ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้คนมองนั้นตกตะลึง กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง บอกให้รับรู้ว่าภาพตรงหน้านั้นมิได้เป็นเพียงภาพฝัน ไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ท่ามกลางซากศพและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร เธอไม่ได้หวาดกลัวกับซากศพมากมายและกลิ่นคาวเลือดเหล่านี้ เพราะคุ้นเคยกับมันมาตลอด แต่ที่รู้สึกตกใจเพราะคนเหล่านี้นั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดที่ดูแปลกประหลาด ดังกับนักรบในยุคโบราณ เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดยังคงดังขึ้นกระทบเข้ามาในโสตประสาท หันมองรอบกายด้วยความสับสนมึนงง ภาพผู้คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บทั้งสตรีและเด็กที่กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายคนเจ็บด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกและคราบน้ำตา เพราะบุคคลเหล่านั้น คือบุคคลที่รักและคนในครอบครัว คนที่บาดเจ็บนั้นล้วนเป็นชายฉกรรจ์ เปลวเพลิงที่กำลังโหมกะพรืออยู่นั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มเท่าในจิตใจที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกที่ดังขึ้น เหมือนกับว่ามันกำลังดังอยู่ในที่ไกลแสนไกล หรือที่นี่จะเป็นนรก แต่เธอทำกรรมใดไว้ถึงได้ต้องตกนรกกัน คนที่ถูกเธอฆ่าตายก็สมควรที่จะตายทั้งนั้น นั่นเป็นคำถามที่ดังกึกก้องอยู่ในใจ ก่อนที่ร่างโปร่งแสงจะถูกดึงวูบจนสติของเธอดับมืดลง
แพขนตางอนที่กะพริบถี่ๆ ก่อนจะลืมขึ้นเมื่อสายตาสามารถปรับกับแสงสว่างอันเจิดจ้าได้เป็นปกติแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้า คือผ้าม่านพลิ้วไหวสีชมพูสลับขาวงดงาม มือบอบบางที่ลูบไล้ผ้าแพรนุ่มลื่นใต้ร่างอย่างรู้สึกดี เบาะที่นอนอยู่ช่างสบายนัก ให้ความอบอุ่นจนไม่อยากลุก และยังมีกลิ่นหอมที่ชวนให้รู้สึกปลอดโปร่งอีกด้วย
ที่นี่คงเป็นสวรรค์สินะ ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มกว้างขึ้น นึกไว้อยู่แล้ว ว่าคนดีอย่างตนต้องได้ขึ้นสวรรค์ ถึงแม้จะฆ่าคนมามาก แต่คนพวกนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนเลว นี่คงเป็นผลจากการทำความดีแน่ๆ
"องค์หญิงฟื้นแล้ว"
เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นอย่างยินดี ทำให้ร่างบางทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอนนุ่ม หันซ้ายแลขวาเพื่อหาองค์หญิงที่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยถึง แต่มองจนทั่วก็ไม่เห็นมีใคร จนผู้หญิงคนนั้นมาทรุดกายลงข้างเตียง จับมือของตนร้องไห้สะอึกสะอื้น
ซ่งเฟยหย่าที่มองสตรีรูปร่างอวบอ้วนตรงหน้า ผู้หญิงคนนี้พูดกับเธออย่างนั้นหรือ ก่อนจะพิจารณารอบตัวอีกครั้งที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ หัวสมองน้อยๆ รีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว ตายแล้วไม่ได้อยู่ในนรกหรือสวรรค์ แล้วเธอมาอยู่ที่ไหนกันนี่
"องค์หญิงเพคะ เป็นอันใดไปเพคะ ให้อาจูตามท่านหมอหรือไม่เพคะ"
สตรีตรงหน้าที่ละล่ำละลักเอ่ยถาม ซ่งเฟยหย่ายิ่งงุนงง พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอกับผู้หญิงที่มีใบหน้าเหมือนตัวเอง ร่างกายพลันเกร็งขึ้น
"องค์หญิง อาจูจะไปตามเสด็จฮองเฮานะเพคะ รอก่อนนะเพคะ"
"ไม่ต้อง"
ซ่งเฟยหย่าที่มองร่างตุ้ยนุ้ยของผู้หญิงที่น่าจะชื่อว่าอาจูอย่างช่างใจ ก่อนมือบอบบางจะกำเข้าหากันแน่น มือที่นุ่มนิ่มดูบอบบางไม่เหมือนมือของตนเลยสักนิด ที่มันค่อนข้างจะหยาบกระด้างกว่านี้ มีบางอย่างไม่ปกติ หัวใจที่ไม่เคยหวาดกลัวกับสิ่งใดมาก่อนสั่นระรัว หรือเรื่องที่ผู้หญิงที่นางพบตอนเป็นวิญญาณจะหมายถึงสิ่งนี้
"เกิดอะไรขึ้น"
เสียงแผ่วเบาเอ่ยดังขึ้น ราวกับถามตัวเองเสียมากกว่า
"องค์หญิงหมดสติไปเพคะ เพราะว่า เพราะ..."
แต่ประโยคที่ตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกักปนเสียงสะอื้นนั้นทำให้คนฟังถึงกับสติขาดผึงอย่างไม่ได้ดังใจ
"เพราะอะไรเล่า พูดมาสิ"
วาจาที่กล่าวขึ้นอย่างแข็งกระด้างทำให้อาจูสะดุ้งมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง องค์หญิงผู้อ่อนหวานของนางไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนี้มาก่อน หรืออาจเป็นเพราะความเสียพระทัยจึงทำให้พระองค์เปลี่ยนไป
"เพราะเมืองหน้าด่านถูกโจมตีจนต้องถอยทัพ ตอนนี้ทัพของศัตรูกำลังจะบุกเข้ามาในเมืองหลวง ฝ่าบาทจึงต้องทรงนำกำลังไปต่อต้านด้วยพระองค์เองเพคะ อึก ฮื้อ..."
กล่าวจบอาจูก็ปล่อยโฮออกมา รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ แต่สตรีอีกนางกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ซ่งเฟยหย่าที่กวาดตามองรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงมองสำรวจร่างกายตนเองที่อยู่ในชุดสีขาวบางเบา ผิวขาวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีดูนุ่มนิ่ม ไม่ใช่ผิวที่กร้านแดดจนกลายเป็นสีแทนของตน คงจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดกระมัง
"ข้าคือใคร"
เสียงหวานที่เอ่ยถามขึ้น เมื่อพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้าง แม้จะรู้สึกหวั่นใจเพียงใดก็ตาม
อาจูที่แหงนเงยใบหน้านองน้ำตาขึ้นมองใบหน้างามของผู้เป็นนาย เห็นดวงตาหงส์ที่ไหวระริกอย่างสับสนจ้องมองมาให้รู้สึกไม่เข้าใจ
"ข้าคือใคร"
น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอย่างกดดัน แววตาที่มักจะอ่อนโยนอยู่เสมอดูแข็งกร้าวจนน่ากลัว ทำให้อาจูละล่ำละลักตอบ
"องค์หญิง องค์หญิงซ่งเฟยหย่า แห่งแคว้นซ่งเพคะ"
ซ่งเฟยหย่า ซ่งเฟยหย่า หนังสือเล่มนั้น หนังสือที่เธออ่านก่อนตาย ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่กำลังออกรบอยู่นั้นก็คือบิดานางอย่างที่ซ่งเฟยหย่าผู้นั้นบอกจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าบิดาของนางกำลังจะตายเช่นนั้นหรือ ไม่ได้นางจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เป็นไปดังเช่นในหนังสือเด็ดขาด
ร่างบางที่ตะหวัดขาเรียวลงจากเตียงนอนนุ่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกคำสั่งเสียงเย็น
"เตรียมเสื้อผ้าให้ข้า"
"อาภรณ์หรือเพคะ องค์หญิงจะไปที่ใดเพคะ"
อาจูที่รีบเอ่ยถามผู้เป็นนาย ที่เจ้าตัวก็ดูเหมือนชะงักไปเช่นกัน
ซ่งเฟยหย่าที่หลับตาลงรวบรวมสติ ตอนนี้นางคือซ่งเฟยหย่า องค์หญิงแห่งแคว้นซ่ง จงท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ก่อนดวงตาหงส์จะลืมตาขึ้นอย่างมุ่งมั่น
"เตรียมอาภรณ์ที่รัดกุมให้ข้า ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่"
"เพคะ"
เมื่อเอ่ยคำว่าเสด็จแม่ เหตุใดใจของนางถึงได้เต้นแรงก็ไม่ทราบได้ ย้อนนึกไปถึงใบหน้างดงามที่ดูมีเมตตาของสตรีที่เคยเห็นในครั้งที่เป็นดวงจิตลอยล่อง ให้รู้สึกตื่นเต้นมิได้ สตรีที่ดูอบอุ่นผู้นั้นคือมารดาของนางจริงๆ หรือ
ร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มรัดกุม ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะจับยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหงส์สีทองอร่ามเพียงชิ้นเดียว ขับให้ใบหน้าขาวผ่องยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาหงส์หวานซึ้งที่ทอประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ ในวันนี้กลับเปล่งประกายกล้าแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน ช่างงดงามสะกดสายตาของผู้พบเห็น ขาเรียวเยื้องย่างเข้ามาภายในท้องพระโรงอันโออ่าอย่างมั่นคง ดูมั่นใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ต่างจ้องมององค์หญิงผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งแคว้นอย่างตกตะลึงองค์หญิงซ่งเฟยหย่าผู้งดงามอ่อนหวาน วันนี้มีบางอย่างที่ดูแปลกไป เรียกให้ทุกสายตาต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่สายตาหงส์กลับจับจ้องเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันกับนางเท่านั้น"หย่าหยา"เสียงหวานที่สั่นเครือของฮองเฮาแห่งแคว้นซ่ง ต้วนซือเซียง ใบหน้างามนั้นหม่นเศร้า หันมามองธิดาผู้เป็นที่รัก แต่ในสายพระเนตรนั้นกลับเห็นผู้เป็นบุตรสาวถึงสองคน จนต้องกะพริบตาอีกครั้ง"เสด็จแม่"ใบหน้างดงาม ดวงตาหงส์ที่ไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อน กลับมีหยาดน้ำไหลรินออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีผ
ซ่งเฟยหย่าที่เห็นสายตาเช่นนั้นพลันระบายลมหายใจ เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้า"หากเราอ่อนแอ ศัตรูจะยิ่งเหยียบย่ำมิใช่หรือ มันหมดเวลาที่ข้าจะอ่อนแอแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อให้แคว้นซ่งยังคงอยู่รอด""เอ่อ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนของพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"ขุนนางชราผู้หนึ่งที่กล่าวขึ้น ทำให้ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มขึ้นอย่างยินดี เมื่อมีหนึ่งคนเสนอที่เหลือก็ต่างพร้อมใจกันร่วมมือ"หากรวบรวมคนของพวกกระหม่อมด้วย ก็มีกำลังเพิ่มอีกหลายพันนายพ่ะย่ะค่ะ"เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยสมทบสร้างความฮึกเหิมให้กับนางได้มากนัก หากนางจำไม่ผิด แคว้นจ้าวและแคว้นอู่ที่นำกำลังทหารมาประชิดเมืองหลวงในครั้งนี้ประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทหารที่ประจำอยู่เมืองหลวงของแคว้นซ่งมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทหารที่ประจำการอยู่หน้าด่านต่างบาดเจ็บล้มตายกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน สองพันนายประจำการอยู่ที่นี่และหนึ่งหมื่นสามพันนายกำลังสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง หากได้คนของเหล่าขุนนางมาสมทบก็ดีไม่น้อย"ดีมาก ขอบคุณพวกท่านจริงๆ ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็แยกย้ายกันกลับจวน รวบรวมคนทั้งหมด และแบ่งเอาส่วนหนึ่งพาคนในครอบครัวของพวกท่านไปหลบซ่อ
องค์หญิงเฟยหย่าที่กำลังชักม้าเข้ามาหาผู้เป็นบิดา ดาบในมือเล็กตวัดฟาดฟันบั่นคอศัตรูอย่างกล้าหาญ แม้จะขัดใจกับร่างกายอ่อนปวกเปียกนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ร่างเล็กบนหลังอาชาที่พุ่งทะลวงตวัดดาบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ตวัดดาบ ล้วนพรากทุกลมหายใจภายในดาบเดียว จนองครักษ์เว่ยและเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ต้องรอบกลืนน้ำลายลงคอ มองดูดวงตาหงส์ที่ไร้ซึ่งแววหวาดหวั่นใบหน้างามนั้นดูเฉยชาราวกับเจ้าตัวนั้นกระทำการเข่นฆ่าอยู่เป็นนิจร่างบางที่มิได้สนใจองครักษ์ข้างกาย กลับฝ่าทหารฝั่งตรงข้ามที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อนมุ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่อยู่ในระยะสายตา อีกเพียงไม่ไกลนางก็จะได้เห็นใบหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดหลังจากที่มักจะจินตนาการอยู่เสมอว่าใบหน้าของผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นเช่นไร นางเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดบิดามารดาถึงได้ทอดทิ้งนาง แต่เมื่อวันนี้ได้เข้าใจ นางก็จะขอปกป้องครอบครัวของนางเอาไว้ด้วยชีวิต ดวงตาหงส์พลันแข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นบุรุษบนหลังอาชาสีดำทะมึน ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นบิดา จ้องมองบิดาของตนอย่างมาดร้ายในอกพลันสั่นไหว องค์ชายรองจ้าวฉีหมิง เจ้าคนต่ำทราม
อีกฝั่งหนึ่งทางทิศเหนือเส้นทางที่สามารถเดินทางเข้าสู่แคว้นหยวน องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่มาดักซุ่มโจมตีขบวนหลบหนีขององค์หญิงแห่งแคว้นซ่ง เห็นขบวนรถม้าที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนาก็ส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าโจมตีทันที แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงออกมาจากที่ซ่อนกลับมีห่าธนูมากมายพุ่งเข้ามาคร่าชีวิตของเหล่าทหาร จนร่วงหล่นล้มตายราวใบไม้ร่วง จนตั้งรับแทบไม่ทัน ก่อนจะเกิดการต่อสู้กันของคนทั้งสองกลุ่มพระองค์พลาดท่าเสียทีให้ฝั่งตรงข้ามเข้าเสียแล้ว องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่คิดอย่างเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าแคว้นซ่งจะคมในฝักได้ถึงเพียงนี้ ดาบในมือฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเจ็บแค้นกว่าจะฝ่าวงล้อมนั้นออกมาได้ก็สูญเสียทหารฝีมือดีของตนไปไม่น้อย จึงสั่งให้คนที่เหลือถอยออกมาเมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้หลบหนี ก็ปรากฏชายชุดดำอีกกลุ่มที่เข้ามาโจมตีคนของตน จนล้มตายจนหมด พระองค์เองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ความเจ็บแค้นในครั้งนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างสาสมทหารแคว้นซ่งที่เข้ามารุมล้อมกลุ่มชายชุดดำลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างระแวดระวัง ก่อนชายชุดดำทั้งหมดจะเปิด
ซ่งเฟยหย่าที่ควบม้าออกมายังเมืองหน้าด่านของแคว้นซ่ง จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแคว้นซ่งที่นางได้ศึกษามา แคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีภูเขาหินล้อมรอบมีทางเข้าออกเพียงสองทางเท่านั้น คือทางที่นางกำลังมาตอนนี้และอีกทางคือทางที่จะเดินทางไปยังแคว้นหยวน และเส้นทางนี้แน่นอนว่าเป็นเส้นทางที่แคว้นจ้าวจะต้องเดินทางผ่านอย่างแน่นอน ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะย่ำเท้าไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาสูงชัน ไม่อาทรต่อหยาดเหงื่อที่ไหลซึมหน้าผากมนและอาภรณ์ที่เปื้อนฝุ่นเลยสักนิด"ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาประจำยังจุดนี้ และจุดข้างหน้าห่างออกไปอีกสิบลี้ เราต้องรู้ทันทีที่ข้าศึกยกทัพมา ""ขอรับ"องครักษ์เว่ยที่ตั้งใจฟังคำสั่งของร่างบาง มองใบหน้างามอย่างชื่นชม"พ้นจากแผ่นดินซ่งออกไปเป็นดินแดนของแคว้นใดหรือ"ร่างบางที่เอ่ยถามหลังจากที่มาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ปอยผมที่หลุดรุ่ยสบัดพริ้วไหวดูน่ามอง"พ้นจากชายแดนแผ่นดินซ่งเป็นแคว้นอู่ขอรับ"อ้อ ไม่น่าเล่าแคว้นอู่ถึงได้เข้าร่วมกับแคว้นจ้าว น่าเสียดายนักที่องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานหนีรอดไปได้"ท่านให้ทหารหากำมะถัน ดินประสิวและผงถ่านจำนวนมากเอาไว้ให
ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปยังกระโจมบัญชาการ นางคงต้องหารือกับเหล่าแม่ทัพยังเมืองหน้าด่านนี้เสียก่อน"องค์หญิง ถวายบังคม..."เหล่าแม่ทัพทั้งสี่ รองแม่ทัพ และนายกองที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่านกำลังหารือกันอยู่นั้น ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่คิดว่าองค์หญิงของแคว้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรับรู้ถึงศึกในครั้งก่อน ที่พระองค์เป็นผู้สังหารองค์ชายรองจ้าวฉีหมิงของแคว้นจ้าวด้วยพระองค์เอง ขับไล่ศัตรูจนถอยร่น จึงไม่มีผู้ใดเกิดข้อกังขาในความปรีชาสามารถนั้น"พวกท่านทั้งหลายอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งลงก่อนเถิด"เมื่อทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหวานจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองสบตาของทุกคนอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่มีเค้าโครงขององค์หญิงสูงศักดิ์แม้แต่น้อย กลับกันคล้ายดังว่านางเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียมากกว่า"ต่อไปทุกคนจะรู้จักข้าในฐานะแม่ทัพเฟยแห่งแคว้นซ่ง ข้าจะวางฐานะองค์หญิงเอาไว้ชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงกัน"เหล่าบุรุษที่อยู่ในกระโจมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งนั้น แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าขององครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ที่พยักหน้าให้จึงพากันตอบรับ"ขอรับ"ใบหน้างดงามที่อย
วันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับสตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง แต่ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจนัก เมื่อมันดำเนินไปในทิศทางที่ดี จนนางมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร แคว้นซ่งในกาลข้างหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ ประชาชนจะต้องอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า แต่ถึงแม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยจนอยากจะหลับตาพักผ่อนเต็มที แต่นางก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ที่จะไปลอบสังเกตคนของแคว้นหยวนเสียหน่อย เนื้อหาในหนังสือที่นางอ่านไปนั้น ถึงตอนที่องค์หญิงซ่งเฟยหย่านั้นได้จบชีวิตลงในขณะลี้ภัย แคว้นซ่งล่มสลายแผ่นดินอาบย้อมไปด้วยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แล้วนางก็ไม่คิดที่จะอ่านมันต่อ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะตอนนี้นางจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแคว้นซ่งขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของนางเอง หากนางยังมีลมหายใจ แคว้นซ่งจะต้องอยู่รอดไปชั่วลูกชั่วหลานเมื่อไฟในตำหนักส่วนตัวถูกดับลงจนมืดสลัว ร่างบอบบางในอาภรณ์รัดกุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าก็เร้นกายออกไปนอกตำหนัก จุดมุ่งหมายคือเรือนรับรองที่ถูกแยกออกมานอกวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนจากแคว้นหยวนร
ซ่งเฟยหย่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้คนตัวโตได้ ก็ให้นึกขัดเคืองใจนัก ไม่ว่านางจะออกหมัด ศอก เข่า อีกฝ่ายกลับตั้งรับได้หมด จนนางหายใจเหนื่อยหอบ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นอย่างเหนือกว่า ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ร่างบางยิ่งเดือดดาลในอกพลันร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะควบคุม ยิ่งร่างเล็กถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกายหนาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะสะบัดให้หลุดนั้น ยิ่งทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกเดือดดาล เท้าเล็กที่ยังคงเป็นอิสระจึงกระทืบลงบนหลังเท้าใหญ่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสียหลักเพราะไม่คิดว่าร่างบางในอ้อมแขนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ จึงทำให้เสียการทรงตัว สองร่างหงายหลังล้มลงไปด้วยกันใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยว มิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเพราะฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่ไม่ยอมปล่อยนางแม้จะล้มลงไป กลับดึงนางลงไปด้วย แต่นั่นมิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนผ่าวนั้นกำลังนาบอยู่บนทรวงอกอวบอิ่มของนางเต็มๆ จนรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่าน แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตาม และตอนนี้เองที่ซ่งเฟยหย่า นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวเท่าน
ซ่งเฟยหย่าในวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดขับให้ผิวขาวนั้นนวลผ่อง สีแดงเป็นสีที่นางชื่นชอบมากที่สุด และนางคิดว่ามันเป็นสีของความเป็นมงคล วันนี้ที่นางสวมใส่อาภรณ์งดงามอย่างเต็มพิธีการ ก็เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการประชุมขุนนางในวันนี้ ร่างบางที่เดินมุ่งตรงไปยังท้องพระโรง ทุกย่างก้าวนั้นล้วนมั่นคงและเด็ดเดี่ยว มีความเป็นตัวเองสูงอย่างที่ซ่งเฟยหย่าคนเก่าไม่เคยมี ดวงตาหงส์ดูมีเสน่ห์มันมีทั้งความแน่วแน่และดื้อรั้นอยู่ในนั้น วันนี้นางมีเรื่องที่จะเสนอต่อทุกคนเยอะแยะมากมายเลยทีเดียวเมื่อมาถึงก็เอ่ยทักทายขุนนางชั้นผู้ใหญ่พอเป็นพิธี ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประจำตำแหน่ง ขององค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น เมื่อพระบิดาเสด็จมาประทับบนบัลลังก์สีทองอร่าม การประชุมจึงได้เริ่มต้นขึ้น บรรดาขุนนางต่างหยิบยกนำเอาเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบของตนขึ้นมานำเสนอเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาซ่งเฟยหย่านางมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง นึกย้อนไปยังภพที่นางจากมาแล้วให้นึกสะท้อนใจนัก อดที่จะเปรียบเทียบกับความร่วมมือร่วมใจกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ หากบุคคลในภพก่อน ร่วมมือร
ซ่งเฟยหย่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้คนตัวโตได้ ก็ให้นึกขัดเคืองใจนัก ไม่ว่านางจะออกหมัด ศอก เข่า อีกฝ่ายกลับตั้งรับได้หมด จนนางหายใจเหนื่อยหอบ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นอย่างเหนือกว่า ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ร่างบางยิ่งเดือดดาลในอกพลันร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะควบคุม ยิ่งร่างเล็กถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกายหนาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะสะบัดให้หลุดนั้น ยิ่งทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกเดือดดาล เท้าเล็กที่ยังคงเป็นอิสระจึงกระทืบลงบนหลังเท้าใหญ่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสียหลักเพราะไม่คิดว่าร่างบางในอ้อมแขนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ จึงทำให้เสียการทรงตัว สองร่างหงายหลังล้มลงไปด้วยกันใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยว มิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเพราะฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่ไม่ยอมปล่อยนางแม้จะล้มลงไป กลับดึงนางลงไปด้วย แต่นั่นมิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนผ่าวนั้นกำลังนาบอยู่บนทรวงอกอวบอิ่มของนางเต็มๆ จนรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่าน แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตาม และตอนนี้เองที่ซ่งเฟยหย่า นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวเท่าน
วันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับสตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง แต่ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจนัก เมื่อมันดำเนินไปในทิศทางที่ดี จนนางมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร แคว้นซ่งในกาลข้างหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ ประชาชนจะต้องอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า แต่ถึงแม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยจนอยากจะหลับตาพักผ่อนเต็มที แต่นางก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ที่จะไปลอบสังเกตคนของแคว้นหยวนเสียหน่อย เนื้อหาในหนังสือที่นางอ่านไปนั้น ถึงตอนที่องค์หญิงซ่งเฟยหย่านั้นได้จบชีวิตลงในขณะลี้ภัย แคว้นซ่งล่มสลายแผ่นดินอาบย้อมไปด้วยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แล้วนางก็ไม่คิดที่จะอ่านมันต่อ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะตอนนี้นางจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแคว้นซ่งขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของนางเอง หากนางยังมีลมหายใจ แคว้นซ่งจะต้องอยู่รอดไปชั่วลูกชั่วหลานเมื่อไฟในตำหนักส่วนตัวถูกดับลงจนมืดสลัว ร่างบอบบางในอาภรณ์รัดกุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าก็เร้นกายออกไปนอกตำหนัก จุดมุ่งหมายคือเรือนรับรองที่ถูกแยกออกมานอกวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนจากแคว้นหยวนร
ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปยังกระโจมบัญชาการ นางคงต้องหารือกับเหล่าแม่ทัพยังเมืองหน้าด่านนี้เสียก่อน"องค์หญิง ถวายบังคม..."เหล่าแม่ทัพทั้งสี่ รองแม่ทัพ และนายกองที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่านกำลังหารือกันอยู่นั้น ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่คิดว่าองค์หญิงของแคว้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรับรู้ถึงศึกในครั้งก่อน ที่พระองค์เป็นผู้สังหารองค์ชายรองจ้าวฉีหมิงของแคว้นจ้าวด้วยพระองค์เอง ขับไล่ศัตรูจนถอยร่น จึงไม่มีผู้ใดเกิดข้อกังขาในความปรีชาสามารถนั้น"พวกท่านทั้งหลายอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งลงก่อนเถิด"เมื่อทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหวานจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองสบตาของทุกคนอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่มีเค้าโครงขององค์หญิงสูงศักดิ์แม้แต่น้อย กลับกันคล้ายดังว่านางเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียมากกว่า"ต่อไปทุกคนจะรู้จักข้าในฐานะแม่ทัพเฟยแห่งแคว้นซ่ง ข้าจะวางฐานะองค์หญิงเอาไว้ชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงกัน"เหล่าบุรุษที่อยู่ในกระโจมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งนั้น แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าขององครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ที่พยักหน้าให้จึงพากันตอบรับ"ขอรับ"ใบหน้างดงามที่อย
ซ่งเฟยหย่าที่ควบม้าออกมายังเมืองหน้าด่านของแคว้นซ่ง จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแคว้นซ่งที่นางได้ศึกษามา แคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีภูเขาหินล้อมรอบมีทางเข้าออกเพียงสองทางเท่านั้น คือทางที่นางกำลังมาตอนนี้และอีกทางคือทางที่จะเดินทางไปยังแคว้นหยวน และเส้นทางนี้แน่นอนว่าเป็นเส้นทางที่แคว้นจ้าวจะต้องเดินทางผ่านอย่างแน่นอน ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะย่ำเท้าไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาสูงชัน ไม่อาทรต่อหยาดเหงื่อที่ไหลซึมหน้าผากมนและอาภรณ์ที่เปื้อนฝุ่นเลยสักนิด"ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาประจำยังจุดนี้ และจุดข้างหน้าห่างออกไปอีกสิบลี้ เราต้องรู้ทันทีที่ข้าศึกยกทัพมา ""ขอรับ"องครักษ์เว่ยที่ตั้งใจฟังคำสั่งของร่างบาง มองใบหน้างามอย่างชื่นชม"พ้นจากแผ่นดินซ่งออกไปเป็นดินแดนของแคว้นใดหรือ"ร่างบางที่เอ่ยถามหลังจากที่มาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ปอยผมที่หลุดรุ่ยสบัดพริ้วไหวดูน่ามอง"พ้นจากชายแดนแผ่นดินซ่งเป็นแคว้นอู่ขอรับ"อ้อ ไม่น่าเล่าแคว้นอู่ถึงได้เข้าร่วมกับแคว้นจ้าว น่าเสียดายนักที่องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานหนีรอดไปได้"ท่านให้ทหารหากำมะถัน ดินประสิวและผงถ่านจำนวนมากเอาไว้ให
อีกฝั่งหนึ่งทางทิศเหนือเส้นทางที่สามารถเดินทางเข้าสู่แคว้นหยวน องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่มาดักซุ่มโจมตีขบวนหลบหนีขององค์หญิงแห่งแคว้นซ่ง เห็นขบวนรถม้าที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนาก็ส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าโจมตีทันที แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงออกมาจากที่ซ่อนกลับมีห่าธนูมากมายพุ่งเข้ามาคร่าชีวิตของเหล่าทหาร จนร่วงหล่นล้มตายราวใบไม้ร่วง จนตั้งรับแทบไม่ทัน ก่อนจะเกิดการต่อสู้กันของคนทั้งสองกลุ่มพระองค์พลาดท่าเสียทีให้ฝั่งตรงข้ามเข้าเสียแล้ว องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่คิดอย่างเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าแคว้นซ่งจะคมในฝักได้ถึงเพียงนี้ ดาบในมือฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเจ็บแค้นกว่าจะฝ่าวงล้อมนั้นออกมาได้ก็สูญเสียทหารฝีมือดีของตนไปไม่น้อย จึงสั่งให้คนที่เหลือถอยออกมาเมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้หลบหนี ก็ปรากฏชายชุดดำอีกกลุ่มที่เข้ามาโจมตีคนของตน จนล้มตายจนหมด พระองค์เองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ความเจ็บแค้นในครั้งนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างสาสมทหารแคว้นซ่งที่เข้ามารุมล้อมกลุ่มชายชุดดำลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างระแวดระวัง ก่อนชายชุดดำทั้งหมดจะเปิด
องค์หญิงเฟยหย่าที่กำลังชักม้าเข้ามาหาผู้เป็นบิดา ดาบในมือเล็กตวัดฟาดฟันบั่นคอศัตรูอย่างกล้าหาญ แม้จะขัดใจกับร่างกายอ่อนปวกเปียกนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ร่างเล็กบนหลังอาชาที่พุ่งทะลวงตวัดดาบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ตวัดดาบ ล้วนพรากทุกลมหายใจภายในดาบเดียว จนองครักษ์เว่ยและเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ต้องรอบกลืนน้ำลายลงคอ มองดูดวงตาหงส์ที่ไร้ซึ่งแววหวาดหวั่นใบหน้างามนั้นดูเฉยชาราวกับเจ้าตัวนั้นกระทำการเข่นฆ่าอยู่เป็นนิจร่างบางที่มิได้สนใจองครักษ์ข้างกาย กลับฝ่าทหารฝั่งตรงข้ามที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อนมุ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่อยู่ในระยะสายตา อีกเพียงไม่ไกลนางก็จะได้เห็นใบหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดหลังจากที่มักจะจินตนาการอยู่เสมอว่าใบหน้าของผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นเช่นไร นางเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดบิดามารดาถึงได้ทอดทิ้งนาง แต่เมื่อวันนี้ได้เข้าใจ นางก็จะขอปกป้องครอบครัวของนางเอาไว้ด้วยชีวิต ดวงตาหงส์พลันแข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นบุรุษบนหลังอาชาสีดำทะมึน ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นบิดา จ้องมองบิดาของตนอย่างมาดร้ายในอกพลันสั่นไหว องค์ชายรองจ้าวฉีหมิง เจ้าคนต่ำทราม
ซ่งเฟยหย่าที่เห็นสายตาเช่นนั้นพลันระบายลมหายใจ เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้า"หากเราอ่อนแอ ศัตรูจะยิ่งเหยียบย่ำมิใช่หรือ มันหมดเวลาที่ข้าจะอ่อนแอแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อให้แคว้นซ่งยังคงอยู่รอด""เอ่อ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนของพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"ขุนนางชราผู้หนึ่งที่กล่าวขึ้น ทำให้ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มขึ้นอย่างยินดี เมื่อมีหนึ่งคนเสนอที่เหลือก็ต่างพร้อมใจกันร่วมมือ"หากรวบรวมคนของพวกกระหม่อมด้วย ก็มีกำลังเพิ่มอีกหลายพันนายพ่ะย่ะค่ะ"เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยสมทบสร้างความฮึกเหิมให้กับนางได้มากนัก หากนางจำไม่ผิด แคว้นจ้าวและแคว้นอู่ที่นำกำลังทหารมาประชิดเมืองหลวงในครั้งนี้ประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทหารที่ประจำอยู่เมืองหลวงของแคว้นซ่งมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทหารที่ประจำการอยู่หน้าด่านต่างบาดเจ็บล้มตายกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน สองพันนายประจำการอยู่ที่นี่และหนึ่งหมื่นสามพันนายกำลังสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง หากได้คนของเหล่าขุนนางมาสมทบก็ดีไม่น้อย"ดีมาก ขอบคุณพวกท่านจริงๆ ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็แยกย้ายกันกลับจวน รวบรวมคนทั้งหมด และแบ่งเอาส่วนหนึ่งพาคนในครอบครัวของพวกท่านไปหลบซ่อ
ร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มรัดกุม ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะจับยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหงส์สีทองอร่ามเพียงชิ้นเดียว ขับให้ใบหน้าขาวผ่องยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาหงส์หวานซึ้งที่ทอประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ ในวันนี้กลับเปล่งประกายกล้าแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน ช่างงดงามสะกดสายตาของผู้พบเห็น ขาเรียวเยื้องย่างเข้ามาภายในท้องพระโรงอันโออ่าอย่างมั่นคง ดูมั่นใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ต่างจ้องมององค์หญิงผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งแคว้นอย่างตกตะลึงองค์หญิงซ่งเฟยหย่าผู้งดงามอ่อนหวาน วันนี้มีบางอย่างที่ดูแปลกไป เรียกให้ทุกสายตาต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่สายตาหงส์กลับจับจ้องเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันกับนางเท่านั้น"หย่าหยา"เสียงหวานที่สั่นเครือของฮองเฮาแห่งแคว้นซ่ง ต้วนซือเซียง ใบหน้างามนั้นหม่นเศร้า หันมามองธิดาผู้เป็นที่รัก แต่ในสายพระเนตรนั้นกลับเห็นผู้เป็นบุตรสาวถึงสองคน จนต้องกะพริบตาอีกครั้ง"เสด็จแม่"ใบหน้างดงาม ดวงตาหงส์ที่ไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อน กลับมีหยาดน้ำไหลรินออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีผ