นัยย์ตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ทว่าหญิงสาวกลับพยายามฝืนยื้มออกมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะค่อยๆ ยกถาดอาหารกลางวันเข้าไปให้สามี
“สามีกินข้าวก่อนนะคะ จะได้กินยา”
ทันทีที่หญิงสาววางถาดอาหารลงบนโต๊ะ กำลังจะช่วยสามีพยุงตัวขึ้นมานั่ง แต่เธอกับรู้สึกว่าสามีของเธอมีบางอย่างที่แปลกไป แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใด
เมื่อช่วยสามีลุกขึ้นนั่งสำเร็จหญิงสาวก็หันไปยกถาดอาหารมาให้สามี แต่ถ้อยคำของสามีกับดึงความสนใจของเธอได้ชะงัดดังคาด
“ภรรยา… ผมขอโทษนะครับที่ผมมันไร้ประโยชน์ คุณเสียใจมากหรือเปล่าครับที่ผมเป็นแบบนี้? ขนาดผมยังรู้สึกสมเพชตัวเองเลย!
คุณเสียใจมากหรือเปล่าที่ได้แต่งงานกับผม ผม…ฮึก! ผมขอโทษนะครับภรรยาที่ทำให้คุณต้องมาลำบากขนาดนี้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะผม เพราะผมมันไม่ดีเองเพราะผมมันไม่ได้เรื่อง” ความรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์อย่างรุนแรงโถมทะลักออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ทว่าถ้อยคำของเขากับแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
คำพูดของเขาทำให้เธอขอบตาร้อนผ่าว
“ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยค่ะ สามี…คุณอย่าโทษตัวเองไปเลยนะคะ คุณต้องเชื่อฉันนะคะเชื่อมั่นในตัวฉันว่าอีกไม่นานคุณจะต้องหายดี”
“ภรรยาผม…อึก! ผมจะสามารถกลับมาเดินได้จริงๆ หรือครับ? คุณดูสภาพน่าสมเพชของผมตอนนี้สิ!
ภรรยาคุณจะหย่ากับผมก็ได้นะครับ ผมไม่อยากที่จะเป็นภาระของคุณอีกต่อไปแล้ว…” คำพูดต่างๆ ทะลักพลูขึ้นมาในอกจนเขาหักห้ามอารมณ์ไม่อยู่ ทว่าน้ำเสียงที่แหบพร่าของเขาระคนความเจ็บปวด
“สามีคุณกำลังพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า?! คุณเห็นฉันเป็นคนยังไงกันแน่คะ จะให้ฉันทิ้งคุณได้ได้ยังไง” ดวงตาของเธอปรากฎความไม่พอใจวูบหนึ่ง
“ภรรยาผมรู้ครับ แต่ผม…”
“คุณคิดจะให้ฉันออกไปตายหรือยังไง? คุณก็รู้นี่ว่าฉันไม่มีที่ไปแล้วแต่คุณกลับพูดคำๆ นี่ออกมา ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ” วาจาไร้เยื้อใยของเขาทำให้เธอผิดหวังอย่างยิ่ง
คำพูดของเธอกลับก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ในใจ!
“ภรรยาผม… ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะครับ ผมแค่… ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
ฟังคำพูดอีกฝ่ายจบ เธอก็ถอนหายอย่างไม่อาจระงับตนเองได้
“เฮ้อ…ฉันเคยพูดหรือยังคะ? คุณเคยได้ยินคำพูดพวกนี้จากฉันบ้างหรือยังคะว่าคุณเป็นภาระของฉัน ฉันเคยคิดว่าคุณจะเป็นคนที่เข้มแข็งกว่านี้แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว คุณรู้ไหมคะว่าตอนนี้คุณกำลังทำตัวเป็นคนขี้แพ้มากแค่ไหน?!”
ใบหน้าคมคายสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวด ราวกับถ้อยคำของเธอเป็นมีดแหลมที่กรีดลึกลงมากลางใจ!
แต่หนิงเหมยก็ไม่คิดจะเอ่ยขอโทษกับประโยคที่เธอพูดจาทำร้ายเขาด้วยคำพูดแสนเย็นชาเมื่อครู่ออกไป เพราะถ้าเธอไม่พูดเช่นนี้เขาเองก็คงจะไม่ได้สติ!
เธอรู้ดีว่าเขากำลังรู้สึกเสียใจกับสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยตอนนี้มากแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะพูดจาสิ้นคิดแบบนั้นออกมาเช่นกัน…
“…สามีในเมื่อฉันบอกว่าคุณจะหาย คุณก็จะต้องหายเข้าใจไหมคะ? คุณเลิกโทษตัวเองได้แล้ว เพราะต่อให้คุณจะโทษตัวเองไปอีกนานเท่าไหร่มันก็ไม่ดีขึ้นมาหรอกเข้าใจที่ฉันพูดไหมคะ?”
“ภรรยา ผ…ผมขอโทษครับ ผมขอโทษที่ทำตัวน่าสมเพชแบบนั้นออกมาให้คุณเห็น” ตงหยางเอ่ยอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณรีบกินข้าวเถอะค่ะป่านนี้คงจะใกล้ชืดหมดแล้ว ฉันจะเอาขนมไปให้ป้าหม่าสักหน่อย
เอาไว้คุณกินข้าวกินยาเสร็จฉันจะเอาขนมมาให้คุณลองชิมดู” เธอพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปยังห้องครัว
พยายามปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะหยิบกล่องขนมฝีมือตัวเองออกไปให้ป้าหม่า
“ป้าหม่า! ป้าหม่าคะ! ฉันหนิงเหมยเองค่ะ!” หนิงเหมยตะโกนส่งเสียงเรียกคยที่อยู่ในบ้านดินเหนียวหลังข้างๆ เธอ
ป้าหม่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทำเพียงค่อยๆ เดินออกมาหาเธอที่อยู่นอกรั้วบ้าน ก่อนจะก้มมองกล่องขนมที่อยู่ในมือของเธออย่างสังเกต
“นี่คือขนมที่เธอบอกว่าจะทำมาฝากฉันใช่ไหม?” นางหม่าเอ่ยถามอย่างลังเล
“อ้อ! ใช่ค่ะๆ นี่คือขนมลูกชุบค่ะป้าหม่า ฉันทำเองกับมือ หวังว่าป้าหม่าจะชอบนะคะ!” หนิงเหมยพูดอย่างกระตือรือล้น ก่อนจะค่อยยื่นกล่องขนมให้แก่ป้าหม่า
นางหม่าที่รับขนมจากมือของหนิงเหมยก็ไม่รอช้ารีบเปิดกล่องขนมดูหน้าตา แล้วค่อยๆ หยิบขนมขึ้นมากัดกินทันที
“โอ้! ขนมอะไรสวยงามขนาดนี้? ฉันอยู่มาจนอายุปูนนี่แล้วก็ยังไม่เคยเห็นขนมหน้าตาอย่างนี้มาก่อน
ไหนจะรสชาติของขนมที่หวานมันกลมกล่อม รสชาติอร่อยมากแบบนี้อีก… ฝีมือการทำขนมของเธอทำเอายายแก่อย่างฉันทึ่งเลยจริงๆ!”
“ใช่มั้ยล่ะค่ะ ฉันก็บอกแล้วว่าฝีมือการทำขนมของฉันน่ะไม่ธรรมดา หากว่าป้าหม่าได้ชิมแล้วจะติดใจ ฮิฮิ” เธอชมตัวเองออกมาอย่างน่าไม่อาย
“ฮ่าๆ … เห็นทีฉันคงจะเถียงเธอไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะฝีมือการทำขนมของเธอก็อร่อยถูกปากฉันมากจริงๆ”
“คิกๆ เห็นมั้ยล่ะค่ะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะลองทำขนมอร่อยๆ มาให้ป้าหม่าลองชิมอีกดีไหมคะ?” เธอเอ่นถามอย่างอารมณ์ดี แม้จะเพิ่งเจอเรื่องอะไรมา
“ดีๆๆ! เอาไว้ฉันจะรอขนมอร่อยๆ ฝีมือเธออีกก็แล้วกัน อย่าลืมล่ะ!”
“ได้สิคะอิอิ! ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอตัวกลับเข้าบ้านก่อนนะคะ ฉันยังไม่ได้เก็บถาดอาหารตงหยางเลยค่ะ”
“ไปเถอะๆ ขอบใจสำหรับขนมนี้มาก”
“ไม่เป็นไรค่ะเราก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ฉันไปก่อนนะคะ!” พูดจบหนิงเหมยก็เดินหันหลังกลับเข้าบ้านของตัวเองอย่างไม่เร่งรีบ
นางหม่าที่เห็นหนิงเหมยเดินกลับเข้าบ้านแล้ว ก็รีบหันหลังกลับเข้าบ้านตัวเองพร้อมกล่องขนมในมือ
‘อวิ๋นฟาง’ วันนี้เธออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ทว่าหลังจากที่ได้จัดงานวันเกิดอย่างมีความสุขแล้ว เธอยังได้พบเจอกับความจริงอันน่าเจ็บปวดอีกด้วยว่าเพราะเหตุใดเธอจึงต้องเรียนรู้ฝึกฝนการต่อสู้แขนงต่างๆ การทำอาหารหรือการทำขนมหวาน ไหนจะเรียนรู้เกี่ยวกับทางด้านบริหารธุรกิจต่างๆ อีกด้วย นั่นก็เพราะว่าหากเมื่อใดที่เธออายุครบ 20 ปี เธอจะต้องไปอยู่ยังที่ที่ห่างไกลที่มีทั้งความลำบากยากแค้นอีกด้วย!เมื่ออวิ๋นฟางได้รับกำไลข้อมือมาจากแม่อวิ๋นแล้วเธอก็อดที่จะรู้สึกเศร้าสลดไม่ได้ ทว่านางก็ต้องรีบทำใจให้ไวแล้วก็เตรียมพร้อมทุกๆ อย่างเอาไว้เพื่อตัวของเธอในอนาคตเองและต่อให้เธอจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน ก็ต้องเก็บมันเอาไว้ภายในใจ เพราะเธอรู้ดีว่าพ่ออวิ๋นแม่อวิ๋นั้นก็คงจะเสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอ!“อวิ๋นฟางลูก… ในเมื่อตอนนี้กำไลหยกก็ได้อยู่กับลูกแล้วลูกอย่าลืมหยดเลือดใส่กำไรหยกเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของหนูด้วยนะลูก ตลอดเวลา10กว่าปีที่ผ่านมาแม่กับพ่อก็ช่วยเตรียมของให้ลูกมาได้เท่านี้ ส่วนอีก2ปีที่เหลือนี้หากว่าลูกอยากได้อะไรก็ใส่เข้าไปเพิ่มนะจ๊ะ พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าลูกอยากจะเตรียมอะไรไปบ้างก็เลยเตรียมเพียงแค่ของ
เมื่อซูหนี่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากปากเพื่อนสนิทหมดแล้วก็ถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจออกมา‘นี่… นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ เธอจะมีชีวิตอยู่ที่แห่งนี้อีก2ปีเหรออึก! ล…แล้วฉันล่ะ ฮือ! เธอจะทิ้งฉันเหรอฮึกๆฮื้อๆ’ทันทีที่อวิ๋นฟางได้ยินเสียงปลายสายส่งเสียงร้องไห้โฮออกมาเธอถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปลอบเพื่อนสาวของเธอคนนี้อย่างไรดี!?‘ซ…ซูหนี่เธออย่าร้องไห้ไปเลยนะ ฉันก็ยังมีเวลาอยู่กับเธออีกตั้ง2ปีไม่ใช่เหรอ อย่าร้องไห้ไปเลยนะโอ๋ๆ ตอนนี้ฉันไปโอ๋เธอไม่ได้นะ …ถ้าเธอยังไม่หยุดร้องฉันคงจะต้องร้องตามเธอแน่ๆ ล่ะ ’แม้เธอจะรู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้จะต้องเจ็บปวดกับการที่ต้องมารู้เรื่องการจากลาแบบนี้ แต่อย่างไรในเมื่ออีก2ปีเธอก็ต้องจากไปอยู่ดีไม่สู้เธอตัดสินใจบอกตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ? แม้จะเสียใจแต่ก็ยังมีเวลาได้ทำใจและตั้งใจใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข!เพราะฉะนั้นเธอไม่เสียใจเลยสักนิด ที่ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง‘อื้อ! ไม่ร้องแล้วๆ อึก! วันพฤหัสฉันก็คงจะกลับเมืองไทยแล้วล่ะ ถ้าฉันกลับไปถึงฉันจะรีบไปหาเธอเป็นคนแรกเลย! ’ซูหนี่พูดผ่านปลายสายพร้อม
อวิ๋นฟางใช้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่กับการฝึกฝนเรียนรู้ทุกๆอย่างอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ส่วนเวลาที่เหลือจากการฝึกฝนเธอก็ไปเลือกซื้อของต่างๆ เพื่อเก็บใส่มิติไว้ยามฉุกเฉินเพราะอวิ๋นฟางถือคติว่า เหลือดีกว่าขาด! เธอยอมซื้อของไปแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าการที่ซื้อไปแล้วขาดดีกว่าซึ่งเธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆในทุกๆวัน จนกระทั่งมาถึงวันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง นั่นก็คือวันครบรอบอายุ20ปีของอวิ๋นฟางนั่นเอง…[20:30 น.] “สุขสันต์วันเกิดนะอวิ๋นฟางลูกรัก แม่ขอให้ลูกสาวของแม่มีแต่ความสุข มีแต่คนรักมีแต่คนเอ็นดูนะลูก ”อวิ๋นฟางที่เห็นท่าทางพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ตาแดงเรื่อของผู้เป็นมารดาก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ!“ขอบคุณนะคะแม่อวิ๋น ขอบคุณที่รักและคอยดูแลหนูมาลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ ทั้งๆที่หนูไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ อึก! หนูรักพ่ออวิ๋นกับแม่อวิ๋นที่สุดเลยค่ะ ฮือๆ …!” อวิ๋นฟางที่เอ่ยพูดออกมาอีกทั้งต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง ทว่าเธอก็ยังก็ไม่อาจกลั้นได้จนเผลอร้องไห้โฮออกมาจนคนที่มองอยู่ก็ยังต้องรู้สึกเศร้าเสียใจไปตามๆ กัน“พ่อกับแม่ก็รักลูกเหมือนกันนะจ้ะ
ซึ่งความทรงจำที่อวิ๋นฟางนั้นได้รับมาก็คือ เจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘หนิงเหมย’ หญิงสาวอายุ18ปี ที่เพิ่งจะแต่งเข้ามาในตระกูลอี้ได้ไม่ถึงปี แต่หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นานสามีของเธอที่ชื่อว่า ‘ตงหยาง’ ซึ่งชายหนุ่มอายุ21ปี ที่แต่งงานกับหนิงเหมยได้ไม่ถึง3วันก็ต้องกลับไปเป็นทหารแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง3เดือนด้วยซ้ำชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอก็ถูกหามกลับมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บสาหัสกับเงินชดเชิดอีก200หยวน!ทว่าทันทีที่คนบ้านอี้รู้ว่าตงหยางสามีของหนิงเหมยได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่มีท่าทางที่จะกลับมาเดินได้ พวกเขาจึงได้ยึดเงินชดเชยที่ทางค่ายทหารได้ให้สามีเธอมาแล้วก็ขับไล่ทั้งสองคนออกจากผังตระกูลบ้านทันที!“หึ! ไอพวกเห็นแก่ตัวเอ้ย! ยังดีนะที่สามีของเจ้าของร่างคนเก่ายังพอมีหัวคิดบ้างที่เก็บเงินไว้กับตัวเองถึง300หยวน! ไม่อย่างนั้นละก็ฉันไม่อยากจะคิด… ”อวิ๋นฟางบ่นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง“แต่ฉันเนี่ยทะลุมิติมาที่ยากจนข้นแค้นแบบนี้ยังไม่พอ พระเจ้ายังใจดีส่งสามีพิการมาให้ฉันอีกเหรอเนี่ย!?เอาวะ!!! เป็นไงเป็นกัน ต่อไปฉัน ‘อวิ๋นฟาง’ คนนี้จะเป็น ‘หนิงเหมย’ คนใหม่เอง!”❃ต่อไปจะเรียก
ซึ่งความทรงจำที่อวิ๋นฟางนั้นได้รับมาก็คือ เจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘หนิงเหมย’ หญิงสาวอายุ18ปี ที่เพิ่งจะแต่งเข้ามาในตระกูลอี้ได้ไม่ถึงปี แต่หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นานสามีของเธอที่ชื่อว่า ‘ตงหยาง’ ซึ่งชายหนุ่มอายุ21ปี ที่แต่งงานกับหนิงเหมยได้ไม่ถึง3วันก็ต้องกลับไปเป็นทหารแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง3เดือนด้วยซ้ำชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอก็ถูกหามกลับมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บสาหัสกับเงินชดเชิดอีก200หยวน!ทว่าทันทีที่คนบ้านอี้รู้ว่าตงหยางสามีของหนิงเหมยได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่มีท่าทางที่จะกลับมาเดินได้ พวกเขาจึงได้ยึดเงินชดเชยที่ทางค่ายทหารได้ให้สามีเธอมาแล้วก็ขับไล่ทั้งสองคนออกจากผังตระกูลบ้านทันที!“หึ! ไอพวกเห็นแก่ตัวเอ้ย! ยังดีนะที่สามีของเจ้าของร่างคนเก่ายังพอมีหัวคิดบ้างที่เก็บเงินไว้กับตัวเองถึง300หยวน! ไม่อย่างนั้นละก็ฉันไม่อยากจะคิด… ”อวิ๋นฟางบ่นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง“แต่ฉันเนี่ยทะลุมิติมาที่ยากจนข้นแค้นแบบนี้ยังไม่พอ พระเจ้ายังใจดีส่งสามีพิการมาให้ฉันอีกเหรอเนี่ย!?เอาวะ!!! เป็นไงเป็นกัน ต่อไปฉัน ‘อวิ๋นฟาง’ คนนี้จะเป็น ‘หนิงเหมย’ คนใหม่เอง!”❃ต่อไปจะเรียก
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว หนิงเหมยก็รีบต้มน้ำอุ่นแล้วนำมาเทผสมกับน้ำเย็นในกะละมังเพื่อจะนำไปเช็ดตัวให้สามี และเธอก็ไม่ลืมที่จะหยดน้ำจากบ่อในมิติไปถึง3หยด!“สามีมาค่ะเดี๋ยวภรรยาจะช่วยเช็ดตัวให้ค่ะ!”“ครับ”หนิงเหมยที่ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เธอก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ออกมาทันทีที่หนิงเหมยค่อยๆปลดกางเกงของชายหนุ่มจนล่นตกลงมาถึงปลายขา ใบหน้าขาวเนียนปลี่ยนเป็นสีซับเลือดอย่างเก้อกระดาก เพราะสายตาของเธอเผลอไปจ้องไอจ้อนของสามีน่ะสิ!อีกอย่างขนาดของไอจ้อนนี้นี่มันแทบจะไม่เรียกว่าไอจ้อนแล้วมั้ย?! นี่มันอนาคอนด้ายักษ์ชัดๆ เธอจะเป็นตากุ้งยิงไหมเนี่ย ฮือๆ …! น่าอายชะมัดเธอเขินจะตายแล้วจะไม่ให้เธอเขินได้อย่างไรก็นี่มันครั้งแรกในชีวิตของเธอเลยนะที่ต้องมาเห็นมาทำอะไรแบบนี้ แต่เธอก็ไม่อยากจะมัวโยกโย้เสียเวลาจึงได้แต่กลั้นใจเช็ดตัวให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี (จำเป็น!) อย่างเก้ๆ กังๆจนชายหนุ่มที่เห็นท่าทีแปลกๆ ของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาก็ถึงกับมุมปากกระตุกและทันทีที่เธอเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าให้สามีอย่างเรียบร้อยแล้วก็ถึงกับต้องกรีดร้องในใจอย่างดีใจ!ชายหนุ่ม
แม้เธอจะรู้ว่ามีชาวบ้านหลายคนมองเธออย่างสงสัยใคร่รู้ ว่าเพราะอะไรหญิงสาวถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน แต่หนิงเหมยก็ไม่ได้ให้ความสนใจแล้วค่อยๆ เดินขึ้นเขาจนกระทั่ง…“นั่นหนิงเหมยรึ?! ”หนิงเหมยหันไปตามทิศทางของเสียงเรียก ก็เห็นว่าเป็นป้าหม่าที่อยู่ข้างบ้านของเธอนี่เองซึ่งป้าหม่าก็คือหญิงชราที่สร้างบ้านดินเหนียวอยู่ข้างๆ บ้านเธอ อ๊ะ! ต้องบอกว่าเธอไปสร้างบ้านข้างป้าหม่าสิถึงจะถูกส่วนความเป็นอยู่ของป้าหม่านั้นก็ถือว่าดีกว่าหนิงเหมย (คนเก่า) กับสามีอยู่มากโขเลยทีเดียว ป้าหม่าอาศัยอยู่เพียงคนเดียวไม่มีสามี แล้วก็ลูกหลานแม้แต่คนเดียว!ทำให้ป้าหม่าที่เป็นหญิงชรารู้สึกเหงาอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเรื่องของเธอกับสามีที่มาอยู่บ้านข้างๆ ของแก ก็เลยรู้สึกสงสารเวทนาในโชคชะตาแต่พอได้รู้จักนิสัยใจคอของหนิงเหมยจริงๆ ก็ยิ่งทำให้ป้าหม่ารู้สึกรัก แล้วก็เอ็นดูเธอมากขึ้นไปอีก เสียก็แต่ว่าหนิงเหมยคนเก่าค่อนข้างที่จะเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แล้วก็เป็นคนเงียบๆ เสียด้วยสิ“อ้าว! ป้าหม่านี่เอง มีอะไรกับฉันหรือคะ? ”“อ้อ พอดีว่าป้าเห็นเธอแต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่หรือเปล่าน่ะสิ ก็เลยลองเรียกดูเธอเปลี่ยนไปจนยาย
หนิงเหมยลากหมูป่าลงจากเขาด้วยอาการหอบแฮ่กๆ แต่ยังดีที่เธอมีน้ำวิเศษให้ดื่มเวลาที่เธอเหนื่อยล้าพูดแล้วก็ดื่มอีกสักหน่อยดีกว่า อึก! อึก!‘อ่าย! ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย’ พูดจบหนิงเหมยก็เก็บกระบอกน้ำไม้ไผ่เก็บใส่ตะกร้าสะพายหลังทันทีก่อนที่จะค่อยๆ ลากเจ้าหมูป่าจอมตะกละนี่กลับบ้านตัวเองต่อไป!“หนิงเหมย น…นี่ นี่เธอล่าหมูป่ากลับมาได้เลยเหรอ?!” หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเธอลากหมูป่ากลับบ้านก็เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงตกตะลึง“โฮ่ะๆฉันแค่บังเอิญโชคดีน่ะค่ะ หมูป่าตัวนี้มันตะกละฉันเดินเข้าไปใกล้มันยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ ฉันก็เลยฆ่ามันได้ง่ายๆ เลย ”ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว นี่มันอะไรกันการล่าหมูป่าได้เพราะหมูป่าตะกละเนี่ย!นี่มันช่าง! ทำไมพวกเขาขึ้นเขาตั้งบ่อยครั้งทำไมถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างเล่า! หรือเพราะพวกสามีของพวกเธอจะโง่กว่าหมูป่าตัวนี้กัน?“เธอพูดจริงเหรอเนี่ย แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?! ”หนิงเหมยเกาแก้มแก้เก้อเพราะเธอก็ไม่รู้จะเอ่ยแถอะไรออกมาแล้วล่ะ จึงได้แต่ตอบออกไปส่งๆ“จริงสิคะ ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะไปมีความสามารถถึงขนาดล่าหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงกั
นัยย์ตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ทว่าหญิงสาวกลับพยายามฝืนยื้มออกมาอย่างสุดกำลัง ก่อนจะค่อยๆ ยกถาดอาหารกลางวันเข้าไปให้สามี“สามีกินข้าวก่อนนะคะ จะได้กินยา”ทันทีที่หญิงสาววางถาดอาหารลงบนโต๊ะ กำลังจะช่วยสามีพยุงตัวขึ้นมานั่ง แต่เธอกับรู้สึกว่าสามีของเธอมีบางอย่างที่แปลกไป แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใดเมื่อช่วยสามีลุกขึ้นนั่งสำเร็จหญิงสาวก็หันไปยกถาดอาหารมาให้สามี แต่ถ้อยคำของสามีกับดึงความสนใจของเธอได้ชะงัดดังคาด“ภรรยา… ผมขอโทษนะครับที่ผมมันไร้ประโยชน์ คุณเสียใจมากหรือเปล่าครับที่ผมเป็นแบบนี้? ขนาดผมยังรู้สึกสมเพชตัวเองเลย!คุณเสียใจมากหรือเปล่าที่ได้แต่งงานกับผม ผม…ฮึก! ผมขอโทษนะครับภรรยาที่ทำให้คุณต้องมาลำบากขนาดนี้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะผม เพราะผมมันไม่ดีเองเพราะผมมันไม่ได้เรื่อง” ความรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์อย่างรุนแรงโถมทะลักออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ทว่าถ้อยคำของเขากับแฝงไปด้วยความเย้ยหยันคำพูดของเขาทำให้เธอขอบตาร้อนผ่าว“ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยค่ะ สามี…คุณอย่าโทษตัวเองไปเลยนะคะ คุณต้องเชื่อฉันนะคะเชื่อมั่นในตัวฉันว่าอีกไม่นานคุณจะต้องหายดี”“ภรรยาผม…อึก! ผมจะสามารถกลับมาเดินได้จร
หนิงเหมยที่เห็นสายตาออดอ้อนของสามีก็ถึงกับใจอ่อนยวบ!“ได้ค่ะ คุณหลับตาสิคะถ้าคุณลืมตาแบบนี้ฉันจะเช็ดได้ยังไง” หนิงเหมยที่เห็นชายหนุ่มเอาแต่จ้องแต่เธอ เธอจึงแสร้งทำเสียงดุๆ ออกมา“ครับๆ ผมหลับตาแล้วครับภรรยา”หนิงเหมยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ค่อยๆ ยืนมือที่ถือผ้าเปียกมาเช็ดหน้าให้สามีอย่างเบามือ“ลืมตาได้แล้วมั้งคะ ฉันเช็ดหน้าให้คุณเสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวจะออกไปทำอาหารมาให้คุณก่อน”ตงหยางลืมตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างหลงใหล ก่อนที่จะพยักหน้าตอบภรรยาอย่างรับรู้หนิงเหมยถือผ้าออกมาซักตากผึ่งลมเอาไว้ ก่อนที่จะเดินเข้าครัวไปทำอาหารเย็นให้คนเป็นสามีหนิงเหมยตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอย่างตั้งใจ แล้วก็ไม่ลืมที่จะหยดน้ำวิเศษใส่ไปด้วยเล็กน้อย แม้ว่าหนิงเหมยจะอยากนำน้ำวิเศษไปให้สามีกินเพื่อที่จะได้หายเสียทีแต่เธอก็คิดว่าถ้าทำแบบนั้นไปมันจะเสี่ยงต่อตัวเธอเองเกินไปหรือเปล่ายิ่งยุคนี้ห้ามพูดถึงเรื่องความเชื่อผีสางปีศาจอะไรแบบนี้ด้วย ขืนถ้าสามีเธอรู้ความลับนี้ของเธอแล้วคิดว่าเธอเป็นปีศาจ เขาจะไม่จับเธอไปถ่วงน้ำจนตายเลยหรือ?!เธออยากรอให้มั่นใจกว่านี้เสียก่อนว่าถ้าหากบอกความลับนี้กับสามีไป สามีของเธอจ
“คุณป้าคะถังหูลู่นี่คุณป้าขายยังไงคะ?” หนิงเหมยมาหยุดยืนถ้าแผงขายถังหูลู่ที่เป็นพุทราเคลือบน้ำตาล“ไม้ละ5เหมาจ้ะ” คุณป้าเอ่ยตอบหนิงเหมยออกมาอย่างยิ้มแย้ม❃ (10 เหมา หรือ 10 เจียว มีค่าเท่ากับ 1 หยวน) เฟิน (10 เฟิน มีค่าเท่ากับ 1 เหมา หรือ 1 เจียว หรือ 100 เฟินมีค่าเท่ากับ 1 หยวน)“ฉันเอา2ไม้ค่ะคุณป้า อืม…เปลี่ยนเป็น4ไม้เลยก็แล้วกันค่ะคุณป้า” ซื้อกลับไปฝากสามีสักไม้สองไม้ก็แล้วกัน!“ได้จ้ะ เธอรอสักครู่นะ”ผ่านไปไม่นานหนิงเหมยก็ได้ถังหูลู่ครบ4ไม้สักที!“4ไม้ ทั้งหมด2หยวนจ้ะ”“นี่ค่ะคุณป้า” หนิงเหมยเอ่ยะร้อมกับยื่นเงินให้คุณป้า“ขอบใจน้ะจ้ะ คราวหน้ามาอุดหนุนใหม่สิเดี๋ยวป้าจะแถมให้เธอเป็นพิเศษเลยล่ะ” คุณป้าเอ่ยออกมาอย่างใจดี“ได้ค่ะคุณป้า เอาไว้คราวหน้าถ้าฉันเข้าเมืองฉันจะมาอุดหนุนอีกนะคะ”“ดีๆๆ”“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะคุณป้า”‘ผมเอาถังหูลู่นี่2ไม้ครับ’ ‘ได้จ้า รอสักครู่นะพ่อหนุ่ม’ “ได้จ้ะ” คุณป้าเอ่ยตอบเธอก่อนที่จะหันไปวุ่นวายกับการขายของให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อหลังจากเธอหนิงเหมยเดินออกจากแผงขายถังหูลู่ ก็หยิบถังหูลู่ขึ้นมา1ไม้ก่อนจะค่อยๆ กัดพุทราเคลือบน้ำตาล‘ก็อร่อยใช้ได้เลยนะเน
“ป้าหม่าคะ!? ป้าหม่าอยู่บ้านหรือเปล่าคะ” หนิงเหมยตะโกนส่งเสียงข้ามรั้วบ้านด้วยน้ำเสียงที่ดังทำให้ไม่นานภายในบ้านก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแอ๊ด!“อยู่ๆๆ! เธอรอก่อนนะฉันจะรีบไปเปิดประตูให้” ป้าหม่าเอ่ยพร้อมกับค่อยๆ เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ “มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าล่ะ?”“ฉันจะเข้าตัวเมืองไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกน่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาทันเวลาที่ตงหยางต้องกินข้าวกินยาตอนเที่ยงไหมฉันเลยอยากจะมารบกวนป้าหม่าให้ดูตงหยางสักหน่อยน่ะค่ะ ถ้าหากฉันกลับไม่ทันก็ฝากป้าหม่านำซาลาเปาบนซึ้งในครัวไปให้ตงหยางกินหน่อยนะคะ …อ่า รบกวนป้าหม่าต้มยาให้เขาด้วยนะคะ ส่วนซาลาเปาบนซึ้งป้าหม่าก็แบ่งไปกินได้เลยนะคะ” หนิงเหมยเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ แต่เธอก็ไม่รู้จะไปรบกวนใครแล้วเช่นกัน“ได้ๆ เธอไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันจะคอยแวะไปดูตงหยางให้เธอเอง” นางหม่าเอ่ยตอบออกมาด้วยท่าทีสบายๆ“ขอบคุณนะคะป้าหม่า เอาไว้ฉันจะซื้อขนมมาฝากอีกนะคะ”“เพ้ย! ไม่ต้องๆ ขนมพวกนั้นมันราคาแพงเกินไปไหนจะต้องใช้คูปองอาหารอีก แบบนั้นมันฟุ่มเฟือยเกินไป”“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะทำขนมอร่อยๆ มาให้ป้าหม่าลองชิมก็แล้วกัน ดีไหมคะ?” ในเมื่อป้าหม่าเก
“ถ้าภรรยาไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่รบกวนคุณหรอก” ตงหยางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างน่าสงสาร“ฉันยังไม่ได้ตอบคุณเลยว่านอนไม่ได้ แต่เดี๋ยวฉันขอไปอาบน้ำล้างตัวก่อนแล้วเดี๋ยวจะไปยกฟูกมานอนเป็นเพื่อนคุณนะคะสามี”“ได้ครับ ผมจะรอนะครับภรรยา”หนิงเหมยเอ่ยตอบทั้งที่ไม่ได้มองท่าทางตื่นเต้นเกินหน้าเกินตาของคนเป็นสามีเลยแม้แต่น้อยแต่จะตื่นเต้นก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง เพราะหนิงเหมยคนเก่ากับตงหยางก็ไม่เคยที่จะเข้าหอกันเลยจริงๆ เลยสักครั้ง ถึงแม้ทั้งคู่จะนอนร่วมเตียงเคียงคู่กันตั้งแต่แต่งงานกันมาแต่นั่นก็เป็นเวลาเพียงแค่3วันเองไม่ใช่หรือ?ยังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะได้มีความรู้สึกดีๆ ให้กันเลย ตงหยางก็ต้องกลับไปค่ายทหารโดยที่ต้องทิ้งหนิงเหมยให้ต้องอยู่ร่วมกับคนบ้านอี้อย่างทุกข์ทรมานใจ!ทว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่5เดือน ตงหยางผู้เป็นสามีของเธอก็โดนหิ้วกลับมายังหมู่บ้านด้วยสภาพที่เลวร้ายสิ้นดี!“ค่ะ…”หนิงเหมยเอ่ยตอบก็หันหลังออกจากห้องนอนสามี แล้วกลับเข้าห้องตนเองก่อนจะทำการเข้าไปในมิติเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเวลาผ่านไปพักใหญ่หนิงเหมยที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาจากมิติ พร้อมกับหอบหิ้วฟูก หมอน ผ้าห่มมายังห้
“อ้อ…ฉันกำลังจะปรับหน้าดินน่ะค่ะ คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากแปลงผักที่เหลืออยู่พวกนี้ลองปลูกผักเอาไว้กินเองสักหน่อย”“โอ้! อย่างนั้นหรือ ดีๆๆ! ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปซื้อกินปลูกเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่การปรับหน้าดินที่เธอพูดมาฉันอยู่จนอายุป่านนี้แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของป้าหม่าก็ถึงกับตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนยุคนี้จะยังไม่รู้จักวิธีการปรับหน้าดิน ถึงว่าผักที่พวกชาวบ้านปลูกกันถึงไม่ค่อยจะโตเท่าที่ควร“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่บังเอิญไปเห็นในหนังสือตำราว่ามีวิธีการแบบนี้อยู่ด้วยว่าการปรับหน้าดินจะช่วยทำให้พืชผักเติบโตได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยลองทำดูน่ะค่ะ” หนิงเหมยเอ่ยแถออกมาจนสีข้างแทบจะถลอก!“อย่างนั้นหรือ เอาไว้ฉันจะรอดูผักที่เธอปลูกถ้าหากว่าดีจริงๆ เธอก็อย่าลืมมาสอนฉันด้วยล่ะ”“ได้สิคะ ถ้าฉันทำสำเร็จฉันจะไปสอนป้าหม่าเป็นคนแรกเลยค่ะ” ที่หนิงเหมยเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยจะมั่นใจกับวิธีการปรับหน้าดินของเธอเช่นเดียวกัน ถึงเธอจะมีทฤษฎีอยู่เต็มหัวแต่ปฏิบัติเธอก็ยังไม่เคยลองเหมือนกัน!“ฮ่าๆ … ได้ๆ ฉันจะรอ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเธอแล้วล่ะ ฉันกลับบ้านไปทำอาหาร
ตงหยางที่เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของหนิงเหมยก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมาด้วยความขบขันเอ็นดู“ฮ่าๆ … ภรรยารู้ไหมครับว่าสีหน้าของคุณตอนนี้น่ารักมากขนาดไหน?”“สามีก็พูดชมฉันเกินไปแล้ว แต่จะว่าไปฉันก็รู้ตัวมานานแล้วแหละค่ะว่าฉันน่ะสวย แล้วก็รวยมาก!” หนิงเหมยเอ่ยโอ้อวดตนเองก่อนที่จะค่อยๆ แสร้งเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง“เอ่อ…แต่ภรรยาครับ เรายังไม่รวยเลยกันเลยนะ แบบนี้จะเรียกว่าสวยแล้วก็รวยมากได้ยังไง?”เพล้ง!ไม่ใช่เสียงอะไร แต่เป็นเสียงเศษหน้าของเธอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เอง! สามีหน้าเหม็นคนนี้ชักจะเริ่มพูดจาไม่เข้าหูเธอแล้วจริงๆ!?ตอนนี้ฉันแทบจะถือว่ารวยที่สุดในหมู่บ้านเลยนะตอนนี้น่ะ แต่คุณแค่ไม่รู้ต่างหากเล่า ชิ!หนิงเหมยที่โดนสามีหน้าเหม็นคนนี้เอ่ยขึ้นขัดความสุข เธอก็ถึงกับต้องสะบัดใบหน้าหันไปจ้องมองสามีอย่างไม่ใคร่จะพอใจ!ตงหยางที่โดนภรรยาจ้องมองอย่างไม่พอใจ ก็ถึงกับสะดุ้ง แล้วได้แต่คิดในใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า จึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ“อ…เอ่อ ภรรยาค…ครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?”“ไม่ค่ะ! คุณไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ผิดที่ฉันมันจนเอง!” พูดจบหนิงเหมยก็สะบัดหน้าหนีสามีอย่างแง่
ฮ่าๆๆ …“ป้าหม่าสุดยอดไปเลยค่ะ! เถียงสะแม่สามีฉันอึ้งไปเลย ฮิฮิ” หนิงเหมยเอ่ยชมแกมขบขัน“หึหึ! เธอก็ใช่ย่อย ฉันไม่ยักจะรู้ว่าเธอจะปากคอเราะร้ายขนาดนี้ อย่างนี้ฉันเชื่อว่าแค่เธอคนเดียวก็เอานางโม่วโฉวอยู่หมัด”“ป้าหม่าก็ชมเกินไปแล้วค่ะฮ่าๆ …”หนิงเหมยที่เห็นป้าหม่ากวาดตามองขึ้นบนท้องฟ้า“เอ่อ… นี่ก็เย็นแล้วป้าหม่ารีบเข้าบ้านเถอะค่ะ รบกวนป้าหม่ามานานแล้ว”“เพ้ย! รบกงรบกวนอะไรกัน เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าบ้านก่อนส่วนเธอก็กลับบ้านไปได้แล้ว ป่านนี้ตงหยางไม่รอเก้อแล้วหรือ?”“โอ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ!”พูดจบหนิงเหมยก็รีบหันหลังสับขาวิ่ง4x100กลับบ้านจนลืมว่าต้องรอให้ป้าหม่าเข้าบ้านไปก่อนนางหม่าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างยิ้มๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าบ้านของตนเองเช่นกัน“สามีแฮ่กๆ … ฉ…ฉันมาแล้วค่ะ!” หนิงเหมยยืนหอบแฮ่กๆ เอ่ยบอกสามีอย่างขาดห้วงเพราะหายใจไม่ทัน“ภรรยาคุณมาแล้ว ทำไมไปนานจังเลยครับ? แล้วนี่คุณไปทำอะไรมาถึงได้หอบขนาดนี้ล่ะครับ”ตงหยางที่กำลังรอหนิงเหมยอยู่ เมื่อได้ยินเสียงหนิงเหมยก็รีบหันมามองทันที แต่เมื่อเห็นสภาพเหนื่อยหอบของคนเป็นภรรยาก็อดที
หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของนางโม่วโฉวก็จ้องมองอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา“ทำไมหรือคะ หรือคุณแม่คิดว่าฉันไม่กล้า?”“คนอย่างหล่อนน่ะหรือจะกล้าทำอะไรแบบนั้น ฉันเป็นแม่ของของตงหยางถ้าเกิดเขารู้ว่าหล่อนทำอะไรกับฉันไว้บ้างเขาคงจะไม่พอใจแน่” นางโม่วโฉวเอ่ยแกมขมขู่“ฮ่าๆ … คุณแม่อย่าคิดจะเอาสามีมาขู่ฉันเลยค่ะ เขาจะมาโกรธอะไรกับคนที่คอยดูแลเขาอย่างฉันได้”“นั่นมันก็…” นางโม่วโฉวรู้สึกว่ายิ่งเถียงกับหนิงเหมยมากเท่าไหร่ตนเองก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยที่จะต้องมารู้สึกแบบนี้แท้ๆ!นางหม่าที่เห็นว่านางโม่วโฉวได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ คิดคำเถียงไม่ออกจึงได้แต่เอ่ยขึ้นมาอย่างห้ามทัพหลังจากที่ฟังมานาน“นางโม่วหล่อนจะมาเอาอะไรกับนังหนูเหมยอีกเล่า! ทุกวันนี้ครอบครัวลูกชายคนโตของหล่อนก็ลำบากมาตลอดไม่ใช่หรือ ที่ทุกวันนี้เขาพิการก็ไม่ใช่เพราะหล่อนหรือยังไง?ทั้งๆ ที่หนิงเหมยเพิ่งจะหาทางอ้าปากรอดได้ แต่หล่อนก็คิดจะมาแย่งออกไปอีก หล่อนคิดจะให้พวกเขาตายจริงๆ เลยหรือยังไง ทำแบบนี้ไม่อำมหิตเกินไปหรือ?!”‘นั่นสิ หล่อนคิดจะให้ทั้งสองคนตายจริงๆ เลยหรือยังไงกัน?!’ ‘คนบ้านอี้ใจดำอำมหิตกันเกินไปแล้ว