ซ่งเฟยหย่าที่เห็นสายตาเช่นนั้นพลันระบายลมหายใจ เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้า
"หากเราอ่อนแอ ศัตรูจะยิ่งเหยียบย่ำมิใช่หรือ มันหมดเวลาที่ข้าจะอ่อนแอแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อให้แคว้นซ่งยังคงอยู่รอด"
"เอ่อ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนของพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางชราผู้หนึ่งที่กล่าวขึ้น ทำให้ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มขึ้นอย่างยินดี เมื่อมีหนึ่งคนเสนอที่เหลือก็ต่างพร้อมใจกันร่วมมือ
"หากรวบรวมคนของพวกกระหม่อมด้วย ก็มีกำลังเพิ่มอีกหลายพันนายพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยสมทบสร้างความฮึกเหิมให้กับนางได้มากนัก หากนางจำไม่ผิด แคว้นจ้าวและแคว้นอู่ที่นำกำลังทหารมาประชิดเมืองหลวงในครั้งนี้ประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทหารที่ประจำอยู่เมืองหลวงของแคว้นซ่งมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทหารที่ประจำการอยู่หน้าด่านต่างบาดเจ็บล้มตายกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน สองพันนายประจำการอยู่ที่นี่และหนึ่งหมื่นสามพันนายกำลังสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง หากได้คนของเหล่าขุนนางมาสมทบก็ดีไม่น้อย
"ดีมาก ขอบคุณพวกท่านจริงๆ ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็แยกย้ายกันกลับจวน รวบรวมคนทั้งหมด และแบ่งเอาส่วนหนึ่งพาคนในครอบครัวของพวกท่านไปหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัย เผื่อเกิดความผิดพลาด แบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งคุ้มครองชาวบ้าน และที่เหลือให้ไปเคลื่อนย้ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บตรงเมืองหน้าด่าน นำหมอทั้งหมดที่มีทั้งหมอชาวบ้านและหมอหลวง ให้รักษาพวกเขา"
ทุกสายตาต่างจ้องมองร่างบางตรงหน้าอย่างกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุใดองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวาน ถึงแปรเปลี่ยนไปได้แค่ข้ามคืน เมื่อวานนี้พระองค์ยังทรงตกพระทัยจนหมดสติไปอยู่เลย แต่วันนี้กลับคิดอ่านทุกอย่างด้วยความรอบคอบและรวดเร็ว พวกตนได้เปิดหูเปิดตาแล้ว องค์หญิงทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก
"ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมไปทำตามพระบัญชาและนำกำลังทหารไปสมทบกับฝ่าบาทก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์รักษาตัวด้วย"
"ใครบอกว่าข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะไปออกรบกับพวกท่านด้วย"
"องค์หญิง"
"หย่าหยา"
ทุกสายตาต่างจับจ้องร่างบอบบางขององค์หญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึงอีกครั้ง พระองค์ทรงวิปลาสไปแล้วหรืออย่างไร พระองค์เป็นสตรีที่ไม่แม้แต่จะเคยจับดาบสักครั้งจะเอาชีวิตไปทิ้งหรืออย่างไร นั่นคือความคิดของทุกคนที่ได้เพียงคิด แต่มิได้เปล่งวาจาออกมา
ดวงตาหงส์ที่เห็นสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาราวกับนางเป็นตัวประหลาด ให้รู้สึกหนักใจยิ่งนัก ดวงตางามจึงกวาดไปทั่วทั้งท้องพระโรง ก่อนสายตาจะไปปะทะเข้ากับคันธนูที่ตั้งอยู่เหนือบัลลังก์สีทองอร่าม ธนูที่ดึงดูดสายตาของนาง ลวดลายบนคันธนูสีทองนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ มันเป็นลวดลายของหงส์ที่กำลังสยายปีก
ใช่ คันธนูนั้นคล้ายดังหงส์สยายปีก ดวงตาที่เป็นอัญมณีสีแดงเพลิงนั้นเปล่งประกาย คันธนูเฟิ่งหวง ที่ในหนังสือเขียนเอาไว้ว่า เป็นคันธนูศักดิ์สิทธิ์คู่บัลลังก์ของแคว้นซ่ง ที่ไม่มีใครสามารถยกมันขึ้นมาได้ ร่างบางที่จ้องมองมันราวกับต้องมนต์ ขาเรียวก้าวเข้าไปอย่างเลื่อนลอย ทุกคนได้แต่มองการกระทำนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เมื่อมือเล็กบอบบางยกคันธนูเฟิ่งหวง นั้นมาถือเอาไว้ในมืออย่างง่ายดาย
คันธนูเฟิ่งหวง ที่ไม่มีองค์กษัตริย์ในราชวงศ์พระองค์ใดสามารถยกขึ้นมาก่อน แม้แต่องค์ฮ่องเต้ซ่งเต๋อเทียน แต่องค์หญิงซ่งเฟยหย่ากลับยกมันขึ้นมาได้เพียงมือเดียว
"หย่าหยา"
ต้วนฮองเฮาที่มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ยกยิ้มขึ้นทั้งน้ำตา กล่าวออกมาราวกับละเมอ
"ลูกยกคันธนูเฟิ่งหวงได้"
ซ่งเฟยหย่าที่ยกยิ้มขึ้น มองดูทุกคนที่คุกเข่าลงตรงหน้านางอย่างพร้อมเพรียง
"หากเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าคงไปช่วยพระบิดาได้แล้วกระมัง"
"เสด็จแม่ รอลูกกลับมานะเพคะ"
"หย่าหยาแต่ว่า..."
"เสด็จแม่ ต้องเชื่อใจลูกนะเพคะ ลูกจะกลับมาหาเสด็จแม่พร้อมกับเสด็จพ่อ"
" หย่าหย่า ดูแลตัวเองด้วย แม่จะรอเจ้ากลับมา"
ฮองเฮาที่ยกฝ่ามืออุ่นขึ้นลูบศีรษะเล็ก นางควรจะดีใจที่บุตรีนั้นกล้าหาญและเสียสละ สมกับมีสายเลือดขัตติยะ
ร่างบางที่ส่งยิ้มให้มารดา พร้อมกับคว้ากระบอกบรรจุลูกธนู ที่ถูกวางไว้คู่กันขึ้นสะพายหลัง ลูกธนูที่มีความพิเศษ สามารถเจาะเหล็กหนาได้ราวกับเจาะนุ่น
ร่างบอบบางที่ก้าวออกมาอย่างมั่นคง ยืนเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าเหล่าทหารกล้านับพันนาย กล่าววาจาที่ทำให้บรรดาทหารรู้สึกฮึกเหิม พร้อมที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ แม้ด้านหน้าของพวกเขาจะเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ แต่ในมือของพระนางคือคันธนูเฟิ่งหวง ธนูคู่แผ่นดิน หากพระองค์สามารถยกมันขึ้นมาได้ นั่นก็แสดงว่าพระองค์ก็ไม่ธรรมดา และวาจาหนักแน่นที่กล่าวออกมาก็ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะพลีชีพ
องครักษ์เว่ยจี้ชวน ที่ยืนลังเลมิรู้ว่าจะเตรียมม้าหรือรถม้าให้องค์หญิงคนงามดี เพราะเขายังไม่เคยเห็นองค์หญิงซ่งเฟยหย่าทรงม้าเลยสักที แต่หากไปสนามรบจะทรงนั่งรถม้าไปได้อย่างไรกัน เอาไงก็เอากัน เช่นนั้นก็เป็นม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ก็แล้วกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้นองครักษ์เว่ยก็จูงม้าตัวโต ดูสง่างามเข้ามารอท่าองค์หญิงคนงาม มองดูม้าสลับกับร่างเล็กๆ นั้นแล้วให้รู้สึกลังเลใจนัก
ซ่งเฟยหย่าเมื่อกล่าวให้เหล่าทหารมั่นใจในตัวนางแล้ว ก็ออกคำสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง ร่างบางสะพายธนูเอาไว้ด้านหลังอย่างทะมัดทะแมง มองดูมือหนาขององครักษ์เว่ยที่ส่งมาให้เพื่อช่วยนางขึ้นม้าจึงยกยิ้มส่งไปให้แทน ก่อนขาเรียวจะเหยียบโกลนม้าตวัดขาขึ้นม้าเหงื่อโลหิตตัวโตอย่างสง่างาม โดยที่ไม่แม้แต่จะรับความช่วยเหลือจากฝ่ามือใหญ่ สร้างความตกตะลึงและความภาคภูมิใจให้เหล่าทหารทุกคน มองสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างชื่นชมจนปิดไม่มิด
กองทัพที่มีองค์หญิงซ่งเฟยหย่านำทัพ ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองอย่างฮึกเหิม กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งมาตามลมให้ความหดหู่อันน่าสะอิดสะเอียน องครักษ์เว่ยและเหล่าทหารต่างสังเกตใบหน้างามขององค์หญิงซ่งเฟยหย่าที่ยังคงสงบราบเรียบเช่นเดิมอย่างนับถือ
ซ่งเฟยหย่ามองดูความอลหม่านด้านหน้า ดวงตาหงส์กวาดตามองหาร่างของผู้เป็นบิดา ก่อนสายตาจะปะทะกับแผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีเหลืองทองที่เมื่อมองแล้วรู้สึกถึงความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งวาบเข้ามาในอก
"ฝ่าบาทอยู่ด้านนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงขององครักษ์เว่ยที่กล่าวขึ้น ทำให้ยิ่งมั่นใจ ว่าแผ่นหลังของคนผู้นั้นคือบิดาของนางจริงๆ และฝ่ายของบิดากำลังที่จะเพลี้ยงพลั้ง เห็นได้ชัดว่าพระองค์กำลังอ่อนแรงเต็มทีกับกองกำลังของศัตรูที่ตึงมือยิ่งนัก ด้วยแคว้นซ่งมิเคยต้องเผชิญกับศึกใหญ่เช่นนี้มาก่อน จึงมิได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือ นางไม่อาจที่จะรอช้าได้อีกต่อไป
"เหล่าทหารกล้าแห่งแคว้นซ่ง บุก"
เสียงโห่ร้องของทหารแคว้นซ่งที่มาสมทบสร้างความยินดีให้กับเหล่าทหารที่อยู่ท่ามกลางสนามรบ จนมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง ดาบในมือฟาดฟันเข้าหาศัตรูด้วยความองอาจแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต หวังเพียงปกป้องดินแดนแห่งนี้ให้สืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
ฮ่องเต้ซ่งเต๋อเทียนที่ปรายตามองร่างเล็กบนหลังอาชาที่ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก แต่ศึกตรงหน้าที่ติดพันอยู่ก็ไม่อาจที่จะพิศมองนานได้
องค์ชายรองจ้าวฉีหมิงที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นั้นเหยียดยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน มองกองทัพเล็กๆ ข้างหน้าที่ต่างดาหน้าเข้ามาตาย ศึกนี้ช่างแสนน่าเบื่อยิ่งนัก มองดูฮ่องเต้ซ่งเต๋อเทียนที่เริ่มจะอ่อนกำลังลง มือหนาพลันตวัดดาบในมือ ชักม้าตรงเข้ามาหาพระวรกายสูงที่กำลังตวัดดาบฟาดฟันคนของตน พระองค์ควรต้องจบศึกอันน่าเบื่อหน่ายนี้เสียที ทรงเสียเวลาเล่นสนุกมามากเกินไปแล้ว
องค์หญิงเฟยหย่าที่กำลังชักม้าเข้ามาหาผู้เป็นบิดา ดาบในมือเล็กตวัดฟาดฟันบั่นคอศัตรูอย่างกล้าหาญ แม้จะขัดใจกับร่างกายอ่อนปวกเปียกนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ร่างเล็กบนหลังอาชาที่พุ่งทะลวงตวัดดาบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ตวัดดาบ ล้วนพรากทุกลมหายใจภายในดาบเดียว จนองครักษ์เว่ยและเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ต้องรอบกลืนน้ำลายลงคอ มองดูดวงตาหงส์ที่ไร้ซึ่งแววหวาดหวั่นใบหน้างามนั้นดูเฉยชาราวกับเจ้าตัวนั้นกระทำการเข่นฆ่าอยู่เป็นนิจร่างบางที่มิได้สนใจองครักษ์ข้างกาย กลับฝ่าทหารฝั่งตรงข้ามที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อนมุ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่อยู่ในระยะสายตา อีกเพียงไม่ไกลนางก็จะได้เห็นใบหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดหลังจากที่มักจะจินตนาการอยู่เสมอว่าใบหน้าของผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นเช่นไร นางเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดบิดามารดาถึงได้ทอดทิ้งนาง แต่เมื่อวันนี้ได้เข้าใจ นางก็จะขอปกป้องครอบครัวของนางเอาไว้ด้วยชีวิต ดวงตาหงส์พลันแข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นบุรุษบนหลังอาชาสีดำทะมึน ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นบิดา จ้องมองบิดาของตนอย่างมาดร้ายในอกพลันสั่นไหว องค์ชายรองจ้าวฉีหมิง เจ้าคนต่ำทราม
อีกฝั่งหนึ่งทางทิศเหนือเส้นทางที่สามารถเดินทางเข้าสู่แคว้นหยวน องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่มาดักซุ่มโจมตีขบวนหลบหนีขององค์หญิงแห่งแคว้นซ่ง เห็นขบวนรถม้าที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนาก็ส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าโจมตีทันที แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงออกมาจากที่ซ่อนกลับมีห่าธนูมากมายพุ่งเข้ามาคร่าชีวิตของเหล่าทหาร จนร่วงหล่นล้มตายราวใบไม้ร่วง จนตั้งรับแทบไม่ทัน ก่อนจะเกิดการต่อสู้กันของคนทั้งสองกลุ่มพระองค์พลาดท่าเสียทีให้ฝั่งตรงข้ามเข้าเสียแล้ว องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่คิดอย่างเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าแคว้นซ่งจะคมในฝักได้ถึงเพียงนี้ ดาบในมือฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเจ็บแค้นกว่าจะฝ่าวงล้อมนั้นออกมาได้ก็สูญเสียทหารฝีมือดีของตนไปไม่น้อย จึงสั่งให้คนที่เหลือถอยออกมาเมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้หลบหนี ก็ปรากฏชายชุดดำอีกกลุ่มที่เข้ามาโจมตีคนของตน จนล้มตายจนหมด พระองค์เองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ความเจ็บแค้นในครั้งนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างสาสมทหารแคว้นซ่งที่เข้ามารุมล้อมกลุ่มชายชุดดำลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างระแวดระวัง ก่อนชายชุดดำทั้งหมดจะเปิด
ซ่งเฟยหย่าที่ควบม้าออกมายังเมืองหน้าด่านของแคว้นซ่ง จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแคว้นซ่งที่นางได้ศึกษามา แคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีภูเขาหินล้อมรอบมีทางเข้าออกเพียงสองทางเท่านั้น คือทางที่นางกำลังมาตอนนี้และอีกทางคือทางที่จะเดินทางไปยังแคว้นหยวน และเส้นทางนี้แน่นอนว่าเป็นเส้นทางที่แคว้นจ้าวจะต้องเดินทางผ่านอย่างแน่นอน ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะย่ำเท้าไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาสูงชัน ไม่อาทรต่อหยาดเหงื่อที่ไหลซึมหน้าผากมนและอาภรณ์ที่เปื้อนฝุ่นเลยสักนิด"ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาประจำยังจุดนี้ และจุดข้างหน้าห่างออกไปอีกสิบลี้ เราต้องรู้ทันทีที่ข้าศึกยกทัพมา ""ขอรับ"องครักษ์เว่ยที่ตั้งใจฟังคำสั่งของร่างบาง มองใบหน้างามอย่างชื่นชม"พ้นจากแผ่นดินซ่งออกไปเป็นดินแดนของแคว้นใดหรือ"ร่างบางที่เอ่ยถามหลังจากที่มาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ปอยผมที่หลุดรุ่ยสบัดพริ้วไหวดูน่ามอง"พ้นจากชายแดนแผ่นดินซ่งเป็นแคว้นอู่ขอรับ"อ้อ ไม่น่าเล่าแคว้นอู่ถึงได้เข้าร่วมกับแคว้นจ้าว น่าเสียดายนักที่องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานหนีรอดไปได้"ท่านให้ทหารหากำมะถัน ดินประสิวและผงถ่านจำนวนมากเอาไว้ให
ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปยังกระโจมบัญชาการ นางคงต้องหารือกับเหล่าแม่ทัพยังเมืองหน้าด่านนี้เสียก่อน"องค์หญิง ถวายบังคม..."เหล่าแม่ทัพทั้งสี่ รองแม่ทัพ และนายกองที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่านกำลังหารือกันอยู่นั้น ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่คิดว่าองค์หญิงของแคว้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรับรู้ถึงศึกในครั้งก่อน ที่พระองค์เป็นผู้สังหารองค์ชายรองจ้าวฉีหมิงของแคว้นจ้าวด้วยพระองค์เอง ขับไล่ศัตรูจนถอยร่น จึงไม่มีผู้ใดเกิดข้อกังขาในความปรีชาสามารถนั้น"พวกท่านทั้งหลายอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งลงก่อนเถิด"เมื่อทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหวานจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองสบตาของทุกคนอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่มีเค้าโครงขององค์หญิงสูงศักดิ์แม้แต่น้อย กลับกันคล้ายดังว่านางเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียมากกว่า"ต่อไปทุกคนจะรู้จักข้าในฐานะแม่ทัพเฟยแห่งแคว้นซ่ง ข้าจะวางฐานะองค์หญิงเอาไว้ชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงกัน"เหล่าบุรุษที่อยู่ในกระโจมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งนั้น แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าขององครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ที่พยักหน้าให้จึงพากันตอบรับ"ขอรับ"ใบหน้างดงามที่อย
วันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับสตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง แต่ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจนัก เมื่อมันดำเนินไปในทิศทางที่ดี จนนางมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร แคว้นซ่งในกาลข้างหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ ประชาชนจะต้องอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า แต่ถึงแม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยจนอยากจะหลับตาพักผ่อนเต็มที แต่นางก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ที่จะไปลอบสังเกตคนของแคว้นหยวนเสียหน่อย เนื้อหาในหนังสือที่นางอ่านไปนั้น ถึงตอนที่องค์หญิงซ่งเฟยหย่านั้นได้จบชีวิตลงในขณะลี้ภัย แคว้นซ่งล่มสลายแผ่นดินอาบย้อมไปด้วยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แล้วนางก็ไม่คิดที่จะอ่านมันต่อ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะตอนนี้นางจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแคว้นซ่งขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของนางเอง หากนางยังมีลมหายใจ แคว้นซ่งจะต้องอยู่รอดไปชั่วลูกชั่วหลานเมื่อไฟในตำหนักส่วนตัวถูกดับลงจนมืดสลัว ร่างบอบบางในอาภรณ์รัดกุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าก็เร้นกายออกไปนอกตำหนัก จุดมุ่งหมายคือเรือนรับรองที่ถูกแยกออกมานอกวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนจากแคว้นหยวนร
ซ่งเฟยหย่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้คนตัวโตได้ ก็ให้นึกขัดเคืองใจนัก ไม่ว่านางจะออกหมัด ศอก เข่า อีกฝ่ายกลับตั้งรับได้หมด จนนางหายใจเหนื่อยหอบ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นอย่างเหนือกว่า ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ร่างบางยิ่งเดือดดาลในอกพลันร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะควบคุม ยิ่งร่างเล็กถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกายหนาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะสะบัดให้หลุดนั้น ยิ่งทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกเดือดดาล เท้าเล็กที่ยังคงเป็นอิสระจึงกระทืบลงบนหลังเท้าใหญ่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสียหลักเพราะไม่คิดว่าร่างบางในอ้อมแขนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ จึงทำให้เสียการทรงตัว สองร่างหงายหลังล้มลงไปด้วยกันใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยว มิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเพราะฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่ไม่ยอมปล่อยนางแม้จะล้มลงไป กลับดึงนางลงไปด้วย แต่นั่นมิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนผ่าวนั้นกำลังนาบอยู่บนทรวงอกอวบอิ่มของนางเต็มๆ จนรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่าน แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตาม และตอนนี้เองที่ซ่งเฟยหย่า นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวเท่าน
ซ่งเฟยหย่าในวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดขับให้ผิวขาวนั้นนวลผ่อง สีแดงเป็นสีที่นางชื่นชอบมากที่สุด และนางคิดว่ามันเป็นสีของความเป็นมงคล วันนี้ที่นางสวมใส่อาภรณ์งดงามอย่างเต็มพิธีการ ก็เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการประชุมขุนนางในวันนี้ ร่างบางที่เดินมุ่งตรงไปยังท้องพระโรง ทุกย่างก้าวนั้นล้วนมั่นคงและเด็ดเดี่ยว มีความเป็นตัวเองสูงอย่างที่ซ่งเฟยหย่าคนเก่าไม่เคยมี ดวงตาหงส์ดูมีเสน่ห์มันมีทั้งความแน่วแน่และดื้อรั้นอยู่ในนั้น วันนี้นางมีเรื่องที่จะเสนอต่อทุกคนเยอะแยะมากมายเลยทีเดียวเมื่อมาถึงก็เอ่ยทักทายขุนนางชั้นผู้ใหญ่พอเป็นพิธี ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประจำตำแหน่ง ขององค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น เมื่อพระบิดาเสด็จมาประทับบนบัลลังก์สีทองอร่าม การประชุมจึงได้เริ่มต้นขึ้น บรรดาขุนนางต่างหยิบยกนำเอาเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบของตนขึ้นมานำเสนอเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาซ่งเฟยหย่านางมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง นึกย้อนไปยังภพที่นางจากมาแล้วให้นึกสะท้อนใจนัก อดที่จะเปรียบเทียบกับความร่วมมือร่วมใจกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ หากบุคคลในภพก่อน ร่วมมือร
นางเห็นความยินดี จงรักภักดีฉายชัดอยู่ในดวงตาของทุกคน"เช่นนั้นก็เป็นสวรรค์เมตตาแคว้นซ่งของเราแล้ว ลูกก็อธิบายสิ่งที่จะทำให้เหล่าขุนนางได้ฟังต่อเถิด พวกเขาพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างลูก ใช่หรือไม่"พระสุรเสียงของฮ่องเต้ซ่งเต๋อเทียนกล่าวออกมาอย่างยินดี พร้อมกับรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า ท้ายประโยคนั้นหันไปเอ่ยกับเหล่าข้าราชบริพารผู้ภักดีตรงหน้า"พ่ะย่ะค่ะ"เสียงตอบรับที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับแววตาที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความหวัง ทำให้ใบหน้างามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่หยาดน้ำที่เอ่อคลอหน่าวตา ยกยิ้มขึ้นอย่างยินดี ก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ การมีคนรับฟัง พร้อมที่จะเคียงข้าง มันให้ความรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง นางจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง"ข้าอยากจะเสนอให้มีการขุดลอกคูคลองขึ้นและสร้างฝายกั้นน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มีน้ำดื่มน้ำใช้ เมื่อเข้าหน้าฝนก็สามารถที่จะกักเก็บน้ำไม่ให้มันไหลทะลักท่วมบ้านเรือนของชาวบ้าน""แต่แคว้นของเรานั้นแห้งแล้งมาก เราจะเอาน้ำมาจากไหนกันพ่ะย่ะค่ะ"เป็นขุนนางอาวุโสท่านหนึ่งที่กล่าวขึ้น ก่อนที่คนอื่นจะรอคำตอบจากนางเช่นกัน"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าแล
ผืนดินเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา มองไปทางใดก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี อากาศบริสุทธิ์ปลอดโปร่งกลิ่นอายธรรมชาติโอบล้อม แผ่นดินที่เคยแตกระแหงแห้งแล้ง บัดนี้ล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวของพืชผัก ผลหมากรากไม้พากันเบ่งบานออกดอกผลิผล ฝูงสัตว์เลี้ยงมากมายเดินหากินอยู่ในทุ่งกว้าง ชาวบ้านชาวเมืองล้วนอยู่ดีมีสุขมองไปทางใดล้วนเห็นแต่บรรยากาศอันชื่นมื่น ใบหน้าของทุกคนยามนี้ประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ทุกหัวเมืองถนนหนทาง ร้านรวงต่างๆ ต่างประดับประดาเต็มไปด้วยผ้าแดงมงคล ทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินนี้ทุกคนกำลังดื่มฉลอง เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูนของเหล่าประชาชนแคว้นซ่ง วันที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอยและร่วมยินดี วันอภิเษกสมรสที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขององค์หญิงซ่งเฟยหย่าของพวกเขากับชินอ๋องไท่หมิงหลงแห่งแคว้นหยวนที่บัดนี้กลายเป็นรัชทายาทของแคว้นซ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความยินดีของทั้งสองแคว้นเสียงจุดประทัดมงคลดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มฉลองอย่างสนุกสนานและชื่นมื่น คู่บ่าวสาวก็กำลังดื่มด่ำกับความสุขเช่นกัน หลังจากที่ผ่านการกราบไหว้ฟ้าดินอย่างถ
คำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากของสตรีตรงหน้า สตรีที่พระองค์มอบหัวใจรักให้กับนางราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหัว อื้ออึงเต็มสองหู จนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบในโพรงอก หัวใจมันบีบรัดจนปวดหนึบ ชินอ๋องไท่หมิงหลงที่จ้องมองใบหน้างามตรงหน้าอย่างรวดร้าวในอก จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามที่พระองค์หลงใหลและหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา ราวกับจะค้นหาความจริงในนั้น อยากให้คำตอบนั้นนางเพียงแค่ล้อพระองค์เล่น แต่ยิ่งจ้องมองพระองค์ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเพราะมันมีแต่ความจริงจังอยู่ในนั้น จนวูบโหวงไปทั้งโพรงอก อยากไปให้พ้นจากตรงนี้โดยไว ก่อนที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่กว่าจะเปร่งคำพูดออกไปได้ช่างทรมานยิ่งนัก"พี่เข้าใจแล้ว"เสียงแหบโหยที่ดังอย่างโรยแรง ทำให้คนฟังนั้นสะท้านในอกซ่งเฟยหย่าที่มองคนตรงหน้าที่มองนางอย่างเจ็บปวดและผิดหวัง ก่อนจะหันหลังให้นาง แผ่นหลังกว้างลู่ลงดูน่าสงสารและก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินออกไป นางจึงรีบเอ่ยขึ้น"ข้ายังมิได้บอกท่านเลยว่าจะเป็นไท่จื่อเฟยของแคว้นใด"เสียงหวานที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เท้าหนักอึ้งที่กำลังจะก้าวไปด้านหน้าหยุดชะงัก ทบทวนสิ่งที่นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะห
หลังจากที่แคว้นซ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ การปลูกพืชผักต่างๆ จึงเป็นไปได้โดยง่าย ตอนนี้ทุกคนต่างช่วยกันพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้ง ขะมักเขม้นปลูกพืชผลทางการเกษตรกันอย่างขยันขันแข็ง และยังช่วยกันปลูกไม้ยืนต้นที่องค์หญิงที่พวกเขาเทิดทูนกล่าวว่า ต่อไปต้นไม้ที่พวกเขาช่วยกันปลูกจะสร้างคุณให้พวกเขาอย่างใหญ่หลวง ซึ่งพวกเขาก็พร้อมที่จะน้อมรับทำตามสิ่งที่พระองค์บอก ขอเพียงแค่พระองค์รับสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามบัญชา เมื่อน้ำท่าสมบูรณ์ สิ่งดีดีต่างๆ ย่อมตามมาสถานการณ์ในแคว้นซ่งตอนนี้กำลังเกิดการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ประชาชนล้วนมีใบหน้าที่เอิบอิ่มแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแ่งความสุข ภายในแคว้นกลับมาคึกคักอีกครั้ง ความสงบร่มเย็นกลับมาเยือนแผ่นดินซ่ง และดูเหมือนว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”เสียงของคนสนิทที่เอ่ยเรียกทำให้ชินอ๋องไท่หมิงหลงจำต้องละสายตาจากภาพเบื้องล่างของโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของแคว้นซ่งที่เปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากที่ปิดให้บริการมาเนิ่นนาน ภาพอันสวยงามของแผ่นดินซ่ง แผ่นดินของสตรีที่พระองค์ทรงปักใจรัก สตรีที่พระองค์มิเคยพบเจอที่ใดมาก่อน และตอนนี้นางได้เข้ามาครอบครองทั้งหมดในพร
วันนี้มีทหารและชาวบ้านชาวเมืองมากมายที่เดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาอันเขียวชอุ่มที่มีเพียงลูกเดียวด้านหลังของแคว้น เพื่อจะไปชมการเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำขององค์หญิงซ่งเฟยหย่าที่กลายเป็นหัวข้อการสนทนาตลอดหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่มีการขุดลอกคูคลองและสร้างฝายกั้นน้ำ ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะมีน้ำดื่มน้ำใช้ และอยากรู้ว่ามันจะเป็นความจริงและเห็นกับตาตนเอง ว่ามิใช่เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ผู้คนที่มามุงดูทั้งหมดถูกกันออกมาให้อยู่ในบริเวณที่ถูกกั้นเอาไว้โดยเหล่าทหาร มิให้เข้าไปในพื้นที่การทำงานเพราะเกรงว่าจะมีอันตรายและกีดขวางการทำงานของทหารที่กำลังขนย้ายถังไม้ที่บรรจุดินระเบิดเอาไว้เหล่าชาวบ้านชาวเมืองที่มามุงดูยาวไปตั้งแต่จุดที่เป็นต้นน้ำที่มองเห็นอยู่ไกลๆ ในระยะสายตา เห็นเหล่าทหารกำลังลำเลียงถังไม้ขึ้นไปอย่างแข็งขัน เลียบไปตลอดแนวตลิ่งของคูคลองที่ถูกขุดขึ้นยาวไปจนถึงสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดขึ้นใจกลางแปลงเกษตร ต้นน้ำถูกจับจ้องว่าถังเหล่านั้นคือสิ่งใด และจะสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำได้เช่นไร เลียบแนวตลิ่งทุกสายตาต่างจ้องมองอย่างจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะมีน้ำไหลมาเติมเต็มผืนดินที่แห้งแล้งนี้ซ่งเฟ
สัมผัสอุ่นละมุนที่ประทับลงมาแผ่วเบาซาบซ่านไปทั่วริมฝีปากอ่อนนุ่ม ความอ่อนโยนนั้นทำให้ดวงตาหงส์หลับพริ้มซึมซับความรู้สึกอ่อนหวานอย่างเต็มใจ ชินอ๋องไท่หมิงหลงที่เห็นว่าสตรีในอ้อมแขนมิได้รังเกียจสัมผัสจากพระองค์ให้รู้สึกยินดียิ่งนัก เจ็บกายคราวนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริงที่ทำให้สตรีในอ้อมแขนเปิดใจให้พระองค์ ริมฝีปากหนาที่ผละออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสบตากับสตรีตรงหน้าราวกับจะขออนุญาต เมื่อเห็นว่านางไม่กล่าวอันใดและมิได้มีท่าทีโกรธเคืองมีเพียงพวงแก้มนวลที่แดงก่ำอย่างเขินอาย เวลานางเขินอายก็ดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก จึงยกยิ้มละมุน ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้จุมพิตนั้นช่างอ่อนหวานลึกซึ้งจนสองกายที่โอบกอดกันอยู่นั้นสั่นสะท้าน เรียวลิ้นอุ่นนุ่มที่สอดแทรกเข้ามาชิมความหวานในอุ้งปากเล็กนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้ร่างบางรู้สึกวาบหวิวตอบรับสัมผัสจากร่างหนาอย่างน่ารักน่าใคร่ จนจุมพิตอ่อนหวานในคราแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนปรารถนา"โอ๊ย...!"ร่างสูงที่ผละออกจากร่างบางร้องเสียงหลง สาเหตุเพราะแผลของพระองค์ถูกกดอย่างแรงจากคนตัวเล็กในอ้อมแขน"สมน้ำหน้า ได้คืบจะเอาศอก ฉวยโอกาสดีนัก""เจ็บ..."ใบหน
ภาพของสตรีที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าเรือนของผู้เป็นนายทำให้ลู่จิ่นยกยิ้มขึ้น เดินเข้าไปหาสตรีสูงศักดิ์ที่วันนี้ไม่ได้มาในคราบคุณชายหนุ่มรูปงาม แต่วันนี้ทรงสวมอาภรณ์งดงามเฉกเช่นสตรีแลดูอ่อนหวานจนเหล่าบุปผารอบกายนั้นพร้อมใจกันเบ่งบานชูช่อดูมีชีวิตชีวาไปด้วย "คารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ"ลู่จิ่นที่ค้อมกายให้สตรีตรงหน้าอย่างนอบน้อมฮะแฮ่ม"ท่านลู่จิ่นอย่าได้มากพิธีเลย ท่านอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง"ซ่งเฟยหย่าที่กระแอมไอเล็กน้อยเอ่ยถามอีกฝ่าย ใบหน้างามนั้นดูรู้สึกผิดกับเรื่องในคืนนั้น วันนี้จึงทำให้นางต้องมาเยือนที่เรือนรับรองแห่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคิดได้ว่านางกลั่นแกล้งอีกฝ่ายมากเกินไป ทั้งๆ ที่พระองค์อุตส่าห์ไปช่วยเหลือนางแท้ๆ"ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย จึงได้เบาใจขึ้น"เอ่อ แล้วนั่นท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ""กระหม่อมจะไปตามท่านหมอมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเปลี่ยนให้ก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกว่ากระหม่อมมือหนัก"ลู่จิ่นที่เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มขัน ดูเหมือนท่านอ๋องจะผวาไม่น้อยกับรอยแผลบนแผ่นหลังนั้นเพราะโดนฤทธิ์เดชขององค์หญิงคนงามตรงหน้า"อ้อเช่นนั้น
ซ่งเฟยหย่าที่ชักม้าให้หยุดลง ก่อนจะหันไปหากลุ่มชายชุดดำที่เข้ามาช่วยเหลือพวกนาง อย่างต้องการจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของใครที่ส่งมาช่วย แต่ร่างสูงของบุรุษบนหลังอาชาผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือนางให้รอดพ้นจากธนูดอกนั้นกลับฟุบลงไปกับหลังม้า ด้านหลังนั้นมีธนูดอกหนึ่งปักอยู่จนแผ่นหลังกว้างนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด สร้างความตกใจให้แก่นางยิ่งนัก "ท่านอ๋อง"แต่เสียงของผู้ติดตามของชายชุดดำผู้นั้นที่น่าจะเป็นท่านลู่จิ่นเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ พร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหาผู้เป็นนาย ทำให้นางจ้องมองร่างนั้นอย่างตกตะลึง บุรุษผู้นั้นที่ช่วยเหลือนางจนตัวเองได้รับบาดเจ็บคือชินอ๋องไท่หมิงหลงแห่งแคว้นหยวนไม่ผิดแน่ ขาเรียวจึงก้าวเข้าไปดูอาการของบุรุษสูงศักดิ์ที่ตอนนี้ถูกประคองลงจากหลังม้าในทันทีซ่งเฟยหย่าที่ดึงเอาผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายออกเพื่อให้พระองค์หายใจได้สะดวกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้ซีดเซียวจนใจดวงน้อยของนางกระตุกวูบ นางไม่คิดว่าจะเป็นพระองค์ เพราะเรื่องที่นางจะลักลอบเข้าเผ่าจ่าวข่าย มีเพียงหน่วยพยัคฆ์ซ่อนเท่านั้นที่ล่วงรู้ แม้แต่พระบิดาของนางก็ไม่ทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากว่าอีกฝ่า
"องครักษ์เว่ยการก่อสร้างฝายกั้นน้ำและการขุดคูคลองเป็นเช่นไรบ้าง"เสียงหวานของร่างบางที่กำลังครุ่นคิดแผนการที่จะลอบเข้าไปในเผ่าจ่าวข่ายเพื่อนำกำมะถันออกมา เอ่ยถามองครักษ์คนสนิทถึงการดำเนินการสร้างฝายและการขุดคูคลองรอบๆ กำแพงเมืองและในพื้นที่ที่จะทำการเพาะปลูก"คาดว่าอีกไม่เกินสามวันก็จะเสร็จสมบูรณ์ขอรับ ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ส่วนพื้นที่ที่ท่านจะใช้ทำเป็นแปลงเกษตรก็ถูกเตรียมการเอาไว้แล้ว พื้นที่ถูกขุดยกร่องเพื่อเตรียมที่จะลงเมล็ดพันธุ์เอาไว้แล้วขอรับ"คำตอบนั้นสร้างความพอใจให้กับร่างบางยิ่งนัก การดำเนินงานนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วแล้วยังสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านและเหล่าขอทานให้สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกด้วย นางคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ดึงคนเหล่านั้นให้ได้ทำงานแสดงความสามารถที่พวกเขามี พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีฝีมือเพียงแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง นี่เป็นก้าวแรกที่ถือว่าดีมากเลยทีเดียว ตอนนี้ก็คงเหลือเพียงการรอน้ำมาเติมเต็มเท่านั้น"เช่นนั้นท่านไปแจ้งให้หน่วยพยัคฆ์ซ่อนเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้เราจะลงมือกัน"องครักษ์เว่ยที่ยังคงรีรอ ไม่ได้ไปทำตามคำสั่ง จนใบหน้างามต้องเงยขึ้นมอง เอ่ยถามอย่างไ
เรื่องราวที่ได้รู้ได้เห็นมาในวันนี้ ทำให้ซ่งเฟยหย่าที่กลับวังมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งเกิดอาการปวดหน่วงขึ้นในโพลงอก ถึงกับไม่อาจที่จะข่มตาให้หลับลงได้ ใบหน้าอมทุกข์ของเหล่าประชาชนวิ่งวุ่นในหัวทุกครั้งที่หลับตา บรรยากาศโศกเศร้าที่รายล้อมอยู่รอบตัวคนเหล่านั้น ทำให้นางอยากจะร้องไห้ มือบอบบางยกขึ้นก่ายหน้าผาก ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ครุ่นคิดถึงการที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผ่นดินของนาง อย่างแรกที่นางจะต้องทำคือลงมือสร้างระเบิดเพื่อเร่งสร้างทางน้ำและสร้างฝาย เพื่อที่แผ่นดินนี้จะไม่ต้องทนกับความแห้งแล้งอีกต่อไป มีพืชผักที่ปลูกขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องรอคอยจากผู้อื่น นางจะต้องทำให้แผ่นดินนี้กลายเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ได้ ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกระแหงจะต้องเขียวชอุ่มด้วยต้นไม้ใบหญ้า ประชาชนของนางจะต้องอยู่ดีกินดี เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขซ่งเฟยหย่าที่ครุ่นคิดถึงวิธีการต่างๆ จนกระทั่งเผลอหลับไปในเวลาที่ล่วงเข้าสู่วันใหม่แล้ว ก่อนจะตื่นขึ้นในตอนที่ฟ้าไม่ทันสาง เดินทางขึ้นเขาที่ได้นัดหมายกับเหล่าทหารเอาไว้ สถานที่ที่นางคิดจะใช้เป็นฐานลับและกองบัญชาการของหน่วยพยัคฆ์ซ่อนของนางเมื่อเดินทางไปถ