ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปยังกระโจมบัญชาการ นางคงต้องหารือกับเหล่าแม่ทัพยังเมืองหน้าด่านนี้เสียก่อน
"องค์หญิง ถวายบังคม..."
เหล่าแม่ทัพทั้งสี่ รองแม่ทัพ และนายกองที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่านกำลังหารือกันอยู่นั้น ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่คิดว่าองค์หญิงของแคว้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรับรู้ถึงศึกในครั้งก่อน ที่พระองค์เป็นผู้สังหารองค์ชายรองจ้าวฉีหมิงของแคว้นจ้าวด้วยพระองค์เอง ขับไล่ศัตรูจนถอยร่น จึงไม่มีผู้ใดเกิดข้อกังขาในความปรีชาสามารถนั้น
"พวกท่านทั้งหลายอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งลงก่อนเถิด"
เมื่อทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหวานจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองสบตาของทุกคนอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่มีเค้าโครงขององค์หญิงสูงศักดิ์แม้แต่น้อย กลับกันคล้ายดังว่านางเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียมากกว่า
"ต่อไปทุกคนจะรู้จักข้าในฐานะแม่ทัพเฟยแห่งแคว้นซ่ง ข้าจะวางฐานะองค์หญิงเอาไว้ชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงกัน"
เหล่าบุรุษที่อยู่ในกระโจมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งนั้น แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าขององครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ที่พยักหน้าให้จึงพากันตอบรับ
"ขอรับ"
ใบหน้างดงามที่อยู่ในคราบของคุณชายน้อยรูปงาม พยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่นางต้องการ ด้วยแคว้นซ่งห่างหายจากศึกสงคราม บ้านเมืองสงบร่มเย็นมานับสิบๆ ปี จึงต้องจัดระเบียบใหม่หมด ยังดีที่ยังคงมีแม่ทัพผู้เก่งกล้าสามารถเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ทหารในกองทัพอยู่บ้าง
"ข้าอยากให้พวกท่านคัดเลือกทหารที่มีหน่วยก้านดี แข็งแรงว่องไว มีไหวพริบมากลุ่มหนึ่งสักห้าสิบนาย"
ดวงตาหงส์ที่กวาดมองทุกคนก่อนจะกล่าวต่อไป
"และคัดแยกทหารใต้บัญชาของพวกท่าน คัดเลือกเฉพาะทหารฝีมือดีให้ฝึกฝนร่างกายและฝีมืออย่างแข็งขัน ส่วนทหารที่ไม่ผ่านเกณฑ์ให้คัดออกมาข้าจะส่งพวกเขาไปช่วยคลังอาวุธที่เราจะทำการผลิตอาวุธขึ้นมาใหม่ ให้แข็งแรงและทนทานมากกว่าเดิม"
"แล้วทหารห้าสิบนายนั้น ท่านจะให้ทำสิ่งใดหรือขอรับ"
เป็นแม่ทัพผู้หนึ่งที่เอ่ยถามขึ้น
ซ่งเฟยหย่าที่ยกยิ้มขึ้นก่อนจะไขความกระจ่างให้ทุกคนได้รับรู้ มือบางหยิบถ่านขึ้นมาขีดเขียนบนแผ่นกระดาษผืนใหญ่เป็นรูปร่างอาวุธหน้าตาประหลาดหลากหลายชนิดที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
"ข้าต้องการผลิตอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมาจำนวนมาก และเราจำเป็นที่จะต้องใช้ดินประสิว ผงถ่าน และกำมะถัน ซึ่งกำมะถันนั้นอย่างที่รู้ว่ามันมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ เราจึงจำเป็นต้องก่อตั้งหน่วยลับขึ้นมา ซึ่งข้าจะให้ชื่อว่า หน่วยแมวขโมย"
แค่ก แค่ก แค่ก
เสียงสำลักที่เกิดขึ้น ทำให้นางต้องหันไปมองใบหน้าเลิ่กลั่กของทุกคน
"เอ่อ ไม่ได้หรือ ชื่อนี้ข้าว่ามันออกจะดูดีนะ"
มองใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทุกคน ทำให้นางรู้ว่าชื่อของนางคงจะไม่ถูกใจกระมัง
"เอาใหม่ก็ได้ พยัคฆ์ซ่อน เป็นอย่างไร"
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของทุกคนดูจะพอใจกับชื่อนี้จึงหันมากล่าวต่อ
"ข้าจะให้ทหารทั้งห้าสิบนายนี้ รอบเข้าไปยังเผ่าจ่าวข่าย ลักลอบขโมยกำมะถันออกมา"
"เราจะใช้ดินประสิว ผงถ่านและกำมะถัน มาผลิตอาวุธ สิ่งนี้มันเรียกว่าระเบิดถัง"
เสียงที่เอ่ยกับมือบางที่วาดรูปประกอบสร้างความสนอกสนใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ต่างจ้องมองสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังวาดอย่างพิจารณา
มือบางที่ค่อยๆ ชี้ไปตามรูปวาดที่นางวาดออกมาเพื่อให้ทุกคนทำความเข้าใจ
"เราจะนำทั้งสามสิ่งนี้มาผลิตเป็นดินดำเป็นชนวนระเบิดบรรจุลงไปในถังไม้และนำไปแขวนเอาไว้ยังหน้าผาหิน เมื่อศัตรูผ่านยังจุดนั้นเราก็จะจุดให้ถังที่แขวนเอาไว้ระเบิดออก หินบนหน้าผาก็จะหล่นลงมาทับกองกำลังทหารเป็นการตัดกำลังของศัตรูไปต่อหนึ่ง"
"และยังมีระเบิดมือที่เราจะบรรจุดินระเบิดในกระบอกไม้ไผ่ สิ่งนี้เราจะใช้จุดและปาเข้าไปในกลุ่มทหารของข้าศึก มันสามารถที่จะปลิดชีพศัตรูได้ถึงห้าคนถึงหกคนต่อการจุดเพียงหนึ่งครั้ง"
ทุกคนต่างมองภาพวาดอาวุธร้ายแรงของสตรีตรงน่าอย่างตื่นตะลึง ไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน อาวุธที่พวกเขาใช้นั้น ล้วนเป็นดาบ หอกและธนูเท่านั้น หากทำได้จริงอย่างที่พระองค์กล่าวคงจะดีไม่น้อย
"แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะสำเร็จขอรับ"
ซ่งเฟยหย่าที่ยกยิ้มขึ้นกับคำถามของรองแม่ทัพที่ดูหน่วยก้านดีผู้หนึ่ง
"เป็นคำถามที่ดี"
ร่างบางที่กล่าวเพียงแค่นั้น ก่อนจะไล่สายตาไปมองทุกคนแล้วกล่าวขึ้น
"ข้ามีสถานที่ที่เราจะทดสอบอาวุธเอาไว้ในใจแล้ว แต่ตอนนี้เราจำเป็นที่จะต้องเตรียมอาวุธเอาไว้ให้พร้อม ถึงแม้กำลังคนของเราจะน้อยกว่า แต่หากเรามีอาวุธที่สมบูรณ์และการวางกลศึกที่ดี ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่จะชนะ อย่างน้อยก็ยืดเวลาเพื่อรอกำลังเสริมจากแคว้นหยวน"
ทุกสายตาที่จับจ้องร่างบางของสตรีสูงศักดิ์ต่างเต็มไปด้วยความชื่นชม ยกย่องเทิดทูน พวกเขาช่างโชคดีนักที่มีองค์หญิงผู้เก่งกล้าสามารถเสียยิ่งกว่าบุรุษ ทำให้พวกเขามีกำลังแรงใจที่ต่อสู้จนสุดกำลัง มองมือบอบบางที่ยังคงขีดเขียนอธิบายทุกอย่างอย่างตั้งใจ
"ตลอดเส้นทางนั้น เราจะวางพลธนูเป็นหน่วยซุ่มโจมตีเอาไว้ตลอดทาง ทางใดที่สามารถลดทอนกำลังของศัตรูได้เราก็จะทำ และเราจะทำการตีดาบหลอมอาวุธขึ้นมาใหม่ ให้แข็งแรงทนทานยิ่งกว่าเดิม เพราะที่ข้าได้สัมผัสมานั้นอาวุธของเรายังด้อยอยู่มาก ออกจะเปราะและแตกหักง่ายเมื่อเทียบกับอาวุธของศัตรู ซึ่งพวกท่านไม่ต้องห่วงเรื่องกรรมวิธีการผลิตเพราะข้ามีวิธีที่จะทำให้อาวุธของเราเป็นยอดอาวุธที่คมกริบและทนทาน"
หัวใจของการตีดาบนั้นจะมีด้วยกันไม่กี่ปัจจัยเลยคือ ช่างตีดาบที่มีฝีมือและมีประสบการณ์มานาน ซึ่งนางเห็นว่าช่างตีดาบของแคว้นซ่งนั้นพอใช้ได้เลยทีเดียว แค่แนะนำเล็กน้อยก็คาดว่าสามารถที่จะทำออกมาได้ดี วัสดุในการนำมาตีดาบว่าได้คุณภาพหรือไม่ เตาที่ใช้ในการตีดาบว่ามีความร้อนที่พอดีไหม เพราะถ้าไฟไม่ร้อนพอก็ไม่สามารถตีดาบออกมาให้ดีได้นั่นเอง และแรงในการตีดาบแรงต้องถึง เพราะถ้าแรงไม่ถึงในแต่ละครั้งที่ตีลงไปนั้นก็จะไม่ได้ดาบที่มีความแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน
"ในระหว่างนี้ก็ขอให้ทุกท่านฝึกฝนร่างกายของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาให้เก่งกล้าและแข็งแรงพร้อมรบอยู่เสมอ ส่งหน่วยลาดตระเวนคอยระแวดระวังอย่าได้ประมาท และให้ส่งทหารฝีมือดีเข้าไปสอดแนมทั้งในแคว้นจ้าวและแคว้นอู่แล้วรายงานข้าตลอด เราจะร่วมมือกันบดขยี้ทั้งสองแคว้นให้แหลกคามือ"
"วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ให้ทุกคนไปปฏิบัติตามคำสั่ง คัดเลือกทหารให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เรายังมีสิ่งที่ต้องทำกันอีกเยอะ"
"ขอรับ"
คำพูดของร่างบางสร้างความฮึกเหิมให้กับทุกคนยิ่งนัก ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง พวกเขาต่างล้วนยินดีที่จะปกป้องผืนแผ่นดิน
วันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับสตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง แต่ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจนัก เมื่อมันดำเนินไปในทิศทางที่ดี จนนางมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร แคว้นซ่งในกาลข้างหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ ประชาชนจะต้องอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า แต่ถึงแม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยจนอยากจะหลับตาพักผ่อนเต็มที แต่นางก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ที่จะไปลอบสังเกตคนของแคว้นหยวนเสียหน่อย เนื้อหาในหนังสือที่นางอ่านไปนั้น ถึงตอนที่องค์หญิงซ่งเฟยหย่านั้นได้จบชีวิตลงในขณะลี้ภัย แคว้นซ่งล่มสลายแผ่นดินอาบย้อมไปด้วยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แล้วนางก็ไม่คิดที่จะอ่านมันต่อ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะตอนนี้นางจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแคว้นซ่งขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของนางเอง หากนางยังมีลมหายใจ แคว้นซ่งจะต้องอยู่รอดไปชั่วลูกชั่วหลานเมื่อไฟในตำหนักส่วนตัวถูกดับลงจนมืดสลัว ร่างบอบบางในอาภรณ์รัดกุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าก็เร้นกายออกไปนอกตำหนัก จุดมุ่งหมายคือเรือนรับรองที่ถูกแยกออกมานอกวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนจากแคว้นหยวนร
ซ่งเฟยหย่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้คนตัวโตได้ ก็ให้นึกขัดเคืองใจนัก ไม่ว่านางจะออกหมัด ศอก เข่า อีกฝ่ายกลับตั้งรับได้หมด จนนางหายใจเหนื่อยหอบ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นอย่างเหนือกว่า ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ร่างบางยิ่งเดือดดาลในอกพลันร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะควบคุม ยิ่งร่างเล็กถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกายหนาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะสะบัดให้หลุดนั้น ยิ่งทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกเดือดดาล เท้าเล็กที่ยังคงเป็นอิสระจึงกระทืบลงบนหลังเท้าใหญ่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสียหลักเพราะไม่คิดว่าร่างบางในอ้อมแขนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ จึงทำให้เสียการทรงตัว สองร่างหงายหลังล้มลงไปด้วยกันใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยว มิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเพราะฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่ไม่ยอมปล่อยนางแม้จะล้มลงไป กลับดึงนางลงไปด้วย แต่นั่นมิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนผ่าวนั้นกำลังนาบอยู่บนทรวงอกอวบอิ่มของนางเต็มๆ จนรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่าน แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตาม และตอนนี้เองที่ซ่งเฟยหย่า นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวเท่าน
ซ่งเฟยหย่าในวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดขับให้ผิวขาวนั้นนวลผ่อง สีแดงเป็นสีที่นางชื่นชอบมากที่สุด และนางคิดว่ามันเป็นสีของความเป็นมงคล วันนี้ที่นางสวมใส่อาภรณ์งดงามอย่างเต็มพิธีการ ก็เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการประชุมขุนนางในวันนี้ ร่างบางที่เดินมุ่งตรงไปยังท้องพระโรง ทุกย่างก้าวนั้นล้วนมั่นคงและเด็ดเดี่ยว มีความเป็นตัวเองสูงอย่างที่ซ่งเฟยหย่าคนเก่าไม่เคยมี ดวงตาหงส์ดูมีเสน่ห์มันมีทั้งความแน่วแน่และดื้อรั้นอยู่ในนั้น วันนี้นางมีเรื่องที่จะเสนอต่อทุกคนเยอะแยะมากมายเลยทีเดียวเมื่อมาถึงก็เอ่ยทักทายขุนนางชั้นผู้ใหญ่พอเป็นพิธี ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประจำตำแหน่ง ขององค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น เมื่อพระบิดาเสด็จมาประทับบนบัลลังก์สีทองอร่าม การประชุมจึงได้เริ่มต้นขึ้น บรรดาขุนนางต่างหยิบยกนำเอาเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบของตนขึ้นมานำเสนอเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาซ่งเฟยหย่านางมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง นึกย้อนไปยังภพที่นางจากมาแล้วให้นึกสะท้อนใจนัก อดที่จะเปรียบเทียบกับความร่วมมือร่วมใจกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ หากบุคคลในภพก่อน ร่วมมือร
ย้อนไปเมื่อครั้งฟ้าดินก่อกำเนิด ยุคที่ยังไม่มีการรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น ยังคงแบ่งการปกครองเป็นแว่นแคว้น แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลมีสี่แคว้นใหญ่ครอบครอง และรายล้อมด้วยชนเผ่าต่างๆหนึ่งแคว้นที่ยิ่งใหญ่ แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ มั่งมีไปด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำ แผ่นดินที่ใครๆ ก็อยากที่จะครอบครอง นั่นคือ แผ่นดินหยวน แคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ เป็นแคว้นมหาอำนาจและถือว่าเรืองอำนาจที่สุด ดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ อาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า มีองค์กษัตริย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทศพิธราชธรรม เช่น ไท่หรวนหวงตี้ องค์กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้น แต่ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่อยากจะครอบครองแต่ใช่ว่าจะกระทำการโดยง่าย เพราะแคว้นหยวนนั้นยังมีกำลังทหารที่แข็งแกร่งและเก่งกาจ ชื่อเสียงของกองทัพหยวนนั้นระบือไกล นำทัพโดยพระราชโอรสพระองค์รองของหวงตี้ ชินอ๋องไท่หมิงหลง และยังมีพระโอรสองค์โต องค์รัชทายาทผู้เก่งกาจและชาญฉลาด องค์รัชทายาทไท่อู่ซวน พระโอรสทั้งสองพระองค์ล้วนเกิดจากพระมารดาองค์เดียวกัน เพราะแผ่นดินหยวนนั้นมีสตรีผู้เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว โอรสทั้งสองพระองค์นั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถด
ปึง!เสียงปกหนังสือเล่มหนาที่ถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ"หนังสือบ้าอะไรวะ เขียนได้งี่เง่าสิ้นดี"เสียงสบถจากริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงเลือดที่ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด รู้สึกขัดใจเป็นอย่างมากและไม่อาจที่จะทนอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นอีกต่อไปได้ เพราะรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่ทำให้หัวใจรู้สึกปวดหน่วงๆ อย่างไรชอบกลซ่งเฟยหย่า ผู้พันสาว หัวหน้าหน่วยซีล หน่วยจู่โจมพิเศษของประเทศ ที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนอายุได้ 9 ขวบปี ก็โชคดีได้รับการอุปการะจากข้าราชการท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในกองทัพจึงทำให้สามารถพาตัวเองมายืนยังจุดนี้ แต่กว่าที่จะป่ายปีนขึ้นมาได้ก็ไม่ง่ายเลย เด็กอายุเพียง 9 ขวบ ถูกฝึกอยู่ในค่ายทหารราวกับทหารคนหนึ่ง มันคือนรกดีดีนี่เองซ่งเฟยหย่าที่ใช้เวลาในวันหยุดยาวหมดไปกับการอ่านหนังสือนิยายประโลมโลกเพื่อฆ่าเวลา หนังสือที่บังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่องค์หญิงสูงศักดิ์ในเรื่องมีชื่อแซ่เดียวกับตนเอง แต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกหงุดหงิดสิ้นดี ที่เนื้อหาด้านในนั้นดูจะไม่ได้ดังใจสักอย่าง หากเป็นตัวเองคงจะได้บดขยี้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ตาต่อตาฟันต่อฟัน ให้มันรู้กันไปเลยว่าถึงเป็นผู
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้คนมองนั้นตกตะลึง กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง บอกให้รับรู้ว่าภาพตรงหน้านั้นมิได้เป็นเพียงภาพฝัน ไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ท่ามกลางซากศพและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร เธอไม่ได้หวาดกลัวกับซากศพมากมายและกลิ่นคาวเลือดเหล่านี้ เพราะคุ้นเคยกับมันมาตลอด แต่ที่รู้สึกตกใจเพราะคนเหล่านี้นั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดที่ดูแปลกประหลาด ดังกับนักรบในยุคโบราณ เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดยังคงดังขึ้นกระทบเข้ามาในโสตประสาท หันมองรอบกายด้วยความสับสนมึนงง ภาพผู้คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บทั้งสตรีและเด็กที่กำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายคนเจ็บด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกและคราบน้ำตา เพราะบุคคลเหล่านั้น คือบุคคลที่รักและคนในครอบครัว คนที่บาดเจ็บนั้นล้วนเป็นชายฉกรรจ์ เปลวเพลิงที่กำลังโหมกะพรืออยู่นั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มเท่าในจิตใจที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกที่ดังขึ้น เหมือนกับว่ามันกำลังดังอยู่ในที่ไกลแสนไกล หรือที่นี่จะเป็นนรก แต่เธอทำกรรมใดไว้ถึงได้ต้องตกนรกกัน คนที่ถูกเธอฆ่าตายก็สมควรที่จะตายทั้งนั้น นั่นเป็นคำถามที่ดังกึกก้องอยู่ในใจ ก่อนที่ร่าง
ร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มรัดกุม ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะจับยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหงส์สีทองอร่ามเพียงชิ้นเดียว ขับให้ใบหน้าขาวผ่องยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาหงส์หวานซึ้งที่ทอประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ ในวันนี้กลับเปล่งประกายกล้าแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน ช่างงดงามสะกดสายตาของผู้พบเห็น ขาเรียวเยื้องย่างเข้ามาภายในท้องพระโรงอันโออ่าอย่างมั่นคง ดูมั่นใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ต่างจ้องมององค์หญิงผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งแคว้นอย่างตกตะลึงองค์หญิงซ่งเฟยหย่าผู้งดงามอ่อนหวาน วันนี้มีบางอย่างที่ดูแปลกไป เรียกให้ทุกสายตาต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่สายตาหงส์กลับจับจ้องเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันกับนางเท่านั้น"หย่าหยา"เสียงหวานที่สั่นเครือของฮองเฮาแห่งแคว้นซ่ง ต้วนซือเซียง ใบหน้างามนั้นหม่นเศร้า หันมามองธิดาผู้เป็นที่รัก แต่ในสายพระเนตรนั้นกลับเห็นผู้เป็นบุตรสาวถึงสองคน จนต้องกะพริบตาอีกครั้ง"เสด็จแม่"ใบหน้างดงาม ดวงตาหงส์ที่ไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อน กลับมีหยาดน้ำไหลรินออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีผ
ซ่งเฟยหย่าที่เห็นสายตาเช่นนั้นพลันระบายลมหายใจ เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้า"หากเราอ่อนแอ ศัตรูจะยิ่งเหยียบย่ำมิใช่หรือ มันหมดเวลาที่ข้าจะอ่อนแอแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อให้แคว้นซ่งยังคงอยู่รอด""เอ่อ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนของพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"ขุนนางชราผู้หนึ่งที่กล่าวขึ้น ทำให้ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มขึ้นอย่างยินดี เมื่อมีหนึ่งคนเสนอที่เหลือก็ต่างพร้อมใจกันร่วมมือ"หากรวบรวมคนของพวกกระหม่อมด้วย ก็มีกำลังเพิ่มอีกหลายพันนายพ่ะย่ะค่ะ"เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยสมทบสร้างความฮึกเหิมให้กับนางได้มากนัก หากนางจำไม่ผิด แคว้นจ้าวและแคว้นอู่ที่นำกำลังทหารมาประชิดเมืองหลวงในครั้งนี้ประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทหารที่ประจำอยู่เมืองหลวงของแคว้นซ่งมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทหารที่ประจำการอยู่หน้าด่านต่างบาดเจ็บล้มตายกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน สองพันนายประจำการอยู่ที่นี่และหนึ่งหมื่นสามพันนายกำลังสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง หากได้คนของเหล่าขุนนางมาสมทบก็ดีไม่น้อย"ดีมาก ขอบคุณพวกท่านจริงๆ ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็แยกย้ายกันกลับจวน รวบรวมคนทั้งหมด และแบ่งเอาส่วนหนึ่งพาคนในครอบครัวของพวกท่านไปหลบซ่อ
ซ่งเฟยหย่าในวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดขับให้ผิวขาวนั้นนวลผ่อง สีแดงเป็นสีที่นางชื่นชอบมากที่สุด และนางคิดว่ามันเป็นสีของความเป็นมงคล วันนี้ที่นางสวมใส่อาภรณ์งดงามอย่างเต็มพิธีการ ก็เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการประชุมขุนนางในวันนี้ ร่างบางที่เดินมุ่งตรงไปยังท้องพระโรง ทุกย่างก้าวนั้นล้วนมั่นคงและเด็ดเดี่ยว มีความเป็นตัวเองสูงอย่างที่ซ่งเฟยหย่าคนเก่าไม่เคยมี ดวงตาหงส์ดูมีเสน่ห์มันมีทั้งความแน่วแน่และดื้อรั้นอยู่ในนั้น วันนี้นางมีเรื่องที่จะเสนอต่อทุกคนเยอะแยะมากมายเลยทีเดียวเมื่อมาถึงก็เอ่ยทักทายขุนนางชั้นผู้ใหญ่พอเป็นพิธี ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งยังที่นั่งประจำตำแหน่ง ขององค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้น เมื่อพระบิดาเสด็จมาประทับบนบัลลังก์สีทองอร่าม การประชุมจึงได้เริ่มต้นขึ้น บรรดาขุนนางต่างหยิบยกนำเอาเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบของตนขึ้นมานำเสนอเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาซ่งเฟยหย่านางมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง นึกย้อนไปยังภพที่นางจากมาแล้วให้นึกสะท้อนใจนัก อดที่จะเปรียบเทียบกับความร่วมมือร่วมใจกันของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ หากบุคคลในภพก่อน ร่วมมือร
ซ่งเฟยหย่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้คนตัวโตได้ ก็ให้นึกขัดเคืองใจนัก ไม่ว่านางจะออกหมัด ศอก เข่า อีกฝ่ายกลับตั้งรับได้หมด จนนางหายใจเหนื่อยหอบ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นอย่างเหนือกว่า ราวกับเย้ยหยัน ทำให้ร่างบางยิ่งเดือดดาลในอกพลันร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะที่ยากจะควบคุม ยิ่งร่างเล็กถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกายหนาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะสะบัดให้หลุดนั้น ยิ่งทำให้ร่างบางยิ่งรู้สึกเดือดดาล เท้าเล็กที่ยังคงเป็นอิสระจึงกระทืบลงบนหลังเท้าใหญ่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสียหลักเพราะไม่คิดว่าร่างบางในอ้อมแขนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ จึงทำให้เสียการทรงตัว สองร่างหงายหลังล้มลงไปด้วยกันใบหน้างามนั้นบิดเบี้ยว มิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บแต่เป็นเพราะฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่ไม่ยอมปล่อยนางแม้จะล้มลงไป กลับดึงนางลงไปด้วย แต่นั่นมิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ที่ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนผ่าวนั้นกำลังนาบอยู่บนทรวงอกอวบอิ่มของนางเต็มๆ จนรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่าน แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตาม และตอนนี้เองที่ซ่งเฟยหย่า นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้อยู่ในอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยนัก เขาสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวเท่าน
วันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาสำหรับสตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง แต่ทุกอย่างก็เป็นที่น่าพอใจนัก เมื่อมันดำเนินไปในทิศทางที่ดี จนนางมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร แคว้นซ่งในกาลข้างหน้าจะต้องยิ่งใหญ่ ประชาชนจะต้องอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า แต่ถึงแม้ว่าวันนี้นางจะรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยจนอยากจะหลับตาพักผ่อนเต็มที แต่นางก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม ที่จะไปลอบสังเกตคนของแคว้นหยวนเสียหน่อย เนื้อหาในหนังสือที่นางอ่านไปนั้น ถึงตอนที่องค์หญิงซ่งเฟยหย่านั้นได้จบชีวิตลงในขณะลี้ภัย แคว้นซ่งล่มสลายแผ่นดินอาบย้อมไปด้วยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ แล้วนางก็ไม่คิดที่จะอ่านมันต่อ จึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้เรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ เพราะตอนนี้นางจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของแคว้นซ่งขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของนางเอง หากนางยังมีลมหายใจ แคว้นซ่งจะต้องอยู่รอดไปชั่วลูกชั่วหลานเมื่อไฟในตำหนักส่วนตัวถูกดับลงจนมืดสลัว ร่างบอบบางในอาภรณ์รัดกุมสีดำสนิทปกปิดใบหน้าก็เร้นกายออกไปนอกตำหนัก จุดมุ่งหมายคือเรือนรับรองที่ถูกแยกออกมานอกวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนจากแคว้นหยวนร
ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าไปยังกระโจมบัญชาการ นางคงต้องหารือกับเหล่าแม่ทัพยังเมืองหน้าด่านนี้เสียก่อน"องค์หญิง ถวายบังคม..."เหล่าแม่ทัพทั้งสี่ รองแม่ทัพ และนายกองที่ประจำการอยู่เมืองหน้าด่านกำลังหารือกันอยู่นั้น ต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงไม่คิดว่าองค์หญิงของแคว้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างรับรู้ถึงศึกในครั้งก่อน ที่พระองค์เป็นผู้สังหารองค์ชายรองจ้าวฉีหมิงของแคว้นจ้าวด้วยพระองค์เอง ขับไล่ศัตรูจนถอยร่น จึงไม่มีผู้ใดเกิดข้อกังขาในความปรีชาสามารถนั้น"พวกท่านทั้งหลายอย่าได้มากพิธี เชิญนั่งลงก่อนเถิด"เมื่อทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหวานจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองสบตาของทุกคนอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่มีเค้าโครงขององค์หญิงสูงศักดิ์แม้แต่น้อย กลับกันคล้ายดังว่านางเป็นบุรุษผู้หนึ่งเสียมากกว่า"ต่อไปทุกคนจะรู้จักข้าในฐานะแม่ทัพเฟยแห่งแคว้นซ่ง ข้าจะวางฐานะองค์หญิงเอาไว้ชั่วคราว ขอให้เข้าใจตรงกัน"เหล่าบุรุษที่อยู่ในกระโจมต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งนั้น แต่เมื่อหันไปมองใบหน้าขององครักษ์ประจำพระองค์ขององค์ฮ่องเต้ที่พยักหน้าให้จึงพากันตอบรับ"ขอรับ"ใบหน้างดงามที่อย
ซ่งเฟยหย่าที่ควบม้าออกมายังเมืองหน้าด่านของแคว้นซ่ง จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของแคว้นซ่งที่นางได้ศึกษามา แคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีภูเขาหินล้อมรอบมีทางเข้าออกเพียงสองทางเท่านั้น คือทางที่นางกำลังมาตอนนี้และอีกทางคือทางที่จะเดินทางไปยังแคว้นหยวน และเส้นทางนี้แน่นอนว่าเป็นเส้นทางที่แคว้นจ้าวจะต้องเดินทางผ่านอย่างแน่นอน ร่างบางที่กระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะย่ำเท้าไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาสูงชัน ไม่อาทรต่อหยาดเหงื่อที่ไหลซึมหน้าผากมนและอาภรณ์ที่เปื้อนฝุ่นเลยสักนิด"ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาประจำยังจุดนี้ และจุดข้างหน้าห่างออกไปอีกสิบลี้ เราต้องรู้ทันทีที่ข้าศึกยกทัพมา ""ขอรับ"องครักษ์เว่ยที่ตั้งใจฟังคำสั่งของร่างบาง มองใบหน้างามอย่างชื่นชม"พ้นจากแผ่นดินซ่งออกไปเป็นดินแดนของแคว้นใดหรือ"ร่างบางที่เอ่ยถามหลังจากที่มาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน สายลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ปอยผมที่หลุดรุ่ยสบัดพริ้วไหวดูน่ามอง"พ้นจากชายแดนแผ่นดินซ่งเป็นแคว้นอู่ขอรับ"อ้อ ไม่น่าเล่าแคว้นอู่ถึงได้เข้าร่วมกับแคว้นจ้าว น่าเสียดายนักที่องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานหนีรอดไปได้"ท่านให้ทหารหากำมะถัน ดินประสิวและผงถ่านจำนวนมากเอาไว้ให
อีกฝั่งหนึ่งทางทิศเหนือเส้นทางที่สามารถเดินทางเข้าสู่แคว้นหยวน องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่มาดักซุ่มโจมตีขบวนหลบหนีขององค์หญิงแห่งแคว้นซ่ง เห็นขบวนรถม้าที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนาก็ส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าโจมตีทันที แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงออกมาจากที่ซ่อนกลับมีห่าธนูมากมายพุ่งเข้ามาคร่าชีวิตของเหล่าทหาร จนร่วงหล่นล้มตายราวใบไม้ร่วง จนตั้งรับแทบไม่ทัน ก่อนจะเกิดการต่อสู้กันของคนทั้งสองกลุ่มพระองค์พลาดท่าเสียทีให้ฝั่งตรงข้ามเข้าเสียแล้ว องค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานที่คิดอย่างเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าแคว้นซ่งจะคมในฝักได้ถึงเพียงนี้ ดาบในมือฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเจ็บแค้นกว่าจะฝ่าวงล้อมนั้นออกมาได้ก็สูญเสียทหารฝีมือดีของตนไปไม่น้อย จึงสั่งให้คนที่เหลือถอยออกมาเมื่อเห็นว่าฝั่งตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้หลบหนี ก็ปรากฏชายชุดดำอีกกลุ่มที่เข้ามาโจมตีคนของตน จนล้มตายจนหมด พระองค์เองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ความเจ็บแค้นในครั้งนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างสาสมทหารแคว้นซ่งที่เข้ามารุมล้อมกลุ่มชายชุดดำลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลืออย่างระแวดระวัง ก่อนชายชุดดำทั้งหมดจะเปิด
องค์หญิงเฟยหย่าที่กำลังชักม้าเข้ามาหาผู้เป็นบิดา ดาบในมือเล็กตวัดฟาดฟันบั่นคอศัตรูอย่างกล้าหาญ แม้จะขัดใจกับร่างกายอ่อนปวกเปียกนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ร่างเล็กบนหลังอาชาที่พุ่งทะลวงตวัดดาบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ตวัดดาบ ล้วนพรากทุกลมหายใจภายในดาบเดียว จนองครักษ์เว่ยและเหล่าทหารที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ ต้องรอบกลืนน้ำลายลงคอ มองดูดวงตาหงส์ที่ไร้ซึ่งแววหวาดหวั่นใบหน้างามนั้นดูเฉยชาราวกับเจ้าตัวนั้นกระทำการเข่นฆ่าอยู่เป็นนิจร่างบางที่มิได้สนใจองครักษ์ข้างกาย กลับฝ่าทหารฝั่งตรงข้ามที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อนมุ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่อยู่ในระยะสายตา อีกเพียงไม่ไกลนางก็จะได้เห็นใบหน้าบิดาผู้ให้กำเนิดหลังจากที่มักจะจินตนาการอยู่เสมอว่าใบหน้าของผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นเช่นไร นางเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดบิดามารดาถึงได้ทอดทิ้งนาง แต่เมื่อวันนี้ได้เข้าใจ นางก็จะขอปกป้องครอบครัวของนางเอาไว้ด้วยชีวิต ดวงตาหงส์พลันแข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นบุรุษบนหลังอาชาสีดำทะมึน ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นบิดา จ้องมองบิดาของตนอย่างมาดร้ายในอกพลันสั่นไหว องค์ชายรองจ้าวฉีหมิง เจ้าคนต่ำทราม
ซ่งเฟยหย่าที่เห็นสายตาเช่นนั้นพลันระบายลมหายใจ เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้า"หากเราอ่อนแอ ศัตรูจะยิ่งเหยียบย่ำมิใช่หรือ มันหมดเวลาที่ข้าจะอ่อนแอแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อให้แคว้นซ่งยังคงอยู่รอด""เอ่อ องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยังมีคนของพวกกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"ขุนนางชราผู้หนึ่งที่กล่าวขึ้น ทำให้ซ่งเฟยหย่ายกยิ้มขึ้นอย่างยินดี เมื่อมีหนึ่งคนเสนอที่เหลือก็ต่างพร้อมใจกันร่วมมือ"หากรวบรวมคนของพวกกระหม่อมด้วย ก็มีกำลังเพิ่มอีกหลายพันนายพ่ะย่ะค่ะ"เสียงของเหล่าขุนนางที่เอ่ยสมทบสร้างความฮึกเหิมให้กับนางได้มากนัก หากนางจำไม่ผิด แคว้นจ้าวและแคว้นอู่ที่นำกำลังทหารมาประชิดเมืองหลวงในครั้งนี้ประมาณสองหมื่นนาย กองกำลังทหารที่ประจำอยู่เมืองหลวงของแคว้นซ่งมีเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันนายเท่านั้น ทหารที่ประจำการอยู่หน้าด่านต่างบาดเจ็บล้มตายกำลังรอความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน สองพันนายประจำการอยู่ที่นี่และหนึ่งหมื่นสามพันนายกำลังสู้รบอยู่ที่ประตูเมือง หากได้คนของเหล่าขุนนางมาสมทบก็ดีไม่น้อย"ดีมาก ขอบคุณพวกท่านจริงๆ ถ้าเช่นนั้น พวกท่านก็แยกย้ายกันกลับจวน รวบรวมคนทั้งหมด และแบ่งเอาส่วนหนึ่งพาคนในครอบครัวของพวกท่านไปหลบซ่อ
ร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มรัดกุม ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะจับยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหงส์สีทองอร่ามเพียงชิ้นเดียว ขับให้ใบหน้าขาวผ่องยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาหงส์หวานซึ้งที่ทอประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ ในวันนี้กลับเปล่งประกายกล้าแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน ช่างงดงามสะกดสายตาของผู้พบเห็น ขาเรียวเยื้องย่างเข้ามาภายในท้องพระโรงอันโออ่าอย่างมั่นคง ดูมั่นใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ต่างจ้องมององค์หญิงผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งแคว้นอย่างตกตะลึงองค์หญิงซ่งเฟยหย่าผู้งดงามอ่อนหวาน วันนี้มีบางอย่างที่ดูแปลกไป เรียกให้ทุกสายตาต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่สายตาหงส์กลับจับจ้องเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันกับนางเท่านั้น"หย่าหยา"เสียงหวานที่สั่นเครือของฮองเฮาแห่งแคว้นซ่ง ต้วนซือเซียง ใบหน้างามนั้นหม่นเศร้า หันมามองธิดาผู้เป็นที่รัก แต่ในสายพระเนตรนั้นกลับเห็นผู้เป็นบุตรสาวถึงสองคน จนต้องกะพริบตาอีกครั้ง"เสด็จแม่"ใบหน้างดงาม ดวงตาหงส์ที่ไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อน กลับมีหยาดน้ำไหลรินออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีผ