“มะ หม่ำ” เหลียนฮวาใช้ความพยายามในการออกเสียง นางอยากบอกท่านพ่อเหลือเกินว่ามันกินได้ ดูตรงนู้นนั่นสิมีหัวมันหวานขนาดใหญ่ด้วย นึกพลางน้ำลายไหลย้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จะให้ท่านพ่อขุดกลับไปให้หมดเลย
“ถึงอย่างไรก็กินไม่ได้ มันมีพิษ” แม้จะดีใจที่บุตรสาวพูดคำอื่นได้บ้างแล้ว แต่พอเห็นดวงตาเป็นประกายของลูกก็ยิ้มระคนเอ็นดูในความช่างจ้อ เอื้อมหยิบผ้าสะอาดในอกมาเช็ดน้ำลาย เอ่ยอธิบายเสมือนเด็กน้อยเข้าใจสิ่งที่พูด
หมับ
“แอ้ !” เมื่อเห็นบิดากำลังจะเดินไปอีกทางแต่มีหรือที่นางจะยอม คว้าหมับที่คอเสื้อแล้วใช้สายตาออดอ้อนท่าไม้ตาย เบะปาก ส่งตาปริบๆไปให้
คนเป็นพ่อใจอ่อน
“พ่อไม่เคยชนะเจ้าเลย...” เจียหมิงพูดอย่างปลงๆกับตัวเอง ทำให้ตัวต้นเหตุดีดดิ้นกรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างดีใจ
“อ๊ายย คิกๆ”
“ลองเก็บกลับมาเพียงนิดเดียว หากลูกเห็นว่ามันกินไม่ได้จริงๆ ต้องยอมให้พ่อเอาไปทิ้งนะ” เจียหมิงเอ่ยพลางใช้กิ่งไม้แข็งแรงแถวนั้นขุดเอาหัวมันขึ้นมาจากใต้ดิน ได้ 2-3 หัวใหญ่ก็พอ
“อื้อ !”
“อันนั้นด้วยหรือ…” เจียหมิงได้ยินเสียงร้องเรียกของบุตรสาวพอเงยหน้ามองตามสายตาของเด็กน้อยก็เห็นหัวมันสีแดงอยู่ไม่ไกลกัน ไม่เคยเห็นชาวบ้านกินเจ้าสิ่งนี้เลย เพราะคิดว่าน่าจะคล้ายหัวมันที่มีพิษ มันจะกินได้จริงๆหรือ...
แปะๆ
“แอ้ แอ้” เหลียนฮวาเห็นท่านพ่อกำลังเก็บหัวมันหวานตามที่นางบอกก็ปรบมือให้กำลังใจ อยากกินเหลือเกิน
“เราลองเก็บไปเท่านี้ดีกว่า” เจียหมิงบอกตนเอง หลังจากเดินไปเก็บหัวมันตามใจบุตรสาว
“ถึงบ้านแล้ว” เจียหมิงบอกบุตรสาวที่ตอนนี้หลับอยู่ในกระบุง เนื่องจากใช้แรงไปมากโข นิ้วป้อมๆทำหน้าที่ชี้บอกให้เขาเก็บนั่นนี่ ปากจิ้มลิ้มก็ส่งเสียงร้องเรียกไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้ไปดูกับดักเพราะของเต็มไม้เต็มมือไปหมด วันนี้ได้ผักป่า ผลไม้ และหัวมันกลับมาเยอะมาก บางอย่างเขาไม่เคยรู้เลยว่ามันกินได้ แต่เจ้าตัวอวบกลับดีดดิ้น ร้องบอกคล้ายรู้ความ
“นอนตรงนี้ก่อนนะ พ่อจะเอาของไปเก็บ” เจิยหมิงวางเหลียนฮวาบนผ้า ก่อนเข้าบ้านไม่ลืมล้างมือเอาเศษดินหรือสิ่งสกปรกออก จะได้อุ้มนางได้
“งื้อ” เด็กน้อยหัวถึงที่นอนก็บิดขี้เกียจ หน้าอวบๆซุกเข้ากับผ้าเพื่อหาความอบอุ่น พอได้ที่ก็นอนคว่ำหน้า ก้นโด่งอย่างสบายใจ
‘เจ้านาย ได้ยินไหมครับ’ เหลียนฮวาที่นอนอยู่พลันได้ยินเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียก
‘เจ้านาย อย่าทิ้งบอทเต้ไว้ที่นี่สิครับ’ เจ้าของเสียงพูดอย่างน้อยใจ
ชัดเลย เสียงบอทเต้จริงๆด้วย หรือนี่เป็นความฝันกันนะ
“บอทเต้ !” คิดดังนั้นจึงลองเรียกอีกฝ่ายดู
‘เจ้านาย ! ในที่สุดก็รู้ถึงการมีอยู่ของบอทเต้’ เอไออัจฉริยะตะโกนอย่างดีใจ มันอยู่กับเจ้านายตั้งแต่เธอมาเกิดใหม่ ทว่าร้องเรียกอย่างไรเจ้านายก็ไม่ได้ยิน ได้แต่นั่งดูเจ้านายใช้ชีวิตในโลกใหม่ผ่านห้วงจิตกับเจ้าโรบอท ใช่แล้ว โรบอทก็มาพร้อมกับมันด้วย ก่อนมามันรู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อต จนระบบรวน สักพักก็มาโผล่ที่นี่ มันใช้ความรู้จากโลกก่อนค้นหาข้อมูลการเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ตั้งมากมายแต่กลับไม่พบสิ่งใด หรือนี่จะเรียกว่าสิ่งลี้ลับ
ส่วนเจ้าโรบอทวันๆไม่ทำอะไร เขาคุยด้วยมันก็ไม่ค่อยจะตอบ สายตาจดจ่อกับเจ้านาย แต่พอเจ้านายร่างทารกกำลังพลิกคว่ำ มันกลับส่งเสียงเชียร์ ผิดกับฉายาเอไอนักรบสิ้นเชิง อยากให้เจ้านายมาเห็นมันในโหมดนี้จริงๆ
“บอทเต้ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน แล้วทำไมฉันถึงพูดได้” เหลียนฮวามึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางไม่เห็นตัวอีกฝ่าย แต่กลับสื่อสารกันได้
‘ไม่ต้องแปลกใจครับเจ้านาย เราน่าจะคุยกันผ่านห้วงจิต แม้เจ้านายเป็นเด็กทารกก็สามารถสื่อสารกับบอทเต้ได้’
“ดีเหลือเกินที่นายไม่เป็นอะไร” เหลียนฮวาดีใจ ตอนแรกยังกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้กลับรู้สึกยินดีที่เอไอครอบครัวของเธอก็มาด้วย
‘เจ้าโรบอทก็มานะครับ’
“จะ เจ้านายครับ’ เสียงโรบอทดังขึ้น หากมันมีดวงตา ทุกคนคงได้เห็นว่าตอนนี้ดวงตาของมันกำลังเป็นประกาย
“โรบอท !” แม้จะแปลกใจว่ามากันได้อย่างไร แต่ความดีใจกลับมีมากกว่า
‘มาคุยเรื่องหลังจากนี้ดีกว่าครับ เราจะเอาอย่างไรกันต่อ’ บอทเต้พูดเข้าเรื่อง มันไม่รู้ว่ามาโลกนี้ได้ยังไง ไหนจะเรื่องที่เจ้านายเกิดใหม่อีก
“บอทเต้ จำตอนที่ฉันให้นายเปิดร้านค้าได้ไหม” เหลียนฮวาตัดสินใจบอกความจริง
‘จำได้ครับ ตอนนั้นเจ้านายซื้อขะ..’
“ตอนนั้นฉันฝันถึงแม่ ท่านบอกว่าฉันต้องกลับไปที่ที่ควรอยู่ พอตื่นมาก็มีสัญลักษณ์คล้ายรูปดอกบัวตรงข้อมือ และพบว่ามันฉันสามารถเข้าไปในเจ้าสิ่งนั้นได้ ข้างในเป็นตึกเอไอที่ฉันสร้างมา และมันยังสามารถกักเก็บพวกของต่างๆไว้ได้อีกด้วย” เหลียนฮวาบอกความจริงไปทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องที่เธอฝัน
‘เหลือเชื่อมาก ส่วนเจ้าสิ่งนั้นคล้ายมิติที่บอทเต้กำลังศึกษาเลยครับ’ ระหว่างกำลังดูเจ้านายใช้ชีวิตที่โลกใหม่ มันเห็นเจ้านายเรียกนมผงออกมาจากอากาศ แล้วเก็บเข้าไป ตั้งแต่นั้นจึงเริ่มศึกษาถึงการกระทำนั้น จนไปค้นพบคำหนึ่งนั่นคือ มิติ เจ้าสิ่งนี้คล้ายไม่มีอยู่จริงในโลกภายนอก เป็นเหมือนอีกมิติหนึ่งที่มีแค่เจ้าของคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ หากเป็นโลกก่อนมันคงให้นิยามมิติว่ากระเป๋าเคลื่อนที่ ทว่าเรื่องที่เจ้านายบอกมาว่าในมิตินั้นมีตึกเอไออยู่นับว่าเป็นเรื่องที่มันไม่คาดคิด
“มิติหรือ ฉันว่ามันอาจจะใช่ก็ได้” เธอก็ลืมนึกถึงคำนี้ไปเลย
‘เป็นไปได้ไหมครับมิตินี้จะสามารถกักเก็บสิ่งของที่เจ้านายสร้างมาจากโลกก่อน’ บอทเต้เริ่มวิเคราะห์
“ใช่เลย ฉลาดมากบอทเต้ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่สามารถเข้าไปในมิติได้ อาจเป็นเพราะร่างทารกนี่” เหลียนฮวาคิดอย่างเสียดาย ถ้าเธอเข้าไปได้บางทีอาจจะทำอะไรๆได้มากกว่านี้อย่างน้อยก็ชงนมให้ตัวเองกิน เธอเบื่อน้ำคาวๆนั่นแล้ว ทุกวันนี้ยังคิดแปลกใจเวลามองแขนขาเป็นมัดๆของตัวเองว่าเป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่กินแค่น้ำนม ควรผอมแห้งสิ แต่นี่กลับยิ่งสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ สักวันคงนอนคว่ำไม่ได้เพราะติดพุง
‘งั้นเจ้านายลองคิดว่าเราทั้งสองอยู่ภายในตึกเอไอดูสิครับ’ โรบอทที่ฟังเรื่องทั้งหมดมานาน พูดขึ้นบ้างเมื่อฟังน้ำเสียงของเจ้านาย เจ้านายคงไม่มีความสุข
‘โรบอทตัวจริงใช่ไหม’ บอทเต้เอ่ยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เจ้าโรบอทที่เงียบมาตลอดเวลาเขาถามความคิดเห็นใดๆ ปล่อยให้เขากะวนกะวายคนเดียว ตอนนี้มันกำลังออกความคิด โรบอทได้แต่ทำตามองบนเมื่อเห็นท่าทางโอเวอร์ของบอทเต้ มันก็แค่ไม่ชอบพูด
“ขอบใจนะโรบอท ตอนนี้พวกนายอยู่ในที่แบบไหนเหรอ” เหลียนฮวาถามขึ้น
‘เป็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาวโล่งๆครับ’ โรบอทตอบ
“ฉันจะลองดู พวกนายพร้อมไหม” เหลียนฮวาคิดว่าสถานที่ที่พวกบอทเต้อยู่อาจเป็นหนึ่งในห้องของตึกเอไอ ถ้าลองทำตามคำพูดโรบอท คิดว่าพวกเขาอยู่ภายในตึก ไม่ใช่แค่ในห้อง บางทีความคิดนี้น่าจะใช้ได้
‘พร้อมครับ’ ทั้งสองตอบพร้อมกัน ก่อนที่เหลียนฮวาจะคิดว่า พวกเขาอยู่ภายในตึก วูบบบบบ ‘ได้จริงๆเจ้านาย ตอนนี้พวกเราอยู่ในตึก !’ บอทเต้พูดอย่างดีใจ พลางมองสำรวจพื้นที่ที่เข้ามาใหม่ พบว่าในตึกว่าห้องแบ่งออกเป็นหลายห้อง แต่ละห้องมีหุ่นยนต์กำลังทำงานของมันอยู่ “ยังเหมือนเดิมสินะ” เหลียนฮวาดีใจไม่แตกต่างกัน อย่างน้อยตึกเอไอจะได้มีคนคอยคุมไม่ให้พวกเอไอสร้างสิ่งของออกมาเกินความจำเป็น ‘เจ้านายจะให้พวกเราช่วยอะไรไหมครับ’ “ฉันฝากพวกนายคุมพวกเจ้าหุ่นยนต์แรงงานพวกนั้นไม่ให้ผลิตของมากเกินไป ฉันกลัวจะล้นคลังเก็บของ” ‘ได้ครับ’ บอทเต้รับคำงานนี้มันถนัด “อ้อ อีกอย่าง ช่วยชงนมให้ฉันหน่อยได้ไหม” เหลียนฮวาพูดอย่างอายๆ ในโลกก่อนเธอโตจนสามารถดูแลตัวเองได้ มาตอนนี้เธอกลับทำอะไรเองไม่ได้เลย นอกจากกินและนอน ‘โรบอทชงเองครับ !’ บอทเต้ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด โรบอทรีบชิงพูดตัดหน้าอย่างตื่นเต้น มันชอบเจ้านายในร่างเด็ก เพราะถูกสร้างมาในขณะที่เจ้านายโตแล้ว ไม่เหมือนบอทเต้ที่พูดจาโอ้อวดมันตลอดตั้งแต่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมว่าเ
“มากันครบแล้วหรือยัง” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนถามทุกคน วันนี้ชายชรารับหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูแลความเรียบร้อย พร้อมอธิบายกฎของหมู่บ้านก่อนการเดินทาง ส่วนเรื่องล่าสัตว์เขาให้บุตรชายนามว่าซูเหวินไปแทน เพราะเรื่องนี้เจ้าตัวถนัดนัก อีกทั้งเขาผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยังอายุมากแล้ว “ครบแล้วขอรับ” “ดีๆ จากนี้ขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย หมู่บ้านเรายังยึดกฎเดิม ห้ามเข้าไปในป่าด้านใน ห้ามให้คนนอกเข้าร่วม เนื้อที่ล่ามาได้แบ่งเท่ากันทุกบ้านที่เข้าร่วม” ชายชราเอ่ยอธิบายกฎการล่าสัตว์ของหมู่บ้าน ที่ต้องพูดก่อนเพราะเหมือนครั้งนี้จะมีหน้าใหม่เข้าร่วมหลายคน เขาจึงได้รับการไหว้วานจากโม่โฉวให้มาช่วยแนะนำเด็กใหม่ “กฎมิให้คนนอกเข้าร่วมมิใช่หรือ” จางหมิ่นหรือลูกเลี้ยงของนางจ้านพูดขึ้นลอยๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เดิมทีต้องเป็นเหยาฉือผู้เป็นผู้นำของบ้านเข้าร่วม ทว่าแม่ของเขายังตึงกับอีกฝ่ายเพราะทะเลาะกันคราก่อนที่เหยาฉือนำไก่เลี้ยงของบ้านไปให้ไอ้คนนอกตระกูล พอมีคนไปบอกที่บ้านว่าจะมีการล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งเหยาฉือออกไปทำงานข้างนอกไม่อยู่บ้าน ท่านแม่จึงไ
“เราพบซากสัตว์นอนตายอยู่” เมื่อมาถึงชาวบ้านคนเดิมได้ชี้ให้ดูจุดที่พวกเขาเห็น “แย่ล่ะ ศพพวกมันคล้ายโดนตัวอะไรกัดกิน” โม่โฉวอึ้งกับภาพตรงหน้า มองซากสัตว์ที่กำลังนอนตายเกลื่อน สภาพทุกตัวมีบาดแผลเหวอะหวะจากการฉีกกระชาก จนเห็นเครื่องในไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วป่า จากเลือดที่ยังสดอยู่ น่าจะตายได้ไม่นานนัก คล้ายเจ้าสัตว์ตัวต้นเหตุต้องการเพียงล่าเท่านั้น ที่คิดว่าเป็นสัตว์เพราะมีรอยเขี้ยวฝังบนร่างของสัตว์ที่นอนตายอยู่ อวัยวะภายในยังอยู่ครบ ไม่มีร่องรอยถูกกินแม้แต่น้อย สัตว์ชนิดใดหนอช่างฆ่าได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่แน่มันอาจจะยังไปไหนได้ไม่ไกล ชายวัยกลางคนวิเคราะห์ มองเห็นชาวบ้านบางคนกำลังอาเจียนอยู่ แม้โม่โฉวที่ล่าสัตว์ตั้งแต่เด็กจนคิดว่าตัวเองนั้นชินกับภาพแบบนี้แล้ว ก็ยังมีอาการผะอืดผะอม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นสัตว์ที่ล่าได้น่ากลัวขนาดนี้ เพราะตามวิสัยพวกมันจะล่าแค่พอกินสำหรับฝูงมันเท่านั้น ไม่ใช่ล่าแล้วปล่อยร่างทิ้งไว้ จนเป็นภาพสยดสยองดั่งเบื้องหน้า “ระ เราจะทำอย่างไรต่อดี ขะ ขอรับ” ชาวบ้านอีกคนพูดตะกุกตะกัก หวาดกลัวไม่ต่างจากคนอื่น
“ฮ่าๆ ฤดูหนาวนี้เรารอดแล้วๆ” โม่โฉวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อกลุ่มพวกเขาล่าสัตว์ได้หลายตัว มีทั้งหมูป่า กวาง และกระต่ายป่า เห็นทีวันนี้ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งเพียงพอต่อฤดูหนาวแน่ “พวกเรากลับกันเถอะขอรับ ข้าว่าสัตว์ป่าแถวนี้เริ่มหายไปแล้ว” เจียหมิงมองรอบๆ แล้วเอ่ยเตือน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาว ไม่รู้นางเป็นอย่างไรบ้าง จะงอแงหรือไม่ “ได้ๆ วันนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้ากับซูเหวินเลยนะ นอกจากจะล่ากันเองได้หลายตัวแล้ว ยังพาพวกเรามาชี้จุดสัตว์ป่าอีก” แม้จะเอ่ยขอบคุณไปก่อนหน้าแล้วแต่โม่โฉวก็รู้ว่าไม่อาจมองข้ามสิ่งที่ทั้งสองทำ “เราล่าต่อกันอีกดีกว่า ยังมีสัตว์บางตัวหลงเหลืออยู่…” จางหมิ่นพูดขึ้น มองสัตว์ที่ทุกคนล่าได้สายตาเต็มไปด้วยความโลภ แม้เขาจะไม่ได้ช่วยล่า แต่ก็อยู่ในกลุ่มการล่าครั้งนี้ อย่างไรส่วนนึงก็ต้องเป็นของเขา จางหมิ่นตะล่อมให้ทุกคนอยู่ต่อ จนลืมว่าก่อนหน้าพวกเขาไปเจอกับอะไรมา โดยไม่ฟังคำเตือนของเจียหมิง “หากฟ้ามืดลงแล้วเกิดมีใครได้รับอันตรายขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” เจียหมิงพูดมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“มะ ไม่จริงใช่ไหม” ซูเหวินคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นพลันน้ำตาไหล มันหลอกพวกเขาว่าวิ่งตามหลัง แท้จริงแล้วกลับวิ่งไปดักด้านหน้า ตอนนี้ชาวบ้านคนอื่นๆคง... “เราไม่ได้ยินเสียงร้อง อาจจะเป็นเลือดของสัตว์ตัวอื่นก็ได้” โม่โฉวกำหมัดแน่น รู้สึกสะเทือนใจเมื่อตอนที่เห็นเลือดก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น เนื่องจากทิศทางที่มันยืนอยู่เป็นทางที่ชาวบ้านวิ่งไป แต่ยังฝืนเปล่งเสียงพูดเพื่อปลอบใจทุกคนรวมถึงตนเอง โฮกกก เจ้าสัตว์ประหลาดคำรามลั่น มันมีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งที่มันชอบคือเหยื่อที่เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำให้มันต้องมีสภาพแบบนี้... เดิมทีมันเป็นสิงโต ได้ตายลงไปแล้วจากการล่าของพวกทหารชั่ว ทว่าคนที่พวกมนุษย์เรียกว่าหมอผีกลับชุบชีวิตมันกลับมา และทดลองกับร่างกายนี้สารพัด ถลกหนัง ผ่าร่าง เอาเขาของสัตว์ชนิดอื่นมาเย็บติดกับหัว ศักดิ์ศรีเจ้าป่าที่มันทะนงตัวมาตลอดไม่มีเหลือ มัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด” เจ้าหน้าที่ทางการสอบถามชายวัยกลางคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางมองบรรยากาศรอบๆที่วุ่นวายไม่น้อย สภาพชาวบ้านบางคนที่ยังขวัญเสีย บางคนกำลังถูกรักษาโดยหมอที่โดนเรียกตัวมากะทันหัน สังเกตจากบาดแผลแล้วน่าจะเป็นสัตว์ร้ายมากกว่า “ขะ ขอรับ แม้พวกข้าจะเห็นไม่ชัด ตะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” โม่โฉวอธิบายเสียงสั่น หวนนึกถึงตอนเจอกับเจ้าสัตว์ที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพแล้วใจเต้นด้วยความหวาดกลัว ทว่าภายในใจก็อยากให้ทางการรีบไปช่วยเจียหมิงเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร เขากับซูเหวินพากันหามจางหมิ่นมาถึงหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนได้ไม่นาน สภาพร่างกายหลายคนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจึงสั่งให้ชาวบ้านรีบไปตามหมอกับทางการมา ท่ามกลางความตกใจและแตกตื่นของคนในหมู่บ้านที่เหลือ “เราไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทั้งยังมืดนัก หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจ้าหน้าที่อาจเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าสายตากลับแอบเหลือบมองไปยังชายสวมหมวก ร่างกายสูงใหญ่ มีกลิ่นอายน่ายำเกรงอย่างหวั่นๆตลอดเวลา
“แอ้ แอ้” แปะ แปะ “อึก โอ้ย” เจียหมิงเริ่มรู้สึกตัวเพราะอาการเจ็บบาดแผล เขาค่อยๆลืมตา ภาพเลือนรางค่อยๆแจ่มจัดขึ้น นี่เขากลับมานอนบ้านแล้วหรือนี่ “แอ้” “เหลียนเอ๋อร์ลูกพ่อ” มองก้อนซาลาเปากลมๆที่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขา ความรู้สึกเจ็บจิ๊ดก่อนลืมตาคงเป็นเพราะนางอยากปลุกเขาให้รู้สึกตัว พลันกระชับอ้อมกอดด้วยความคิดถึง เกือบไม่ได้กลับมาหาบุตรสาวแล้ว สำรวจร่างกายตัวเองพบว่าบาดแผลได้ถูกรักษาแถมยังพันผ้าบริเวณบาดแผลไว้เกือบทั้งตัว ความรู้สึกเจ็บแล่นทั่วร่างแต่เขาทำได้แค่อดทนไว้ บุตรสาวเขาฉลาดเกินวัยนัก ไม่อยากให้นางเห็นภาพอันน่าอนาจ “ตื่นแล้วหรือเจียหมิง” “ลุงโม่” เจ้าของชื่อพยายามลุกขึ้น ทว่ากลับโดนเสียงห้ามปรามจากอีกฝ่าย “เจ้าควรพักผ่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องที่เหลือต่อสักหน่อย” โม่โฉวเพียงอยากเข้ามาให้เห็นกับตาว่าชายหนุ่มไม่เป็นอะไรเท่านั้น เขายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากโข ทั้งเรื่องศพ เรื่องครอบครัวผู้เสียชีวิต มองดูชายหนุ่มเห็นว่ารู้สึกตัวดีก็ทำท่าจะเดินออกไป “ดะ เดี๋ยวขอรับ แล้ว...” “ข้ารู้ว่า
หลายวันต่อมา หลังจากทางการนำประกาศห้ามขึ้นภูเขามาติดไว้ลานกลางหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนออกมาประท้วงเนื่องจากหลายครอบครัวมีฐานะยากจน อยู่ได้ด้วยการหาของป่า ทว่าผู้นำหมู่บ้านซึ่งได้รับมอบหมายจากทางการก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รับหน้าที่ในการแจ้งข่าวและลงชื่อแจกจ่ายเบี้ยเลี้ยงสำหรับทุกครัวเรือน ครัวละ 50 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากสำหรับครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เงินจำนวนนี้หากใช้อย่างประหยัด ครอบครัวหนึ่งสามารถอยู่ได้หลายเดือนเลยทีเดียว นับว่าท่านเจ้าหน้าที่ทางการมีเมตตายิ่งที่แจกจ่ายเงินจำนวนนี้ให้กับหมู่บ้านบริเวณรอบๆภูเขาทุกครัวเรือนอย่างไม่มีตกหล่น สถานการณ์จึงคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเงินจำนวนไม่น้อยนี้ บางครอบครับจึงรีบมุ่งหน้าซื้อของที่ตลาดมากักตุนเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากถือเป็นเหรียญเงินที่เสี่ยงต่อการขโมยได้ง่าย บางบ้านถึงกับต้องปิดตัวเงียบเพื่อที่ไม่ให้เป็นที่โดดเด่น โดยเฉพาะพวกโจรที่หวังจะมาปล้น “เปิดประตู!!” ทว่านั่นไม่ใช่กับบ้านของเจียหมิงที่มีเสียงโหวกเวกโวยวายหลายเค่อดังไม่ลดละที่หน้าบ้านราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย “เจ้าหมาป่าตาขาวข้าบอกให้
ศตวรรษ 3053“สังหารมันซะ” เซนท์ หรือเฟลิกซ์ ซัลลิแวนสั่งเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์นิ่งเฉยแม้จะสั่งฆ่าคนเวลาผ่านไปอีก 1 ปี นับจากที่ลุงโรเบิร์ต บิดาของคนรักได้ส่งอาวุธมาให้ หลังจากนั้นเขาได้ทำสงครามกับจักรวรรดิไซเนียอย่างเต็มกำลัง ข่าวคราวจากโลกสีน้ำเงินขาดหายไปถ้านับระยะเวลาทั้งหมดก็เป็นเวลา 1 ปี แล้ว คล้ายขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง วันเวลาผันผ่านไปช่างยาวนานสำหรับเขา วันแล้ววันเล่าที่รอเวลากลับไปหาคนรักชายหนุ่มจับจี้เรืองแสงที่ใส่ไว้ติดตัวตลอดซึ่งเป็นของสำคัญที่เขาต้องนำไปคืนคนรัก รวมถึงแหวนตกทอดของเสด็จแม่ที่ท่านให้ไว้ก่อนสวรรคต เพื่อนำไปมอบให้เจ้าของของมัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง สงครามจบลงโดยที่จักรวรรดิซีอัสเป็นฝ่ายชนะสงครามโดยเขากำลังสั่งให้ทหารลงมือสังหารจักรพรรดิของไซเนียและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้จะชดเชยให้กับทหารที่เสียไปไม่ได้ก็ตาม“ระ เรามาเจรจากันดีหรือไม่” เสียงสั่นกลัวพยายามเรียกร้องการเจรจา“ไม่จำเป็น”
“ฮึก ฮึก” เจียวลู่หลังจากกลับจากร่ำลาพี่ใหญ่และทุกคน แอบมานั่งร้องไห้หลังครัวคนเดียว จุดเดิมที่เขาเคยนั่งกินปลาที่พี่ใหญ่แอบย่างให้กิน เขาคิดถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เป็นคนเดียวที่ดีกับเจียวลู่จากใจจริงในบ้านหลังนี้เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เจียวลู่แอบไปได้ยินว่าจางหมิ่นติดเงินพนันในตอนที่พวกผู้คุมบ่อนมาตามทวงหนี้ถึงหน้าบ้าน ช่วงนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเจียวลู่และจางหมิ่น เจียวลู่จึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด และโดนจางหมิ่นขู่ว่าถ้านำเรื่องไปบอกใครจะจัดการเขา เด็กน้อยที่กลัวว่าจะโดนพี่สามตี จึงปิดปากเงียบ วันต่อมาจางหมิ่นตัดสินใจขอเงินนางจ้านโดยอ้างว่านำไปลงทุน นางจ้านที่เห็นดีเห็นงามกับบุตรชายให้เงินที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไปทั้งหมด เรื่องราวเหมือนจะจบลงแค่ตรงนั้นทว่าผ่านไปเกือบเดือนจางหมิ่นกลับไปเล่นพนันอีก จนกระทั่งพวกคุมบ่อนตามมาทวงอีกรอบ คราวนี้เรื่องเลยแดงขึ้น เนื่องจากตอนนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ยกเว้นเหยาฉือที่โดนนางจ้านไล่ออกจากบ้านไปแล้ว ด้วยเงินที่ค้างไว้หลายเหรียญเงิน พวกเขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ พวกคุมบ่อนเลยจะ
“ขะ ข้าขอเวลาอีกนิด เงินจำนวนนี้ข้าต้องแบ่งจ่ายให้กับพนักงาน” เถ้าแก่ใช้จุดบอดตอนหันหลังให้พวกมัน รีบยื่นตั๋วเงิน พร้อมรับค่าธรรมเนียมมาอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวออกไปนับตั้งแต่โดนเจ้าถิ่นเข้ามาหาเรื่อง ยอดลูกค้าก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งจ่ายให้พวกมัน ทำให้บางครั้งต้องติดค่าแรงพนักงานไว้ ผัดผ่อนหลายครั้ง ควักเงินส่วนตัวออกมาจ่ายก็หลายหน จะแจ้งทางการก็กลัวอิทธิพลของพวกมันชายชราอย่างเขาทำการค้าแลกเปลี่ยนตั๋วเงินด้วยความสุจริตมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนไปสู่ลูกหลาน พวกเขาออกเรือน แยกย้ายไปสร้างครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่มีคนหนุนหลัง มีแต่สองมือที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนต่อกรกับคนเลวพวกนี้ได้ นอกจากกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายให้จบๆ“เห็นพวกข้าเป็นคนการกุศลงั้นรึ จ่ายมาเร็วๆ!!!” ชายร่างสูงใหญ่ตะคอกเสียงดัง มันไม่สนเหตุผล ข้ออ้างร้อยแปดอะไรทั้งนั้น วันนี้ต้องได้เงินกลับไปมอบให้กับนายท่าน“คนอย่างพวกเจ้ารู้จักคำว่ากุศลด้วยรึ” เจียหมิงตัดสินใจโพล่งออกไป แม้จะดูเสียมารยาท แต่อดไ
“อาหย่อยยยย” เหลียนฮวาตะโกนด้วยความสุขใจ จับแก้มกลมหลับตาพริ้ม ลิ้มรสอาหารที่ท่านพ่อท่านลุงผลัดกันป้อน โรงเตี๊ยมแห่งนี้อาหารช่างเป็นเลิศ นางมองอาหารหลายจานที่ทยอยนำมาเสิร์ฟ อาหารปรุงสุกอย่างไรก็ดีกว่าอาหารสำเร็จรูปแบบในโลกก่อนนางอยู่แล้ว เสียดายบอทเต้กับโรบอทไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ถ้าทั้งสองได้มาชิมคงจะคิดไม่ต่างกัน“โรบอทแค่เห็นเจ้านายกินก็มีความสุขแล้วขอรับ” เสียงแว่วของโรบอทดังผ่านความคิด ส่วนบอทเต้ไปปฏิบัติภารกิจที่นายท่านมอบหมายไว้อยู่ ท่านพ่อบอกว่าพวกเราไม่ต้องกลัวสายตาสงสัยของคนในหมู่บ้านอีกแล้ว สามารถใช้เงินที่หามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านลุงเองก็มีเงินเก็บเยอะขึ้น เพราะไม่ต้องมีปลิงคอยสูบเงินแถมยังออกล่าสัตว์เกือบทุกวันกับท่านพ่อ นอกจากนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นนายหน้านำของในมิตินางไปขาย นางแบ่งปันเงินแต่ล่ะส่วนที่ได้มาให้เท่ากันทุกคนทุกวันนี้ในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ท่านพ่อซื้อให้ยังนอนอยู่ในมิติ ซึ่งเต็มไปด้วยเหรียญหนักอึ้งจนยกไม่ไหว ต้องให้พ่อกับลุงช่วยยก หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมสำหรับแลกเงินกันต
“ว้าว คนเยอะมักเจ้าก่ะ” เมื่อมาถึง ทั้งสามคนตื่นเต้น มองผู้คนในเมืองหลวงที่แต่งตัวดูดี พ่อค้าแม่ค้าข้างทาง ของขายมีเยอะจนเลือกไม่ถูก หลายคนดูเหมือนมาจากตระกูลชนชั้นสูงรถม้ามีตราสัญลักษณ์เฉพาะตระกูลวิ่งขวักไขว่ไปมา“เหลียนเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆพ่อกับลุงเจ้าไว้นะ” เจียหมิงที่ลายตา เพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี คล้ายบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้น“จะ เจียหมิงเราจะไปทางไหนดี” เหยาฉือสับสน ไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน“อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” เจียหมิงก็ใช่ว่าจะรู้ทาง เขาพาทุกคนสุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ หากเจอร้านอาหารค่อยแวะปรึกษากันอีกครั้ง “เดี๋ยว พวกเจ้าจะเข้ามาในร้านไม่ได้” ในที่สุดพวกเขาก็เจอโรงเตี๊ยมอาหารขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตัดสินใจพากันเดินเข้าไปหาอะไรกิน ทว่าหญิงที่คาดว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยดักทั้งสามไว้ สายตาดูถูกมองผู้มาใหม่หัวจรดเท้า แอบชะงักชั่วครู่เมื่อกี้นางรู้สึกได้ถึงสายตากดดันจากเด็กน้อย แต่สลัดความคิดลง สงสัยจะตาฝาดไปเอง“เอ่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารหรือขอรับ” เจียหมิงถามอย่างสงสัย ไม่
“เก็บของเสร็จหรือยัง” และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป โรบอทกับบอทเต้ได้ฝึกและให้ความรู้แก่นายท่านพวกมันจนมั่นใจว่าวิชาที่มอบให้จะช่วยให้พวกเขาชนะศัตรูได้ ทั้งดาบ ธนู หอก ปืน หน้าไม้ โรบอทรับหน้าที่ฝึกให้จนชำนาญ ส่วนบอทเต้ได้มอบความรู้ด้านกลยุทธ์ แผนการและวิธีทำอาวุธใช้เอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวอักษรของโลกใบนี้บอทเต้ก็สามารถสอนได้บัดนี้นับว่าท่านพ่อและท่านลุงของนางพร้อมสำหรับการรบแล้ว ทุกวันพวกเขาจะฝึกกันถึง 3 รอบ บริเวณหลังบ้าน เพื่อไม่ให้ใครเห็น เรียกว่าเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมานี้แทบไม่มีใครเห็นตัวท่านพ่อกับท่านลุง เนื่องจากเก็บตัวเงียบ ส่วนนางก็ไม่ออกไปเล่นที่ไหน แม้เสี่ยวหยวนจะมาชวนหลายครั้งเหลียนฮวาที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าหนาๆคล้ายเสี่ยวเหมา แก้มแดงปลั่งเพราะอากาศหนาว นางสะพายกระเป๋าผ้าที่มีเสบียงของตัวเองไว้ด้านหลัง ส่วนท่านพ่อท่านลุงมีจำพวกของใช้ เสื้อผ้าในถุงผ้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน“เสดแย้ว” เหลียนฮวาชูมืออย่างดีใจ เหมือนได้ออกไปผจญภัยกับทุกคน โรบอทกับบอทเต้นางให้เข้าไปในมิติแล้ว เกรงว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะพากันตกใจ แล้วแห่มาบ้านนางไม
“แฮ่กๆ ละ ลุงต้องทำ อะ อีกกี่ครั้ง” หลี่เหยาฉือเหงื่อเปียกชุ่มเอ่ยถามหลานสาวเสียงหอบ เสื้อผ้าของเจียหมิงที่ใส่อยู่แนบลู่ติดไปกับตัว หลานสาวปลุกเขาตั้งแต่เช้าให้มาทำท่าแปลกๆที่เรียกว่าออกกำลังกาย“อีกยี่สิบครั้งเจ้าก่ะ ห้ามหยุดน้า” เหลียนฮวาให้ท่านลุงของนางทำท่าซิทอัพเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ท่าต่อไปต้องเพิ่มกล้ามแขน ส่วนท่านพ่อของนางทำครบแล้ว เพราะลดเหลือวันละเซ็ต ตอนนี้น่าจะไปส่งจดหมายให้ทางการอยู่“อ่า ฮึบ แฮ่กๆ”“18 19 20 เย้ ท่างยุงเก่งที่สุด แปะๆ” เด็กน้อยกะโดดโลดเต้นผิดกับเทรนเนอร์สุดโหดเมื่อสักครู่“แฮ่กๆ ท่าต่อไป จัดมาเลย ลุงไหว” เหยาฉือที่บ้ายอ พอโดนหลานชมเก่งที่สุดก็มีแรงฮึดสู้ ไม่หวั่นแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เข้าทางเด็กน้อยที่รอคำนี้อยู่แล้ว เวลาหนึ่งเดือนท่านพ่อและท่านลุงของนางต้องมีซิกแพ็ค เฮ้ย มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงพอที่จะจับปืน จับดาบต่อสู้กับพวกศัตรูได้อย่างไม่แพ้ใคร ครึ่งเดือนผ่านไปเคล้ง เคล้ง! “ย๊า เจียหมิง เจ้าอย่าได้ออมแรง” เสียงชายผิ
“ท่างป้อ ท่างยุง” เหลียนฮวาที่ตื่นนอนนานแล้ว ลุกมาพับที่นอน ใช้ฝักบัวน้อยๆรดน้ำผักรอท่านพ่อ พอได้ยินเสียงก็รีบวางทุกอย่างลงวิ่งดุกดิกเข้ามาหา พอเห็นว่าลุงมาด้วยก็ร้องเรียกอย่างดีใจ นางขมวดคิ้วมองสภาพของลุงที่เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นเล็กน้อย ตรงหน้าท้องมีรอยเท้าชัดเจน ใครบังอาจทำท่านลุงของนาง หลงลืมเรื่องที่ตัวเองต้องไปอยู่กับท่านลุงยามพ่อไปรบชั่วขณะ “เหลียนเอ๋อร์หลานลุง” หลี่เหยาฉืมองหลานแสนรักด้วยความคิดถึง “เกิดเยื่องไรเจ้ากะ ครายทามยุง” “เข้าบ้านกันก่อนสองลุงหลาน เราค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกที” เจียหมิงเรียกทุกคนไปคุยในบ้าน ก่อนที่เขาจะเปรยเรื่องขึ้นมา “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรต่อเจียหมิง” เหยาฉือถามหลังจากพวกเขานั่งพูดคุย โดยมีเจ้าตัวน้อยตั้งใจฟังด้วย เด็กน้อยขมวดคิ้วไม่พอใจยามได้ยินเรื่องราวของท่านลุง หนอย ยายเฒ่ามหาภัย บังอาจทำร้ายท่านลุง แค้นนี้สักวันเหลียนเอ๋อร์จะชำระให้เอง “ข้าคิดมาสักแล้วว่าจะลองส่งเรื่องร้องขอทางการ หากพวกเขาไม่เห็นด้วย ข้าจะหาทางทำทุกอย่า
“นี่ๆ เจ้าได้ยินประกาศหรือยัง” เสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่ว หลังมีประกาศเป็นราชโองการออกมา นั่นหมายถึงไม่มีใครสามารถขัดได้ ชาวบ้านหลายคนพากันร้องห่มร้องไห้ ตีระฆังร้องทุกข์ ขอคัดค้าน เนื่องจากในบ้านมีเสาหลักเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว หากต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ชีวิตคนที่เหลือต้องพบเจอความยากลำบาก บางบ้านมีบุตรชายหลายคน เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถึงขั้นต่อยตีกันเสียงดังว่าใครจะเป็นคนไป บางบ้านมีลูกรักลูกชัง การเลือกจึงไม่ใช่เรื่องยากเสียงคร่ำครวญยังดังต่อเนื่อง ชาวบ้านหลายคนสีหน้าอมทุกข์ นับตั้งแต่มีประกาศออกมา เหยาฉือและเจียมิงก็กำลังเผชิญปัญหานั้นเช่นเดียวกัน “ป้อจ๋า นุจะไปด้วย” เหลียนฮวาเบะปากน้ำตาซึม หลังท่านพ่อจะต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร นางได้ยินคนคุยกันว่าจะต้องส่งไปครอบครับละหนึ่งคน ซึ่งพวกเราแยกบ้านออกมาแล้ว ดังนั้นท่านพ่อต้องเข้าร่วมกองทัพอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่าคือการที่ท่านพ่อตัดสินใจจะพานางไปฝากเลี้ยงไว้กับบ้านเดิม“พ่อขอโทษเหลียนเอ๋อร์ แต่กองทัพอันตรายเกินไป พ่อพาลูกไปด้วยไม่ได้” เจีย