“แม่นางเหมย เบ่งอีกนิดนะ” หมอตำแยบอกหญิงนางหนึ่งอายุไม่เกิน 18 ปี ที่ร้องอย่างเจ็บปวดเนื่องจากกำลังจะคลอดท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ครืนนน ซ่า
“อะ โอ้ย ข้าเจ็บเหลือเกิน...”
“อีกนิดเดียว เด็กกำลังกลับหัว” หมอหญิงวัยชราผู้ทำคลอดเอ่ยบอก มือพยายามบีบนวดหน้าท้องให้เด็กกลับหัว
“อึก ขะ ข้าไม่ไหว”
“เด็กกลับหัวแล้ว เบ่งอีก”
“มะ ไม่ไหว แล้ว ฝะ ฝากลูกข้าด้วย กรี๊ดดดดด”
“แม่นางเหมย แม่นาง !!” หมอชราส่งเสียงเรียกหญิงที่ได้เป็นแม่คนแล้วดังลั่น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไปหลังเบ่งบุตรสาวออกมา จับชีพจรจึงพบว่าอีกฝ่ายได้เสียชีวิตลงแล้ว จ้องมองเด็กน้อยตัวขาวจ้ำม่ำไม่เหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วยความเศร้าใจ
เกิดมาก็กำพร้าแม่เลยหรือนี่
ผ่าง
“เมียข้าเป็นอย่างไรบ้าง !” หลี่เจียหมิง เปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ความตื่นเต้นทำให้เขาเผลอพรวดพราดเข้ามาอย่างอดใจไม่ไหว เมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของเมียรัก ทว่ากลับต้องตกตะลึงเมื่อพบร่างขาวซีดของเหมยลี่นอนนิ่ง หันไปหาหมอตำแยเพื่อฟังคำอธิบาย ทว่านอกจากหญิงชราจะไม่พูดอันใด ยังส่ายหน้ามองร่างที่นอนแน่นิ่งด้วยความเศร้าใจ
“เหมยลี่ ฮึก !” เจียหมิงรีบเข้าไปกุมมือเย็นเฉียบของฮูหยินไว้ มือหนาสั่นทำอะไรไม่ถูก น้ำตาหลั่งไหลออกมา ภาพเหตุการณ์มากมายพรั่งพรูเข้ามาตั้งแต่เขาพบเธอระหว่างขึ้นเขาล่าสัตว์ ตอนนั้นอายุเพียง 16 และเหมยลี่ 14 ปี หญิงคนเดียวท่ามกลางป่าเขาไม่มีญาติสหายที่ไหนเขาจึงพากลับมายังหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ แรกๆครอบครัวเขาก็ต้อนรับเธออย่างดี ภายหลังจึงมารู้ว่าเพราะเห็นแก่ของมีค่าที่ติดตัวเหมยลี่มา แต่พอนานไป ทางบ้านเขาใช้สารพัดวิธีนำสิ่งของที่ติดตัวเธอมาไปขายแลกกับเงินไม่กี่เหรียญเงินและอ้างว่าเพื่อนำมาใช้จ่าย ด้วยความโลภและใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายของคนในครอบครัว พอเงินหมดทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากตอนแรกต้อนรับ หลังมากลับผลักไส ใช้งานหนักจนเป็นลมหลายต่อหลายครั้ง
สุดท้ายเขาทนไม่ไหวพาเหมยลี่แยกบ้านออกมาอยู่กันสองคน แม้ไม่มีการหมั้นหมายหรือสู่ขอตามธรรมเนียม มีเพียงสัญญาปากเปล่าว่าจะดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั่งเหมยลี่ตั้งครรภ์ มิวายบ้านหลักยังมารังควาน รีดไถเงินจากเหมยลี่บ่อยครั้งเมื่อตอนเขาออกไปล่าสัตว์ ทว่าครั้งนี้กลับหนักกว่าทุกครั้งเพราะการฉุดกระชากเศษเงินเพียงไม่กี่เหมานั้นทำให้เหมยลี่เกิดเจ็บท้อง เป็นเหตุให้คลอดก่อนกำหนด
“นางไปสบายแล้ว เหลือแต่บุตรสาวให้เจ้าได้ดูแล” หมอชราทำคลอดผ่านประสบการณ์มาหลายครั้ง มีหลายบ้านที่คลอดออกมาแล้วแม่เด็กตาย หรือตายทั้งคู่ แม้จะสงสาร แต่ก็เป็นภาพที่ชินตา มือเหี่ยวย่นใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดเด็กน้อย พยายามตบหลังให้เด็กส่งเสียงออกมา แต่เด็กน้อยกลับทำเพียงเบะปากเท่านั้น
“ฮึก ๆ พี่สัญญาจะดูแลลูกของเราเป็นอย่างดี” เจียหมิงเอ่ยพูดกับร่างไร้ลมหายใจของเหมยลี่ พลางมองบุตรสาวที่จ้องเขาตาแป๋วอย่างไม่เกรงกลัวด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก
“อุแว้ อุแว้”
“ขอบคุณขอรับท่านหมอ โอ๋ๆ ข้าขออุ้มนางเองได้หรือไม่” เจียหมิงขอบคุณแม่หมอที่ทำคลอด อยากลองอุ้มบุตรสาวดู แม้ท่าทางจะเก้ๆกังๆก็ตาม
“รับไปสิ” ว่าพลางยื่นเด็กทารกให้ นึกสงสัยนางตบหลังเด็กน้อยแปะๆ ตั้งนาน กลับไม่ร้องสักแอะเด็กน้อยกลับดื้อรั้น มองตาแป๋วเหมือนเดิม แต่พอได้ยินพวกเขาคุยกันคล้ายพอจับใจความได้กลับส่งเสียงร้องไห้ออกมา หญิงชราสลัดความคิดไร้สาระนั้น เด็กทารกจะมีความคิดได้คิดอย่างไร มีเพียงสัญชาตญาณของเด็กที่พอหิวก็ร้องเท่านั้น
“เอ่อ ละ ลูกพ่อ” เจียหมิงทำตัวไม่ถูก พึ่งเคยมีลูกครั้งแรก ดีที่แม่หมอสอนหลายอย่าง เจียหมิงอุ้มบุตรสาวอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวจะทำให้นางเจ็บ บุตรสาวของเขาช่างน่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน ปากนิด จมูกหน่อย แก้มจ้ำม่ำ ผิวขาวราวหิมะคล้ายผู้เป็นแม่ จะมีเพียงดวงตาดับขลับที่เหมือนเขา ดวงตาของเด็กน้อยยังเอ่อไปด้วยน้ำตา นางหยุดร้องไห้แล้วเหลือเพียงเจือสะอื้น ปัญหาตอนนี้เขาต้องหาแม่นมให้นาง ท่ามกลางความกระวนกระวายใจของผู้เป็นพ่อ ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดเด็กน้อยเลย
‘มืดจัง’
‘อึดอัดมาก’
“โอ้ยย ออกมาสักทีเถอะลูก” โมนิก้าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องด้วยความเจ็บปวด บอกให้ออกไปสักที แต่จะออกได้อย่างไรในนี้ทั้งมืดทั้งอึดอัด
“แม่นางเหมย เบ่งอีกนิดนะ” หืม เบ่งงั้นเหรอ เหตุการณ์คุ้นๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย หรือว่าที่ฟ้าผ่าครานั้นจะทำให้เธอกลับมายังโลกที่ควรจะอยู่ตามที่แม่บอก
“อะ โอ้ย ข้าเจ็บเหลือเกิน...” เสียงผู้หญิงคนเดิมร้องขึ้นดึงให้สติกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง
“อีกนิดเดียว เด็กกำลังกลับหัว” ชัดเลย เธอกำลังเกิดใหม่ ไม่ได้การละต้องช่วยแม่ในโลกนี้
“อึก ขะ ข้าไม่ไหว” แต่เสียงของแม่คนใหม่ช่างดูเจ็บปวดและแหบแห้งเหลือเกิน
ฮึบ สู้เขาสิโมนิก้า แค่กลับหัวแล้วออกไปโลดแล่นโลกภายนอกเอง
“เด็กกลับหัวแล้ว เบ่งอีก”
“มะ ไม่ไหว แล้ว ฝะ ฝากลูกข้าด้วย กรี๊ดดดดด”
ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว เด็กทารกเห็นเพียงภาพเบลอๆมองซ้ายทีขวาทีอย่างมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งโผล่เข้ามา คาดว่าน่าจะเป็นพ่อในโลกใหม่ของเธอ
“เมียข้าเป็นอย่างไรบ้าง !” เสียงคนเข้ามาใหม่ดังขึ้นอย่างร้อนรน
“เหมยลี่ ฮึก !” เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ โมนิก้าหันขวับมองภาพตรงหน้าทันที แม้จะเห็นเพียงภาพเบลอแต่ก็พอเดาเอา
“นางไปสบายแล้ว เหลือแต่บุตรสาวให้เจ้าได้ดูแล” ได้ยินคำพูดหมอทำคลอด ยิ่งตอกย้ำว่าแม่ในโลกใหม่ของเธอเสียไปแล้ว คิดได้ดังนั้นเธอจึงเบะปากคล้ายจะร้องไห้ สวรรค์ไม่เห็นใจให้เธอได้มีโอกาสอยู่กับแม่บ้างเลยหรือ นี่คือสิ่งที่แม่เธอขอโทษในประโยคสุดท้ายที่เธอนึกถึงก่อนมาเกิดใหม่ใช่หรือไม่
“ฮึก ๆ พี่สัญญาจะดูแลลูกของเราเป็นอย่างดี”
“อุแว้ อุแว้” เมื่อได้ยินพ่อพูดดังนั้น จึงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงร้องลั่นบ้าน ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเพียงเสียงทารกเท่านั้น
“ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจียหมิง”
“ข้าเดินไปส่งขอรับ”
“ไม่ต้อง ๆ เจ้าดูแลบุตรสาว จัดการร่างของเมียเจ้าเถอะ อย่าลืมตั้งชื่อให้นางด้วยล่ะ” หมอชราเอ่ยทักท้วงพ่อมือใหม่อย่างเจียหมิงที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นจนลืมบางอย่างไป
“ขอบคุณท่านหมอขอรับ” หลี่เจียหมิงเหมือนคิดได้ว่ามีสิ่งที่ต้องจัดการต่อจากนี้ ดวงตาจึงฉายแววเศร้าขึ้นมาทันที เมียของเขาเคยบอกหากว่าสักวันหนึ่งนางเป็นอะไรไป ให้จัดการฝังหลุมศพที่ป่าหลังเขาเงียบๆ ไม่ต้องมีการจัดงานใดๆ ฉะนั้นเขาจึงทำตามเจตจำนงของนาง
“แอ้ !”
“พ่อมาแล้ว ๆ หิวไหมฮวาเอ๋อร์” บ้านของเขาอยู่ติดกับป่านอกหมู่บ้านแต่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เนื่องจากพอแยกครอบครัวออกมา พ่อของเขาที่เสียไปแล้วให้ที่ดินผืนนึง นี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เขามี หลังจากจัดการฝังศพนางเสร็จ เขาได้เดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อไปขอซื้อน้ำนมจากแม่ลูกอ่อนมาให้ เหลียนฮวา
ใช่แล้ว บุตรสาวของเขามีชื่อว่าเหลียนฮวา เนื่องจากสังเกตเห็นปานตรงข้อมือคล้ายดอกบัว เลยตั้งชื่อว่าเหลียนฮวา ซึ่งแปลว่าดอกบัวตามปานของนาง เขาชื่นชอบชื่อนี้ไม่น้อย เหลียนเอ๋อร์เปรียบเสมือนดอกไม้ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว ที่เขาต้องปกป้องดูแลให้ดี ชดเชยแทนแม่ของนางหรือเมียรักของเขาที่ด่วนจากไปก่อนวัยอันควรด้วย
“จ๊วบ จ๊วบ”
“ค่อยๆกินลูก ประเดี๋ยวสำลัก” เจียหมิงมองเด็กน้อยดูดน้ำนมจากขวดนมที่เขาเอาเงินเก็บที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปซื้อมา พอมองนางตั้งหน้าตั้งตาดูดนมเข้าอึกใหญ่ เขาก็บอกกับตัวเองจะต้องทำงานหาเงินเยอะๆ เพื่อหาซื้อน้ำนมให้นางกิน มองบุตรสาวกินนมเพียงไม่นานตานางก็ปรือหลังลง
กินเก่ง เลี้ยงง่ายจริงบุตรสาวเขา
เจียหมิงส่ายหน้ากับท่านอนน่ารัก ก้นโด่งของบุตรสาว เมื่อเด็กน้อยหลับสนิทแล้ว เขาจึงตัดสินใจแบกกระบุงไปล่าสัตว์ หาของป่ามาขาย
‘เฮ้อ ท่านพ่อไปแล้ว’ เหลียนฮวาหลี่ตามองเมื่อเห็นว่าพ่อของนางออกไปด้านนอกแล้ว จึงลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตที่เริ่มปรับสภาพการมองเห็นชัดขึ้นได้มองไปรอบๆพบว่าครอบครัวนี้ยากจนจริงๆ บ้านไม้เก่าๆ เรียกว่าบ้านก็ไม่ถูก น่าจะเรียกว่ากระท่อมมากกว่า การแต่งกายของคนที่นี่ก็แปลกประหลาด บ้านเรือนก็แตกต่างจากโลกเก่าของนาง แต่สิ่งที่นางกลับคุ้นเคยที่สุดน่าจะเป็นท่านพ่อคนใหม่ เธอรู้สึกถึงความรักความผูกพันกับเจ้าของร่างไม่ต่างจากพ่อคนเก่าเลยสักนิด อีกทั้งยามมองใบหน้าพ่อคนใหม่ ใบหน้าปะป๊ากลับทับซ้อนมา เธอเชื่อเรื่องโชคชะตา ขนาดคนที่สูญเสียพ่ออย่างเธอ ยังได้รับโอกาสกลับมาเกิดใหม่ให้มีพ่อ แม้รูปลักษณ์จะไม่เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกบ่งบอกว่านี่คือพ่อคนเดิมของนางแน่ๆ
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะปกป้องท่านพ่อคนนี้ให้ได้
“ฮึบ ๆ” เหลียนฮวาพยายามพลิกตัวไปมา จะมีเด็กทารกคนไหนบ้าง เกิดได้เพียงวันเดียวสามารถพลิกตัวได้แบบเธอ ฮึๆ เธอนี่มันอัจฉริยะจริงๆ
เมื่อพลิกตัวสำเร็จ เหลียนฮวาจึงเริ่มสำรวจรอยสักรูปดอกบัวที่ติดตัวมายังโลกนี้ด้วย แต่ไม่ว่าจะลูบอย่างไรมันก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆ หรือเป็นเพราะว่าร่างนี้ยังเด็กเกินไป งั้นลองทำแบบดู
วูบบบ
ออกมาจริงด้วย เหลียนฮวาลองคิดถึงนมผง จู่ๆนมผงยี่ห้อดังในโลกก่อนก็ปรากฏขึ้น ทว่าออกมาเป็นกล่องยังไม่แกะแบบนี้เธอจะทำยังไง ชงออกมาให้หน่อยก็ไม่ได้ โอดครวญไม่นานก็เก็บกลับเข้าไป
ฮื่อ อยากกินนมผงมากกว่า เธอไม่รู้ว่าท่านพ่อเอาน้ำนมจากไหนมาให้ แต่จืดชืด เหมือนกินน้ำเปล่าที่มีรสคาว ทำอย่างไรได้ในเมื่อนางหิวมาก ท่านพ่อเอาอะไรมาให้ก็ต้องกิน ไม่มีโอกาสได้เลือก
ปัง ปัง
“ไอ้หมาป่าตาขาว แกออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ !” ระหว่างเหลียนฮวากำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆมีเสียงแหลมสูงของสตรีดังขึ้นหน้าบ้าน เคาะประตูจนแทบพัง ไม่รู้ใช้มือหรือตี-นกันแน่ ประตูบ้านเธอที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่อยู่แล้วแทบหลุดออกมา ว่าแต่หมาป่ามีตาสีขาวด้วยหรือ
“เจียหมิง !!!” เสียงแหกปากตะโกนยังคงดังไม่ลดละ
“แม่ ข้าว่าท่านพี่ไม่น่าจะอยู่บ้านหรอก เรากลับกันเถอะ” หญิงอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว บรรยากาศเย็นๆ ไหนจะพี่สะใภ้ที่ตายไปแล้วอีก
“เจ้าหุบปากไปซิงอี วันนี้ยังไงข้าก็ต้องเอาเงินมาให้ได้”
“แต่ว่า...”
“พวกท่านมาทำอะไรที่นี่” หลี่เจียหมิงกลับจากล่าสัตว์เก็บผักป่า วันนี้โชคดีได้ไก่ป่ามา 2 ตัว และผักป่าอีกนิดหน่อย กะว่าจะเอาไปขายแลกน้ำนมให้ฮวาเอ๋อร์ ทว่ากลับต้องขมวดคิ้วหมุ่น เมื่อแม่เลี้ยงและน้องสาว ซึ่งเป็นลูกติดของนางมายืนอยู่หน้าบ้าน
“แกมาก็ดีแล้ว เอาเงินมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“เงินอันใด ไม่มีหรอกขอรับ” เจียหมิงตอบกลับอย่างเหนื่อยใจ ขนาดแยกบ้านมาแล้วยังมิวายตามมาไถเงินถึงหน้าบ้าน “แล้วแกเอาเงินที่ไหนไปซื้อน้ำนมจากสะใภ้เหลียง มีคนเห็นว่าแกจ่ายไปหลายเหมา” หลี่จ้านหญิงวัยกลางคนยืนชี้นิ้วด่าลูกเลี้ยงเสียงดัง หนอย แล้วบอกไม่มีเงิน ลูกจางหมิ่นของนางไปเห็นมันเอาเงินให้ฝั่งนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางมาขอเงินดีๆจากนังเหมยลี่ แต่นังนั่นกลับปฎิเสธต้องยื้อยุดอยู่นาน นางได้มาเพียงไม่กี่เหมา มาทราบเรื่องภายหลังว่าพอนางกลับไป นังเหมยลี่ก็คลอดทันที มีอย่างที่ไหน นางอุตส่าห์ช่วยเหลือให้ที่ซุกหัวนอนทั้งที่มันไม่มีญาติมิตร ใช้งานนิดๆหน่อยกลับเป็นลมเป็นแล้ง หึ สมน้ำหน้า หมาป่าตาขาว อกตัญญูแบบนี้ก็สมควรตายๆไปซะ “จำเป็นต้องบอกด้วยหรือขอรับ ส่วนเงินนั่นเป็นเงินที่ข้าซื้อน้ำนมให้เหลียนเอ๋อร์” เจียหมิงขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจ แค่เรื่องที่บ้านใหญ่เป็นสาเหตุให้เมียเขาคลอดก่อนกำหนดยังไม่ได้สะสาง เจีงหมิงคิดถึงตอนที่เขาบากหน้าไปขอซื้อนมจากคนในหมู่บ้าน ไม่มีหญิงพึ่งคลอดบุตรคนใด นอกจากสะใภ้เหลียงที่ช่วยเหลือ แต่ด้วยความรู้นิสัยบ้านนั้นดีเลยไม่ได้ขอเปล่า
“มะ หม่ำ” เหลียนฮวาใช้ความพยายามในการออกเสียง นางอยากบอกท่านพ่อเหลือเกินว่ามันกินได้ ดูตรงนู้นนั่นสิมีหัวมันหวานขนาดใหญ่ด้วย นึกพลางน้ำลายไหลย้อยอย่างห้ามไม่อยู่ จะให้ท่านพ่อขุดกลับไปให้หมดเลย “ถึงอย่างไรก็กินไม่ได้ มันมีพิษ” แม้จะดีใจที่บุตรสาวพูดคำอื่นได้บ้างแล้ว แต่พอเห็นดวงตาเป็นประกายของลูกก็ยิ้มระคนเอ็นดูในความช่างจ้อ เอื้อมหยิบผ้าสะอาดในอกมาเช็ดน้ำลาย เอ่ยอธิบายเสมือนเด็กน้อยเข้าใจสิ่งที่พูด หมับ “แอ้ !” เมื่อเห็นบิดากำลังจะเดินไปอีกทางแต่มีหรือที่นางจะยอม คว้าหมับที่คอเสื้อแล้วใช้สายตาออดอ้อนท่าไม้ตาย เบะปาก ส่งตาปริบๆไปให้คนเป็นพ่อใจอ่อน “พ่อไม่เคยชนะเจ้าเลย...” เจียหมิงพูดอย่างปลงๆกับตัวเอง ทำให้ตัวต้นเหตุดีดดิ้นกรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างดีใจ “อ๊ายย คิกๆ” “ลองเก็บกลับมาเพียงนิดเดียว หากลูกเห็นว่ามันกินไม่ได้จริงๆ ต้องยอมให้พ่อเอาไปทิ้งนะ” เจียหมิงเอ่ยพลางใช้กิ่งไม้แข็งแรงแถวนั้นขุดเอาหัวมันขึ้นมาจากใต้ดิน ได้ 2-3 หัวใหญ่ก็พอ “อื้อ !” “อันนั้นด้วยหรือ…” เจียหมิงได้ยินเสียงร้องเรียกข
‘พร้อมครับ’ ทั้งสองตอบพร้อมกัน ก่อนที่เหลียนฮวาจะคิดว่า พวกเขาอยู่ภายในตึก วูบบบบบ ‘ได้จริงๆเจ้านาย ตอนนี้พวกเราอยู่ในตึก !’ บอทเต้พูดอย่างดีใจ พลางมองสำรวจพื้นที่ที่เข้ามาใหม่ พบว่าในตึกว่าห้องแบ่งออกเป็นหลายห้อง แต่ละห้องมีหุ่นยนต์กำลังทำงานของมันอยู่ “ยังเหมือนเดิมสินะ” เหลียนฮวาดีใจไม่แตกต่างกัน อย่างน้อยตึกเอไอจะได้มีคนคอยคุมไม่ให้พวกเอไอสร้างสิ่งของออกมาเกินความจำเป็น ‘เจ้านายจะให้พวกเราช่วยอะไรไหมครับ’ “ฉันฝากพวกนายคุมพวกเจ้าหุ่นยนต์แรงงานพวกนั้นไม่ให้ผลิตของมากเกินไป ฉันกลัวจะล้นคลังเก็บของ” ‘ได้ครับ’ บอทเต้รับคำงานนี้มันถนัด “อ้อ อีกอย่าง ช่วยชงนมให้ฉันหน่อยได้ไหม” เหลียนฮวาพูดอย่างอายๆ ในโลกก่อนเธอโตจนสามารถดูแลตัวเองได้ มาตอนนี้เธอกลับทำอะไรเองไม่ได้เลย นอกจากกินและนอน ‘โรบอทชงเองครับ !’ บอทเต้ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด โรบอทรีบชิงพูดตัดหน้าอย่างตื่นเต้น มันชอบเจ้านายในร่างเด็ก เพราะถูกสร้างมาในขณะที่เจ้านายโตแล้ว ไม่เหมือนบอทเต้ที่พูดจาโอ้อวดมันตลอดตั้งแต่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมว่าเ
“มากันครบแล้วหรือยัง” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนถามทุกคน วันนี้ชายชรารับหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูแลความเรียบร้อย พร้อมอธิบายกฎของหมู่บ้านก่อนการเดินทาง ส่วนเรื่องล่าสัตว์เขาให้บุตรชายนามว่าซูเหวินไปแทน เพราะเรื่องนี้เจ้าตัวถนัดนัก อีกทั้งเขาผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยังอายุมากแล้ว “ครบแล้วขอรับ” “ดีๆ จากนี้ขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย หมู่บ้านเรายังยึดกฎเดิม ห้ามเข้าไปในป่าด้านใน ห้ามให้คนนอกเข้าร่วม เนื้อที่ล่ามาได้แบ่งเท่ากันทุกบ้านที่เข้าร่วม” ชายชราเอ่ยอธิบายกฎการล่าสัตว์ของหมู่บ้าน ที่ต้องพูดก่อนเพราะเหมือนครั้งนี้จะมีหน้าใหม่เข้าร่วมหลายคน เขาจึงได้รับการไหว้วานจากโม่โฉวให้มาช่วยแนะนำเด็กใหม่ “กฎมิให้คนนอกเข้าร่วมมิใช่หรือ” จางหมิ่นหรือลูกเลี้ยงของนางจ้านพูดขึ้นลอยๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เดิมทีต้องเป็นเหยาฉือผู้เป็นผู้นำของบ้านเข้าร่วม ทว่าแม่ของเขายังตึงกับอีกฝ่ายเพราะทะเลาะกันคราก่อนที่เหยาฉือนำไก่เลี้ยงของบ้านไปให้ไอ้คนนอกตระกูล พอมีคนไปบอกที่บ้านว่าจะมีการล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งเหยาฉือออกไปทำงานข้างนอกไม่อยู่บ้าน ท่านแม่จึงไ
“เราพบซากสัตว์นอนตายอยู่” เมื่อมาถึงชาวบ้านคนเดิมได้ชี้ให้ดูจุดที่พวกเขาเห็น “แย่ล่ะ ศพพวกมันคล้ายโดนตัวอะไรกัดกิน” โม่โฉวอึ้งกับภาพตรงหน้า มองซากสัตว์ที่กำลังนอนตายเกลื่อน สภาพทุกตัวมีบาดแผลเหวอะหวะจากการฉีกกระชาก จนเห็นเครื่องในไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วป่า จากเลือดที่ยังสดอยู่ น่าจะตายได้ไม่นานนัก คล้ายเจ้าสัตว์ตัวต้นเหตุต้องการเพียงล่าเท่านั้น ที่คิดว่าเป็นสัตว์เพราะมีรอยเขี้ยวฝังบนร่างของสัตว์ที่นอนตายอยู่ อวัยวะภายในยังอยู่ครบ ไม่มีร่องรอยถูกกินแม้แต่น้อย สัตว์ชนิดใดหนอช่างฆ่าได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่แน่มันอาจจะยังไปไหนได้ไม่ไกล ชายวัยกลางคนวิเคราะห์ มองเห็นชาวบ้านบางคนกำลังอาเจียนอยู่ แม้โม่โฉวที่ล่าสัตว์ตั้งแต่เด็กจนคิดว่าตัวเองนั้นชินกับภาพแบบนี้แล้ว ก็ยังมีอาการผะอืดผะอม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นสัตว์ที่ล่าได้น่ากลัวขนาดนี้ เพราะตามวิสัยพวกมันจะล่าแค่พอกินสำหรับฝูงมันเท่านั้น ไม่ใช่ล่าแล้วปล่อยร่างทิ้งไว้ จนเป็นภาพสยดสยองดั่งเบื้องหน้า “ระ เราจะทำอย่างไรต่อดี ขะ ขอรับ” ชาวบ้านอีกคนพูดตะกุกตะกัก หวาดกลัวไม่ต่างจากคนอื่น
“ฮ่าๆ ฤดูหนาวนี้เรารอดแล้วๆ” โม่โฉวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อกลุ่มพวกเขาล่าสัตว์ได้หลายตัว มีทั้งหมูป่า กวาง และกระต่ายป่า เห็นทีวันนี้ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งเพียงพอต่อฤดูหนาวแน่ “พวกเรากลับกันเถอะขอรับ ข้าว่าสัตว์ป่าแถวนี้เริ่มหายไปแล้ว” เจียหมิงมองรอบๆ แล้วเอ่ยเตือน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาว ไม่รู้นางเป็นอย่างไรบ้าง จะงอแงหรือไม่ “ได้ๆ วันนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้ากับซูเหวินเลยนะ นอกจากจะล่ากันเองได้หลายตัวแล้ว ยังพาพวกเรามาชี้จุดสัตว์ป่าอีก” แม้จะเอ่ยขอบคุณไปก่อนหน้าแล้วแต่โม่โฉวก็รู้ว่าไม่อาจมองข้ามสิ่งที่ทั้งสองทำ “เราล่าต่อกันอีกดีกว่า ยังมีสัตว์บางตัวหลงเหลืออยู่…” จางหมิ่นพูดขึ้น มองสัตว์ที่ทุกคนล่าได้สายตาเต็มไปด้วยความโลภ แม้เขาจะไม่ได้ช่วยล่า แต่ก็อยู่ในกลุ่มการล่าครั้งนี้ อย่างไรส่วนนึงก็ต้องเป็นของเขา จางหมิ่นตะล่อมให้ทุกคนอยู่ต่อ จนลืมว่าก่อนหน้าพวกเขาไปเจอกับอะไรมา โดยไม่ฟังคำเตือนของเจียหมิง “หากฟ้ามืดลงแล้วเกิดมีใครได้รับอันตรายขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” เจียหมิงพูดมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“มะ ไม่จริงใช่ไหม” ซูเหวินคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นพลันน้ำตาไหล มันหลอกพวกเขาว่าวิ่งตามหลัง แท้จริงแล้วกลับวิ่งไปดักด้านหน้า ตอนนี้ชาวบ้านคนอื่นๆคง... “เราไม่ได้ยินเสียงร้อง อาจจะเป็นเลือดของสัตว์ตัวอื่นก็ได้” โม่โฉวกำหมัดแน่น รู้สึกสะเทือนใจเมื่อตอนที่เห็นเลือดก็คิดไม่ต่างจากคนอื่น เนื่องจากทิศทางที่มันยืนอยู่เป็นทางที่ชาวบ้านวิ่งไป แต่ยังฝืนเปล่งเสียงพูดเพื่อปลอบใจทุกคนรวมถึงตนเอง โฮกกก เจ้าสัตว์ประหลาดคำรามลั่น มันมีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งที่มันชอบคือเหยื่อที่เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำให้มันต้องมีสภาพแบบนี้... เดิมทีมันเป็นสิงโต ได้ตายลงไปแล้วจากการล่าของพวกทหารชั่ว ทว่าคนที่พวกมนุษย์เรียกว่าหมอผีกลับชุบชีวิตมันกลับมา และทดลองกับร่างกายนี้สารพัด ถลกหนัง ผ่าร่าง เอาเขาของสัตว์ชนิดอื่นมาเย็บติดกับหัว ศักดิ์ศรีเจ้าป่าที่มันทะนงตัวมาตลอดไม่มีเหลือ มัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด” เจ้าหน้าที่ทางการสอบถามชายวัยกลางคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางมองบรรยากาศรอบๆที่วุ่นวายไม่น้อย สภาพชาวบ้านบางคนที่ยังขวัญเสีย บางคนกำลังถูกรักษาโดยหมอที่โดนเรียกตัวมากะทันหัน สังเกตจากบาดแผลแล้วน่าจะเป็นสัตว์ร้ายมากกว่า “ขะ ขอรับ แม้พวกข้าจะเห็นไม่ชัด ตะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” โม่โฉวอธิบายเสียงสั่น หวนนึกถึงตอนเจอกับเจ้าสัตว์ที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพแล้วใจเต้นด้วยความหวาดกลัว ทว่าภายในใจก็อยากให้ทางการรีบไปช่วยเจียหมิงเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร เขากับซูเหวินพากันหามจางหมิ่นมาถึงหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนได้ไม่นาน สภาพร่างกายหลายคนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจึงสั่งให้ชาวบ้านรีบไปตามหมอกับทางการมา ท่ามกลางความตกใจและแตกตื่นของคนในหมู่บ้านที่เหลือ “เราไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทั้งยังมืดนัก หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจ้าหน้าที่อาจเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าสายตากลับแอบเหลือบมองไปยังชายสวมหมวก ร่างกายสูงใหญ่ มีกลิ่นอายน่ายำเกรงอย่างหวั่นๆตลอดเวลา
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า
“อื้มม พะ พอก่อนเจ้าค่ะ แฮ่กๆ” เหลียนฮวาหลบชายคนรักที่ตะบมจูบอย่างหื่นกระหาย“เราไม่ได้สกินชิพกันมาหลายวันแล้วนะ” หยางหลงเอ่ยอย่างงอนๆ ไม่ว่าจะเดินไปไหนระหว่างพวกเขามักมีสายตาจับจ้อง ทั้งยังส่งเสียงทักทายมาให้ตลอด พอจะอยู่กันสองคนก็จะมีสายตาจับผิดของพ่อตามองมาอยู่เสมอ ทำให้เขาแทบปลีกตัวอยู่กันสองต่อสองไม่ได้เลย“ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนดังล่ะเจ้าคะ” เหล่าทหารหลายคนที่อยากขับรถแบบเขา จึงพากันเข้ามาพูดคุยขอให้เขาช่วยสอนขับรถ ทั้งยังพูดถึงแต่เรื่องรถ ความชอบของพวกผู้ชายหนีไม่พ้นพวกนี้เลยจริงๆ“พี่สอนพ่อตากับลุงแม่ทัพขับแล้ว พวกเขาไม่ไปถามทั้งสองบ้าง” หยางหลงพูดน้องใจอย่างไม่จริงจังนัก“คิกคิก ก็ไม่มีใครขับได้ผาดโผนเท่าพี่นี่นา” เหลียนฮวาหัวเราะขำ พวกทหารติดใจความเร็วของรถเครื่อง พอกลับไปนั่งรถม้าเริ่มพากันบ่นว่าช้าบ้าง อืดบ้าง ทั้งที่พอนั่งรถเครื่องก็พากัน
ณ พระราชวัง“พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!!!” จ้าวฮ่องเต้ตะโกนลั่นอย่างไม่พอพระทัย เหล่าแม่ทัพต่างพากันจับกุมเขาและขุนนางฝ่ายสนับสนุน ใช้สายตาไม่พอใจมองไปทางแม่ทัพเลี่ยงจินที่เดิมทีมีหน้าที่ปกป้องเขา แต่กลับเข้าร่วมกับแม่ทัพคนอื่น“ฮ่องเต้ที่ละทิ้งประชาชน มิอาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” เลี่ยงจินเป็นคนตอบ เขาตัดสินใจได้ทันทีหลังจากได้พูดคุยกับแม่ทัพเป่ยหวงและลู่จือ สิ่งที่แม่ทัพลู่จือพบเจอไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง“คะ ใคร ใครรายงานพวกเจ้า ข้าปิดประตูเมืองเพียงแค่รอสถานการณ์คลี่คลายเท่านั้น หากดีขึ้น...”“ฝ่าบาทมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นหรือพะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางที่ส่งจดหมายแจ้งแก่แม่ทัพเป่ยหวง พร้อมทั้งถือหลักฐานเดินเข้ามายังท้องพระโรง“พวกเจ้า ไม่จริง ข้าเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของราชครู!!” จ้าวฮ่องเต้ที่เห็นหลักฐานในมือขุนนางกลับทำตาโตกล่าวถึ
“นะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ออกไป” เยว่เล่อกล่าวออกมาอย่างสับสนพร้อมสั่งพวกมัน เขามองผีดิบที่พากันรุมเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนคำสั่งของเขา“เป็นอะไรไหมขอรับท่านแม่ทัพ”“ฮะ ฮุ่ยหมิง แค่กๆ” เป่ยหวงตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น ฮุ่ยหมิงตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้า หรือเป็นเพียงภาพความฝันกันแน่ ทว่าสีตาของเขากลับเหมือนพวกคนคลั่ง“ข้าเองขอรับ” ฮุ่ยหมิงพยุงร่างของแม่ทัพขึ้น คิดว่าจะหนักแต่ผิดคาดตัวของท่านแม่ทัพเบากว่าที่คิด“จะ เจ้าจริงๆหรือ” เป่ยหวงถามขึ้นดวงตาพร่ามัวที่ใกล้จะปิด เขากลัวจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หากเฟยจินมาอยู่ตรงนี้ด้วยอีกฝ่ายคงดีใจไม่น้อย“ขอรับ” สิ้นสุดคำตอบของเขา เป่ยหวงสลบไปทันที ฮุ่ยหมิงใช้มือเช็คลมหายใจแล้วเป่าปากอย่างโล่งอก โชคดีที่ท่านแม่ทัพสลบไปเท่านั้นผลักก