“เงินอันใด ไม่มีหรอกขอรับ” เจียหมิงตอบกลับอย่างเหนื่อยใจ ขนาดแยกบ้านมาแล้วยังมิวายตามมาไถเงินถึงหน้าบ้าน
“แล้วแกเอาเงินที่ไหนไปซื้อน้ำนมจากสะใภ้เหลียง มีคนเห็นว่าแกจ่ายไปหลายเหมา” หลี่จ้านหญิงวัยกลางคนยืนชี้นิ้วด่าลูกเลี้ยงเสียงดัง หนอย แล้วบอกไม่มีเงิน ลูกจางหมิ่นของนางไปเห็นมันเอาเงินให้ฝั่งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางมาขอเงินดีๆจากนังเหมยลี่ แต่นังนั่นกลับปฎิเสธต้องยื้อยุดอยู่นาน นางได้มาเพียงไม่กี่เหมา มาทราบเรื่องภายหลังว่าพอนางกลับไป นังเหมยลี่ก็คลอดทันที
มีอย่างที่ไหน นางอุตส่าห์ช่วยเหลือให้ที่ซุกหัวนอนทั้งที่มันไม่มีญาติมิตร ใช้งานนิดๆหน่อยกลับเป็นลมเป็นแล้ง หึ สมน้ำหน้า หมาป่าตาขาว อกตัญญูแบบนี้ก็สมควรตายๆไปซะ
“จำเป็นต้องบอกด้วยหรือขอรับ ส่วนเงินนั่นเป็นเงินที่ข้าซื้อน้ำนมให้เหลียนเอ๋อร์” เจียหมิงขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจ แค่เรื่องที่บ้านใหญ่เป็นสาเหตุให้เมียเขาคลอดก่อนกำหนดยังไม่ได้สะสาง เจีงหมิงคิดถึงตอนที่เขาบากหน้าไปขอซื้อนมจากคนในหมู่บ้าน ไม่มีหญิงพึ่งคลอดบุตรคนใด นอกจากสะใภ้เหลียงที่ช่วยเหลือ แต่ด้วยความรู้นิสัยบ้านนั้นดีเลยไม่ได้ขอเปล่า จ่ายเงินไป 3 เหมา แต่สะใภ้เหลียงนางแอบให้น้ำนมมาเพิ่มเพราะรู้สึกสงสารเหลียนฮวา
“แล้วที่แกบอกข้าว่าไม่มีเงิน !” หลี่จ้านไม่ยอมแพ้ ยังไงวันนี้นางก็ต้องเอาเงินจากมันมาให้ได้
“ไม่มีเงินสำหรับให้คนอื่น กลับไปซะเถอะขอรับ ก่อนจะแจ้งทางการข้อหาบุกรุก” เจียหมิงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ไม่มีทางยอมบ้านหลักกดขี่อีกต่อไปแล้ว ตลอดระยะเวลาที่อาศัยบ้านนั้นมาตั้งแต่เด็ก หลังจากมารดาเสีย ไม่กี่ปีต่อมาบิดาได้พาหลี่จ้านเข้าบ้าน ซึ่งนางมีลูกติดมาด้วยชื่อจางหมิ่น ปัจจุบันอายุ 17 และซิงอี 15
ตอนนั้นทั้งเจียหมิงและเหยาฉือยังเด็ก ดีใจกระโดดโลดเต้นที่จะมีมารดาแบบเด็กบ้านอื่นแล้ว แม้จะเป็นมารดาเลี้ยงก็ตาม ทว่าดีใจได้ไม่นาน นิสัยแท้จริงหลี่จ้านเริ่มออก ต่อหน้าพ่อชาง นางขยันทำงานบ้าน ทำกับข้าวไว้ให้ พอลับหลังเด็กตระกูลหลี่ทั้งสองกลับถูกใช้งานเยี่ยงทาส งานทุกอย่างที่นางเคยทำมักจะโยนมาให้พวกเขา
ลูกๆของนางยังชี้นิ้วสั่ง ทั้งคู่จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ไม่ปริปากบ่น จนกระทั่งนางจ้านคลอดบุตรชายให้บิดาคนหนึ่งชื่อเจียวลู่ ปีนี้ 8 หนาว จากนั้นนางก็ทำตัวเป็นใหญ่ในบ้าน เงินหาได้ทุกเหรียญต้องเข้ากองกลาง แต่คนหากลับมีเพียงเจียหมิงกับเหยาฉือที่ได้เงินจากการล่าสัตว์
ส่วนพ่อเฒ่าชางที่ป่วยกระปอดกระแปดก็ทำไร่ ทำนา บ้านหลี่แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ยากจนเนื่องจากมีที่ทางที่ชางชุนและภรรยาเดิมนั่นคือแม่ของเจียหมิงและเหยาฉือสร้างด้วยกันมาหลายแปลง โชคดีช่วงชางชุนมีชีวิตอยู่ ตอนหลี่เจียหมิงขอแยกบ้าน เขาได้แบ่งที่ดินให้ลูกชายคนรอง หลังจากนั้นไม่นานชางชุนได้เสียจากอาการป่วยรุมเร้า
“หนอย !”
ระหว่างนั้นเองเหลียนฮวาที่ชะเง้อหูฟังมาตั้งแต่ต้น คิดว่าต้องทำบางอย่างช่วยท่านพ่อให้หลุดพ้นจากการปะทะกับผู้หญิงปากร้าย
“อุแว้ อุแว้” เหลียนฮวาตะโกนร้องเสียงดังลั่น สามบ้าน แปดบ้าน ไม่ได้ยินให้มันรู้ไป
“เหลียนเอ๋อร์...” เจียหมิงได้ยินบุตรสาวร้องจึงทิ้งทุกอย่างรีบเข้าไปในบ้าน ไม่ได้มองสีหน้าไม่พอใจของนางจ้าน ส่วนต้นเหตุของเรื่องเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็ตะโกนด่าแข่งกับเสียงเด็กทารก แต่หูของเจียหมิงกลับได้ยินแต่เพียงเสียงเด็กน้อยเท่านั้น
นางจ้านเมื่อรู้ว่าทำอะไรเจียหมิงไม่ได้ เหลือบไปเห็นไก่ป่า 2 ตัวที่เจียหมิงนำกลับมาจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ นางหยิบไก่ป่าพร้อมเดินออกไปพร้อมบุตรสาวอย่างอารมณ์ดี
“มาแล้วๆ ตื่นแล้วหรือลูก” เจียหมิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาบุตรสาว ก่อนจะเข้าไปก็แวะล้างมือให้สะอาด เกรงว่านางจะเป็นอะไร หน้ากลมๆแดงก่ำ น้ำมูกไหลอย่างน่าสงสาร เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเบาๆอย่างทะนุถนอม
“แอ้ !” เหลียนฮวาเมื่อพบหน้าบิดาก็หยุดร้องไห้ทันที มิวายคลี่ยิ้มหวานอย่างเอาใจขัดกับหน้าที่แดงเนื่องจากตะเบ่งเสียงร้องไห้
“เป็นอันใด หรือว่าร้องไห้เพราะไม่เห็นพ่อหรือ” เจียหมิงใช้เสียงสอง เสียงสามคุยกับบุตรสาว พอได้เห็นรอยยิ้มหวานของเด็กน้อย ใจขุ่นมัวจากเรื่องเมื่อครู่ คล้ายได้รับการเยียวยา
“จริงสิ พ่อล่าไก่ป่าได้มา 2 ตัว อีกสักพักจะเอาไปขาย เอาเงินมาซื้อนมให้หนู” เจียหมิงทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ พูดอวดกับลูกก่อนจะรีบวิ่งไปดูหน้าบ้านเพราะนึกขึ้นได้ว่าเขาเผลอวางไก่ป่าสองตัวไว้ เสียงของแม่เลี้ยงก็เงียบลง คาดว่าน่าจะกลับไปตั้งแต่เขาเดินเข้าบ้าน
ทว่าพอไปถึงกลับต้องผิดหวัง เมื่อไก่ป่าที่เขาล่าได้หายไป ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันที แม่เลี้ยงขโมยไก่ไปแล้ว พลันรู้สึกโกรธจนต้องกำหมัดแน่น เมื่อไรเขาจะหลุดพ้นจากคำว่ากตัญญูเสียที ที่ผ่านมาก็ยอมนางมาตลอด ทั้งเงินที่หามาได้ตอนอยู่บ้านหลักเขาก็ไม่ได้เอาออกมาสักเหรียญเดียว
เจียหมิงโกรธมากแต่พอคิดว่าทำอะไรไม่ได้ ป่านนี้ไก่ป่าคงไม่เหลือแล้ว จึงเดินคอตกเก็บผักป่าที่หามาได้ไปไว้ในครัว
“เจียหมิง เจียหมิง” เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากรั้วไม้เก่าๆของบ้าน
“พี่ใหญ่ เข้ามาด้านในก่อนขอรับ” เจียหมิงเดินออกมาพบพี่ใหญ่ พี่ชายคนเดียวของเขา พี่ใหญ่เป็นชายร่างสูง ผิวคล้ำแดด หน้าตานับว่าคมคาย ทั้งที่ตอนนี้อายุ 20 แต่ยังไม่ได้ออกเรือน เพราะไม่มีเงินค่าสินสอด ส่วนเงินกองกลางมีหรือแม่เลี้ยงจะยอมให้ หลังจากแยกบ้านก็มีเพียงพี่ใหญ่คนเดียวที่คอยช่วยเหลือ ล่าสัตว์ หาของป่ามาฝากหลายครั้ง
“ไม่เป็นไรข้ามาไม่นาน เมื่อครู่ข้าเห็นท่านแม่ถือไก่กลับมา ข้าคิดว่าน่าจะเป็นของเจ้า นี่เป็นไก่สองตัวจากที่บ้าน ถึงจะตัวไม่ใหญ่เท่า แต่ข้าขอนำมาคืนให้” เหยาฉือมองน้องชายคนรองอย่างสงสารระคนเห็นใจ หลังจากสูญเสียเหมยลี่ เจียหมิงต้องรับหน้าที่ดูแลเด็กอีกคนหนึ่ง นึกถึงแม่เลี้ยงของเขาก็อดระอาใจไม่ได้ นับวันนางยิ่งร้ายกาจ ครั้นจะแยกบ้านออกไปเชกเช่นเจียหมิงก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหาเพราะเป็นบุตรคนโตมีหน้าที่เลี้ยงดูบิดามารดา หากแต่บิดาเสียไปแล้ว จึงเหลือแค่นางที่เป็นแม่เลี้ยง
“ท่านจะไม่มีปัญหาภายหลังหรือพี่ใหญ่” เจียหมิงเอ่ยเป็นกังวล ด้วยรู้นิสัยนางจ้านดี
“ไม่หรอก ถึงมีข้าก็คิดว่าข้าแก้ปัญหาได้ เจ้าเอาไปเถอะ มันเป็นของเจ้า”
“ขอบคุณขอรับ” เมื่อได้ยินเหยาฉือพูดเสียงหนักแน่น ก็คลายกังวลไปบ้าง ยินดีรับไก่สองตัวนี้มา เพราะอย่างไรเขาก็ต้องนำไปแลกเงินเพื่อซ้ำน้ำนมให้บุตรสาว ทั้งที่เขาแยกบ้านออกมาแล้ว ทว่าพี่ใหญ่ต้องคอยมาช่วยเหลือตลอด เจียหมิงเก็บบุญคุณนี้ไว้ในใจ ต่อไปถ้าพี่ใหญ่มีเรื่องลำบากหรือมีอยากให้ช่วย เขายินดีจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
“เสียดายวันนี้ข้าต้องกลับแล้ว ฝากบอกหลานสาวด้วยนะ วันหลังลุงจะมาหาใหม่พร้อมของรับขวัญ” เหยาฉือพูดอย่างละอายใจ ทั้งที่นางเป็นหลานสาวคนแรก กลับไม่มีของขวัญดีๆมอบให้
“อย่าได้เกรงใจเลยพี่ใหญ่ ส่วนบุตรสาวไว้ข้าจะบอกนางให้แน่นอน” เจิยหมิงรู้ว่าอีกฝ่ายคงอยากมีของขวัญเล็กๆน้อยๆมอบให้เหลียนฮวา แม้จะอยากบอกว่าไม่จำเป็นแต่ถ้าเป็นความตั้งใจของพี่ชาย เขาก็ไม่ขัดข้อง อย่างน้อยก็มีท่านลุงของนางที่ยังรักและเอ็นดู
3 เดือนผ่านไป
“ฮวาเอ๋อร์ วันนี้พ่อจะขึ้นเขาหน่อยนะ” เจียหมิงบอกลูกสาวที่นอนดูดนิ้ว ตาแป๋ว กะว่าหากเด็กน้อยนอนหลับแล้วจะขึ้นเขาไปหาของป่า กับดักที่ทำไว้คราก่อนยังไม่มีเวลาไปดู เนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก
เจียหมิงมักจะพูดคุยกับเหลียนฮวาเสมอ แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กทารก ไม่รู้ทำไมเมื่อเห็นดวงตากลมโตของบุตรสาวที่มองมาอย่างตั้งใจฟังคล้ายเข้าใจ ทำให้เขาอยากเล่าเรื่องหรือพูดคุยกับลูก
นับจากวันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาหลายเดือน เขาที่พอทำใจจากการจากไปของเหมยลี่ได้แล้ว ทุกครั้งจะนึกเสมอว่านางไม่ได้ไปไหนไกล นางจะอยู่ภายในใจของเขาและลูก โตขึ้นเขาจะบอกให้เหลียนฮวารู้เองว่ามารดารักนางมากขนาดไหน
เจียหมิงมองบุตรสาวตัวอ้วนถ้วนจากวันแรกขึ้นมากโข หน้าตาชัดขึ้น เป็นส่วนผสมลงตัวของทั้งเขาและแม่ของนาง ปากนิด จมูกหน่อย แพขนตายาวล้อมรอบตากลมโต นัยน์ตาดำขลับ แขนขาเป็นมัด เหมือนก้อนซาลาเปา อีกทั้งยังรู้ความมาก เลี้ยงง่าย ไม่เคยงอแงให้เหนื่อยเลย กินนมเสร็จ พอเขาอุ้มพาดบ่าให้นางเรอออก ตามคำแนะนำของหมอผู้เฒ่าจากนั้นก็นอนหลับทันที
“แอ้ แอ้” เสียงเด็กทารกดังขึ้น คล้ายบอกว่าวันนี้อย่างไรก็ไม่ยอม จะขอตามไปด้วย
“เจ้าตามพ่อไปไม่ได้ มันอันตราย” เจียหมิงแสร้งเอ่ยดุไม่จริงจัง ไม่รู้ว่าบุตรสาวหมายความแบบนี้หรือไม่ แต่ด้วยความช่างคุยของเขาเลยตีความไปแบบนั้น
“แอ้ !” เหลียนฮวาได้ยินนางจึงเถียงกลับ ยกแขนเป็นปล้องขึ้นคล้ายบอกว่าไม่เป็นอันใด นางแข็งแรงมาก เจียหมิงเห็นก็ใจอ่อนระทวยในความน่ารักของบุตรสาว ช่างรู้ความเหลือเกินลูกเอ้ย
“ต่อให้ลูกทำตัวน่ารักน่าชัง พ่อก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ” แม้ภายในจะเริ่มหวั่นๆเต็มที
“แอ้ ฮะ ฮึก” แบบนี้ต้องใช้ท่าไม้ตาย แสร้งบีบน้ำตาให้บิดาเห็นใจ มืออวบๆก็คว้ามือใหญ่มากุมแก้มป่องไว้ น้ำตาเม็ดโตๆไหลลงมาเหมือนสั่งได้
“อึก อะแฮ่ม จะไปกับพ่อมิใช่หรือ หยุดร้องก่อน พ่อยอมแล้ว” เจียหมิงถึงกับสะอึกในท่าทางของลูก จะบอกว่าเขาเป็นบิดาที่แพ้น้ำตาของบุตรสาวก็ไม่แปลกนัก สุดท้ายจึงยินยอมให้นางไปด้วย
“ฮี่ๆ คิกๆ” พอได้ยินประโยคนั้นน้ำตาของบุตรสาวตัวน้อยก็หยุดดั่งใจสั่ง หันมายิ้มหวานให้ มันน่าหมั่นเขี้ยวจริงๆ เจียหมิงใช้นิ้วเขี่ยแก้มซาลาเปาของหนูน้อย
“ฮึบ อยู่นิ่งๆในนั้นนะ” เจียหมิงสวมชุดที่หนากว่าปกติให้ลูก เนื่องจากอากาศด้านนอกเริ่มหนาว มองดูดีๆคล้ายเกี๊ยวตัวอ้วนขาว เหลียนฮวากลายร่างเป็นหมีโคอาล่าอยู่ในตะกร้าหวายด้านหลังผู้เป็นบิดา โผล่ออกมาเพียงหน้ากลมๆ
“แอะ!” รับคำไม่เต็มเสียงนัก เนื่องจากอากาศที่หนาว เมื่อเริ่มปรับตัวได้เด็กน้อยมองบิดาเดินขึ้นเขาเงียบๆ พอเดินมาได้สักระยะ จู่ๆเหลียนฮวาที่มองซ้ายทีขวากลับตาโต ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น ในโลกเดิมของนางมันเป็นสิ่งล้ำค่าเชียวนะเพราะความหายาก
“ว่าไงลูก” เจียหมิงจดจ่อกับการหาผักป่า เหลียวหลังไปมองบุตรสาว
“แอ้ งื้อ” เจ้าตัวอวบดีดดิ้นดีใจ ดวงตากลมโตจ้องบางอย่างบนพื้นดินพลางน้ำลายไหลเยิ้ม ‘เธอไม่ได้อยากมีสภาพแบบนี้เลย แต่เด็กทารกมันควบคุมร่างกายลำบาก’
“โอ้ ฮวาเอ๋อร์หิวแล้วหรือ แต่เจ้าสิ่งนั้นมันกินไม่ได้นะลูก” เจียหมิงที่มองท่าทางของบุตรสาวก็คาดเดาว่านางน่าจะหิว จึงหยิบขวมนมในย่ามส่งให้ ทว่านางกลับส่ายหน้าไม่สนใจ สายตาจ้องหัวมันที่โผล่พ้นจากพื้นไม่ยอมละไปไหน ใช่แล้ว เจ้าสิ่งนั้นที่บุตรสาวเขาสนใจเป็นหัวมันที่ไม่มีใครกินกันเพราะเคยมีคนนำมันมากินแล้วผื่นขึ้นเต็มตัว ชาวบ้านจึงบอกต่อๆกันว่ามีพิษ
“มะ หม่ำ” เหลียนฮวาใช้ความพยายามในการออกเสียง นางอยากบอกท่านพ่อเหลือเกินว่ามันกินได้ ดูตรงนู้นนั่นสิมีหัวมันหวานขนาดใหญ่ด้วย นึกพลางน้ำลายไหลย้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จะให้ท่านพ่อขุดกลับไปให้หมดเลย “ถึงอย่างไรก็กินไม่ได้ มันมีพิษ” แม้จะดีใจที่บุตรสาวพูดคำอื่นได้บ้างแล้ว แต่พอเห็นดวงตาเป็นประกายของลูกก็ยิ้มระคนเอ็นดูในความช่างจ้อ เอื้อมหยิบผ้าสะอาดในอกมาเช็ดน้ำลาย เอ่ยอธิบายเสมือนเด็กน้อยเข้าใจสิ่งที่พูด หมับ “แอ้ !” เมื่อเห็นบิดากำลังจะเดินไปอีกทางแต่มีหรือที่นางจะยอม คว้าหมับที่คอเสื้อแล้วใช้สายตาออดอ้อนท่าไม้ตาย เบะปาก ส่งตาปริบๆไปให้คนเป็นพ่อใจอ่อน “พ่อไม่เคยชนะเจ้าเลย...” เจียหมิงพูดอย่างปลงๆกับตัวเอง ทำให้ตัวต้นเหตุดีดดิ้นกรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างดีใจ “อ๊ายย คิกๆ” “ลองเก็บกลับมาเพียงนิดเดียว หากลูกเห็นว่ามันกินไม่ได้จริงๆ ต้องยอมให้พ่อเอาไปทิ้งนะ” เจียหมิงเอ่ยพลางใช้กิ่งไม้แข็งแรงแถวนั้นขุดเอาหัวมันขึ้นมาจากใต้ดิน ได้ 2-3 หัวใหญ่ก็พอ “อื้อ !” “อันนั้นด้วยหรือ…” เจียหมิงได้ยินเสียงร้องเรียกข
‘พร้อมครับ’ ทั้งสองตอบพร้อมกัน ก่อนที่เหลียนฮวาจะคิดว่า พวกเขาอยู่ภายในตึก วูบบบบบ ‘ได้จริงๆเจ้านาย ตอนนี้พวกเราอยู่ในตึก !’ บอทเต้พูดอย่างดีใจ พลางมองสำรวจพื้นที่ที่เข้ามาใหม่ พบว่าในตึกว่าห้องแบ่งออกเป็นหลายห้อง แต่ละห้องมีหุ่นยนต์กำลังทำงานของมันอยู่ “ยังเหมือนเดิมสินะ” เหลียนฮวาดีใจไม่แตกต่างกัน อย่างน้อยตึกเอไอจะได้มีคนคอยคุมไม่ให้พวกเอไอสร้างสิ่งของออกมาเกินความจำเป็น ‘เจ้านายจะให้พวกเราช่วยอะไรไหมครับ’ “ฉันฝากพวกนายคุมพวกเจ้าหุ่นยนต์แรงงานพวกนั้นไม่ให้ผลิตของมากเกินไป ฉันกลัวจะล้นคลังเก็บของ” ‘ได้ครับ’ บอทเต้รับคำงานนี้มันถนัด “อ้อ อีกอย่าง ช่วยชงนมให้ฉันหน่อยได้ไหม” เหลียนฮวาพูดอย่างอายๆ ในโลกก่อนเธอโตจนสามารถดูแลตัวเองได้ มาตอนนี้เธอกลับทำอะไรเองไม่ได้เลย นอกจากกินและนอน ‘โรบอทชงเองครับ !’ บอทเต้ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด โรบอทรีบชิงพูดตัดหน้าอย่างตื่นเต้น มันชอบเจ้านายในร่างเด็ก เพราะถูกสร้างมาในขณะที่เจ้านายโตแล้ว ไม่เหมือนบอทเต้ที่พูดจาโอ้อวดมันตลอดตั้งแต่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมว่าเ
“มากันครบแล้วหรือยัง” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนถามทุกคน วันนี้ชายชรารับหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูแลความเรียบร้อย พร้อมอธิบายกฎของหมู่บ้านก่อนการเดินทาง ส่วนเรื่องล่าสัตว์เขาให้บุตรชายนามว่าซูเหวินไปแทน เพราะเรื่องนี้เจ้าตัวถนัดนัก อีกทั้งเขาผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยังอายุมากแล้ว “ครบแล้วขอรับ” “ดีๆ จากนี้ขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย หมู่บ้านเรายังยึดกฎเดิม ห้ามเข้าไปในป่าด้านใน ห้ามให้คนนอกเข้าร่วม เนื้อที่ล่ามาได้แบ่งเท่ากันทุกบ้านที่เข้าร่วม” ชายชราเอ่ยอธิบายกฎการล่าสัตว์ของหมู่บ้าน ที่ต้องพูดก่อนเพราะเหมือนครั้งนี้จะมีหน้าใหม่เข้าร่วมหลายคน เขาจึงได้รับการไหว้วานจากโม่โฉวให้มาช่วยแนะนำเด็กใหม่ “กฎมิให้คนนอกเข้าร่วมมิใช่หรือ” จางหมิ่นหรือลูกเลี้ยงของนางจ้านพูดขึ้นลอยๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เดิมทีต้องเป็นเหยาฉือผู้เป็นผู้นำของบ้านเข้าร่วม ทว่าแม่ของเขายังตึงกับอีกฝ่ายเพราะทะเลาะกันคราก่อนที่เหยาฉือนำไก่เลี้ยงของบ้านไปให้ไอ้คนนอกตระกูล พอมีคนไปบอกที่บ้านว่าจะมีการล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งเหยาฉือออกไปทำงานข้างนอกไม่อยู่บ้าน ท่านแม่จึงไ
“เราพบซากสัตว์นอนตายอยู่” เมื่อมาถึงชาวบ้านคนเดิมได้ชี้ให้ดูจุดที่พวกเขาเห็น “แย่ล่ะ ศพพวกมันคล้ายโดนตัวอะไรกัดกิน” โม่โฉวอึ้งกับภาพตรงหน้า มองซากสัตว์ที่กำลังนอนตายเกลื่อน สภาพทุกตัวมีบาดแผลเหวอะหวะจากการฉีกกระชาก จนเห็นเครื่องในไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วป่า จากเลือดที่ยังสดอยู่ น่าจะตายได้ไม่นานนัก คล้ายเจ้าสัตว์ตัวต้นเหตุต้องการเพียงล่าเท่านั้น ที่คิดว่าเป็นสัตว์เพราะมีรอยเขี้ยวฝังบนร่างของสัตว์ที่นอนตายอยู่ อวัยวะภายในยังอยู่ครบ ไม่มีร่องรอยถูกกินแม้แต่น้อย สัตว์ชนิดใดหนอช่างฆ่าได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่แน่มันอาจจะยังไปไหนได้ไม่ไกล ชายวัยกลางคนวิเคราะห์ มองเห็นชาวบ้านบางคนกำลังอาเจียนอยู่ แม้โม่โฉวที่ล่าสัตว์ตั้งแต่เด็กจนคิดว่าตัวเองนั้นชินกับภาพแบบนี้แล้ว ก็ยังมีอาการผะอืดผะอม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นสัตว์ที่ล่าได้น่ากลัวขนาดนี้ เพราะตามวิสัยพวกมันจะล่าแค่พอกินสำหรับฝูงมันเท่านั้น ไม่ใช่ล่าแล้วปล่อยร่างทิ้งไว้ จนเป็นภาพสยดสยองดั่งเบื้องหน้า “ระ เราจะทำอย่างไรต่อดี ขะ ขอรับ” ชาวบ้านอีกคนพูดตะกุกตะกัก หวาดกลัวไม่ต่างจากคนอื่น
“ฮ่าๆ ฤดูหนาวนี้เรารอดแล้วๆ” โม่โฉวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อกลุ่มพวกเขาล่าสัตว์ได้หลายตัว มีทั้งหมูป่า กวาง และกระต่ายป่า เห็นทีวันนี้ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งเพียงพอต่อฤดูหนาวแน่ “พวกเรากลับกันเถอะขอรับ ข้าว่าสัตว์ป่าแถวนี้เริ่มหายไปแล้ว” เจียหมิงมองรอบๆ แล้วเอ่ยเตือน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาว ไม่รู้นางเป็นอย่างไรบ้าง จะงอแงหรือไม่ “ได้ๆ วันนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้ากับซูเหวินเลยนะ นอกจากจะล่ากันเองได้หลายตัวแล้ว ยังพาพวกเรามาชี้จุดสัตว์ป่าอีก” แม้จะเอ่ยขอบคุณไปก่อนหน้าแล้วแต่โม่โฉวก็รู้ว่าไม่อาจมองข้ามสิ่งที่ทั้งสองทำ “เราล่าต่อกันอีกดีกว่า ยังมีสัตว์บางตัวหลงเหลืออยู่…” จางหมิ่นพูดขึ้น มองสัตว์ที่ทุกคนล่าได้สายตาเต็มไปด้วยความโลภ แม้เขาจะไม่ได้ช่วยล่า แต่ก็อยู่ในกลุ่มการล่าครั้งนี้ อย่างไรส่วนนึงก็ต้องเป็นของเขา จางหมิ่นตะล่อมให้ทุกคนอยู่ต่อ จนลืมว่าก่อนหน้าพวกเขาไปเจอกับอะไรมา โดยไม่ฟังคำเตือนของเจียหมิง “หากฟ้ามืดลงแล้วเกิดมีใครได้รับอันตรายขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” เจียหมิงพูดมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“มะ ไม่จริงใช่ไหม” ซูเหวินคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นพลันน้ำตาไหล มันหลอกพวกเขาว่าวิ่งตามหลัง แท้จริงแล้วกลับวิ่งไปดักด้านหน้า ตอนนี้ชาวบ้านคนอื่นๆคง... “เราไม่ได้ยินเสียงร้อง อาจจะเป็นเลือดของสัตว์ตัวอื่นก็ได้” โม่โฉวกำหมัดแน่น รู้สึกสะเทือนใจเมื่อตอนที่เห็นเลือดก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น เนื่องจากทิศทางที่มันยืนอยู่เป็นทางที่ชาวบ้านวิ่งไป แต่ยังฝืนเปล่งเสียงพูดเพื่อปลอบใจทุกคนรวมถึงตนเอง โฮกกก เจ้าสัตว์ประหลาดคำรามลั่น มันมีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งที่มันชอบคือเหยื่อที่เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำให้มันต้องมีสภาพแบบนี้... เดิมทีมันเป็นสิงโต ได้ตายลงไปแล้วจากการล่าของพวกทหารชั่ว ทว่าคนที่พวกมนุษย์เรียกว่าหมอผีกลับชุบชีวิตมันกลับมา และทดลองกับร่างกายนี้สารพัด ถลกหนัง ผ่าร่าง เอาเขาของสัตว์ชนิดอื่นมาเย็บติดกับหัว ศักดิ์ศรีเจ้าป่าที่มันทะนงตัวมาตลอดไม่มีเหลือ มัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด” เจ้าหน้าที่ทางการสอบถามชายวัยกลางคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางมองบรรยากาศรอบๆที่วุ่นวายไม่น้อย สภาพชาวบ้านบางคนที่ยังขวัญเสีย บางคนกำลังถูกรักษาโดยหมอที่โดนเรียกตัวมากะทันหัน สังเกตจากบาดแผลแล้วน่าจะเป็นสัตว์ร้ายมากกว่า “ขะ ขอรับ แม้พวกข้าจะเห็นไม่ชัด ตะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” โม่โฉวอธิบายเสียงสั่น หวนนึกถึงตอนเจอกับเจ้าสัตว์ที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพแล้วใจเต้นด้วยความหวาดกลัว ทว่าภายในใจก็อยากให้ทางการรีบไปช่วยเจียหมิงเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร เขากับซูเหวินพากันหามจางหมิ่นมาถึงหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนได้ไม่นาน สภาพร่างกายหลายคนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจึงสั่งให้ชาวบ้านรีบไปตามหมอกับทางการมา ท่ามกลางความตกใจและแตกตื่นของคนในหมู่บ้านที่เหลือ “เราไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทั้งยังมืดนัก หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจ้าหน้าที่อาจเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าสายตากลับแอบเหลือบมองไปยังชายสวมหมวก ร่างกายสูงใหญ่ มีกลิ่นอายน่ายำเกรงอย่างหวั่นๆตลอดเวลา
“แอ้ แอ้” แปะ แปะ “อึก โอ้ย” เจียหมิงเริ่มรู้สึกตัวเพราะอาการเจ็บบาดแผล เขาค่อยๆลืมตา ภาพเลือนรางค่อยๆแจ่มจัดขึ้น นี่เขากลับมานอนบ้านแล้วหรือนี่ “แอ้” “เหลียนเอ๋อร์ลูกพ่อ” มองก้อนซาลาเปากลมๆที่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขา ความรู้สึกเจ็บจิ๊ดก่อนลืมตาคงเป็นเพราะนางอยากปลุกเขาให้รู้สึกตัว พลันกระชับอ้อมกอดด้วยความคิดถึง เกือบไม่ได้กลับมาหาบุตรสาวแล้ว สำรวจร่างกายตัวเองพบว่าบาดแผลได้ถูกรักษาแถมยังพันผ้าบริเวณบาดแผลไว้เกือบทั้งตัว ความรู้สึกเจ็บแล่นทั่วร่างแต่เขาทำได้แค่อดทนไว้ บุตรสาวเขาฉลาดเกินวัยนัก ไม่อยากให้นางเห็นภาพอันน่าอนาจ “ตื่นแล้วหรือเจียหมิง” “ลุงโม่” เจ้าของชื่อพยายามลุกขึ้น ทว่ากลับโดนเสียงห้ามปรามจากอีกฝ่าย “เจ้าควรพักผ่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องที่เหลือต่อสักหน่อย” โม่โฉวเพียงอยากเข้ามาให้เห็นกับตาว่าชายหนุ่มไม่เป็นอะไรเท่านั้น เขายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากโข ทั้งเรื่องศพ เรื่องครอบครัวผู้เสียชีวิต มองดูชายหนุ่มเห็นว่ารู้สึกตัวดีก็ทำท่าจะเดินออกไป “ดะ เดี๋ยวขอรับ แล้ว...” “ข้ารู้ว่า
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก