“ฮ่าๆ ฤดูหนาวนี้เรารอดแล้วๆ” โม่โฉวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อกลุ่มพวกเขาล่าสัตว์ได้หลายตัว มีทั้งหมูป่า กวาง และกระต่ายป่า เห็นทีวันนี้ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งเพียงพอต่อฤดูหนาวแน่
“พวกเรากลับกันเถอะขอรับ ข้าว่าสัตว์ป่าแถวนี้เริ่มหายไปแล้ว” เจียหมิงมองรอบๆ แล้วเอ่ยเตือน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาว ไม่รู้นางเป็นอย่างไรบ้าง จะงอแงหรือไม่
“ได้ๆ วันนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้ากับซูเหวินเลยนะ นอกจากจะล่ากันเองได้หลายตัวแล้ว ยังพาพวกเรามาชี้จุดสัตว์ป่าอีก” แม้จะเอ่ยขอบคุณไปก่อนหน้าแล้วแต่โม่โฉวก็รู้ว่าไม่อาจมองข้ามสิ่งที่ทั้งสองทำ
“เราล่าต่อกันอีกดีกว่า ยังมีสัตว์บางตัวหลงเหลืออยู่…” จางหมิ่นพูดขึ้น มองสัตว์ที่ทุกคนล่าได้สายตาเต็มไปด้วยความโลภ แม้เขาจะไม่ได้ช่วยล่า แต่ก็อยู่ในกลุ่มการล่าครั้งนี้ อย่างไรส่วนนึงก็ต้องเป็นของเขา จางหมิ่นตะล่อมให้ทุกคนอยู่ต่อ จนลืมว่าก่อนหน้าพวกเขาไปเจอกับอะไรมา โดยไม่ฟังคำเตือนของเจียหมิง
“หากฟ้ามืดลงแล้วเกิดมีใครได้รับอันตรายขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” เจียหมิงพูดมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“ละ แล้วมีโอกาสแบบนี้บ่อยๆเสียทีไหน ข้าก็แค่อยากให้ทุกคนล่าได้มากขึ้น” จางหมิ่นเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ หวังพูดให้ชาวบ้านคนอื่นคล้อยตาม แท้จริงแล้วไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะได้มากน้อยแค่ไหน สนใจเพียงวันนี้ตนเองจะได้ส่วนแบ่งเนื้อเป็นจำนวนที่มากโข
“แต่ว่า…” โม่โฉวเห็นด้วยกับเจียหมิงเพราะหากช้ากว่านี้ท้องฟ้าจะมืดลง อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยล่ากันดึกขนาดนี้มาก่อน แต่ก่อนจะได้พูดอะไรนั้น
“ข้าเห็นด้วยกับจางหมิ่นนะขอรับ อย่างไรเสียสัตว์ก็เหลือเพียงไม่กี่ตัว หลังจากนี้ไม่รู้เมื่อไรที่เราจะได้กลับมาล่าอีก” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น พอเข้าฤดูหนาว สัตว์ส่วนใหญ่จะจำศีล จึงอยากกักตุนเสบียงให้ได้มากที่สุด ด้วยความที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจน เนื้อสัตว์จึงเป็นอะไรที่พวกเขาแทบไม่เคยได้แตะ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงหวังว่าการล่าครั้งนี้จะได้เนื้อสัตว์มากักตุนในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ไม่ได้มีโอกาสง่ายๆที่สัตว์จะอยู่รวมกันให้ล่าอย่างเช่นวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสนับสนุนความคิดของจางหมิ่น แม้จะรู้ว่าหากฟ้าเริ่มมืดมิดอาจเป็นอันตราย แต่ก็อยากลองเสี่ยงดู
“ใช่ๆ เราล่าต่ออีกสักนิดเถอะ” พอเริ่มมีคนออกความเห็น ชาวบ้านคนอื่นๆจึงเริ่มคิดและคล้อยตาม โม่โฉวได้แต่ทำหน้าอึกอัก ครั้นจะเอ่ยห้ามปราม เจียหมิงก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเสียงส่วนมากบอกให้อยู่ต่อ สุดท้ายพวกเขาจึงล่าสัตว์ต่อแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำ ท่ามกลางสีหน้าเยาะเย้ยของจางหมิ่นที่ส่งมาให้
อีกด้าน
“อื้อ”
“ท่านแม่ เจ้าก้องตื่นแย้วขอยับ !” เสี่ยวหยวนหรือโม่หยวนที่นอนเล่นข้างๆกันตะโกนเรียกมารดาตามคำสั่งก่อนหน้าว่าหากนางตื่นให้ตะโกนเรียกดังๆ
เมื่อเช้าเด็กน้อยเห็นมารดาอุ้มเด็กทารกมาให้ดู พร้อมแนะนำว่าเป็นเพื่อนใหม่ ชื่อเหลียนฮวา ตอนนี้ยังเดินไม่ได้ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตากลับเป็นแก้มกลมๆนั่น ชั่งคล้ายลูกซาลาเปาที่เสี่ยวหยวนชอบกิน เด็กน้อยจึงเรียกเพื่อนใหม่ว่าเจ้าก้อน
“ตื่นแล้วหรือเหลียนเอ๋อร์” สะใภ้โม่เข้ามาดูบุตรสาวของเจียหมิงที่ฝากนางเลี้ยงไว้ เด็กน้อยช่างเลี้ยงง่าย กินง่ายเหลือเกิน นางให้ดื่มนมจากขวดไม่นานก็หลับ ตื่นอีกทีช่วงบ่าย ตื่นมาก็ชะง้อคอมองคาดว่าน่าจะมองหาผู้เป็นพ่อ จนนางต้องเอ่ยบอกว่ายังไม่กลับ ปกติกลุ่มชาวบ้านเวลาออกไปล่าสัตว์จะกลับช่วงเย็นๆ พอนางบอกไปแบบนั้นเด็กน้อยก็หดคอมามองนางคล้ายฟังรู้เรื่อง เล่นเอาใจแทบสลายไปกับความน่ารักนี้ นึกอยากเอ่ยปากขอบุตรสาวคนอื่นมาเลี้ยงเป็นครั้งแรกเลย
“แอ้” เด็กน้อยมองซ้าย มองขวาหาผู้เป็นพ่อ เพราะคิดว่านี่น่าจะเย็น ได้เวลาพ่อกลับมาแล้ว
“เฮ้อ ยังไม่กลับกันเลย นี่ก็เย็นแล้ว” สะใภ้โม่ส่ายหน้า สายตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อกี้นางก็ออกไปคุยกับสะใภ้บ้านอื่นมา ทุกคนต่างห่วงสามีตนเอง เพราะไม่เคยกลับช้าแบบนี้
จะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาไหมนะ
“ฟู่ว สุดท้ายก็มืดจนได้” ซูเหวินเป่าปากพ่นไอเย็น กอดตัวเองเพราะความหนาว ความมืดมิดคืบคลาน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ป่า ถ้าไม่ได้แสงจากคบไฟต้องหลงทางเป็นแน่
“หึ ไม่พอใจหรือที่ชาวบ้านทุกคนเชื่อข้า” จางหมิ่นได้โอกาสตีเนียนมาเดินข้างๆ ถือหางว่าคนส่วนใหญ่เข้าข้างตนเอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย แต่สายตากลับมองไปยังเจียหมิง
“เจ้าอย่าหาเรื่องไปหน่อยเลย อย่าคิดว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับเจ้า แล้วพวกข้าจะต้องเห็นด้วย” ซูเหวินตอบกลับไป ส่วนเจียหมิงนั้นมัวแต่สนใจป่ารอบๆเพราะมันเงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงร้องของสัตว์
“แต่ทุกคนก็ฟังข้ามะ...”
“เงียบ !” จู่ๆเจียหมิงที่มองไปยังป่าด้านหลังที่พวกเขาเดินแล้วพบถึงสิ่งปกติ พูดบอกให้ทั้งสองเงียบ จนทั้งคู่ชะงักเพราะไม่เคยได้ยินเจียหมิงใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน
“จะ เจีย…” ซูเหวินถึงกับต้องเรียกชื่อเพื่อน เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวแปลกไป
“มีบางอย่างกำลังมา” เจียหมิงกลับยกมือไว้บนริมฝีปาก เพื่อบอกให้เงียบลง นั่นทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับมองไปที่เจียหมิงอย่างสงสัย พลันความเงียบเข้าครอบคลุม รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก
ครืดดด ครืดดดดด
“นะ นั่นเสียง…”
“หากข้าให้สัญญาณ ทุกคนวิ่งให้ไวเลยนะขอรับ” เจียหมิงพูดเบาราวกับกระซิบ ทว่าเสียงของชายหนุ่มกลับดังก้องในหูทุกคนที่กำลังใจเต้นด้วยความกลัว
ฟึบบ
“วิ่ง!!” เจียหมิงขว้างไฟในมือไปยังด้านหลังเพื่อดูว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ หากว่าเมื่อหันกลับไปต้องตะลึงกับภาพที่เห็น สัตว์สี่ขาหน้าตาน่ากลัว ขนของมันคล้ายโดนถลกไปจนเห็นผิวเนื้อที่เต็มไปด้วยเลือด มีเขายาวสองข้าง ไม่ใช่เขาไม่กลัวแต่พราะเขานึกถึงบุตรสาว ทำให้มีความกล้าเพิ่มมากขึ้น จนเผลอสบตากับดวงตาสีแดงอำมหิตของมัน พอกระทบกับแสงไฟที่สาดส่องทำให้ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก มันจ้องมองพวกเขาไม่ต่างจากเหยื่อตาไม่กระพริบ เสียงลากเมื่อกี้คงเป็นร่างกวางที่มันคาบอยู่ครูดไปกับพื้น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นสัตว์ชนิดนี้มาก่อน
นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน....
“โฮกกก” สัตว์ทดลองเมื่อเห็นเหยื่อของมันกำลังวิ่งหนี จึงร้องคำรามดังลั่น มันทิ้งร่างในปาก ถ้าเขาไม่ได้ดูผิดไประหว่างสบตาเหมือนมันจะชะงักเพียงครู่เดียวก่อนจะวิ่งไล่ตามมาด้วย มันคงมองเห็นในช่วงเวลากลางคืนเป็นอย่างดี
“อ๊ะ หมูป่าของข้า !” จางหมิ่นที่ยังห่วงสัตว์ที่ล่ามาได้ ถึงกับร้องขึ้นเมื่อพวกเขาไม่สามารถวิ่งโดยแบกร่างของมัน ชาวบ้านบางคนจึงได้โยนร่างหมูป่าทิ้งไป
“ไม่ต้องสนใจ รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน” เจียหมิงเรียกสติ พร้อมกับดึงแขนจางหมิ่นให้วิ่งไปด้วยกัน ทว่าอีกฝ่ายกลับสะบัดทิ้ง เข้าไปลากร่างหมูป่าอย่างบ้าคลั่ง
“เจียหมิงหยุดทำไมหรือ” ซูเหวินเห็นเพื่อนหยุดวิ่ง ได้เอ่ยถาม เมื่อมองไปด้านหลังก็เห็นชายหนุ่มกำลังช่วยจางหมิ่นลากหมูบ้านอย่างเป็นเอาตาย เขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปช่วยอีกแรงพร้อมกับลุงโม่ที่เห็นเหมือนกัน
ตุ้บ ตุ้บ เสียงทุกคนช่วยกันแบกร่างหมูป่าพร้อมกับวิ่งไปด้วย จนกลุ่มพวกเขาอยู่รั้งท้าย ทว่าวิ่งไปด้วยแบกไปด้วยได้ไม่นานทุกคนก็เริ่มหมดแรง
“แฮ่กๆ มันยังตามมาอยู่ไหม” ซูเหวินที่เหนื่อยหอบถึงกับนอนแผ่หลาหมดแรง
“แฮ่ก น่าจะไม่แล้ว” โม่โฉวที่สภาพไม่ต่างกัน เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรตามมา จึงเอ่ยตอบไป
“มะ มันคือตัวอะไรกันแน่” เมื่อได้พักสักครู่ ซูเหวินหันมาถามเพื่อนที่ทำหน้านิ่ง ตอนเจียหมิงขว้างไฟไปด้านหลังเขาไม่แม้แต่จะกล้ามอง ทำได้เพียงออกตัววิ่งตามคำสั่ง
“มันคือสัตว์ประหลาด” เจียหมิงที่ตอนนี้ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ จะมีเพียงเหงื่อที่ไหล เขาไม่รู้จะให้นิยามของมันว่าอะไรนอกจากคำนี้
“สัตว์ประหลาด!!” ทั้งสามได้ยินถึงกับอุทานอย่างไม่เชื่อหู
“จะ เจ้ากลัวจนเบลอแล้วหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร” จางหมิ่นเอ่ยเสียงสั่น เพราะเขาก็ไม่กล้ามองไปด้านหลังเช่นเดียวกัน
“จริงหรือเจียหมิง” โม่โฉวที่ไม่แสดงอาการใดๆเอ่ยถามย้ำเจียหมิงอีกรอบ โดยปกติแล้วนิสัยของชายคนนี้เป็นคนไม่โกหก จึงไม่มีอะไรให้ต้องไม่เชื่อ
“ขอรับ” เจียหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราต้องรีบกลับไปยังหมู่บ้าน เพื่อแจ้งทางการ” โม่โฉวบอกทุกคน ไม่รู้ว่าชาวบ้านคนอื่นๆจะถึงหมู่บ้านแล้วหรือยัง เพราะวิ่งนำพวกเขาไปก่อนแล้ว
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันขอรับ” ภูเขาแห่งนี้อยู่ใกล้กับหลายหมู่บ้านด้วยกัน จะให้สัตว์ประหลาดหลุดออกไปไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรได้รับอันตรายจากมันทั้งนั้น เจียหมิงคิด
“งั้นเรา…” ก่อนที่ทุกคนจะได้ตัดสินใจเดินทางต่อ จู่ๆเจ้าสัตว์ประหลาดก็มาโผล่ทางด้านหน้าพวกเขาเงียบๆ ทำเอาทุกคนชะงักงัน จางหมิ่นถึงกับสั่นกลัวจนฉี่ราด ก้าวขาไม่ออกเมื่อมองเห็นมันชัดๆ เขาเชื่อแล้วว่าสัตว์ประหลาดมีอยู่จริง เพราะไม่มีคำไหนที่จะบ่งบอกถึงมันได้เท่าคำนี้แล้ว
แฮร่
แสงไฟจากคบไฟที่โม่โฉวถืออยู่ ทำให้ทุกคนเห็นภาพเลือดที่ยังสดใหม่หยดลงจากปากของมัน
เลือดยังสด...
อย่าบอกนะ !
“มะ ไม่จริงใช่ไหม” ซูเหวินคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นพลันน้ำตาไหล มันหลอกพวกเขาว่าวิ่งตามหลัง แท้จริงแล้วกลับวิ่งไปดักด้านหน้า ตอนนี้ชาวบ้านคนอื่นๆคง... “เราไม่ได้ยินเสียงร้อง อาจจะเป็นเลือดของสัตว์ตัวอื่นก็ได้” โม่โฉวกำหมัดแน่น รู้สึกสะเทือนใจเมื่อตอนที่เห็นเลือดก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น เนื่องจากทิศทางที่มันยืนอยู่เป็นทางที่ชาวบ้านวิ่งไป แต่ยังฝืนเปล่งเสียงพูดเพื่อปลอบใจทุกคนรวมถึงตนเอง โฮกกก เจ้าสัตว์ประหลาดคำรามลั่น มันมีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งที่มันชอบคือเหยื่อที่เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำให้มันต้องมีสภาพแบบนี้... เดิมทีมันเป็นสิงโต ได้ตายลงไปแล้วจากการล่าของพวกทหารชั่ว ทว่าคนที่พวกมนุษย์เรียกว่าหมอผีกลับชุบชีวิตมันกลับมา และทดลองกับร่างกายนี้สารพัด ถลกหนัง ผ่าร่าง เอาเขาของสัตว์ชนิดอื่นมาเย็บติดกับหัว ศักดิ์ศรีเจ้าป่าที่มันทะนงตัวมาตลอดไม่มีเหลือ มัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด” เจ้าหน้าที่ทางการสอบถามชายวัยกลางคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางมองบรรยากาศรอบๆที่วุ่นวายไม่น้อย สภาพชาวบ้านบางคนที่ยังขวัญเสีย บางคนกำลังถูกรักษาโดยหมอที่โดนเรียกตัวมากะทันหัน สังเกตจากบาดแผลแล้วน่าจะเป็นสัตว์ร้ายมากกว่า “ขะ ขอรับ แม้พวกข้าจะเห็นไม่ชัด ตะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” โม่โฉวอธิบายเสียงสั่น หวนนึกถึงตอนเจอกับเจ้าสัตว์ที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพแล้วใจเต้นด้วยความหวาดกลัว ทว่าภายในใจก็อยากให้ทางการรีบไปช่วยเจียหมิงเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร เขากับซูเหวินพากันหามจางหมิ่นมาถึงหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนได้ไม่นาน สภาพร่างกายหลายคนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจึงสั่งให้ชาวบ้านรีบไปตามหมอกับทางการมา ท่ามกลางความตกใจและแตกตื่นของคนในหมู่บ้านที่เหลือ “เราไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทั้งยังมืดนัก หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจ้าหน้าที่อาจเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าสายตากลับแอบเหลือบมองไปยังชายสวมหมวก ร่างกายสูงใหญ่ มีกลิ่นอายน่ายำเกรงอย่างหวั่นๆตลอดเวลา
“แอ้ แอ้” แปะ แปะ “อึก โอ้ย” เจียหมิงเริ่มรู้สึกตัวเพราะอาการเจ็บบาดแผล เขาค่อยๆลืมตา ภาพเลือนรางค่อยๆแจ่มจัดขึ้น นี่เขากลับมานอนบ้านแล้วหรือนี่ “แอ้” “เหลียนเอ๋อร์ลูกพ่อ” มองก้อนซาลาเปากลมๆที่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขา ความรู้สึกเจ็บจิ๊ดก่อนลืมตาคงเป็นเพราะนางอยากปลุกเขาให้รู้สึกตัว พลันกระชับอ้อมกอดด้วยความคิดถึง เกือบไม่ได้กลับมาหาบุตรสาวแล้ว สำรวจร่างกายตัวเองพบว่าบาดแผลได้ถูกรักษาแถมยังพันผ้าบริเวณบาดแผลไว้เกือบทั้งตัว ความรู้สึกเจ็บแล่นทั่วร่างแต่เขาทำได้แค่อดทนไว้ บุตรสาวเขาฉลาดเกินวัยนัก ไม่อยากให้นางเห็นภาพอันน่าอนาจ “ตื่นแล้วหรือเจียหมิง” “ลุงโม่” เจ้าของชื่อพยายามลุกขึ้น ทว่ากลับโดนเสียงห้ามปรามจากอีกฝ่าย “เจ้าควรพักผ่อน ข้าจะไปจัดการเรื่องที่เหลือต่อสักหน่อย” โม่โฉวเพียงอยากเข้ามาให้เห็นกับตาว่าชายหนุ่มไม่เป็นอะไรเท่านั้น เขายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากโข ทั้งเรื่องศพ เรื่องครอบครัวผู้เสียชีวิต มองดูชายหนุ่มเห็นว่ารู้สึกตัวดีก็ทำท่าจะเดินออกไป “ดะ เดี๋ยวขอรับ แล้ว...” “ข้ารู้ว่า
หลายวันต่อมา หลังจากทางการนำประกาศห้ามขึ้นภูเขามาติดไว้ลานกลางหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนออกมาประท้วงเนื่องจากหลายครอบครัวมีฐานะยากจน อยู่ได้ด้วยการหาของป่า ทว่าผู้นำหมู่บ้านซึ่งได้รับมอบหมายจากทางการก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รับหน้าที่ในการแจ้งข่าวและลงชื่อแจกจ่ายเบี้ยเลี้ยงสำหรับทุกครัวเรือน ครัวละ 50 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากสำหรับครอบครัวชาวบ้านทั่วไป เงินจำนวนนี้หากใช้อย่างประหยัด ครอบครัวหนึ่งสามารถอยู่ได้หลายเดือนเลยทีเดียว นับว่าท่านเจ้าหน้าที่ทางการมีเมตตายิ่งที่แจกจ่ายเงินจำนวนนี้ให้กับหมู่บ้านบริเวณรอบๆภูเขาทุกครัวเรือนอย่างไม่มีตกหล่น สถานการณ์จึงคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเงินจำนวนไม่น้อยนี้ บางครอบครับจึงรีบมุ่งหน้าซื้อของที่ตลาดมากักตุนเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากถือเป็นเหรียญเงินที่เสี่ยงต่อการขโมยได้ง่าย บางบ้านถึงกับต้องปิดตัวเงียบเพื่อที่ไม่ให้เป็นที่โดดเด่น โดยเฉพาะพวกโจรที่หวังจะมาปล้น “เปิดประตู!!” ทว่านั่นไม่ใช่กับบ้านของเจียหมิงที่มีเสียงโหวกเวกโวยวายหลายเค่อดังไม่ลดละที่หน้าบ้านราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย “เจ้าหมาป่าตาขาวข้าบอกให้
หลังจากคุยกับพวกบอทเต้เสร็จ ก็ถึงเวลาตื่นนอนพอดี เธอลืมตาตื่นพบว่าท่านพ่อนอนหลับข้างๆ ด้วยความอ่อนเพลีย ไม่อยากรบกวนจึงเรียกขวดนมที่โรบอทชงให้ออกมาจากมิติ นอนดูดมองนั่นนี่ไปเรื่อย สักพักท่านพ่อก็ตื่น “หืม ตื่นแล้วหรือลูก” “แอ้ บา บู้” เจียหมิงสะลึมสะลือหลังจากตื่นขึ้น เขาสะดุ้งตื่นหลังกินยาที่ท่านหมอให้แล้วเผลอหลับไป มองบุตรสาวที่นอนอารมณ์ดี ใช้มือป้อมสั้นทั้งสองข้างประคองขวดนม ส่วนขาอวบๆยกไขว่ห้างสบายใจ เจียหมิงขยี้ตา มองภาพนั้นนิ่งงัน บุตรสาวฉลาดเกินวัยนัก ทั้งกินนมเอง ไหนจะท่านอนที่ไม่เหมาะกับกุลสตรีนั่นอีก ว่าแต่เขาชงนมทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไร สงสัยช่วงนี้กินยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม สมองเบลอ หลงลืมไปชั่วขณะ “แอ้ ปะ ปา” เหลียนฮวาเห็นท่านพ่อตื่นขึ้นมา จะเอาขวดนมที่กินอยู่เก็บก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หากท่านพ่อจับได้เธอจะเปิดเผยความจริง แม้จะพูดไม่ได้ก็เถอะ ทว่าดูเหมือนเธอจะดูถูกความหลงลูกสาวของท่านพ่อน้อยไป นอกจากจะไม่สงสัยแล้ว ยังเอ่ยชมเสียยกใหญ่ ตัวแค่นี้รู้จักหยิบนมกินเอง “หากอิ่มแล้วพ่อจะพาไปเดินเล่น”
หลายวันต่อมาหลังจากท่านลุงเดินทางกลับด้วยท่าทีอิดออด คงเพราะยังอยากเล่นกับหลานสาวผู้น่ารักอย่างนาง กิจวัตรประจำวันของทารกก็ไม่มีอะไรมาก นั่งๆ นอนๆ แล้วก็กิน ส่วนท่านพ่อก็ออกไปซ่อมรั้วให้แข็งแรงขึ้น ไม่ก็ลงแปลงปลูกผักบ้าง อ้อ มีอีกอย่าง ท่านพ่อมักหยิบอาวุธกระบองที่นางแอบนำไปวางในย่ามอย่างยากลำบากก่อนเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเช็ดๆถูๆอยู่ทุกวัน ดูท่าจะหวงไม่น้อย วนเวียนอยู่แบบนี้ “ฮึบ อีกนิดลูกสาวพ่อ” “แอ้ ปะ ปะ” เหลียนฮวาเกร็งตัวเพื่อคว่ำจนหน้าดำหน้าแดง เหลือบมองท่าทีของผู้เป็นพ่อที่ลุ้นยิ่งกว่า ฮึบ ฮึบ ต้องทำให้ได้ อีกนิดเดียวเท่านั้น ฟุบบ และแล้วความพยายามก็สำเร็จผล ฟอดด “เก่งมาก” ได้รางวัลเป็นการหอมแก้มฟอดใหญ่จากท่านพ่อที่ลุ้นจนตัวโก่ง จะมีเด็กวัยเพียง 3 เดือนกว่าที่ไหน พลิกคว่ำตัวได้แล้วบ้าง แม้จะมีพุงกลมๆเป็นอุปสรรค เหลียนฮวาอยากอวดพ่อเหลือเกินว่านางพลิกตัวได้ตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทว่าหลังๆที่ไม่เห็นนางพลิกตัวโชว์เพราะนางอ้วนขึ้นเลยขี้เกียจพลิกตัว “ปะ ปะ หม่ำๆ” เจ้าร่างกายทารกนี่พอออกแรงหน่อย
“ช่วยอย่าส่งเสียงดังด้วยนะขอรับ บุตรสาวข้า...” ระหว่างที่เจียหมิงกำลังพาทุกคนเข้ามาในบ้าน เพราะไม่อาจให้คุยกันนอกบ้านได้ เกรงว่าจะมีคนบังเอิญผ่านมาเห็นเข้า เขากำลังบอกให้ทุกคนเงียบๆ เพราะบุตรสาวเขาน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปกลับต้องหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งไปบังบุตรสาวไว้ เหลียนเอ๋อเล่นเขาเข้าแล้วไง “แอะ ปะ ปะ” “ฮ่าๆ ท่านอนดื่มนมของบุตรสาวเจ้า ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ” เป่ยหวงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนทหารที่เหลือ ขนาดได้ชื่อว่าเป็นพวกยิ้มยาก ยังแอบยิ้มขำ เมื่อเห็นร่างอวบอ้วนของเด็กน้อยนอนกินนมในท่าไขว้ห้าง เท้าป้อมๆกระดิกไปมา เป็นภาพแปลกตา หากฮูหยินหรือสตรีในเมืองหลวงเห็นคงต้องยกมือทาบอก อุทานอย่างตกใจเป็นแน่ นางเห็นพวกเขาที่ตัวใหญ่โตแทนที่จะตกใจ ร้องไห้อย่างเด็กทั่วไป กลับยิ้มแย้มยกมือโบกทักทายผู้เป็นพ่อ ครอบครัวนี้ช่างเปิดโลกแม่ทัพอย่างเขาดีแท้ “นะ นางแค่นอนในท่านี้แล้วสบาย ข้าไม่อยากบังคับลูก” เจียหมิงแก้ตัวแทนบุตรสาวด้วยสีหน้าเลิ่กลัก หันไปจัดท่านอนให้นางใหม่ “หึๆ ข้าเข้าใจ” เป่ยหวงมองตัวน้อยอย่างย
และแล้วก็ถึงวันนัดหมายเดินทาง ทางการส่งแม่นมหลวงและผู้ช่วยมาอย่างละคน ทั้งสองที่เคยทำหน้าที่ดูแลแต่เด็กบ้านที่มีฐานะ อย่างเช่น ขุนนาง ตระกูลพ่อค้าร่ำรวย พอมาเห็นบ้านที่ทางการส่งพวกนางมาก็ถึงกลับชะงัก ไม่คิดว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดา ด้วยความเป็นมืออาชีพไม่นานก็ทำความเข้าใจได้ โดยเฉพาะแม่นมหลวงที่รับหน้าที่เลี้ยงดูบุตรหลานของพวกมีอันจะกินมาหลายบ้าน เรียกว่าใครๆก็อยากได้ตัวนางไปเลี้ยงดูบุตรหลานให้ เพราะนอกจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาแล้ว ยังบ่งบอกถึงความร่ำรวย เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าแม่นมหลวง เพราะเป็นแม่นมของทางการ ไม่ใช่แค่มีเงินจะสามารถจ้างได้ แต่ต้องได้รับการยอมรับจากทางการก่อนด้วย “ไม่รู้ว่าจะต้องไปกี่วัน พ่อต้องคิดถึงเจ้ามากแน่ๆ” เจียหมิงที่กำลังเอ่ยร่ำลาบุตรสาวอาลัยอาวรณ์ รอบๆมีชาวบ้านคนอื่นมาส่ง แต่ส่วนใหญ่จะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า เมื่อเห็นชายหลายคนมาออกันที่บ้านของเจียหมิง คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ จึงพากันกระจายข่าว ทำให้ชาวบ้านหลายคนแห่กันมายืนออที่ริมรั้ว ส่วนซูหวินและโม่โฉวที่ทราบเรื่องคร่าวๆจ
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก