ภาพแรกที่ค่อยๆ แจ่มชัดในสายตาเนตราคือ แสงไฟสว่างจ้าจากหลอดฟูลออเรสเซนต์ในห้องขาว
เธอกระพริบตากลมโตถี่ๆ เรียกสติคืนจากความง่วงงุน ศีรษะหนักอึ้ง คอแห้งเหมือนคนหลงในทะเลทรายมานาน
เมื่อสายตาชินกับแสงจึงเห็นสภาพห้อง เธอนอนบนเตียง มีขวดน้ำเกลือแขวนเหนือศีรษะ สายเล็กเรียวมาหยุดอยู่ที่กลางแขนขวา
ทีแรกคิดว่าตนเองอยู่ลำพัง แต่เหลือบเห็นประตูกระจกกั้นระเบียง ใครบางคนยืนอยู่ด้านนอก
“มีใครอยู่บ้างคะ สวัสดีค่ะ”
อยากลุก แต่จนด้วยเนื้อตัวระบมไปหมด ได้แต่ส่งเสียงทัก ประตูเคลื่อนเปิด เผยให้เห็นสมาชิกร่วมห้อง ชวินทร์! เนตราอ้าปากเหวอ
“จะเอาอะไรเหรอ เดี๋ยวเรียกพยาบาลให้”
เขาเดินมากดปุ่มเหนือหัวเตียง เผยให้เห็นไหล่กว้าง ท่อนแขนเข็งแรง
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วฉันล่ะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามยิงรัวเร็วเกือบเท่าจังหวะการหายใจถี่กระทั้น
“คุณล้ม หัวฟาดกระถางต้นไม้ ผมพามาโรงพยาบาล”
สรรพนามก็เปลี่ยนไป จากที่เคยเรียก “เธอ” กลายเป็น “คุณ” ท่าทีเย็นชาเปลี่ยนเป็นห่วงใย
“หลับไปสองวันเต็มๆ”
“แล้วนายไปเจอฉันหัวฟาดกระถางต้นไม้ได้ยังไง ไหนบอกว่าเราอย่าเจอกันสองต่อสองอีก”
ชวินทร์ขมวดคิ้ว
“อย่างนี้แฟนนายจะคิดยังไง”
ดวงตายาวรีดำสนิทของเขาพินิจเธอแปลกๆ
“แล้วเพื่อนๆ ล่ะ มีใครรู้ว่าฉันป่วยหรือยัง ไปเรียกมาหน่อย จะได้ไม่กลายเป็นว่าเราอยู่ด้วยกัน”
“คุณป่วยนะ ไม่มีใครมาคิดมากหรอก”
“เพราะคิดน้อยนี่แหละถึงได้เกิดเรื่องไง ขอร้องล่ะ เรียกใครสักคนมาเถอะ อย่างน้อยก็มาเป็นพยานว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง”
อาการหนักอึ้งในศีรษะเปลี่ยนเป็นปวดตุบๆ จนต้องยกมือคลึงบริเวณปวดเบาๆ
“นายจะได้ไม่มีปัญหากับแฟน”
“คุณห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีกแล้ว”
“ฉันห่วงตัวเองมากกว่า ไม่อยากโดนแฟนนายที่ชื่ออะไรนะ ...เออ ใช่ ชื่อแจงหักอก”
ชวินทร์หรี่ตา
“แฟนผมชื่ออะไรนะ”
“ก็แจงไง”
ใจเจ็บแปลบ เขาจะให้ย้ำชื่อเจ้าของหัวใจตัวเองทำไมหลายรอบ ชวินทร์สูดลมหายใจลึก ก่อนจะพ่นออกมาพร้อมคำถาม
“ดาว วันนี้เดือนปีอะไร”
“หือ”
เธอครางในลำคอ
“ตอบมาเถอะน่า”
“ยี่สิบสี่เมษาสองห้าห้าเจ็ด”
พยาบาลชุดขาวสาวเท้าเข้ามาในห้องเพราะเสียงกดเรียกในทีแรก เนตราหน้าเหรอหรา ขณะชวินทร์เสียงก้อง
“ผมต้องการพบหมอ ด่วนที่สุดครับ!”
แล้วเขาก็หายลับสายตาไปท่ามกลางสีขาวของห้องและชุดพยาบาล หมอเข้ามาตรวจและถามประวัติเธอ สลับกับถามเรื่องทั่วๆ ไป ชีวิตส่วนตัวในมหาวิทยาลัย งานที่อยากทำ ก่อนจะกลับออกไป ปล่อยเธอไว้กับความเงียบในห้อง
“มีใครเห็นโทรศัพท์มือถือฉันไหมคะ”
เนตราเรียกพยาบาลอีกครั้ง
“ไม่ทราบสิคะ ปรกติของส่วนตัวผู้ป่วยจะได้รับคืนวันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
“ฉันมีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ค่ะ จะติดต่อฝ่ายไหนได้บ้าง”
“งั้นต้องให้ญาติไปเซ็นชื่อรับที่ชั้นล่างค่ะ”
เธอมีเสียทีไหนกันล่ะญาติที่ว่านั่น คงต้องรอชวินทร์ เขาเป็นความหวังเดียว ที่เธอไม่อยากจะหวังเอาเสียเลย
ชวินทร์กลับมาในอีกหลายชั่วโมงต่อมา เขาเปลี่ยนชุดใหม่เป็นเชิ้ตขาวทับด้วยสูทสีเทา ยิ่งขับเน้นมาดนักธุรกิจหนุ่ม ตัวเขาหอมกลิ่นฝนจางๆ จนเนตราอาย ด้วยตัวเธอมีแต่กลิ่นยา
“นายช่วยโทรตามเพื่อนคนอื่นให้ฉันหน่อยสิ”
“ทำไม”
“เราจะได้ไม่อยู่ด้วยกันสองต่อสองอีก”
สถานการณ์แบบนี้แหละที่พาไปสู่ “เรื่องนั้น” จนเขาและเธอมองหน้ากันไม่ติด
“คุณป่วยอยู่นะ”
ชวินทร์เลื่อนเก้าอี้กลมมาข้างเตียง แล้วนั่งลง กลายเป็นเธอที่ทอดตามองเขา
“ฉันอยากกลับบ้าน”
เขาสงบ ต่างกับเธอที่ใจเต้นแรงจนกลัวมันจะหลุดจากขั้ว
“หมอขอดูอาการก่อน”
“ฉันเป็นอะไร”
เนตราขยับตัวไปอยู่คนละฝั่งเตียงกับเขา ชวินทร์หลุบเปลือกตาลง ขนตาหนาเป็นแพจนเธออยากยื่นนิ้วไปไล้เล่นเหมือนดังครั้งก่อน กลับมาๆ เนตราบอกตัวเอง ถ้าไม่อยากเสียใจซ้ำสอง
“หมอบอกว่าคุณความจำเสื่อม มันหยุดอยู่แค่ความจำสมัยมหาวิทยาลัย”
“ห๋า”
เธอชี้หน้าตัวเอง ย้ำกับเขาว่านี่เรื่องจริงใช่ไหม ชวินทร์พยักหน้ายืนยัน
“คิดว่าเรื่องอย่างนี้มีแต่ในละครซะอีก”
“แล้วนี่ผ่านมากี่ปีแล้ว หมอบอกไหมความจำฉันจะกลับมาหมดเมื่อไร”
“ตอนนี้ผ่านมาหกปี”
ชวินทร์ทำหน้าปั้นยาก เขากำลังตัดสินใจบางอย่าง
“หมอบอกว่าความทรงจำทั้งหมดจะค่อยๆ กลับมา ระบุเวลาแน่นอนไม่ได้”
เธอได้ยินแล้วค่อยโล่งหน่อย
“แล้วนายมาเจอฉันล้มหัวแตกได้ยังไง”
ห้องเงียบไปครู่ ความกดอากาศหนักๆ ลอยวนเหนือเขาและเธอ เวลาหกปีชวินทร์เปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่นักศึกษาหน้าใส เครื่องหน้าบึกบึนเข้มขึ้น มีไรหนวดเขียวจางๆ บริเวณแก้มและเหนือริมฝีปาก
ระหว่างคิ้วปรากฏรอยย่นจางๆ แบบคนคิดมาก ส่วนเธอก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน จากเด็กสาวหลายเป็นหญิงสาว แก้มป่องกลายเป็นเรียว ผิวขาวขึ้นและผอมลง
“เราเป็นแฟนกัน”
เนตราเบิกตาเท่าที่รอยช้ำบนเปลือกตาจะเอื้ออำนวย
“เป็นไปไม่ได้”
นานพอดูกว่าเธอจะหาเสียงตัวเองเจอ ซึ่งก็แหบแห้งเสียเหลือเกิน
“นายจะมาเป็นแฟนฉันได้ยังไง”
เธอพยายามนึก ค้นลึกลงไปในความทรงจำ แต่ได้กลับมาเพียงอาการปวดจี๊ดที่กำเริบขึ้นจนต้องยกมือแตะศีรษะ
“อย่าเพิ่งเครียด หมอบอกว่าหัวคุณกระทบกระเทือน ความทรงจำบางส่วนหายไป”
และเป็นบางส่วนที่สำคัญสุดๆ เสียด้วย
“นายเป็นแฟนกับแจงอยู่นี่”
“ผมเลิกกับเขานานแล้ว”
ชวินทร์เล่าเหมือนกำลังบอกว่าไปซื้อของ ไม่มีอาการหวั่นไหวเมื่อพาดพิงถึงความรักครั้งเก่า
“ฉันเป็นต้นเหตุหรือเปล่า”
เขายิ้มเห็นไรฟัน
“เปล่าหรอก มันมีหลายสาเหตุ อย่าไปคิดถึงเรื่องคนอื่นเลย พักผ่อนเถอะ”
ในสายตาเนตรา ชวินทร์รักแฟนเขามาก เห็นได้จาก “คืนนั้น” ที่เขาคร่ำครวญเรียกชื่อเธอเสียหนักหนา
“แล้วเรามาคบกันได้ยังไง”
ความสงสัยใคร่รู้ตะกุยผ่านช่องท้อง เคลื่อนขึ้นฉายในดวงตา เหงื่อซึมทั้งอยู่ในห้องปรับอากาศ ใจจดจ่อรอคำตอบจากปากเขา ที่นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
“มันไม่ได้เกิดแอคซิเดนท์ระหว่างเรา แบบว่า ...ฉันท้องหรอกนะ”เธอเดาคำตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ คราวนี้ชวินทร์หัวเราะดังพรืด เธอหน้าร้อน อายจนอยากซุกหน้าเข้าผนัง ก็แหม ...นี่มันเป็นมุกคลาสสิคที่ทำให้ผู้หญิงบ้านๆ กับผู้ชายรวยๆ อย่างเขาต้องตกกระไดพลอยโจรต้องมาอยู่ด้วยกันเชียวนะ“อย่าขำสิ! ฉันซีเรียสนะ” เธอแว้ด กลั้นใจรอคำตอบ“คุณไม่ได้ท้อง”เนตราพ่นลมหายใจยาว สบายใจไปเปลาะหนึ่ง“ผมกลับมาจากอเมริกา เจอคุณ เราต่างไม่มีใครเลยคบกัน”“ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ”เธอจำได้ว่าชวินทร์ก่อนมาคบกับแฟน ...หมายถึงคนก่อนที่เลิกกันไปก่อนจะมาคบกับเธอ เขามีสาวๆ รุมล้อมหน้าล้อมหลัง เรียกว่ามีให้ควงไม่ได้ขาด และสวยๆ ทั้งนั้น ไหงเขามาเลือกเธอล่ะ“การที่คนเราจะคบกันเป็นแฟนมันต้องยากสักแค่ไหนกันเชียว”เนตราไม่เคยนึกฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้มานั่งคุยกับเขาเรื่องนี้ บนเตียงโรงพยาบาล“นายกับฉันต่างกันมาก”“ผมชอบคบกับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ”เธอแทบละลายกับประโยคนี้ ขณะคนพูดก็เสไม่มองตา บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความขวยเขิน“แต่ฉันก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี นายมีหลักฐานที่เราคบกันไหม”ชวินทร์ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง ภาพปรากฏบนจอเป็นภ
โน้ตเป็นชื่อเล่นชวินทร์ ดาวเป็นชื่อเล่นเนตรา เธอกับเขาเป็นเพื่อนร่วมเรียนสาขาเดียวกันในมหาวิทยาลัยชวินทร์มีชีวิตเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ รูปร่างหน้าตาดี ฉลาด เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน รวย มีแฟนสวย เพื่อนๆ รักส่วนชีวิตเนตราขึ้นต้นเหมือนจะดี แต่แล้วกลับเคว้งคว้างดังว่าวหลุดลอย พ่อแม่เสียตอนอยู่ปีสอง ดีที่ได้ทุนการศึกษาของญาติชวินทร์มาช่วยเหลือหน้าตาเธอ หากจัดอันดับแล้วอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่สวยขนาดมีหนุ่มแปลกหน้ามาขอเบอร์ ยังพอมีหนุ่มชวนไปดูหนังกินไอศรีมบ้างปีละครั้งสองครั้งเนตราเคยคิด หากตัวเองเป็นดาวได้ เขาคงเป็นเดือน ส่องแสงสีเงินยวงให้เย็นใจ กลางคืนอวดโฉมกระจ่างฟ้า เหมือนสัมผัสได้แต่เอื้อมไม่ถึง เพราะเดือนอยู่สูง ไกลลิบดาวที่น่าจะมาจากดาวทะเลและเป็นคนอย่างเธอจึงได้แต่แหงนมองเขาคอตั้งบ่า มันคงเป็นเพียงอาการปลื้มคนหล่อ หากวันหนึ่งเดือนไม่เคลื่อนมาใกล้ เขาและเธอจำต้องจับกลุ่มรายงานด้วยกันเนตราที่เพิ่งเสร็จงานศพพ่อแม่มาเรียนด้วยอารมณ์หดหู่ พ่อแม่ทำประกันปิดหนี้บ้านไว้ก็จริง แต่หักลบกลบหนี้แล้วเงินไม่พอให้เธอเรียนจบแน่ ระหว่างกำลังเหม่อลอย ชวินทร์ก็มาอยู่ตรงข้าม“ดาวโอเคไหม”คำถามสั้นๆ ง่ายๆ
“ขนมเค้กหวานจริงๆ ด้วยแฮะ”ชวินทร์เลียริมฝีปาก เหมือนเด็กอาลัยอาวรณ์รสชื่นของน้ำตาล“นายทำงี้ ทำไม”เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายสักเรื่อง ประเภทนางเอกโดนลักจูบ อยากตบแต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยดวงตาที่แหงนมองเขานั้นมีน้ำคลอหน่วย สองมือยกขืนตัวออกจากวงแขนรัดแน่นเหมือนงูเหลือมรัดเหยื่อ“ไม่รู้สิ ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” งูเหลือมเอ๊ย! ชวินทร์ตอบหน้าตาย“แล้วมาจูบฉันทำไม”“... ก็เราเป็นแฟนกัน” เขาพึมพำอยู่เรือนผมยุ่งๆ ของเธอ“แต่ไม่ใช่ให้มารุ่มร่ามแบบนี้”“ใช้คำเชยจัง”“นายอย่ามาลวนลามฉัน”“แรงนะนั่น ฟังแล้วเหมือนผมเป็นพวกโรคจิต” เขาชะงัก ทำเสียงฮึ ในลำคอ“ก็ใช่ไหมล่ะ นายทำอะไรโดยฉันไม่ยินยอม”เนตราพยายามเปลี่ยนความรู้สึกอยากจะร้องไห้เป็นฮึดสู้ ไม่สนล่ะว่าเธอกับเขาขณะนี้มีสถานะเป็นอะไรกัน แต่เธอความจำเสื่อม ควรได้ความปลอดภัย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ“ห้ามแตะต้องฉันอีก”ชวินทร์ปล่อยวงแขนหลวมๆ มองเธอนิ่ง ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“หมายถึง ฉันยังไม่พร้อม ความทรงจำยังไม่กลับมา มันสับสนไปหมด” เนตราโน้มน้าวให้เขาเชื่อ ตามสมองจะคิดได้ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกัน กลัวเขาจะโกรธ ก็ตอนนี
“ฉันยังไม่หิว ถ้านายหิวละก็ สั่งเลย”เนตราใช้สายตาสำรวจทั่วห้อง คะเนจากทำเล วิวและการตกแต่ง ราคาคงหลายบาท อาจเป็นสิบล้านไม่น่าแปลกที่คนฐานะอย่างเขาจะเป็นเจ้าของห้องเช่นนี้ แปลกที่แปลกทางคือเธอต่างหาก ผู้หญิงธรรมดาๆ แถมความจำเสื่อม“ผมสั่งพิซซ่ามานะ สั่งของสดเล็กๆ น้อยมาด้วย เผื่อดาวอยากทำอะไรกินเอง”เขาบอกเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ ชวินทร์เปิดโทรทัศน์ นั่งบนโซฟา เธอยืนเก้ๆ กังๆ จะไปนั่งข้างบนโฟาตัวเดียวกันก็ยังเขินๆชวินทร์รู้ทันแกล้งลุกไปเปิดตู้เย็น เนตราจึงนั่งลงได้อย่างสบายใจ เขารินน้ำส้มเผื่อเธอ ส่วนน้ำเปล่าให้ตัวเอง“อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะนะตั้งหกปี” ในจอเป็นโฆษณาโทรศัพท์รุ่นใหม่ โดยดาราที่เธอไม่รู้จัก“ฉันเหมือนคนหลงยุค”“เวลาแค่นี้เอง ไม่ใช่สิบปีสักหน่อย อย่าคิดมากเลย”ชวินทร์กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อีกแล้ว เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยกับเธอเหมือนกัน“เล่าเรื่องตอนเราเป็นแฟนกันให้ฟังหน่อยสิ”“ตอนนี้เราก็ยังเป็นแฟนกันอยู่นะ” เขากลั้นยิ้ม“ไม่ใช่ คือแบบ... ใครขอใครเป็นแฟนก่อน”เนตราแพ้ยิ้มละลานตาแบบนี้เสียด้วยสิ มือยกเกะกะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหน
“ที่ร้านคนเยอะ ถ้าสั่งมาก็รอนานอาหารเย็นหมด โน้ตเลยทำกับข้าวเอง ทำเป็นตั้งหลายอย่างนะ”ชวินทร์ไม่ได้โม้ อาหารรสชาติดีจริงๆ ดีกว่าที่เนตราเคยทำเสียอีก จนเธออายนิดๆ มื้อนี้เนตรารับหน้าที่ล้างจาน เพราะ เขาทำอาหารไปแล้ว หลังจากนั้นเธอรีบเข้าห้องโดยไว แต่นอนไม่หลับหมอให้ยานอนหลับมาด้วย แต่เนตราไม่กิน หลายวันมานี้เธอใช้หลายครั้งแล้ว เธอกลัวเสพย์ติดนอนกระสับกระส่ายบนเตียง พยายามนับแกะก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้ว แต่ยังไม่หลับ ตัดสินใจออกมาข้างนอกห้องรับแขกมืดแต่ไม่สนิทนัก นอกหน้าต่างมีแสงไฟสะท้อนบนผืนแม่น้ำเป็นทางระยิบระยิบเหมือนสะพานทอดสู่ดวงจันทร์ เนตรายืนมองเพลิน หันมาอีกทีก็เจอเงาตะคุ่มๆ กำลังจะกรี๊ด แต่ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาเสียก่อน“โน้ตเอง” ไฟในห้องสว่างวาบ ชวินทร์ยืนข้างเธอ เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงลายสก็อต“นอนไม่หลับเหรอ ให้ไปนอนเป็นเพื่อนไหม”ชวินทร์กลับเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์อีกแล้ว“ทะลึ่ง นายรับปากว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”“คร๊าบๆ ผมเป็นสุภาพบุรุษต้องรักษาสัญญา เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากสุภาพสตรี”เขาล้อ ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำรินใส่แก้วเนตราหันหลังให้เ
"ตื่นได้แล้วคนขี้เซา" เนตราปรือตาง่วงงุน จมูกได้กลิ่นอาหาร ไข่ดาวสุกใหม่ๆ ทำน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน“เช็ดน้ำลายแล้วมากินข้าว”เธอทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้น หน้าเหรอหรายกหลังมือปาดแก้ม ชวินทร์เทไข่จากกระทะใส่จาน พอดีกับที่ปิ้งขนมปังร้องดังติ๊ง“ผมล้อเล่นดาวไม่ได้นอนน้ำลายไหลหรอก” เขาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นอาการ“แค่กรนดังเท่านั้นเอง”เธอค้อน คร้านจะเถียง มีแต่จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ มาอาศัยห้องเขาอยู่ นอนก็นอนบนเตียงเขา ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน“ฉันอยากได้โทรศัพท์ ช่วยพาไปซื้อหน่อย” ชวินทร์อ่านข่าวในไอแพดแทนหนังสือพิมพ์“ไม่ต้องรีบใช้ก็ได้ ดาวยังไม่หายดี”“ถ้าได้มือถือฉันจะได้ติดต่อเพื่อนๆ บางทีความทรงจำจะกลับมาเร็วยิ่งขึ้น”“ทุกคนจะยิ่งเป็นห่วงดาวล่ะไม่ว่า ทำคนอื่นลำบากเปล่าๆ” เธอหรี่ตา ฉุนกับคำกล่าวหานั้น “นายพูดเหมือนไม่อยากให้ฉันไปเจอใคร”“ผมเปล่า”“งั้นพาฉันไปซื้อมือถือสิ ฉันจะไม่กวนนายอีกเลย”เนตราเชิดหน้า กอดอกต่อต้าน“ก็ได้ๆ”เขายอมแพ้แบบรำคาญ แต่ยังเล่นแง่นั่งดูรายการโทรทัศน์จนเกือบสิบโมง“รอเวลาห้างเปิด” เขาให้เหตุผลที่เถียงยากเสียงด้วยสิชวินทร์พามาห้างสรรพสินค้าใ
ชวินทร์ขับรถเงียบมาตลอดทาง โดยไม่หยุดพัก“เราจะไปไหนกัน”เนตราเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเปิดปากถาม“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“บอกหน่อยสิ”“จะรู้ตอนนี้หรือรู้ตอนไหน ดาวก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดี”“นายเผด็จการ”“โน้ตไม่สนใจวิธีการหรอกนะ ดาวนั่งเงียบๆดีกว่า”ชวินทร์สวมแว่นกันแดดอันโตปิดบังสายตา เธอเดาอารมณ์เขาไม่ออกเนตรามองไปนอกรถ หาคำบอกใบ้ว่าตนกำลังไปที่ไหน เขาทำลายสมาธิเธอด้วยการเปิดเพลง จนเธอเห็นป้าย 'ยินดีต้อนรับสู่หัวหิน'รถเลี้ยวเข้าสู่ประตูแนวรั้วสูงสีขาว มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บ้านสองชั้นสีฟ้าอ่อนปรากฏแก่สายตา หลังบ้านติดทะเล เห็นระลอกคลื่นสะท้อนแดดส่องประกายระยับ“เราจะอยู่ที่นี่กันสักพักจนกว่าจะเคลียร์กับครอบครัวผมได้” มีคนวิ่งจากในบ้านมารับกระเป๋าท้ายรถ ท่าทางนอบน้อม“ครอบครัวนายไม่ชอบฉันขนาดนี้เลยเหรอ” บริเวณบ้านนี้กว้างกว่าบ้านเธอเสียอีก“ผมจัดการได้ ตอนนี้พักผ่อนให้สบายเถอะ จะได้หายเร็วๆ” รู้ได้อย่างหนึ่งล่ะ เขาอารมณ์ดีขึ้น“คนของผมเตรียมห้องให้แล้ว” เขาพยักหน้าไปในบ้าน “ผมมีเรื่องงานต้องจัดการ”“เมื่อไรนายจะปล่อยฉันไปเสียที” เขาเอียงคอ“ถ้าครอบครัวไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน ง
สมองส่วนเหตุผลของเนตราร้องให้หนี สถานการณ์ระหว่างเธอกับชวินทร์แปลกเกินไปแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอกับเขาจะเป็นแฟนกันได้ขณะสมองส่วนจินตนาการกระซิบฟุ้งฝัน ชวินทร์ชอบเธอ เขาเป็นของเธอ คนอย่างชวินทร์ไม่มาเสียเวลาโกหกเธอหรอก สีหน้าเขาบ่งบอกทุกอย่างเหมือนวันนั้นที่ตื่นมาเจอเธออยู่เตียงเดียวกันเนตราควรเป็นสุขในชีวิตที่เหมือนฝัน กับคนที่พึงใจมานานหลายปี ชวินทร์ทั้งรูปหล่อ ร่ำรวย ห่วงใย เอาใจเธอ แต่สมองส่วนเหตุผลยังค้านไม่เลิกเธอล้ากับความคิดปัจจุบันของตัวเอง จนนั่งลงริมหาด รับลมทะเล ปล่อยใจคิดถึงอดีต ย้อนวันวานที่เคยมีร่วมกัน กระทั่งเขาตามมาพบชวินทร์โกรธ แต่เธอรู้สึกได้ว่าไม่ใช่การโกรธแบบเช้าวันนั้น เขาพาเดินกลับบ้าน บอกให้ไปอาบน้ำ เตรียมตัวทานอาหารเย็น ระหว่างเลือกเสื้อผ้าใส่ ในสมองแวบภาพเหตุการณ์แบบนี้“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่แกะข้าวเย็นไว้รอให้”ใครบางคนเคยพูดกับเธอ เสียงทุ้ม อบอุ่นใจดี แต่ไม่ใช่ชวินทร์ ศีรษะปวดหนึบๆ หลังเนตราพิงประตูตู้เสื้อผ้าไม่ให้ล้ม สูดลมหายใจลึกเตือนตัวเองให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเร่งร้อนเอากับสมองนัก ค่อยเป็นค่อยไป หมอยังบอกเองเลยว่าสักพักความทรงจำทั้งหมดจะกลับมา“ดาว”
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็
จนสักพักคนเริ่มซา ดุลยาจึงเดินเชิดหน้ากลับไปลานจอดรถ ทิ้งให้ภิรมย์กับเจมิลลาอยู่บนชั้นสอง โดยไม่สนใจเลยฉัตรบรรณรู้เรื่องเนตรดาวจากผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่รู้แค่เพียงเธอตกบันได ยังไม่รู้เรื่องคำสั่งไล่ออก เพราะผู้จัดการเกรงอำนาจฉวีวรรณ เนื่องด้วยรู้ว่าเงินทุนในบริษัทมาจากมารดาเจ้านาย ฉวีวรรณคือผู้ชี้เป็นชี้ตายที่แท้จริงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่หัวใจชวินทร์เต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะหลุดจากขั้ว ไม่ใช่ด้วยความยินดี แต่ด้วยความกลัว ฉัตรบรรณโทรมาบอกว่าเนตราตกบันไดศีรษะฟาดพื้น“แม่งเอ๊ย!”ชายหนุ่มสบถให้รถคันหน้าที่บีบแตรยามเขาขับแซง เนตราก็ซุ่มซ่ามเหลือเกิน หกล้มหัวฟาดถึงสองหน คราวนี้จะความจำเสื่อมอีกหรือเปล่า แต่ชวินทร์ไม่รอแล้ว ตั้งใจจับแต่งงานเสียเลย เธอจะได้ไม่อยู่ไกลสายตาจนเกิดเหตุแบบนี้ดุลยาขับรถไปจอดร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอเลือกร้านเงียบๆ ห่างไกลผู้คน กะเวลาสักประมาณยี่สิบนาทีแล้วก็โทรหาฉัตรบรรณ“ครับ คุณแจง”เขารับสายในทันทีทันใด เธอทำเสียงอ่อนๆ“คุณแปงว่าหรือเปล่าคะ แจงมีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
เนตรามองของในกล่องกระดาษสลับกับโต๊ะทำงานโล่งโจ้ง หกปีที่ผ่านมากับการทำงานที่นี่ เธอมีสมบัติน้อยชิ้นขนาดนี้เชียวหรือ แต่ที่น้อยกว่านั้นคือเพื่อนร่วมงาน เนตราเข้าใจว่าทุกคนเกรงอำนาจฉวีวรรณจึงได้แต่แอบดูเธอเก็บของอยู่ห่างๆ“รีบเก็บของเร็วจัง ฉันคิดว่าเธอจะย่องมาเก็บดึกๆ เสียอีก เหมือนที่ชอบย่องทำอะไรลับหลังคนอื่น”ตัวเป้งๆ มากันครบ ทั้งดุลยา ภิรมย์ เจมิลลา แขกไม่ได้รับเชิญทั้งนั้น“ไปแล้วขอให้ไปลับ อย่ากลับมานะ”ดุลยาส่งยิ้มหวานเคลือบยาพิษ“เราได้เจอกันอีกแน่ ในงานแต่งฉันกับโน้ต”ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงตัวตัวแท้จริงว่า ...ฉันเป็นนางร้ายนะจ๊ะ เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นนางเอก จึงกวนกลับเสียเลย“คิดเหรอว่าจะได้แต่ง”“ไม่ได้คิดแต่มีคนมาขอแล้ว”ชวินทร์เคยพูดกับเธอแล้วนะ ถือว่าเนตราไม่ได้โกหก“หน้าด้าน! โกหก!”พอเอ่ยถึง “คนที่ว่า” อีกฝ่ายรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ยิ่งเพิ่มความฉุนหนัก“ยังดีกว่าคนที่ชอบยุแยงคนอื่นไปทั่วอย่างเธอละ
“แจงทำผิดเหรอคะ”“แล้วทำไมไม่เล่าด้วยล่ะ ว่าสาเหตุที่เมาจนมีอะไรกับดาวมันมาจากที่คุณนอกใจผม”ชวินทร์เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่แฉฝ่ายหญิง แต่ดูที่เธอทำสิ“เราเลิกกันแล้วนะคะ โน้ตจะรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาทำไม”“หยุดปล่อยข่าวเรื่องดาวซะ ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการคุณ”“โน้ตจะทำอะไรแจงเหรอคะ”เธอเหยียดยิ้มท้าทายให้กระจก“บริษัทที่อยากจะขายให้จีนใจจะขาดนั่น ถ้าเขารู้ปัญหาที่ซุกไว้จะเป็นยังไงนะ”ฉัตรบรรณเคยเล่าให้ฟังเรื่องกิจการบ้านดุลยา เพราะเจมิลลาเคยถูกขอให้ช่วยเหลือ แต่เขาแนะนำให้คู่หมั้นปฏิเสธ ด้วยไม่ไว้ใจในรายงานผลประกอบการประจำปีของบริษัท กลัวจะเป็นการตกแต่งตัวเลข“คุณจำได้ไหมว่าผมมีเพื่อคนจีนหลายคนสมัยเรียนโท บางคนก็กลับไปทำกิจการหนังสือพิมพ์ของที่บ้าน”“อย่ามาขู่แจงเลยค่ะ อยากทำอะไรก็ทำไป”ชวินทร์เคยอ่อนโยนมากกว่านี้ เขาทั้งรัก ทั้งหลงเธอ สาเหตุที่เลิกกันไปเพราะดุลยาเลือกนรธิป เธอเคยอยู่เหนือเขา แล้ววันนี้ชวินทร์กลับมาข
หากนี่เป็นค่ำคืนปรกติ เวลานี้ชีวันควรอยู่ห้องทำงาน ส่วนรัชนีต้องดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น แต่ค่ำนี้เธอขอให้เขานั่งรอคุยกับลูกด้วยกัน พร้อมกับเรื่องราวแต่หนหลังของเนตราถูกเล่าใหม่ซึ่งชีวันรับฟังอย่างสงบเขารอฆ่าเวลาด้วยการกางหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายอ่าน ผิดกับอีกคนที่ผุดลุกผุดนั่ง หนักเข้าก็เตือนให้สามีส่งไลน์บอกลูกชายให้รับกลับ เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ชวินทร์ตอบกลับไลน์มาเพียง“ครับ”ชวินทร์กลับถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม ทันทีที่เดินเข้าประตูบ้าน คนรับใช้ก็มาแจ้งทันทีว่าพ่อกับแม่รออยู่ในห้องนั่งเล่น“คิดว่าจะไม่กลับบ้านเสียแล้ว”รัชนีประชด ชวินทร์เข้าไปใกล้ ยิ้มสู้ รู้ว่าจะโดนเรื่องอะไร“กินข้าวมาแล้วหรือยัง”ผู้เป็นพ่อถามเพื่อลดบรรยากาศกดดันที่รัชนีสร้าง“กินข้าวกับดาวมาแล้วครับ”“แม่นั่นฟ้องอะไรลูกบ้างล่ะ”รัชนีหรี่ตาประเมินลูกชาย“เปล่านี่ครับ”เขาเลิกคิ้ว“แล้วคุณแม่มีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับผม”&ldq
เสียงแตรรถไม่คุ้นหูดังหน้าบ้าน มือเนตรากำลังเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่มชะงัก มองไปทางประตูรั้ว รถสปอร์ตชวินทร์จอดอยู่“ไหนว่าจะอยู่ปราจีนฯเป็นอาทิตย์”“เร่งทำงานให้เสร็จแทบตาย คิดถึง”เขาแสดงมันออกมาโดยการรวบตัวเธอไปกอดแล้วจุมพิตหน้าผากนวลเนียน“ดาวล่ะ คิดถึงโน้ตไหม”ริมฝีปากท่าจะเคลื่อนลงมาหาริมฝีปากเธอ ถ้าไม่ใช้มือยันจมูกเขาไว้ก่อน“พอเลย เข้าบ้านก่อน อายชาวบ้านเขา”“จะอายทำไม เราเคยทำอะไรมากกว่านี้มาแล้ว”ชวินทร์ส่งสายตาทะเล้น เธอรีบแกะมือยาวๆ เป็นปลาหมึกออก เดินนำเข้าบ้านไป เขาขับรถมาจอดในรั้ว“หิว กินข้าวหรือยัง”“ยัง เพิ่งเลิกงาน”ชายหนุ่มถือวิสาสะเปิดสำรวจตู้เย็นทำเหมือนเป็นบ้านตัวเอง“เดี๋ยวทำมาม่าผัดไข่ให้กิน”เขาลำเลียงของออกมามี ไข่ ไส้กรอก แล้วเอื้อมมือหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากชั้นไม้ติดผนังเหนือตู้เย็น“ไม่มีผักสดนะ”เธอมองบนโต๊ะกินข้าว บอกเขาที่กำลังนั่งย่อตัวหาอะไร
ร้านอาหารที่เพื่อนนัดเป็นร้านกินดื่มบรรยากาศรีสอร์ต ปอ ส้ม ฟลุ๊คนั่งรออยู่แล้ว โดยมีแพรวที่อยู่ต่างจังหวัดเฟซไทม์มาคุยร่วมวงด้วย“ฉันมีเรื่องจะถามดาว”ปอเอ่ยต่อหน้าจานปลาช่อนลุยสวนที่เพิ่งเสิร์ฟ เนตราหน้าเหลอหลาชี้เข้าตัวเอง“เป็นคำถามที่ทุกคนค้างคาใจ”คุยเล่นกันอยู่ดีๆ เข้าโหมดซีเรียสได้ยังไงไม่รู้“ฟลุ๊ค ขอมือถือ”“ทำไมต้องเป็นของฉันล่ะ”เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์แนบอก หวงแหน“ก็มือถือแกหน้าจอใหญ่สุดอ่ะ ฉันไม่แอบอ่านที่แกไปเม้นท์ในอินสตราแกรมสาวๆ หรอก”เมื่อไม่ให้ดีๆ ปอก็แย่งมาเสียเลย โดยเจ้าของเครื่องยังบ่นอุบอิบ“นี่...”เพื่อนยื่นมาถือมาตรงหน้า เป็นอินสตราแกรมของชวินทร์ ปรากฏรูปถ่ายด้านหลังของเธอในร้านสะดวกซื้อ ใต้รูปมีข้อความ พาแฟนมาซื้อของตุน มีความคิดเห็นและกดถูกใจล้นหลาม เนตรามองมือถือสลับกับหน้าทุกคน“รูปนี้ตีลังกาดูยังไงก็เป็นดาว”แพรวที่แม้จะอยู่ต่างจังหวัดแต่ไม่เคยพลาดข่าวสารทางโซเชียลจากเมืองกรุ