หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของนางโม่วโฉวก็จ้องมองอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ทำไมหรือคะ หรือคุณแม่คิดว่าฉันไม่กล้า?”
“คนอย่างหล่อนน่ะหรือจะกล้าทำอะไรแบบนั้น ฉันเป็นแม่ของของตงหยางถ้าเกิดเขารู้ว่าหล่อนทำอะไรกับฉันไว้บ้างเขาคงจะไม่พอใจแน่” นางโม่วโฉวเอ่ยแกมขมขู่
“ฮ่าๆ … คุณแม่อย่าคิดจะเอาสามีมาขู่ฉันเลยค่ะ เขาจะมาโกรธอะไรกับคนที่คอยดูแลเขาอย่างฉันได้”
“นั่นมันก็…” นางโม่วโฉวรู้สึกว่ายิ่งเถียงกับหนิงเหมยมากเท่าไหร่ตนเองก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยที่จะต้องมารู้สึกแบบนี้แท้ๆ!
นางหม่าที่เห็นว่านางโม่วโฉวได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ คิดคำเถียงไม่ออกจึงได้แต่เอ่ยขึ้นมาอย่างห้ามทัพหลังจากที่ฟังมานาน
“นางโม่วหล่อนจะมาเอาอะไรกับนังหนูเหมยอีกเล่า! ทุกวันนี้ครอบครัวลูกชายคนโตของหล่อนก็ลำบากมาตลอดไม่ใช่หรือ ที่ทุกวันนี้เขาพิการก็ไม่ใช่เพราะหล่อนหรือยังไง?
ทั้งๆ ที่หนิงเหมยเพิ่งจะหาทางอ้าปากรอดได้ แต่หล่อนก็คิดจะมาแย่งออกไปอีก หล่อนคิดจะให้พวกเขาตายจริงๆ เลยหรือยังไง ทำแบบนี้ไม่อำมหิตเกินไปหรือ?!”
‘นั่นสิ หล่อนคิดจะให้ทั้งสองคนตายจริงๆ เลยหรือยังไงกัน?!’
‘คนบ้านอี้ใจดำอำมหิตกันเกินไปแล้วหรือยังไงกัน ตงหยางก็ลูกชายของตัวเองไม่ใช่หรือยังไง’
'หล่อยอย่าพูดไปเลย ตั้งแต่แต่งนางโม่วโฉวเข้าบ้านมาฉันไม่เห็นตาเฒ่าอี้จะสนใจดูดำดูดีตงหยางเลยสักนิด!’
‘เฮ้อ… ฉันล่ะสงสารตงหยางจริงๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร’
‘นี่สินะที่เขาบอกกันว่ามีแม่เลี้ยงก็เหมือนได้พ่อเลี้ยง…’
‘ฉันสงสารหนิงเหมยจริงๆ ต้องขึ้นเขาเสี่ยงอันตรายไปล่าหมูป่ามาขายเพื่อหาเงินมารักษาตงหยางแท้ๆ แต่คนบ้านอี้ก็ยังตามรังควานไม่เลิก …น่าเห็นใจๆ’
เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านที่พากันมายืนดูความสนุก เนื่องจากพวกเธอยืนโต้เถียงกันมานานแล้วนางโม่วโฉวก็เป็นคนเสียงดังทำให้ยิ่งเป็นจุดสนใจของชาวบ้าน
หนิงเหมยที่ได้ยินเสียงซุบซิบของชาวบ้านก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากชอบใจ ต่างจากนางโม่วโฉวที่เป็นต้นเหตุของการซุบซิบ
“หุบปาก! ไม่ใช่เรื่องของพวกหล่อน อย่าได้สอดปากเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวฉัน! ในเมื่อหนิงเหมยแต่งเข้าบ้านอี้มาก็ต้องกตัญญูต่อคนบ้านอี้ไม่ใช่หรือยังไง?!
ส่วนหล่อนนางหม่า หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใครกันที่จะมาพูดสอนฉัน!” นางโม่วโฉวตะหวาดออกมาด้วยความไม่พอใจ และรู้สึกอับอายที่โดนชาวบ้านพวกนี้ต่อว่านินทา!
“หล่อนจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ในเมื่อหล่อนยื่นหนังสือตัดขาดกับลูกชายคนโตของหล่อนแล้วไม่ใช่หรือ?
ตั้งแต่ตงหยางบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ฉันก็ไม่เห็นจะมีใครในคนบ้านอี้มาเยี่ยมเลยสักคน นอกจากคิดจะมาลักขโมยของจากบ้านตงหยาง หึ! ฉันล่ะไม่เข้าใจพวกหล่อนจริงๆ จิตใจทำด้วยอะไรกันถึงได้ทำร้ายพวกเขาได้ถึงขนาดนี้?!” นางหม่าที่รู้และเห็นทุกอย่างแล้วรู้สึกสงสารเวทนาในโชคชะตาของคนทั้งสองอยู่แล้ว ยิ่งเห็นนางโม่วโฉวคิดไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
‘จริงด้วย ตั้งแต่ที่ตงหยางป่วยฉันก็ไม่เคยเห็นคนบ้านอี้มาเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง’
‘นั่นสิ แต่ฉันเคยเห็นนางโม่วโฉวไปบ้านตงหยางตอนเย็นๆ ด้วยล่ะ ตอนไปมือเปล่าแต่ตอนกลับได้ของเต็มมือ! ไม่รู้ว่าหล่อนไปขโมยของที่หนิงเหมยหามาได้หรือเปล่า’
‘ถ้าเป็นแบบนี้ไม่เกินไปหรือ หนิงเหมยหล่อนก็หาเลี้ยงสามีที่ป่วยเพียงคนเดียวยังจะไปขโมยของของหล่อนอีก คนบ้านอี้นี่โหดร้ายกันเกิดไปแล้ว’
เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านเอ่ยขึ้นเป็นระยะๆ แต่ไปในทางเดียวกันคือเห็นด้วยกันกับนางหม่า ว่าคนบ้านอี้ใจดำอำมหิตเกินไป!
“แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของหล่อนหรือถึงได้สอดปากเข้ามายุ่ง? กะอีแค่คนแก่ข้างบ้านอย่าแส่ทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ถุ้ย!”
หนิงเหมยที่เห็นป้าหม่าทำท่าทางจะโต้เถียงนางโม่วโฉวก็รีบจับแขนเอาไว้แล้วส่ายหัวไม่ให้ป้าหม่าต้องมาเถียงกับนางโม่วโฉวให้เสียสุขภาพจิต
นางหม่าที่รู้ว่าหนิงเหมยต้องการอะไรก็ได้แต่เงียบลง หุบปากฉับไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
“คุณแม่อย่ามัวแต่เสียเวลาเถียงกับป้าหม่าอยู่เลยค่ะ ฉันว่าคุณแม่ไปเถอะ ถ้ายังไม่ไปฉันจะให้คนไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านมาจริงๆ เพราะฉันเสียเวลามามากแล้วค่ะ”
“นี่…นี่! หล่อนกล้าหรือ?!”
หนิงเหมยได้แต่ยิ้มอ่อน ก่อนที่จะตอบออกมาอย่างไร้เยื่อใย
“ค่ะ ฉันกล้า! ฉันเบื่อที่จะต้องมายุ่งเกี่ยวกับคนเห็นแก่ตัวอย่างคนบ้านอี้แล้วค่ะ ชาตินี้ต่อให้ตายก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยว!” หนิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ารับรู้ได้ถึงความแน่วแน่
“ได้! ในเมื่อหล่อนจองหองอย่างนี้ ต่อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย!”
นางโม่วโฉวที่คิดว่าอีกไม่นานเงินของหนิงเหมยก็จะต้องหมด อีกไม่นานหล่อนต้องคลานเข่ากลับมาขอโทษคนบ้านอี้อย่างแน่นอน!
วันนั้นแหละฉันจะเอาคืนหล่อนให้สาสมกับที่ทำให้ฉันขายหน้าเลยคอยดู!
“ดีค่ะ! ถ้างั้นเชิญคุณแม่ไปเลยนะคะ อย่าได้เดินมาเหยียบแถวบ้านหลังนี้อีกจะดีมากค่ะ!” หนิงเหมยกล่าวพร้อมกับสะบัดมือไล่ใส่นางโม่วโฉวอย่างไม่ใยดี
‘ชิ่วๆ! รีบๆ กลับไปสักทีเถอะ ฉันเหนื่อยจะเถียงกับมนุษย์ป้าจะแย่แล้ว!?’ หนิงเหมยมองนางโม่วโฉวก่อนจะคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่าย
นางโม่วโฉวที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ นางรีบหันหลังสะบัดตูดเดินกลับออกไปอย่างโกรธแค้น
ส่วนชาวบ้านที่เห็นว่าหมดเรื่องสนุกแล้วต่างก็พากันเดินแยกย้ายกลับไปบ้านใครบ้านมัน
หนิงเหมยที่เถียงจนคอแห้งก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน! ก่อนที่จะหันมามองหน้ากับป้าหม่าแล้วหลุดหัวเราะกันออกมาอย่างขบขัน
ฮ่าๆๆ …“ป้าหม่าสุดยอดไปเลยค่ะ! เถียงสะแม่สามีฉันอึ้งไปเลย ฮิฮิ” หนิงเหมยเอ่ยชมแกมขบขัน“หึหึ! เธอก็ใช่ย่อย ฉันไม่ยักจะรู้ว่าเธอจะปากคอเราะร้ายขนาดนี้ อย่างนี้ฉันเชื่อว่าแค่เธอคนเดียวก็เอานางโม่วโฉวอยู่หมัด”“ป้าหม่าก็ชมเกินไปแล้วค่ะฮ่าๆ …”หนิงเหมยที่เห็นป้าหม่ากวาดตามองขึ้นบนท้องฟ้า“เอ่อ… นี่ก็เย็นแล้วป้าหม่ารีบเข้าบ้านเถอะค่ะ รบกวนป้าหม่ามานานแล้ว”“เพ้ย! รบกงรบกวนอะไรกัน เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าบ้านก่อนส่วนเธอก็กลับบ้านไปได้แล้ว ป่านนี้ตงหยางไม่รอเก้อแล้วหรือ?”“โอ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ!”พูดจบหนิงเหมยก็รีบหันหลังสับขาวิ่ง4x100กลับบ้านจนลืมว่าต้องรอให้ป้าหม่าเข้าบ้านไปก่อนนางหม่าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างยิ้มๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าบ้านของตนเองเช่นกัน“สามีแฮ่กๆ … ฉ…ฉันมาแล้วค่ะ!” หนิงเหมยยืนหอบแฮ่กๆ เอ่ยบอกสามีอย่างขาดห้วงเพราะหายใจไม่ทัน“ภรรยาคุณมาแล้ว ทำไมไปนานจังเลยครับ? แล้วนี่คุณไปทำอะไรมาถึงได้หอบขนาดนี้ล่ะครับ”ตงหยางที่กำลังรอหนิงเหมยอยู่ เมื่อได้ยินเสียงหนิงเหมยก็รีบหันมามองทันที แต่เมื่อเห็นสภาพเหนื่อยหอบของคนเป็นภรรยาก็อดที
ตงหยางที่เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของหนิงเหมยก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมาด้วยความขบขันเอ็นดู“ฮ่าๆ … ภรรยารู้ไหมครับว่าสีหน้าของคุณตอนนี้น่ารักมากขนาดไหน?”“สามีก็พูดชมฉันเกินไปแล้ว แต่จะว่าไปฉันก็รู้ตัวมานานแล้วแหละค่ะว่าฉันน่ะสวย แล้วก็รวยมาก!” หนิงเหมยเอ่ยโอ้อวดตนเองก่อนที่จะค่อยๆ แสร้งเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง“เอ่อ…แต่ภรรยาครับ เรายังไม่รวยเลยกันเลยนะ แบบนี้จะเรียกว่าสวยแล้วก็รวยมากได้ยังไง?”เพล้ง!ไม่ใช่เสียงอะไร แต่เป็นเสียงเศษหน้าของเธอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เอง! สามีหน้าเหม็นคนนี้ชักจะเริ่มพูดจาไม่เข้าหูเธอแล้วจริงๆ!?ตอนนี้ฉันแทบจะถือว่ารวยที่สุดในหมู่บ้านเลยนะตอนนี้น่ะ แต่คุณแค่ไม่รู้ต่างหากเล่า ชิ!หนิงเหมยที่โดนสามีหน้าเหม็นคนนี้เอ่ยขึ้นขัดความสุข เธอก็ถึงกับต้องสะบัดใบหน้าหันไปจ้องมองสามีอย่างไม่ใคร่จะพอใจ!ตงหยางที่โดนภรรยาจ้องมองอย่างไม่พอใจ ก็ถึงกับสะดุ้ง แล้วได้แต่คิดในใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า จึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ“อ…เอ่อ ภรรยาค…ครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?”“ไม่ค่ะ! คุณไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ผิดที่ฉันมันจนเอง!” พูดจบหนิงเหมยก็สะบัดหน้าหนีสามีอย่างแง่
“อ้อ…ฉันกำลังจะปรับหน้าดินน่ะค่ะ คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากแปลงผักที่เหลืออยู่พวกนี้ลองปลูกผักเอาไว้กินเองสักหน่อย”“โอ้! อย่างนั้นหรือ ดีๆๆ! ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปซื้อกินปลูกเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่การปรับหน้าดินที่เธอพูดมาฉันอยู่จนอายุป่านนี้แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของป้าหม่าก็ถึงกับตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนยุคนี้จะยังไม่รู้จักวิธีการปรับหน้าดิน ถึงว่าผักที่พวกชาวบ้านปลูกกันถึงไม่ค่อยจะโตเท่าที่ควร“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่บังเอิญไปเห็นในหนังสือตำราว่ามีวิธีการแบบนี้อยู่ด้วยว่าการปรับหน้าดินจะช่วยทำให้พืชผักเติบโตได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยลองทำดูน่ะค่ะ” หนิงเหมยเอ่ยแถออกมาจนสีข้างแทบจะถลอก!“อย่างนั้นหรือ เอาไว้ฉันจะรอดูผักที่เธอปลูกถ้าหากว่าดีจริงๆ เธอก็อย่าลืมมาสอนฉันด้วยล่ะ”“ได้สิคะ ถ้าฉันทำสำเร็จฉันจะไปสอนป้าหม่าเป็นคนแรกเลยค่ะ” ที่หนิงเหมยเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยจะมั่นใจกับวิธีการปรับหน้าดินของเธอเช่นเดียวกัน ถึงเธอจะมีทฤษฎีอยู่เต็มหัวแต่ปฏิบัติเธอก็ยังไม่เคยลองเหมือนกัน!“ฮ่าๆ … ได้ๆ ฉันจะรอ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเธอแล้วล่ะ ฉันกลับบ้านไปทำอาหาร
‘อวิ๋นฟาง’ วันนี้เธออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ทว่าหลังจากที่ได้จัดงานวันเกิดอย่างมีความสุขแล้ว เธอยังได้พบเจอกับความจริงอันน่าเจ็บปวดอีกด้วยว่าเพราะเหตุใดเธอจึงต้องเรียนรู้ฝึกฝนการต่อสู้แขนงต่างๆ การทำอาหารหรือการทำขนมหวาน ไหนจะเรียนรู้เกี่ยวกับทางด้านบริหารธุรกิจต่างๆ อีกด้วย นั่นก็เพราะว่าหากเมื่อใดที่เธออายุครบ 20 ปี เธอจะต้องไปอยู่ยังที่ที่ห่างไกลที่มีทั้งความลำบากยากแค้นอีกด้วย!เมื่ออวิ๋นฟางได้รับกำไลข้อมือมาจากแม่อวิ๋นแล้วเธอก็อดที่จะรู้สึกเศร้าสลดไม่ได้ ทว่านางก็ต้องรีบทำใจให้ไวแล้วก็เตรียมพร้อมทุกๆ อย่างเอาไว้เพื่อตัวของเธอในอนาคตเองและต่อให้เธอจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน ก็ต้องเก็บมันเอาไว้ภายในใจ เพราะเธอรู้ดีว่าพ่ออวิ๋นแม่อวิ๋นั้นก็คงจะเสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอ!“อวิ๋นฟางลูก… ในเมื่อตอนนี้กำไลหยกก็ได้อยู่กับลูกแล้วลูกอย่าลืมหยดเลือดใส่กำไรหยกเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของหนูด้วยนะลูก ตลอดเวลา10กว่าปีที่ผ่านมาแม่กับพ่อก็ช่วยเตรียมของให้ลูกมาได้เท่านี้ ส่วนอีก2ปีที่เหลือนี้หากว่าลูกอยากได้อะไรก็ใส่เข้าไปเพิ่มนะจ๊ะ พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าลูกอยากจะเตรียมอะไรไปบ้างก็เลยเตรียมเพียงแค่ของ
เมื่อซูหนี่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากปากเพื่อนสนิทหมดแล้วก็ถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจออกมา‘นี่… นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ เธอจะมีชีวิตอยู่ที่แห่งนี้อีก2ปีเหรออึก! ล…แล้วฉันล่ะ ฮือ! เธอจะทิ้งฉันเหรอฮึกๆฮื้อๆ’ทันทีที่อวิ๋นฟางได้ยินเสียงปลายสายส่งเสียงร้องไห้โฮออกมาเธอถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปลอบเพื่อนสาวของเธอคนนี้อย่างไรดี!?‘ซ…ซูหนี่เธออย่าร้องไห้ไปเลยนะ ฉันก็ยังมีเวลาอยู่กับเธออีกตั้ง2ปีไม่ใช่เหรอ อย่าร้องไห้ไปเลยนะโอ๋ๆ ตอนนี้ฉันไปโอ๋เธอไม่ได้นะ …ถ้าเธอยังไม่หยุดร้องฉันคงจะต้องร้องตามเธอแน่ๆ ล่ะ ’แม้เธอจะรู้ว่าเพื่อนสาวคนนี้จะต้องเจ็บปวดกับการที่ต้องมารู้เรื่องการจากลาแบบนี้ แต่อย่างไรในเมื่ออีก2ปีเธอก็ต้องจากไปอยู่ดีไม่สู้เธอตัดสินใจบอกตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ? แม้จะเสียใจแต่ก็ยังมีเวลาได้ทำใจและตั้งใจใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข!เพราะฉะนั้นเธอไม่เสียใจเลยสักนิด ที่ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง‘อื้อ! ไม่ร้องแล้วๆ อึก! วันพฤหัสฉันก็คงจะกลับเมืองไทยแล้วล่ะ ถ้าฉันกลับไปถึงฉันจะรีบไปหาเธอเป็นคนแรกเลย! ’ซูหนี่พูดผ่านปลายสายพร้อม
อวิ๋นฟางใช้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่กับการฝึกฝนเรียนรู้ทุกๆอย่างอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ ส่วนเวลาที่เหลือจากการฝึกฝนเธอก็ไปเลือกซื้อของต่างๆ เพื่อเก็บใส่มิติไว้ยามฉุกเฉินเพราะอวิ๋นฟางถือคติว่า เหลือดีกว่าขาด! เธอยอมซื้อของไปแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าการที่ซื้อไปแล้วขาดดีกว่าซึ่งเธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆในทุกๆวัน จนกระทั่งมาถึงวันที่ไม่มีใครอยากให้มาถึง นั่นก็คือวันครบรอบอายุ20ปีของอวิ๋นฟางนั่นเอง…[20:30 น.] “สุขสันต์วันเกิดนะอวิ๋นฟางลูกรัก แม่ขอให้ลูกสาวของแม่มีแต่ความสุข มีแต่คนรักมีแต่คนเอ็นดูนะลูก ”อวิ๋นฟางที่เห็นท่าทางพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ตาแดงเรื่อของผู้เป็นมารดาก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ!“ขอบคุณนะคะแม่อวิ๋น ขอบคุณที่รักและคอยดูแลหนูมาลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ ทั้งๆที่หนูไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ อึก! หนูรักพ่ออวิ๋นกับแม่อวิ๋นที่สุดเลยค่ะ ฮือๆ …!” อวิ๋นฟางที่เอ่ยพูดออกมาอีกทั้งต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง ทว่าเธอก็ยังก็ไม่อาจกลั้นได้จนเผลอร้องไห้โฮออกมาจนคนที่มองอยู่ก็ยังต้องรู้สึกเศร้าเสียใจไปตามๆ กัน“พ่อกับแม่ก็รักลูกเหมือนกันนะจ้ะ
ซึ่งความทรงจำที่อวิ๋นฟางนั้นได้รับมาก็คือ เจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘หนิงเหมย’ หญิงสาวอายุ18ปี ที่เพิ่งจะแต่งเข้ามาในตระกูลอี้ได้ไม่ถึงปี แต่หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นานสามีของเธอที่ชื่อว่า ‘ตงหยาง’ ซึ่งชายหนุ่มอายุ21ปี ที่แต่งงานกับหนิงเหมยได้ไม่ถึง3วันก็ต้องกลับไปเป็นทหารแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง3เดือนด้วยซ้ำชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอก็ถูกหามกลับมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บสาหัสกับเงินชดเชิดอีก200หยวน!ทว่าทันทีที่คนบ้านอี้รู้ว่าตงหยางสามีของหนิงเหมยได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่มีท่าทางที่จะกลับมาเดินได้ พวกเขาจึงได้ยึดเงินชดเชยที่ทางค่ายทหารได้ให้สามีเธอมาแล้วก็ขับไล่ทั้งสองคนออกจากผังตระกูลบ้านทันที!“หึ! ไอพวกเห็นแก่ตัวเอ้ย! ยังดีนะที่สามีของเจ้าของร่างคนเก่ายังพอมีหัวคิดบ้างที่เก็บเงินไว้กับตัวเองถึง300หยวน! ไม่อย่างนั้นละก็ฉันไม่อยากจะคิด… ”อวิ๋นฟางบ่นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง“แต่ฉันเนี่ยทะลุมิติมาที่ยากจนข้นแค้นแบบนี้ยังไม่พอ พระเจ้ายังใจดีส่งสามีพิการมาให้ฉันอีกเหรอเนี่ย!?เอาวะ!!! เป็นไงเป็นกัน ต่อไปฉัน ‘อวิ๋นฟาง’ คนนี้จะเป็น ‘หนิงเหมย’ คนใหม่เอง!”❃ต่อไปจะเรียก
ซึ่งความทรงจำที่อวิ๋นฟางนั้นได้รับมาก็คือ เจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘หนิงเหมย’ หญิงสาวอายุ18ปี ที่เพิ่งจะแต่งเข้ามาในตระกูลอี้ได้ไม่ถึงปี แต่หลังจากที่แต่งงานได้ไม่นานสามีของเธอที่ชื่อว่า ‘ตงหยาง’ ซึ่งชายหนุ่มอายุ21ปี ที่แต่งงานกับหนิงเหมยได้ไม่ถึง3วันก็ต้องกลับไปเป็นทหารแต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง3เดือนด้วยซ้ำชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอก็ถูกหามกลับมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บสาหัสกับเงินชดเชิดอีก200หยวน!ทว่าทันทีที่คนบ้านอี้รู้ว่าตงหยางสามีของหนิงเหมยได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่มีท่าทางที่จะกลับมาเดินได้ พวกเขาจึงได้ยึดเงินชดเชยที่ทางค่ายทหารได้ให้สามีเธอมาแล้วก็ขับไล่ทั้งสองคนออกจากผังตระกูลบ้านทันที!“หึ! ไอพวกเห็นแก่ตัวเอ้ย! ยังดีนะที่สามีของเจ้าของร่างคนเก่ายังพอมีหัวคิดบ้างที่เก็บเงินไว้กับตัวเองถึง300หยวน! ไม่อย่างนั้นละก็ฉันไม่อยากจะคิด… ”อวิ๋นฟางบ่นก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง“แต่ฉันเนี่ยทะลุมิติมาที่ยากจนข้นแค้นแบบนี้ยังไม่พอ พระเจ้ายังใจดีส่งสามีพิการมาให้ฉันอีกเหรอเนี่ย!?เอาวะ!!! เป็นไงเป็นกัน ต่อไปฉัน ‘อวิ๋นฟาง’ คนนี้จะเป็น ‘หนิงเหมย’ คนใหม่เอง!”❃ต่อไปจะเรียก
“อ้อ…ฉันกำลังจะปรับหน้าดินน่ะค่ะ คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากแปลงผักที่เหลืออยู่พวกนี้ลองปลูกผักเอาไว้กินเองสักหน่อย”“โอ้! อย่างนั้นหรือ ดีๆๆ! ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปซื้อกินปลูกเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่การปรับหน้าดินที่เธอพูดมาฉันอยู่จนอายุป่านนี้แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของป้าหม่าก็ถึงกับตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนยุคนี้จะยังไม่รู้จักวิธีการปรับหน้าดิน ถึงว่าผักที่พวกชาวบ้านปลูกกันถึงไม่ค่อยจะโตเท่าที่ควร“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่บังเอิญไปเห็นในหนังสือตำราว่ามีวิธีการแบบนี้อยู่ด้วยว่าการปรับหน้าดินจะช่วยทำให้พืชผักเติบโตได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยลองทำดูน่ะค่ะ” หนิงเหมยเอ่ยแถออกมาจนสีข้างแทบจะถลอก!“อย่างนั้นหรือ เอาไว้ฉันจะรอดูผักที่เธอปลูกถ้าหากว่าดีจริงๆ เธอก็อย่าลืมมาสอนฉันด้วยล่ะ”“ได้สิคะ ถ้าฉันทำสำเร็จฉันจะไปสอนป้าหม่าเป็นคนแรกเลยค่ะ” ที่หนิงเหมยเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยจะมั่นใจกับวิธีการปรับหน้าดินของเธอเช่นเดียวกัน ถึงเธอจะมีทฤษฎีอยู่เต็มหัวแต่ปฏิบัติเธอก็ยังไม่เคยลองเหมือนกัน!“ฮ่าๆ … ได้ๆ ฉันจะรอ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเธอแล้วล่ะ ฉันกลับบ้านไปทำอาหาร
ตงหยางที่เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของหนิงเหมยก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมาด้วยความขบขันเอ็นดู“ฮ่าๆ … ภรรยารู้ไหมครับว่าสีหน้าของคุณตอนนี้น่ารักมากขนาดไหน?”“สามีก็พูดชมฉันเกินไปแล้ว แต่จะว่าไปฉันก็รู้ตัวมานานแล้วแหละค่ะว่าฉันน่ะสวย แล้วก็รวยมาก!” หนิงเหมยเอ่ยโอ้อวดตนเองก่อนที่จะค่อยๆ แสร้งเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง“เอ่อ…แต่ภรรยาครับ เรายังไม่รวยเลยกันเลยนะ แบบนี้จะเรียกว่าสวยแล้วก็รวยมากได้ยังไง?”เพล้ง!ไม่ใช่เสียงอะไร แต่เป็นเสียงเศษหน้าของเธอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เอง! สามีหน้าเหม็นคนนี้ชักจะเริ่มพูดจาไม่เข้าหูเธอแล้วจริงๆ!?ตอนนี้ฉันแทบจะถือว่ารวยที่สุดในหมู่บ้านเลยนะตอนนี้น่ะ แต่คุณแค่ไม่รู้ต่างหากเล่า ชิ!หนิงเหมยที่โดนสามีหน้าเหม็นคนนี้เอ่ยขึ้นขัดความสุข เธอก็ถึงกับต้องสะบัดใบหน้าหันไปจ้องมองสามีอย่างไม่ใคร่จะพอใจ!ตงหยางที่โดนภรรยาจ้องมองอย่างไม่พอใจ ก็ถึงกับสะดุ้ง แล้วได้แต่คิดในใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า จึงเอ่ยปากถามออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ“อ…เอ่อ ภรรยาค…ครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ?”“ไม่ค่ะ! คุณไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ผิดที่ฉันมันจนเอง!” พูดจบหนิงเหมยก็สะบัดหน้าหนีสามีอย่างแง่
ฮ่าๆๆ …“ป้าหม่าสุดยอดไปเลยค่ะ! เถียงสะแม่สามีฉันอึ้งไปเลย ฮิฮิ” หนิงเหมยเอ่ยชมแกมขบขัน“หึหึ! เธอก็ใช่ย่อย ฉันไม่ยักจะรู้ว่าเธอจะปากคอเราะร้ายขนาดนี้ อย่างนี้ฉันเชื่อว่าแค่เธอคนเดียวก็เอานางโม่วโฉวอยู่หมัด”“ป้าหม่าก็ชมเกินไปแล้วค่ะฮ่าๆ …”หนิงเหมยที่เห็นป้าหม่ากวาดตามองขึ้นบนท้องฟ้า“เอ่อ… นี่ก็เย็นแล้วป้าหม่ารีบเข้าบ้านเถอะค่ะ รบกวนป้าหม่ามานานแล้ว”“เพ้ย! รบกงรบกวนอะไรกัน เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าบ้านก่อนส่วนเธอก็กลับบ้านไปได้แล้ว ป่านนี้ตงหยางไม่รอเก้อแล้วหรือ?”“โอ๊ะ! จริงด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ!”พูดจบหนิงเหมยก็รีบหันหลังสับขาวิ่ง4x100กลับบ้านจนลืมว่าต้องรอให้ป้าหม่าเข้าบ้านไปก่อนนางหม่าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างยิ้มๆ ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าบ้านของตนเองเช่นกัน“สามีแฮ่กๆ … ฉ…ฉันมาแล้วค่ะ!” หนิงเหมยยืนหอบแฮ่กๆ เอ่ยบอกสามีอย่างขาดห้วงเพราะหายใจไม่ทัน“ภรรยาคุณมาแล้ว ทำไมไปนานจังเลยครับ? แล้วนี่คุณไปทำอะไรมาถึงได้หอบขนาดนี้ล่ะครับ”ตงหยางที่กำลังรอหนิงเหมยอยู่ เมื่อได้ยินเสียงหนิงเหมยก็รีบหันมามองทันที แต่เมื่อเห็นสภาพเหนื่อยหอบของคนเป็นภรรยาก็อดที
หนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของนางโม่วโฉวก็จ้องมองอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา“ทำไมหรือคะ หรือคุณแม่คิดว่าฉันไม่กล้า?”“คนอย่างหล่อนน่ะหรือจะกล้าทำอะไรแบบนั้น ฉันเป็นแม่ของของตงหยางถ้าเกิดเขารู้ว่าหล่อนทำอะไรกับฉันไว้บ้างเขาคงจะไม่พอใจแน่” นางโม่วโฉวเอ่ยแกมขมขู่“ฮ่าๆ … คุณแม่อย่าคิดจะเอาสามีมาขู่ฉันเลยค่ะ เขาจะมาโกรธอะไรกับคนที่คอยดูแลเขาอย่างฉันได้”“นั่นมันก็…” นางโม่วโฉวรู้สึกว่ายิ่งเถียงกับหนิงเหมยมากเท่าไหร่ตนเองก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยที่จะต้องมารู้สึกแบบนี้แท้ๆ!นางหม่าที่เห็นว่านางโม่วโฉวได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ คิดคำเถียงไม่ออกจึงได้แต่เอ่ยขึ้นมาอย่างห้ามทัพหลังจากที่ฟังมานาน“นางโม่วหล่อนจะมาเอาอะไรกับนังหนูเหมยอีกเล่า! ทุกวันนี้ครอบครัวลูกชายคนโตของหล่อนก็ลำบากมาตลอดไม่ใช่หรือ ที่ทุกวันนี้เขาพิการก็ไม่ใช่เพราะหล่อนหรือยังไง?ทั้งๆ ที่หนิงเหมยเพิ่งจะหาทางอ้าปากรอดได้ แต่หล่อนก็คิดจะมาแย่งออกไปอีก หล่อนคิดจะให้พวกเขาตายจริงๆ เลยหรือยังไง ทำแบบนี้ไม่อำมหิตเกินไปหรือ?!”‘นั่นสิ หล่อนคิดจะให้ทั้งสองคนตายจริงๆ เลยหรือยังไงกัน?!’ ‘คนบ้านอี้ใจดำอำมหิตกันเกินไปแล้ว
“นั่นสิครับคุณแม่ การที่พี่สะใภ้ทำแบบนี้ก็เหมือนกับว่าไม่เห็นหัวพ่อแม่สามีเลยนะครับ” อี้จางเหว่ยน้องชายต่างแม่ของตงหยางที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว ปากพล่อย แต่กลับเป็นคนที่ขี้ขลาดหนิงเหมยที่ได้ยินคำพูดของจางเหว่ยก็ได้แต่มองชายหนุ่มที่มีนิสัยลูกแหง่ติดแม่อย่างสมเพช ดูท่าแล้วชีวิตนี้ของชายหนุ่มไปไหนไม่รอด“หึ! แล้วหล่อนจะมายืนเซ่ออยู่ทำไม รีบไปนำเงินพวกนั้นออกมากตัญญูต่อฉันกับตาแก่สิหรือหล่อนอยากจะโดนฉันสั่งสอนก่อน! เป็นลูกสะใภ้ตระกูลอี้ก็หัดกตัญญูต่อพ่อแม่สามีสะบ้าง ไม่ใช่ดีแต่นำของดีๆ พวกนี้มาประเคนให้คนข้างบ้านแบบนี้!”“คุณแม่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ ของพวกนั้นที่ฉันซื้อมาก็มาจากเงินที่ฉันล่าหมูป่ามาได้ ทว่าเงินที่เหลือกับของที่ซื้อมาฉันก็ซื้อของจำเป็นทั้งนั้นเพื่อจะนำมาไว้ทำอาหารให้สามีส่วนขนมของฝากพวกนี้ฉันก็ตั้งใจซื้อมาฝากป้าหม่าที่คอยช่วยเหลือฉันตลอด แต่กับคุณแม่ที่คอยเอาแต่บอกว่าตัวเองเป็นแม่สามีแล้วสั่งให้ฉันกตัญญู คุณแม่เคยคิดจะช่วยอะไรฉันกับสามีบ้างหรือคะ? หรือคุณแม่เลี้ยงฉันมา… ก็ไม่นิคะ!ฉันไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกลับไปกตัญญูคุณแม่กับคนตระกูลอี้นะคะ เพราะพวกคุณไม่
เมื่อเข็นรถลากกลับมาถึงบ้านเธอก็รีบนำของทุกอย่างเก็บเข้าบ้าน ก่อนที่เก็บรถลากไว้ข้างบ้านโดยที่ตนเองก็ไม่ได้รู้เลยว่านางซุนกับพรรคพวกพากันกระจายข่าวไปทั่วหมู่บ้านว่าเธอใช้เงินมือเติบซื้อของกลับบ้านมากมาย!จนตอนนี้คนบ้านอี้พากันเต้นระส่ำอย่างไม่ใคร่จะพอใจกับการที่หนิงเหมยใช้เงินมือเติบแถมยังไม่คิดจะมอบอะไรให้พวกเขาเลยทั้งๆ ที่ซื้อของกลับมาตั้งมากมาย‘เงินพวกนั้น ของมากมายพวกนั้นควรเป็นของพวกเขาบ้านอี้ไม่ใช่หรือ ในเมื่อหล่อนแต่งเข้าตระกูลอี้มาแล้วทุกอย่างก็ควรจะเป็นของฉันโม่วโฉวคนนี้!’ นางโม่วโฉวที่มีความโลภมากยิ่งคิดเรื่องที่ได้ยินมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่พอใจหนิงเหมยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับเรื่องภายนอกบ้านตอนนี้ ก็มัวแต่ยืนล้างมืออย่างรีบร้อนก่อนที่จะนำซาลาเปา5-6ลูกออกมาจากมิติแล้วจัดวางใส่ถาด แล้วนำไปให้สามีในห้อง เพราะถ้าเธอทำอาหารเองก็คงจะเลยเวลากินข้าวกินยาของสามีอย่างแน่นอน“กลับมาแล้วค่ะสามี ขอโทษนะคะฉันกลับมาช้าเลยทำอาหารให้คุณไม่ทัน คุณกินซาลาเปารองท้องไปก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบออกไปทำอาหารมาให้คุณนะคะ” หนิงเหมยกล่าวระรัวอย่างรู้สึกผิด เพราะมัวแต่เสียเวลากับคนพวกนั้นแท้ๆ
หนิงเหมยที่ออกจากตัวเมืองนครคุนหนิงแล้วเธอก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อขนมกลับไปฝากป้าหม่า เพื่อเป็นของฝากแทนคำขอบคุณสำหรับไข่ไก่หรือเรื่องที่ผ่านๆ มาแล้ว ไหนจะช่วยเธอเรื่องวันนี้อีกเมื่อเข้าสหกรณ์หมู่บ้านแล้วหนิงเหมยก็ยืนเลือกขนมอยู่สักพักใหญ่เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะเอาขนมอะไรดี? ก่อนที่จะได้ขนมหนวดมังกรมาซึ่งขนมที่หนิงเหมยเลือกนั้นก็เป็นขนมที่ค่อนข้างจะขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยทว่านอกจากซื้อฝากป้าหม่าแล้ว หนิงเหมยก็ไม่ลืมที่จะซื้อขนมกลับไปฝากสามีของเธอด้วย เพราะเธอเองก็คิดว่าจะขุนสามีให้อ้วนขึ้นอีกสักหน่อยสามีเธอจะได้เป็นชายหนุ่มเจ้าเนื้อนุ่มนิ่ม!“ขนมหนวดมังกรกล่องละ3หยวน 3กล่อง เป็นราคา7หยวน50เหมา กับคูปอง2ใบ “‘เมื่อได้ยินคำจำนวนเงินที่ต้องจ่ายค่าขนมเพียงแค่3กล่องออกใจเธอก็รู้สึกเจ็บปวดเสียแล้ว! นี่มันเงินจำนวนไม่ใช่น้อยเลยนะ!ดีนะที่เธอเตรียมพวกของปัจจัย4มาครบ ไม่น่าอยากลองซื้อขนมในสหกรณ์กินเลย! แต่ก็นะมีเงินก็ต้องใช้สิ เฮ้อ… นี่สินะที่เขาเรียกว่าขนมสูตรโบราณฉันถึงกับต้องทะลุมิติมาซื้อเลยทีเดียว ‘หนิงเหมยนำเงินกับคูปองออกมา2ใบยื่นให้แก่พนักงาน ก่อนที่เธอจะเดินออกมาจา
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”หนิงเหมยกล่าวขอบคุณจบก็หันหลังออกจากแผงขายซาลาเปา แล้วเดินไปตามทิศทางที่ป้าขายซาลาเปาบอกไม่นานเธอก็เจอร้านสมุนไพร!ซึ่งมีร้านสมุนไพรถึง2ร้านที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน หนิงเหมยก็ไม่รอช้าหันทิศทางไปยังร้านสมุนไพรที่มีความใหญ่โตโอ่อ่าแต่ทว่าในขณะที่หนิงเหมยกำลังจะเดินเข้าไปในตัวร้านสมุนไพร ก็มีเสียงพนักงานเดินออกมาชี้หน้าพร้อมกับด่าทอเธออย่างร้ายกาจเสียก่อนนี้มันอะไรกันเนี่ย?!“นี่หล่อนถ้าจะมาขอทานก็ไปขอที่อื่น ที่นี่ร้านสมุนไพรนะ!” พนักงานหญิงที่พอกหน้าขาวทาปากแดงฉานยืนชี้หน้าด่าทอหนิงเหมย ก่อนที่จะมองเธอด้วยสายตาดูถูกแต่เธอก็ค่อยๆ หายใจเข้าหายใจออกช้าๆ พยายามที่จะใจเย็น“ฉันไม่ได้มาขอทาน ฉันมาขายสมุนไพร”“น้ำหน้าอย่างหล่อนนี่น่ะหรอจะมีปัญญาหาสมุนไพรอะไรมาขาย ถ้าเป็นแค่สมุนไพรธรรมดาๆ ร้านสมุนไพรแห่งนี้ไม่ต้องการหล่อนก็เก็บกลับบ้านไปเถอะ หรือไม่ก็นู้นไปขายร้านของตาแก่นู้นไป!”แต่ยังไม่ทันที่หนิงเหมยจะได้เอ่ยตอบโต้อะไรออกมา ก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้นมาขัดอารมณ์โมโหของหนิงเหมยเสียก่อน ไม่นานก็มีผู้ชายร่างท้วมๆ เดินออกมา“มีอะไรกัน เสียงดังรบกวนลูกค้าในร้านฉันหมดแล้ว สรุปนี่ม
ทันทีที่เข็นรถลากผ่านประตูเมืองเข้ามาหนิงเหมยก็กวาดสายตามองภาพเบื้องหน้าที่มีผู้คนเดินกันอย่างพลุกพล่าน ไหนจะบ้านอาคารที่มีรัศมีของความขลังยุค70นี่อีก! ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจเพราะทั้งความทรงจำเก่าๆ ของหนิงเหมยเจ้าของร่างคนเก่านั้นก็มีความทรงจำกับในตัวเมืองนครคุนหนิงนี้น้อยมาก‘ไม่คิดไม่ฝันว่าฉันจะได้ทะลุมิติย้อนมายุค70! นี่มันทำให้ฉันอดจะทึ่งไม่ได้จริงๆ รอให้ฉันมีเงินเยอะๆ ก่อนเถอะฉันจะพาสามีออกจากหมู่บ้านเป่าซานแล้วไปท่องโลกเสียเลย หึๆ!ขืนยังทนอยู่หมู่บ้านนี้ต่อไปฉันคงจะเป็นบ้าตายแน่ๆ อีกอย่างก็คงจะหาความสงบสุขจากหมู่บ้านเป่าซานไม่ได้แน่นอน ไม่สู้เธอพาสามีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองอื่นไม่ดีกว่าหรือ?’หนิงเหมยสะบัดหัวไล่ความคิดมากมายก่อนที่เธอจะรีบเข็นรถลากไปยังร้านอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมซึ่งภาพอาคารร้านอาหารเบื้องหน้าเธอนี้เป็นอาคารที่มีลักษณะทรงจีนอย่างแท้จริงเลยล่ะ ไหนจะมีเฟอร์นิเจอร์กับของตกแต่งร้านที่ออกจะโบราณคร่ำครึมากเลยทีเดียวแต่ก็ถือว่าเป็นร้านอาหารที่ใหญ่แล้วก็ดูสะอาดมากเลยทีเดียว เมื่อหนิงเหมยตัดสินใจเดินเข้าเหลาอาหารก็มีหนักงานเดินออกมาต้อนรับทันที“ห้องธรร