช้าเพื่อให้นางยกน้ำมาให้ล้างตา เข่อซิงจึงได้เข้าไปดูที่ห้องนอนก็พบว่าหานเสี่ยว์นอนหนาวสั่นอยู่บนเตียงนอน เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นเหงื่อที่ผุดออกมาจากรูขุมขนมากมาย“คุณหนู คุณหนูท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ” เข่อซิงมาจับตัวของหานเสี่ยว์ก็รับรู้ถึงความร้อนของร่างกายราวกับเพลิงเผาไหม้“โอ๊ะ! คุณหนูท่านตัวร้อนมากเลย นี่ผู้ใดอยู่ข้างนอกเข้ามานี่ที " เข่อซิงเรียกสาวใช้อีกคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาด้านใน“มีอะไรหรือ ".“เจ้าไปตามท่านหมอมาตรวจร่างกายของฮูหยินที ดูเหมือนนางจะไม่สบาย” เข่อซิงสั่งสาวใช้ให้ไปตามท่านหมอมาโดยเร็ว “ได้ข้าจะไปตามเดี๋ยวนี้” สาวใช้รีบเดินออกไปตามท่านหมอที่โรงหมอในหมู่บ้านทันที ส่วนเข่อซิงก็ได้นำผ้ากระถังน้ำมาเช็ดตัวให้หานเสี่ยว์บรรเทาความร้อนลงได้บ้างฝั่งด้านลู่เอ๋อร์นางตื่นเต้นมากที่จะได้ไปห
บทที่ 7 เฝ้าไข้ฝั่งด้านเลี่ยงเฟิงมาถึงห้องอ่านตำราของท่านพ่อเขาก็ไม่ได้มีกระจิตกระใจกับการอ่านตำราสักเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็เป็นห่วงว่าลู่เอ๋อร์อาจจะติดไข้จากหานเสี่ยว์ได้ จนเหิงเยว์สังเกตได้จึงได้จับตำราที่อยู่มือของเลี่ยงเฟิงออกมาจากตัวของเขา“วันนี้เจ้าเป็นอันใดข้าเห็นเจ้าเอาแต่เหม่อลอยแถมอ่านตำราหน้าเดียวเป็นเวลานาน”“คือว่าข้าเป็นห่วงลู่เอ๋อร์ขอรับท่านพ่อ”“ลู่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือว่าหานเสี่ยว์รังแกนางอีกแล้ว”“มิใช่ขอรับแต่ที่ข้าเป็นห่วงเพราะกลัวว่านางจะติดไข้จากท่านแม่มากกว่า ก่อนที่ข้าจะมาหาพ่อข้าได้ไปส่งลู่เอ๋อร์ที่ห้องท่านแม่ตามที่นางสั่ง แต่เมื่อข้าไปถึงก็พบว่าท่านแม่นอนสั่นเทาอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวแถมยังมีท่านหมอมาตรวจร่างกายท่านแม่อีกด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่จะฟื้นหรือยัง " เลี่ยงเฟิงได้เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ทำให้เหิงเยว์ที่ครุ่นคิดนางบอกว่าจะไปหาท่านพ่อของนางเมื่อฟ้าสาง หรือนี่จะเป็นแผนของนางอีกเพราะนางไม่อยากหย่าอย่างที่นางบอก เขาจึงจะไปดูใบหน้าที่เสแสร้งของนางว่าตอนนี้นางเล่นละครตบตาคนในเรือนจนเชื่อสนิทได้อย่างไร“เจ้าอ่านตำราอยู่ในห้องนี้ไปก่อนเดี๋ยวข
บทที่ 8 หากบาดเจ็บขึ้นมาจะทำเช่นไรหานเสี่ยว์เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเลี่ยงเฟิงก็รีบถามทันที“เป็นอันใดสีหน้าของเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ ”“ที่ต้นไม้ใหญ่ตรงด้านหน้าห้องของท่านพ่อ ข้าเห็นนกน้อยตกลงมาข้าสงสารอยากจะนำตัวนกน้อยไปไว้บนรัง หากแม่นกกลับมาจะได้พบเจอลูกน้อย แต่ว่าเขาไม่สามารถปีนขึ้นไปได้” เลี่ยงเฟิงก้มหน้าสงสารนกน้อยที่อยู่ในมือ“เจ้าช่างมีจิตใจที่ดีเหลือเกิน มาเถิดนำข้าไปที่รังของมัน ข้าจะส่งนกขึ้นรังเอง” จิวฉิง ถอนหายใจคิดว่าเรื่องใหญ่อะไร“แต่ว่าฮูหยินเจ้าคะ ท่านพึ่งหายจะมีแรงปีนป่ายต้นไม้หรือเจ้าคะ อีกอย่างตั้งแต่ข้าตามดูแลท่านมาท่านไม่เคยปีนป่ายต้นไม้สักครา หากท่านตกต้นไม้จะเกิดอันใดขึ้นข้าไม่อยากนึกเลย” เข่อซิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้เอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง“วางใจเถิดเข่อซิง ข้าทำได้” ใช่แล้วหากเป็นจิวฉิงนางทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้นางไปทำงานของสาวใช้นางก็สามารถทำได้สบาย ทั้งสี่คนก็ได้เดินไปที่ต้นไม้หน้าห้องของเหิงเยว์ จิวฉิงไม่รอช้าเมื่อเห็นต้นไม้ที่เลี่ยงเฟิงบอกก็ได้แบมือขอนกน้อยเพื่อนำไปไว้ที่รังของมัน นางปีนขึ้นไปอย่างง่ายดายโชคดีที่ต้นไม้ไม่ได้สูงเท่าไหร่นัก เด็กๆ ทั้
บทที่ 9 อ้อมกอดที่อบอุ่นเหิงเยว์กลับมาจากวังหลวงอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อมาถึงเรือนก็ได้นำม้าให้แก่บ่าวไปผูกไว้ที่คอก เขาเองก็อยากกลับมาพักผ่อนที่ห้องแต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้จะถึงห้องของตนเองก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของเด็ก ๆ เรียกท่านแม่ เขาวิตกกังวลคิดว่าหานเสี่ยว์จะทำมิดีมิร้ายกับเด็ก ๆ อีกแต่เมื่อเขาไปถึงก็เห็นว่าหานเสี่ยว์กำลังล่วงหล่นมาจากต้นไม้ เขารีบกระโดดเข้าไปรับนางทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรกลัวนางจะได้รับบาดเจ็บเสียมากกว่า อิสตรีปากร้ายจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนางเมื่อเขาเห็นนางนอนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่สมกับเป็นนางสักเท่าไหร่นักและจิตใจของเขาเองก็หงุดหงิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเขารับตัวนางไว้ได้ใจของเหิงเยว์โมโหมากที่นางไม่รู้จักระวังตัวหากได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้นางต้องนอนอยู่บนเตียงนานหลายวันเป็นแน่ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของนางอย่างใกล้ชิดใจของเขาก็เริ่มสั่นไหว นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ทั้งที่เขาต้องเกลียดนางที่คอยรังแกเด็ก ๆ เขาจึงทำได้เพียงตวาดใส่นางอย่างหงุดหงิดใจ ไม่รู้ว่าเพราะเขาไม่เคยสังเกตหรือเพราะว่านางเปลี่ยนไปถึงทำให้เขาว้าวุ่นหัวใจได้ถึงเพียงนี้ ก่อนที่นางจะขอโทษแล
บทที่ 10 ฝันร้ายเมื่อส่งเด็ก ๆ เข้านอนเสร็จแล้ว หานเสี่ยว์ก็ได้เดินกลับห้องของตัวเอง เหิงเยว์มองดูนางพร้อมกับเดินตามหลังนางไปอย่าง ๆ ช้าหานเสี่ยว์ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไม่ได้ดังเพียงแค่เท้าเดียวนางจึงหยุดเดินและหันไปมองด้านหลังก็พบเหิงเยว์ที่เดินตามมา“นี่ท่านเดินตามข้ามาจะมาหาเรื่องอะไรข้าอีก "“ข้าก็แค่เดินตามทางเท่านั้นไม่ได้เดินตามเจ้าเสียหน่อย ”"แต่ว่าห้องของท่านไม่ได้มาทางนี้เสียหน่อย ""ข้าจะเดินไปที่ใดล้วนแต่เป็นที่ของข้า ไม่ว่าข้าจะย่างกรายที่ใดมันเกี่ยวอันใดกับเจ้าเล่า""เฮอะ แล้วแต่ท่านเถิดเจ้าค่ะ" หานเสี่ยว์หันหน้าเดินหนีเหิงเยว์อย่างไม่สนใจแต่เขาก็ยังคงเดินตามนางอยู่จนหานเสี่ยว์รู้สึกอึดอัด นางจึงหยุดเดินเพื่อถามเขาให้รู้ความ"นี่ ท่านจะเดินตามข้าไปถึงเมื่อไหร่ หากท่านจะเอ่ยว่าเดินไปทางใดก็เรื่องของท่าน แต่ช่วยเดินไปทางอื่นได้หรือไม่ หรือว่าท่านมีเรื่องอันใดข้องใจก็เอ่ยออกมา""เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้ามีแผนอันใดกันแน่ ที่เข้าหาบุตรของข้าทั้งสองคน สตรีเช่นเจ้าข้าไม่เชื่อว่าจะเปลี่ยนนิสัยได้รวดเร็วปานนี้""เฮ้อ ! จะต้องให้ข้าทำเช่นใด ท่านถึงจะเชื่อว่าข้ามิได้มีแผนอันใด ""แล้วเห
บที่ 39 น้องของสองแฝด1 ปีต่อมา หลังจากวันนั้นหานเสี่ยว์ก็ได้ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับเหิงเยว์ใช้เวลาค่ำคืนด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งนางนั้นได้ตั้งท้องให้กับเหิงเยว์จนตอนนี้ท้องเริ่มแก่มากแล้ว แถมฤดูนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย เหิงเยว์จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้หานเสี่ยว์ไปใกล้แม่น้ำนั้นอีกเลย ในตอนแรกเขาแทบสั่งให้บ่าวนำดินมากลบบ่อน้ำนั้นไปส่ะเพราะกลัวว่าหานเสี่ยว์คิดจะกลับไปอีก แต่ถูกนางขอไว้ เพราะนี่คือความทรงจำที่ดีของนางหากไม่มีบ่อน้ำนี้ก็ไม่มีนางเช่นกัน เหิงเยว์ถึงยอมตามใจฮูหยินของเขา "คุณหนูเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะยืนนาน ๆ จะทำให้เหนื่อยเอาได้นะเจ้าคะท้องของคุณหนูก็โตมากกว่าสตรีที่อายุครรภ์เท่ากันด้วยซ้ำ หรือว่าคุณหนูจะตั้งท้องแฝดเจ้าคะ"เข่อซิงที่คอยประคองหานเสี่ยว์ได้เอ่ยขึ้นพร้อมมองไปที่ท้องของหานเสี่ยว์ "จริงหรือท่านแม่ เช่นนั้นก็ดีนะสิ" เลี่ยงเฟิงที่เดินมาจากห้องของตนเองก็ได้ยินที่เข่อซิงกล่าว "ท่านแม่จะมีน้องสองคนหรือเจ้าคะ งั้นก็เป็นเรื่องดีเสียจริงข้ากับท่านพี่จะได้ไม่ต้องแย่งกัน น้องจ๋าเจ้าจงออกมาเป็นหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งนะได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่" ลู่เอ๋อร์ใช้มือเล็กลู
บทที่ 38 ทำน้องให้เด็กทั้งสอง"หานเสี่ยว์เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นนี่ก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่ทุกวันเด็ก ๆ ทั้งสองก็อยากเข้ามาหาเจ้าแต่ข้าก็ต้องโกหกไปว่าเจ้าไม่สบาย เพราะข้าไม่อยากให้เลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ต้องเสียใจที่รู้ว่าเจ้าจากไป เจ้าอยู่ที่ใดไม่สงสารใจข้าบางหรือ ข้าทำได้เพียงเฝ้ารอเจ้าอย่างท้อใจข้ามิอาจทำเช่นใดได้เลยกับมาหาข้าเถอะนะ หานเสี่ยว์ ไม่สิซู่ซ่าน หรือว่าจิวฉิง ไม่ว่าเจ้าจะชื่อนามอันใดข้าก็รักที่เจ้าเป็นเจ้ากลับมาหาข้าเถอะนะตอนนี้หัวใจของข้าแทบสลายแล้ว อย่าจากข้าไปเลย ข้ารักเจ้า เจ้าได้ยินมั้ยว่าข้ารักเจ้าเพียงใด" น้ำเสียงโศกเศร้าใบหน้าซูบผอมของเหิงเยว์ที่คร่ำครวญอยู่ข้างร่างหานเสี่ยว์พร้อมจับมือนางแน่นไม่ยอมปล่อย "รักเพียงใดหรือเจ้าคะ" จิวฉิงที่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างของหานเสี่ยว์ก็ส่งยิ้มพร้อมเอ่ยถามบุรุษที่พร่ำรักนางอยู่ต่อหน้า"ข้ารักเจ้ามาก ชีวิตของข้าก็ให้เจ้าได้ เอ๊ะ! เดี๋ยวสินางยังไม่ฟื้นนี่น่าหรือว่าข้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว " เหิงเยว์ชะงักเมื่อจู่ ๆ เขาก็ตอบคำถามหานเสี่ยว์ จึงได้ใช้มือตบหน้าตนเองเบา ๆจนหานเสี่ยว์ต้องจับมือของเขาเอาไว้"อย่าตีตนเองเลยนี่มิใช่
บทที่ 37 อย่าทิ้งข้าไป"นี่เจ้าจะทิ้งข้า ทิ้งเลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ไปจริง ๆ หรือ แล้วข้าจะอยู่อย่างไรเด็กทั้งสองจะอยู่อย่างไร ไม่ข้าไม่เชื่อเจ้าต้องฟื้นสิ ท่านหมอหลอกลวงข้าเจ้าต้องฟื้น แล้วเช่นนี้ข้าจะทนได้อย่างเล่าในเมื่อตอนนี้ข้ารักเจ้าหมดทั้งหัวใจ " ความเคว้งคว้างในหัวใจของเหิงเยว์ได้ก่อตัวขึ้น เขาซบหน้าลงซบร่างกายของหานเสี่ยว์สะอึกไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ภายในห้องก็มีเพียงเสียงร้องไห้ทุกข์ระทมของทุกคน เหิงเยว์ทำอะไรมิได้ทำได้เพียงร้องไห้แม้แต่เรี่ยวแรงที่เช็ดน้ำตาของตนเขายังทำไม่ได้เสมือนโลกทั้งใบได้แตกสลายไปแล้ว ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เขาได้เสียซู่ซ่านไปมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เขาเรียกนางซ้ำ ๆ เท่าไร่ร่างบางที่นอนแน่นิ่งก็มิอาจตอบสนอง "ข้ามิอาจจะช่วยเหลือฮูหยินของท่านได้ ต้องขออภัยอีกครั้งร่างที่นอนไร้สติของฮูหยินไม่นานชีพจรอาจจะหยุดเต้น ถึงเวลานั้นท่านคงรู้นะขอรับ หมดหน้าที่ข้าแล้วข้าขอตัว" ท่านหมอโค้งคำนับพร้อมออกจากห้องไป ปล่อยให้เหิงเยว์จมอยู่กับความทรมานใจอยู่เช่นนั้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นท่านหมอ แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบเห็
บทที่ 36 ลาก่อนฝั่งด้านหานเสี่ยว์นางกินอาหารเย็นเสร็จสิ้นก็ไล่ให้เข่อซิงกลับไปพักผ่อน วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่นางรอคอยมาตลอด จึงอ้างกับเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ว่านางมีอาการไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย เด็กทั้งสองเห็นท่านแม่มีอาการแปลกไปจึงคิดว่าไม่สบายจริง ๆ และไม่อยากรบกวนให้ท่านแม่ได้พักผ่อน นางรอจนทุกคนเข้านอนเมื่อนางเปิดประตูดูสถานการณ์ด้านนอกเมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปที่สระน้ำอยู่ด้านหลังเรือน ความเงียบสงัดทำให้หานเสี่ยว์เองก็รู็สึกเงียบเหงาเหลือเกิน นางเดินไปอย่างเชื่องช้า มองรอบ ๆ เห็นภาพความทรงจำที่ผ่านมาน้ำตาใส ๆ ก็เริ่มเอ่อนอง ความผูกพันธ์กับคนที่นี่ล้วนมีความหมายกับนางเหลือเกินมันเป็นความทรงจำที่มีค่ามาก ๆ ยิ่งก้าวเท้าเดินก็ยิ่งเจ็บถึงขั่วหัวใจ รอยยิ้มแววตาของเด็กทั้งสองที่คอยยิ้มให้ก็ยิ่งทำให้นางร้องไห้มากกว่าเดิม แต่ทุกอย่างนางต้องทิ้งไว้ที่นี่ "จากนี้ข้าคงไม่ได้พบเจอพวกเจ้าอีกแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขในทุก ๆ วัน ลาก่อนนะเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ " เมื่อมาถึงสะพานหานเสี่ยว์ก็ได้ก้าวเท้าขึ้นไปยังสะพานเพื่อไปอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ก่อ
บทที่ 35 คำสอนของท่านแม่คล้ายคำกล่าวลารุ่งสางมาเยือนอีกคราหานเสี่ยว์ร้องไห้ทั้งคืนเมื่อนางตื่นเช้ามาเปลือกตาของนางก็มีอาการบวมแดง เข่อซิงได้เข้ามานำน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตาก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดเพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย"คุณหนูข้านำน้ำมาให้เจ้าค่ะ วันนี้ด้านนอกอากาศดีมากหากคุณหนูล้างหน้าเสร็จแล้วเราไปด้านนอกดีมั้ยเจ้าคะ" "ดีเช่นกัน" หานเสี่ยว์ก็ได้ล้างหน้าล้างตาเข่อซิงเองก็ช่วยแปรงผมให้ ไม่นานทั้งสองก็ได้ออกมารับลมด้านนอกต้นไม้นานาชนิดเริ่มผลิใบเขียวขจี อากาศสดชื่นยิ่งนักหานเสี่ยว์ทอดสายตามองเหล่าผีเสื้อแมลงปอต่างพากันบินวนดมเกสรดอกไม้เพื่อดำรงชีวิต "คงถึงเวลาแล้วสินะ" นางเอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องไปแต่หัวใจของนางตอนนี้ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางรอคอยเวลานี้มาตลอด นางคิดว่าวันที่นางไม่อยู่เด็กทั้งสองจะเป็นเช่นไรจะคิดถึงนางหรือไม่? หรือจะร้องไห้คร่ำครวญเพราะคิดถึงนาง แต่หากนางไม่ไปก็เป็นห่วงคุณย่าที่รอคอยนางอยู่อีกโลก นางยังมีห่วงหากจะอยู่ที่นี่ต่อ หานเสี่ยว์ยังคงต้องรอวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงนางถึงจะกลับได้ นางถึงเอ่ยถามเข่อ
บทที่ 34 เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะเข่อซิงเมื่อรับรู้ว่าคุณชายเหิงเยว์ต้องการอยู่เพียงลำพังกับนายหญิงของตนนางก็ก้มหน้าเพื่อรับรู้และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมนางเองก็อยากให้นายหญิงของตนมีความสุขเสียที เพราะอย่างไรตอนนี้คุณชายเหิงเยว์ก็ได้แสดงท่าทีว่ารักนายหญิงของนางเข้าแล้วและพร้อมจะดูแลนางตลอดไป เพียงแต่นายหญิงของนางต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป "อย่าพึ่งไปอยู่ชมจันทร์กับข้าเสียก่อน ""ไม่ข้าอยากจะพัก ข้าเหนื่อย" เหิงเยว์มองใบหน้าของหานเสี่ยว์ก่อนจะตัดสินใจอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมแขน ทำให้นางตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและกลับตกจากอ้อมแขนของเขา"หากข้าอุ้มเจ้าอยู่เช่นนี้เจ้าคงไม่เหนื่อยใช่หรือไม่ ?""อ๊าย ! นี่ท่านทำอะไรของท่านปล่อยข้าลงไปนะ ""ทำไมล่ะ เจ้าเอ่ยเองว่าเจ้าเหนื่อยข้าก็ช่วยให้เจ้าได้พักอยู่นี่อย่างไรล่ะ ""มะ....ไม่ต้องปล่อยข้าลง ข้ายืนเองดีกว่า""ฮึ ก็ได้ " เขาปล่อยนางให้ยืนเอาเอง ตอนนี้หัวใจของหานเสี่ยว์เต้นแรงเมื่อร่างกายสัมผัสกันแถมเมื่อครู่ตอนที่เขาอุ้มนางได้กอดคอเขาแน่นเพราะกลัวตกได้ยินเสียงหัวใจของเหิงเยว์ที่เต้นไม่เป็นจังหวะทั้ง ๆ ที่นางพยายามห
บทที่ 33 ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะหานเสี่ยว์ย้อนคิดในยามที่ตนตกอยู่ในอันตรายมันช่างโหดร้ายมากแค่ไหน ทุกหนทางช่างน่ากลัวจนไม่คิดว่าตนเองจะรอดกลับมายิ่งมารู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของลู่ฟางนางยิ่งโกรธไปมากกว่าเดิม จนไม่สามารถอภัยให้ได้หากเทียบกับสิ่งที่นางทำ"แม้ว่าข้าจะโกรธนางมากเท่าไหร่แต่ข้าก็มิอาจจะสั่งให้ตัดหัวนางได้ ข้าอยากให้นางอยู่ใช้ชีวิตและเรียนรู้ว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้มิได้มาแต่โดยง่ายการใช้ชีวิตก็เช่นกัน ข้าอยากให้โบยนางสัก 50 ครั้งและเนรเทศไม่ให้นางมาเหยียบที่แคว้นพร้อมปลดครอบครัวของนางยึดทรัพย์สินให้จนหมดให้นางไปใช้ชีวิตเยี่ยงสาวรับใช้เจ้าค่ะท่านพ่อ เท่านี้คงเพียงพอ" "เช่นนั้นก็เอาเช่นเจ้ากล่าวมา แล้วเจ้าเล่าเห็นดีกับบทลงโทษนี้หรือไม่ ? " ใต้เท้าห่าวอู่ได้หันไปถามเหิงเยว์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ขอรับ ไม่ว่าหานเสี่ยว์จะเอ่ยลงโทษนางเช่นใดข้าก็เห็นด้วย เพราะตอนนี้ข้ากับลู่ฟางตัดขาดสายเลือดกันแล้วขอรับ" หานเสี่ยวเหลือบไปมองใบหน้าของเหิงเยว์ก็มิได้เห็นใบหน้าแห่งความกังวลจึงคิดว่าเขาคงคิดอย่างที่เอ่ยมาจริง ๆ เมื่อพูดคุยกับท่านพ่อเสร็จก็ได้เดินทางกลับภายในห้องจึงมีเพียงเหิงเยว์กับหานเสี่ย
บทที่ 32 ตัดขาดลู่ฟางไม่ได้สังเกตใบหน้าของเหิงเยว์เพราะหลงดีใจที่ได้ใกล้ชิดเขา เมื่อมาถึงเรือนของนางเหิงเยว์ก็ได้กระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะผายมือให้นางจับเพื่อกระโดดลงมา "ขอบคุณท่านพี่เหิงเยว์ที่มาส่งข้าที่เรือนเข้ามาด้านในก่อนเจ้าค่ะข้าจะให้สาวใช้เตรียมน้ำชาชั้นดีมาให้ท่านพี่ได้ดื่ม " นางเชิญเขาเข้าเรือนเมื่อนางก้าวเท้าเข้ามาก็ต้องพบกับทหารของวังหลวงจำนวนมากที่ตอนนี้ได้อ้อมล้อมเรือนของนางไว้หมดแล้ว และนี่ก็เป็นแผนของเหิงเยว์เขาได้ให้คนใช้ของเขาไปแจ้งเรื่องนี้กับใต้เท้าห่าวอู่หลังจากที่ช่วยเหลือหานเสี่ยว์ได้แล้ว ใต้เท้าห่าวอู่โมโหมากที่บุตรสาวคนเดียวของเขาต้องมาถูกกระทำเช่นนี้ "นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ เหตุใดทหารถึงมาอยู่ที่เรือนของข้าเต็มไปหมด""เจ้าหยุดเสแสร้งเถอะ ที่หานเสี่ยว์ได้รับบาดเจ็บก็เพราะเจ้ามันเป็นแผนของเจ้า เรื่องราวครั้งนี้ข้ามิอาจปล่อยผ่านไปได้ เจ้าทำเช่นนี้ทำไม" เหิงเยว์ไม่ทนที่จะมองดูนางเสแสร้งต่อไปจึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา"ข้ามิได้ทำอันใดนะเจ้าคะ ข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านพี่เหิงเยว์เอ่ยมาสักนิด"ลู่ฟางยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแต่แล้วนางก็ถูกดึงจากด้านหลังให้หันไป
บทที่ 31 ไม่มีทางให้อภัยเหิงเยว์ได้ควบม้าจนมาใกล้ถึงหุบเขาก็ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของหานเสี่ยว์เขาจึงได้ควบม้าไปหาเสียงนั่นทันที และเมื่อเขาเห็นนางกำลังถูกชายชั้นต่ำนันกำลังลวนลามยิ่งทำให้เขาเกรี้ยดโกรธเป็นอย่างมากที่กล้าใช้มือสกปรกแตะต้องฮูหยินของเขา เขาได้เข้าไปจัดการกับชายทั้งสองที่ยืนคอยอยู่อีกฝั่ง โดยที่ทั้งสองไม่ทันได้ตอบโต้แม้แต่น้อยไม่ช้าคนของเหิงเยว์ก็ได้ตามมาจนถึง เหิงเยว์มองเห็นหานเสี่ยว์ที่นั่งตัวสั่นร้องไห้ใช้มือกอดอกตนเองเพื่อปิดบังเรือนร่างตนเองเอาไว้ยิ่งทำให้เขาโมโหมากกว่าเดิมจนอยากจะฆ่าชายชั่วนั้นให้แหลกเป็นชิ้น ๆ แต่เขาเองก็อยากจะรู้ว่านี่คือการปล้นหรือมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังกันแน่ "เจ้าช่างกล้ามายุ่งกับฮูหยินของข้า การตายเท่านั้นที่คู่ควรกับเจ้า" ชายผู้นั้นเห็นว่าคนของเหิงเยว์นั้นมามากเหลือเกินหากเขาสู้ก็คงไม่มีทางรอดและคนของเขาก็ถูกเหิงเยว์จัดการจนหมดแล้ว ก็เกิดอาการกลัวตายทันที "นายท่านข้ากลัวแล้ว อย่าฆ่าข้าเลยนะขอรับ""เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือแล้วนางเล่าสตรีที่ไร้ทางสู้เพียงผู้เดียวแต่เจ้าตามไล่ล่านางถึงสามสี่คน ช่างกล้าเอ่ยออกมาว่ากลัวงั้นหรือ" เขาตวาดใส่เสียงแข