“ฉันยังไม่หิว ถ้านายหิวละก็ สั่งเลย”
เนตราใช้สายตาสำรวจทั่วห้อง คะเนจากทำเล วิวและการตกแต่ง ราคาคงหลายบาท อาจเป็นสิบล้าน
ไม่น่าแปลกที่คนฐานะอย่างเขาจะเป็นเจ้าของห้องเช่นนี้ แปลกที่แปลกทางคือเธอต่างหาก ผู้หญิงธรรมดาๆ แถมความจำเสื่อม
“ผมสั่งพิซซ่ามานะ สั่งของสดเล็กๆ น้อยมาด้วย เผื่อดาวอยากทำอะไรกินเอง”
เขาบอกเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ ชวินทร์เปิดโทรทัศน์ นั่งบนโซฟา เธอยืนเก้ๆ กังๆ จะไปนั่งข้างบนโฟาตัวเดียวกันก็ยังเขินๆ
ชวินทร์รู้ทันแกล้งลุกไปเปิดตู้เย็น เนตราจึงนั่งลงได้อย่างสบายใจ เขารินน้ำส้มเผื่อเธอ ส่วนน้ำเปล่าให้ตัวเอง
“อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะนะตั้งหกปี” ในจอเป็นโฆษณาโทรศัพท์รุ่นใหม่ โดยดาราที่เธอไม่รู้จัก
“ฉันเหมือนคนหลงยุค”
“เวลาแค่นี้เอง ไม่ใช่สิบปีสักหน่อย อย่าคิดมากเลย”
ชวินทร์กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อีกแล้ว เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยกับเธอเหมือนกัน
“เล่าเรื่องตอนเราเป็นแฟนกันให้ฟังหน่อยสิ”
“ตอนนี้เราก็ยังเป็นแฟนกันอยู่นะ” เขากลั้นยิ้ม
“ไม่ใช่ คือแบบ... ใครขอใครเป็นแฟนก่อน”
เนตราแพ้ยิ้มละลานตาแบบนี้เสียด้วยสิ มือยกเกะกะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหนดี เขาอึ้งไปครู่ ดวงตาเปล่งประกายปลาบ
“อย่างที่เคยเล่า ผมเลิกกับแจง ไปเรียนต่อ กลับมาเมืองไทยเจอดาว เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เลยคบกันเป็นแฟน”
“ใครขอเป็นแฟนก่อน”
“ผมเอง”
“ไม่จริงน่า” คราวนี้เขาหัวเราะ
“ดาวร้องเหมือนตอนนั้นเปี๊ยบ”
เนตราหน้าง้ำ เธอไม่ใช่ตัวตลกนะ
“นายไม่โกรธเรื่องที่ฉันทำคืนนั้นเหรอ”
เธอหันข้างไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ ด้วยความละอาย เขาเงียบไปอีกครั้งจนใจเริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“ถ้าบอกว่าไม่โกรธ มันก็โกหก” ชวินทร์ปิดโทรทัศน์ เนตราหน้าม่อย
“แต่สุดท้ายผมกับแจงก็ไปกันไม่รอด เขามีแฟนใหม่ ผมก็มีคุณ ต่างคนต่างแฮปปี้กับชีวิตแล้ว”
ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ตงิดในใจว่าอะไรจะง่ายปานนั้น ช่างเถอะ คำถามต่อไป
“เราคบกันมากี่ปีแล้ว”
“ปีกว่าๆ”
“แล้ว... เราถึงขั้นไหน”
ถึงตรงนี้เสียงค่อยเบาลงเรื่อยๆ อายจนอยากละลายเป็นเนื้อเดียวกับโซฟา
“ก็...” ชวินทร์ขยับมาใกล้ เชยคางเนตราขึ้น
“ถึงขั้นแบบคนเป็นแฟนกันนั่นแหละ อยากพิสูจน์ไหม” หมาป่าเจ้าเล่ห์ท้า
“ไม่ต้องเลยๆ” เนตราหนีจนหลังชิดที่พักแขนโซฟา
“ฉันจำอะไรไม่ได้ นายต้องสัญญาว่าจะไม่รุ่มร่าม ล่วงเกิน หรือทำอะไรที่ฉันไม่ชอบ”
“ถ้าทำล่ะ” ดวงตาฉายแววยั่วล้อ เขาสนุกกับปฏิกิริยาเธอ
“ฉัน”
สมองอันวุ่นวายของเธอกำลังประมวลผล ขณะทำตัวลีบลงเรื่อยๆ หวังเลี่ยงสัมผัสเขา
“คนอย่างนายมีศักดิ์ศรีพอ ที่จะไม่บังคับใจใครหรอก คนที่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ดาวพูดอะไรเหมือนนางเอกในละคร”
“จะเหมือนอะไรก็ช่าง รับปากมาก่อนสิ”
“แล้วผมจะได้อะไรตอบแทน” นิ้วโป้งสาก ไล้คางเธอเล่นอย่างสนุกมือ
“ความเชื่อใจไง”
“แล้วมันใช้ทำอะไรได้”
สัมผัสอุ่นทำเนตราหวั่นไหวมิใช่น้อย แต่ยังก่อนเธอต้องป้องกันตัวให้พ้นจากเพลย์บอย หมาป่า จอมเจ้าชู้ รวมๆ กันแล้วคือชวินทร์
“ถ้ามีใครสักคนเชื่อใจ นายจะไม่รู้สึกดีหรือไง”
“เถียงกับดาวนี่ปวดหัวจัง” เสียงเขาราวกับอ่อนใจกับเธอเสียเต็มประดา
“สงสัยต้องโทรถามหมออีกทีว่าความจำเสื่อมแน่นะ”
“นายรับปากก่อนสิว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”
“คร๊าบๆ”
เธอฉุนกับการรับปากเหมือนเสียไม่ได้นั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมือเขา
“ผมอยู่ในห้องทำงานนะ มีอะไรก็เรียกได้”
ชวินทร์หมดความสนใจในตัวเธอเร็วเกินคาด เขาพยักหน้าไปทางประตูอีกบ้านใกล้ห้องนอน เนตราค่อยโล่งอก
ดูโทรทัศน์ด้วยใจปลอดโปร่ง
เธอนั่งอยู่นานจนเบื่อจึงเข้าห้องไปจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ เนตรายังชอบเสื้อผ้าเรียบๆ แบบเดิม มีชุดแซก กางเกงสแล็ค รองเท้าคัชชู ชวินทร์เอากระเป๋าเครื่องสำอางมาให้ด้วย
เนตราลองแต่งหน้า รวบผมหางม้า บุคลิกเป็นสาวทำงานขึ้นทันตา เธอคุ้นเคยกับการแต่งหน้าแต่งตัวแบบนี้
คนความจำเสื่อมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คิดว่าหากความจำไม่กลับมา ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำเช่นไรดี
จะพึ่งชวินทร์ตลอดไปคงไม่ได้ เขาเป็นแค่แฟน ไม่รู้จะเลิกกันวันไหน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอรู้สึกเคว้งคว้างอีกครั้งหลังพ่อแม่เสียชีวิต หนทางข้างหน้ามัวซัว เต็มไปด้วยหมอก
อยากร้องไห้เหมือนกัน แต่ร้องไม่ออก ได้แต่มองไฟบนเพดานห้องนิ่ง... เนิ่นนานจนสายตาอ่อนล้า ล่วงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
เนตราอยู่ในสำนักงาน เธอเดินไปตามทางเดินมุ่งสู่ห้องที่มีประตูกระจกขุ่น ในมือถือแฟ้ม คนในห้องเป็นผู้ชาย เธอไม่เห็นหน้าเพราะเขาอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์
“เที่ยงนี้ผมนัดกินข้าวกับโน้ตนะ คุณไปด้วยไหม”
เธอรู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายที่กำลังบีบตัวอย่างแรง เขายื่นมือรับแฟ้ม ใบหน้าเขามืดเหมือนภาพระบายด้วยดินสอดำ
“ไม่ละค่ะ คุณแป...”
“ดาว!”
ชวินทร์เขย่าไหล่เนตราอย่างแรง เธอลืมตาและกะพริบปริบๆ เขาพ่นลมหายใจยาว กลัวเธอจะเป็นอะไรไป เพราะเรียกหลายครั้งแล้ว
“นายรู้จักผู้ชายที่ชื่อแปไหม” ตาชวินทร์วาวโรจน์ ก่อนเขารีบปรับให้เป็นปรกติ
“ไม่รู้จัก”
“ความทรงจำฉันกำลังกลับมา ฉันเห็นออฟฟิศ เรียกผู้ชายคนหนึ่งว่าคุณแป”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ จะยิ่งปวดหัวเปล่าๆ มาเถอะ กินข้าวกันแล้วจะได้กินยา”
“เขาเรียกชื่อนายด้วยนะ” เธอพยายามเค้นความทรงจำที่พร่าเลือนในความฝันให้ได้รายละเอียดมากที่สุด
“บอกแล้วไงผมไม่รู้จักผู้ชายคนที่คนพูดถึง ความทรงจำคุณอาจสับสน เอาเรื่องเก่าปนเรื่องใหม่”
เขาใช้มือช้อนหลังเธอออกจากเตียง แล้วรุนหลังไปข้างนอก เธอตั้งใจเก็บความสงสัยไว้ถามหมอ ว่านั่นคือความทรงจำที่ลืมไปหรือเปล่า
ชวินทร์ทำอาหารเย็นง่ายๆ ข้าวไข่เจียวกับยำปลากระป๋อง
“เหมือนกับข้าวไปเข้าค่ายเลยเนอะ”
“อาหารกันตายของโน้ตเลยนะสมัยอยู่อเมริกา” เขาเล่าอย่างภูมิใจ
“นายไม่ได้ไปกินอาหารร้านไทยหรอกเหรอ”
เธอไม่คิดเลย วันหนึ่งจะได้เห็นเขาทานอาหารพื้นๆ ง่ายๆ
“ที่ร้านคนเยอะ ถ้าสั่งมาก็รอนานอาหารเย็นหมด โน้ตเลยทำกับข้าวเอง ทำเป็นตั้งหลายอย่างนะ”ชวินทร์ไม่ได้โม้ อาหารรสชาติดีจริงๆ ดีกว่าที่เนตราเคยทำเสียอีก จนเธออายนิดๆ มื้อนี้เนตรารับหน้าที่ล้างจาน เพราะ เขาทำอาหารไปแล้ว หลังจากนั้นเธอรีบเข้าห้องโดยไว แต่นอนไม่หลับหมอให้ยานอนหลับมาด้วย แต่เนตราไม่กิน หลายวันมานี้เธอใช้หลายครั้งแล้ว เธอกลัวเสพย์ติดนอนกระสับกระส่ายบนเตียง พยายามนับแกะก็แล้ว สวดมนต์ก็แล้ว แต่ยังไม่หลับ ตัดสินใจออกมาข้างนอกห้องรับแขกมืดแต่ไม่สนิทนัก นอกหน้าต่างมีแสงไฟสะท้อนบนผืนแม่น้ำเป็นทางระยิบระยิบเหมือนสะพานทอดสู่ดวงจันทร์ เนตรายืนมองเพลิน หันมาอีกทีก็เจอเงาตะคุ่มๆ กำลังจะกรี๊ด แต่ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาเสียก่อน“โน้ตเอง” ไฟในห้องสว่างวาบ ชวินทร์ยืนข้างเธอ เขาสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงลายสก็อต“นอนไม่หลับเหรอ ให้ไปนอนเป็นเพื่อนไหม”ชวินทร์กลับเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์อีกแล้ว“ทะลึ่ง นายรับปากว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”“คร๊าบๆ ผมเป็นสุภาพบุรุษต้องรักษาสัญญา เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากสุภาพสตรี”เขาล้อ ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำรินใส่แก้วเนตราหันหลังให้เ
"ตื่นได้แล้วคนขี้เซา" เนตราปรือตาง่วงงุน จมูกได้กลิ่นอาหาร ไข่ดาวสุกใหม่ๆ ทำน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน“เช็ดน้ำลายแล้วมากินข้าว”เธอทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้น หน้าเหรอหรายกหลังมือปาดแก้ม ชวินทร์เทไข่จากกระทะใส่จาน พอดีกับที่ปิ้งขนมปังร้องดังติ๊ง“ผมล้อเล่นดาวไม่ได้นอนน้ำลายไหลหรอก” เขาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นอาการ“แค่กรนดังเท่านั้นเอง”เธอค้อน คร้านจะเถียง มีแต่จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ มาอาศัยห้องเขาอยู่ นอนก็นอนบนเตียงเขา ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน“ฉันอยากได้โทรศัพท์ ช่วยพาไปซื้อหน่อย” ชวินทร์อ่านข่าวในไอแพดแทนหนังสือพิมพ์“ไม่ต้องรีบใช้ก็ได้ ดาวยังไม่หายดี”“ถ้าได้มือถือฉันจะได้ติดต่อเพื่อนๆ บางทีความทรงจำจะกลับมาเร็วยิ่งขึ้น”“ทุกคนจะยิ่งเป็นห่วงดาวล่ะไม่ว่า ทำคนอื่นลำบากเปล่าๆ” เธอหรี่ตา ฉุนกับคำกล่าวหานั้น “นายพูดเหมือนไม่อยากให้ฉันไปเจอใคร”“ผมเปล่า”“งั้นพาฉันไปซื้อมือถือสิ ฉันจะไม่กวนนายอีกเลย”เนตราเชิดหน้า กอดอกต่อต้าน“ก็ได้ๆ”เขายอมแพ้แบบรำคาญ แต่ยังเล่นแง่นั่งดูรายการโทรทัศน์จนเกือบสิบโมง“รอเวลาห้างเปิด” เขาให้เหตุผลที่เถียงยากเสียงด้วยสิชวินทร์พามาห้างสรรพสินค้าใ
ชวินทร์ขับรถเงียบมาตลอดทาง โดยไม่หยุดพัก“เราจะไปไหนกัน”เนตราเป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเปิดปากถาม“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”“บอกหน่อยสิ”“จะรู้ตอนนี้หรือรู้ตอนไหน ดาวก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดี”“นายเผด็จการ”“โน้ตไม่สนใจวิธีการหรอกนะ ดาวนั่งเงียบๆดีกว่า”ชวินทร์สวมแว่นกันแดดอันโตปิดบังสายตา เธอเดาอารมณ์เขาไม่ออกเนตรามองไปนอกรถ หาคำบอกใบ้ว่าตนกำลังไปที่ไหน เขาทำลายสมาธิเธอด้วยการเปิดเพลง จนเธอเห็นป้าย 'ยินดีต้อนรับสู่หัวหิน'รถเลี้ยวเข้าสู่ประตูแนวรั้วสูงสีขาว มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บ้านสองชั้นสีฟ้าอ่อนปรากฏแก่สายตา หลังบ้านติดทะเล เห็นระลอกคลื่นสะท้อนแดดส่องประกายระยับ“เราจะอยู่ที่นี่กันสักพักจนกว่าจะเคลียร์กับครอบครัวผมได้” มีคนวิ่งจากในบ้านมารับกระเป๋าท้ายรถ ท่าทางนอบน้อม“ครอบครัวนายไม่ชอบฉันขนาดนี้เลยเหรอ” บริเวณบ้านนี้กว้างกว่าบ้านเธอเสียอีก“ผมจัดการได้ ตอนนี้พักผ่อนให้สบายเถอะ จะได้หายเร็วๆ” รู้ได้อย่างหนึ่งล่ะ เขาอารมณ์ดีขึ้น“คนของผมเตรียมห้องให้แล้ว” เขาพยักหน้าไปในบ้าน “ผมมีเรื่องงานต้องจัดการ”“เมื่อไรนายจะปล่อยฉันไปเสียที” เขาเอียงคอ“ถ้าครอบครัวไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน ง
สมองส่วนเหตุผลของเนตราร้องให้หนี สถานการณ์ระหว่างเธอกับชวินทร์แปลกเกินไปแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอกับเขาจะเป็นแฟนกันได้ขณะสมองส่วนจินตนาการกระซิบฟุ้งฝัน ชวินทร์ชอบเธอ เขาเป็นของเธอ คนอย่างชวินทร์ไม่มาเสียเวลาโกหกเธอหรอก สีหน้าเขาบ่งบอกทุกอย่างเหมือนวันนั้นที่ตื่นมาเจอเธออยู่เตียงเดียวกันเนตราควรเป็นสุขในชีวิตที่เหมือนฝัน กับคนที่พึงใจมานานหลายปี ชวินทร์ทั้งรูปหล่อ ร่ำรวย ห่วงใย เอาใจเธอ แต่สมองส่วนเหตุผลยังค้านไม่เลิกเธอล้ากับความคิดปัจจุบันของตัวเอง จนนั่งลงริมหาด รับลมทะเล ปล่อยใจคิดถึงอดีต ย้อนวันวานที่เคยมีร่วมกัน กระทั่งเขาตามมาพบชวินทร์โกรธ แต่เธอรู้สึกได้ว่าไม่ใช่การโกรธแบบเช้าวันนั้น เขาพาเดินกลับบ้าน บอกให้ไปอาบน้ำ เตรียมตัวทานอาหารเย็น ระหว่างเลือกเสื้อผ้าใส่ ในสมองแวบภาพเหตุการณ์แบบนี้“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่แกะข้าวเย็นไว้รอให้”ใครบางคนเคยพูดกับเธอ เสียงทุ้ม อบอุ่นใจดี แต่ไม่ใช่ชวินทร์ ศีรษะปวดหนึบๆ หลังเนตราพิงประตูตู้เสื้อผ้าไม่ให้ล้ม สูดลมหายใจลึกเตือนตัวเองให้ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งเร่งร้อนเอากับสมองนัก ค่อยเป็นค่อยไป หมอยังบอกเองเลยว่าสักพักความทรงจำทั้งหมดจะกลับมา“ดาว”
“พ่อแม่ผมถูกคลุมถุงชน”ชวินทร์เล่าเสียงเรียบ อีกมือหนึ่งรินไวน์จากขวดลงแก้ว“แต่ท่านก็อยู่ด้วยกันดี เป็นแบบเพื่อนมากกว่า พ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อยบ้าง แต่กฎเหล็กเลยคือห้ามมีลูก”เขาเล่าโดยไม่ปิดบัง“แม่โน้ตนี่ใจกว้างดี เป็นฉันทนไม่ได้แน่ ถ้ามีคนอื่นก็หย่าเหอะ ให้จบๆ เรื่องไป อย่ามาคาราคาซัง”คนฟังขำอารมณ์เดือดเกินคาดของเธอ“ดาวขี้หึงนี่”“คนรักกันไม่ยอมหรอก”พูดแล้วแทบกัดลิ้นตัวเอง“ฉันไม่ได้หมายถึงแม่โน้ต ไม่ได้รักพ่อโน้ตนะ”เธอออกตัว หลังจากคิดได้ว่าพูดอะไรพลาดไป“ผมเข้าใจ ทั้งสองคนแฮปปี้ดี ดาวไม่ต้องห่วงหรอก”ชวินทร์ชินเสียแล้วกับบรรยากาศเย็นชาบางครั้งระหว่างพ่อกับแม่ จนบางทีคิดว่าความรักอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นกับทั้งสองเลย คนของเขามาเก็บโต๊ะ แต่ชวินทร์เอามือปิดปากแก้ว ส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่ต้องเก็บไวน์เขา“ฟังเพลงกันหน่อยไหม”“ไม่เอาอ่ะ เพลงสมัยนี้ฉันไม่คุ้น”“พูดเหมือนคนแก่ แค่ผ่านไปหกปีเอง”ชวินทร์ต่อไอโฟนกับลำโพงบนโต๊ะไม้สีเข้มติดผนัง เขาเปิดเพลงเบริ์ด ธงชัย แมคอินไตย“โน้ตยังเก็บเอ็มพีสามเพลงนี้ไว้อีกเหรอ”“เดี๋ยวนี้เขาฟังเพลงผ่านระบบสตรีมมิ่งกันแล้วเธอ”เขาล้อ เพลงพี่เบริ์ดจังหวะสนุก จน
“แหวนนี่ พี่ให้ไว้เป็นตัวแทน อาจไม่มีค่ามากนักแต่มาจากใจ”ใครบางคืนยกมือเนตราขึ้น สวมแหวนสีทองสุกปลั่งบนนิ้วนางข้างซ้าย ในใจเธอปั่นป่วน น้ำหนักของแหวนมากเหลือเกิน จนเธอหน่วงไปทั้งใจ“ใส่เล่นๆ ไปก่อน แหวนหมั้นแหวนแต่ง พี่จะให้ทีหลัง”“ไม่เอาละค่ะ เกรงใจ ดาวไม่ชอบใส่เครื่องประดับกลัวทำหาย”เธอพยายามเพ่งว่าเขาคือใคร แต่เห็นเพียงรอยยิ้ม ใบหน้าส่วนบนเขายังเต็มไปด้วยสีดำสนิท เหมือนใครเอาหมึกมาราด“กลัวหายก็ร้อยใส่สร้อยคอสิ มา...พี่ทำให้”เขายื่นมือมาถอดสร้อยเธอออก คล้องแหวนไว้ในนั้น“เก็บไว้ใกล้ๆ หัวใจนะ”ไม่ใช่ชวินทร์แน่ เขาไม่มีทางพูดหวานเยิ้มแบบนี้ สรรพนามที่เธอเรียกก็ไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นใคร!ดวงตาเนตราลืมขึ้นโดยพลัน ศีรษะกลับมาปวดหนึบ ร่างเมื่อยขบราวโดนรถบดถนนทับ เธอยันตัวขึ้นจากเตียงผ้าห่มไปกองอยู่ที่หน้าตัก พร้อมแขนบางคนที่ถือวิสาสะพาดไว้กับเอวเธอ ปทุมถันเปลือยเปล่าสัมผัสอากาศ จึงรู้ว่าตัวเองไร้อาภรณ์คลุมกายข้างกันมีเสียงหายใจยาวลึกสม่ำเสมอ ชวินทร์ยังอยู่บนหมอน ตาหลับสนิท เนตรายกมือไขว้กันปิดหน้าอก มองเขาสลับตัวเอง ใจเย็นๆ เธอบอกตัวเอง สมองค่อยเรียบเรียงเหตุการณ์ เมื่อคืนเขาและเธ
คนของเขามองหน้าเจ้านายกับแขกเลิ่กลั่ก อาหารในถาดชักจะทำพิษ มันหนักขึ้นเรื่อยๆ สงครามประสาทดำเนินไปอีกสามนาที ชวินทร์ก็หมดความอดทน ลุกเดินดุ่มมาตรงหน้าเธอ“กินข้าว”เขาคว้าข้อมือ ดึงไปทางห้องอาหาร“บอกแล้วไงว่าฉันไม่หิว”เนตราพยายามแกะมือที่แข็งปานคีมเหล็กออก หนักๆ เข้าก็ทุบเอาเสียเลย“ปล่อยฉัน”คราวนี้ไม่ใช่แค่มือ ชวินทร์ยกตัวเธอขึ้นพาดบ่า ท่ามกลางเสียงโวยร้องหาอิสระ เขาวางเธอลงบนเก้าอี้ตัวข้างเขาดังตุบเนตราเด้งตัวลุกจะขยับหนี เขารวบมือเธอไว้ด้วยกัน กดมันไว้ที่หัวเข่า ทำให้เธอลุกไม่ได้ เนตราอ้าปากจะประท้วง ชวินทร์พยักหน้าให้คนของเขาวางอาหารลงบนโต๊ะ มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มทะเล“ถ้าดาวไม่กิน ผมจะไม่พาไปไหนทั้งนั้น” ตาคมมีแสงแววโรจน์“จะกินดีๆ หรือให้ผมป้อน”ชวินทร์ตักปลาหมึกหั่นแว่นจากชามข้าวต้มเธอมาจ่อปาก กลิ่นกระเทียมเจียวลอยวนใต้จมูก น้ำลายเธอเริ่มสอ“งั้นก็กินคำใหญ่ๆ เลย”ช้อนข้าวต้มพูนแตะริมฝีปาก ชวินทร์เตรียมจะทำตามที่พูด
เครื่องดื่มเย็นๆ ช่วยให้อารมณ์ชวินทร์คลายลง เขายังจับมือเธอไว้ พาลัดเลาะไปหลังร้าน สู่หาดกว้าง ลมทะเลซัดระลอกคลื่นดังครืนๆแดดสายยังไม่ร้อนนัก เขาอยากใช้เวลาสงบๆ แบบนี้กับเนตรา ให้ลืมว่าตนเองกำลังทำผิดกับเธออยู่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดัง ล้วงมาดูเป็นเบอร์ฉัตรบรรณ ชายหนุ่มกดตัดสายเสีย ท่ามกลางสายตาสงสัยของเนตราคนโทรมาไม่ยอมแพ้ ถึงเขาตัดสายได้ ก็กดโทรใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่สามรอบ จนชวินทร์จะปิดโทรศัพท์“รับสายเถอะ คนโทรมาคงมีเรื่องด่วนจริงๆ”เธอบอก พลางดูดชาเย็น“แค่โทรมาป่วนเท่านั้นแหละ”นอกจากโทรแล้วยังส่งไลน์มาด้วย“ใครป่วนนายกัน”“ไม่ให้เรียกนาย บอกให้เรียกโน้ต”ชวินทร์ดุเสียงไม่จริงจังนัก“ฉันไม่ชินนี่ ความจำหยุดอยู่แค่มหาวิทยาลัย”เธอคอย่น กลัวการลงโทษตามแบบเขาอยู่หน่อยๆ แต่นี่เป็นที่ชุมชน คนอยู่เยอะ ชวินทร์คงไม่กล้าจูบเธอหรอก โทรศัพท์ดังเป็นครั้งที่สี่“รับสายเถอะ ฉันจะไปเดินเล่นทางโน้น”เนตราชี้นิ้วไปทางแ
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็
จนสักพักคนเริ่มซา ดุลยาจึงเดินเชิดหน้ากลับไปลานจอดรถ ทิ้งให้ภิรมย์กับเจมิลลาอยู่บนชั้นสอง โดยไม่สนใจเลยฉัตรบรรณรู้เรื่องเนตรดาวจากผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่รู้แค่เพียงเธอตกบันได ยังไม่รู้เรื่องคำสั่งไล่ออก เพราะผู้จัดการเกรงอำนาจฉวีวรรณ เนื่องด้วยรู้ว่าเงินทุนในบริษัทมาจากมารดาเจ้านาย ฉวีวรรณคือผู้ชี้เป็นชี้ตายที่แท้จริงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่หัวใจชวินทร์เต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะหลุดจากขั้ว ไม่ใช่ด้วยความยินดี แต่ด้วยความกลัว ฉัตรบรรณโทรมาบอกว่าเนตราตกบันไดศีรษะฟาดพื้น“แม่งเอ๊ย!”ชายหนุ่มสบถให้รถคันหน้าที่บีบแตรยามเขาขับแซง เนตราก็ซุ่มซ่ามเหลือเกิน หกล้มหัวฟาดถึงสองหน คราวนี้จะความจำเสื่อมอีกหรือเปล่า แต่ชวินทร์ไม่รอแล้ว ตั้งใจจับแต่งงานเสียเลย เธอจะได้ไม่อยู่ไกลสายตาจนเกิดเหตุแบบนี้ดุลยาขับรถไปจอดร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอเลือกร้านเงียบๆ ห่างไกลผู้คน กะเวลาสักประมาณยี่สิบนาทีแล้วก็โทรหาฉัตรบรรณ“ครับ คุณแจง”เขารับสายในทันทีทันใด เธอทำเสียงอ่อนๆ“คุณแปงว่าหรือเปล่าคะ แจงมีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
เนตรามองของในกล่องกระดาษสลับกับโต๊ะทำงานโล่งโจ้ง หกปีที่ผ่านมากับการทำงานที่นี่ เธอมีสมบัติน้อยชิ้นขนาดนี้เชียวหรือ แต่ที่น้อยกว่านั้นคือเพื่อนร่วมงาน เนตราเข้าใจว่าทุกคนเกรงอำนาจฉวีวรรณจึงได้แต่แอบดูเธอเก็บของอยู่ห่างๆ“รีบเก็บของเร็วจัง ฉันคิดว่าเธอจะย่องมาเก็บดึกๆ เสียอีก เหมือนที่ชอบย่องทำอะไรลับหลังคนอื่น”ตัวเป้งๆ มากันครบ ทั้งดุลยา ภิรมย์ เจมิลลา แขกไม่ได้รับเชิญทั้งนั้น“ไปแล้วขอให้ไปลับ อย่ากลับมานะ”ดุลยาส่งยิ้มหวานเคลือบยาพิษ“เราได้เจอกันอีกแน่ ในงานแต่งฉันกับโน้ต”ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงตัวตัวแท้จริงว่า ...ฉันเป็นนางร้ายนะจ๊ะ เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นนางเอก จึงกวนกลับเสียเลย“คิดเหรอว่าจะได้แต่ง”“ไม่ได้คิดแต่มีคนมาขอแล้ว”ชวินทร์เคยพูดกับเธอแล้วนะ ถือว่าเนตราไม่ได้โกหก“หน้าด้าน! โกหก!”พอเอ่ยถึง “คนที่ว่า” อีกฝ่ายรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ยิ่งเพิ่มความฉุนหนัก“ยังดีกว่าคนที่ชอบยุแยงคนอื่นไปทั่วอย่างเธอละ
“แจงทำผิดเหรอคะ”“แล้วทำไมไม่เล่าด้วยล่ะ ว่าสาเหตุที่เมาจนมีอะไรกับดาวมันมาจากที่คุณนอกใจผม”ชวินทร์เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่แฉฝ่ายหญิง แต่ดูที่เธอทำสิ“เราเลิกกันแล้วนะคะ โน้ตจะรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาทำไม”“หยุดปล่อยข่าวเรื่องดาวซะ ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการคุณ”“โน้ตจะทำอะไรแจงเหรอคะ”เธอเหยียดยิ้มท้าทายให้กระจก“บริษัทที่อยากจะขายให้จีนใจจะขาดนั่น ถ้าเขารู้ปัญหาที่ซุกไว้จะเป็นยังไงนะ”ฉัตรบรรณเคยเล่าให้ฟังเรื่องกิจการบ้านดุลยา เพราะเจมิลลาเคยถูกขอให้ช่วยเหลือ แต่เขาแนะนำให้คู่หมั้นปฏิเสธ ด้วยไม่ไว้ใจในรายงานผลประกอบการประจำปีของบริษัท กลัวจะเป็นการตกแต่งตัวเลข“คุณจำได้ไหมว่าผมมีเพื่อคนจีนหลายคนสมัยเรียนโท บางคนก็กลับไปทำกิจการหนังสือพิมพ์ของที่บ้าน”“อย่ามาขู่แจงเลยค่ะ อยากทำอะไรก็ทำไป”ชวินทร์เคยอ่อนโยนมากกว่านี้ เขาทั้งรัก ทั้งหลงเธอ สาเหตุที่เลิกกันไปเพราะดุลยาเลือกนรธิป เธอเคยอยู่เหนือเขา แล้ววันนี้ชวินทร์กลับมาข