ลูกน้องไม่มีใครกล้าแตะตัวปุณิกา ทุกสายตามองไปที่เจ้านายผู้หัวเสียขั้นสุด
“สภาพอย่างนี้คงหามเธอไปลำบาก”
นายหน้าเสี้ยมกระแอม ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด จำใจยอมรับตำแหน่งคนอุ้ม เอาร่างอรชรมาแนบอก
ตัวปุณิกาเย็นแทบเท่าสายฝน ปากก็สั่น นี่เธอหนีมาอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้วหนอ หากงูไม่กัดก็ต้องโดนไข้หวัดเล่นงานแน่ เธอช่างบ้าบิ่น ทำอะไรไร้หัวคิดนัก ...พี่กับน้องเหมือนกันไม่มีผิด คนแบบนี้มีอะไรดี สิริยาถึงได้หลง ขนาดหอบผ้าผ่อนตามไป สรวิชญ์คิดหาเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆ
รถตู้วิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียดกรวดบนพื้นลูกรัง กระเด็นกระทบบังโคลนรถดังปึก ๆ
“เธออย่าหลับ ประคองสติไว้ให้ถึงโรงพยาบาล”
ผู้ชายแสนร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดของเธอ เขาสั่งอย่างไม่เห็นใจคนป่วย
“ไม่รู้ว่างูที่กัดเธอมันมีพิษส่งผลต่อประสาทให้หลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหลับ”
“ฉันแค่พักสายตาหน่อยเดียวเอง”
ปุณิกาเถียงขณะตาปรือ เธอเหนื่อยเหลือเกินเมื่อครู่ เนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างกับโดนรถทับ
“มีสติ มองหน้าฉันไว้”
เขายังพูดไม่เลิก
“ถ้าฉันตายจะมาเป็นผีหลอกคุณ”
ศีรษะที่กลุ่มผมเปียกไปด้วยโคลนเอนพิงกระจก
“คนปากเก่ง ๆ อย่างเธอไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า มานี่”
สรวิชญ์ใช้มือช้อนศีรษะเธอมาไว้ที่พนักพิง
“ยุ่งจริงคุณ”
เธอลืมตาพร้อมส่งสายตาวับแวบอย่างเกรี้ยวกราด สรวิชญ์นึกชอบใจเธอในลักษณะนี้มากกว่า มีพลังชีวิต บ่งบอกว่าเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
“ที่ดีกับฉันตอนนี้นี่ กลัวฉันตายแล้วมาหลอกใช่ไหม”
เขาทำลายการพักผ่อนของเธอเสียหมด ปุณิกาจึงต้องยอมคุยด้วย
“ผีมันแค่สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรเท่านั้นเอง ผีมันก็แค่ความมืด คนเป็น ๆ น่ากลัวกว่าเยอะ”
เธอเผลอพยักหน้าตาม เขาแลไปยังขาที่พันด้วยเสื้อของเธอ รอยเขี้ยวยังเห็นเด่นชัด
“ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”
เมื่อเห็นเขาสงบ ปุณิกาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“เชิญ”
“ถ้าเจอน้องชายฉันกับน้องสาวคุณแล้ว จะทำอะไรต่อ”
เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดในรถ อากาศราวถูกสูบออก เหลือแต่ความไม่สบายใจของเหล่าผู้รอฟังคำตอบ
“จับแยก พาสตางค์กลับไปเรียนต่อ เขายังมีอนาคต ส่วนน้องเธอฉันจะอัดสั่งสอนหน่อย”
เขาทิ้งหลังลงพนักพิง ยกมือกอดอก
“ป่าเถื่อน บ้านเมืองมีกฎหมายนะคุณ จะมาอัดคนซี้ซั้วตามอำเภอใจได้ยังไง”
“ผู้ชายบางทีมันต้องสั่งสอนด้วยกำปั้น แล้วเธอล่ะ คิดว่าจะทำยังไงถ้าเจอน้องชาย”
ตาโตกลอกขึ้นบน
“ฉันจะถามเหตุผลเขาก่อน แล้วค่อยบอกว่าเรื่องนี้มันส่งผลกับเขายังไง”
“น้องเธออายุเท่าไร ห้าขวบเหรอ เขาอายุยี่สิบ เรียนปวส.แล้วนะ”
สรวิชญ์ทำเสียงฮึในลำคอ
“แล้วคุณตอนอายุยี่สิบล่ะ ทำอะไรได้บ้าง ไม่เคยทำผิดพลาดเลยเหรอ”
คนโดนถามขมวดคิ้ว อายุยี่สิบคือวัยนักศึกษา เขาทั้งเรียน เที่ยว กินดื่มแบบสุดเหวี่ยง
“ทั้งสองคนนั่นยังเด็ก ต้องมีผู้ใหญ่อย่างเรานำทาง ตบให้เข้าร่องเข้ารอย”
“เธอทำอาชีพอะไรกัน เป็นทนายเหรอ ถึงได้แก้ตัวแทนคนอื่นเก่งจัง”
เขาเหยียดยิ้มที่ไม่ได้แสดงว่าชื่นชมเลยสักนิด
“ฉันไม่อยากให้คุณใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เห็นภาพเลยว่าถ้าคุณเจอน้องสาวแล้ว คงทำแบบที่ทำกับฉัน ตะคอกเธอ แล้วจับขัง”
บรรดาลูกน้องสบตากันแบบไม่ได้นัดหมาย
“ใจเย็น แล้วก็ให้เวลาพวกแกหน่อย ไม่มีใครอยากหนีไปจนตลอดชีวิตหรอก”
“แต่คืนนี้เธอหนีฉันไปถึงสองครั้งนะมิ้ม”
เธอชะงักแล้วเลิกคิ้ว
“คุณรู้ชื่อเล่นฉันได้ยังไง รู้จักบ้านด้วย สืบเรื่องพวกฉันมาเหรอ”
“ฉันทำได้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องของน้อง ไม่มารอฟังเหตุผลบ้า ๆ อย่างเธอหรอก”
“โอเค ๆ ตามใจคุณ”
ปุณิกาหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน กับคนบางคน พูดอะไรบอกอะไรไปก็เหมือนพูดกับตอไม้ ได้มาเพียงความเงียบและอาการเจ็บคอของคนพูดเอง
รถเข้ามาในหมู่บ้านที่มีแสงไฟตามถนน ถัดไปไม่ไกลเป็นร้านสะดวกซื้อ ใกล้ ๆ กันเป็นตึกแถวสองคูหา ติดป้ายตัวโตสีเขียว อ่านได้พร่าเลือนในสายฝนว่า...คลินิกแพทย์วิโรจน์
“โชคดีนะที่ลุงยังไม่นอน กำลังเฟซไทม์คุยกับลูกอยู่ ไหนใครที่โดนงูกัด”
ชายสูงอายุผมขาวสวมเสื้อกันฝนสีส้มขึ้นมาบนรถพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์สีดำ
“โห...ทำไมสภาพเลอะโคลนกันแบบนี้ล่ะคุณเต้ย ไปทำอะไรกันมา”
ปุณิกาจึงได้รู้ว่าคนที่ลักพาตัวมาชื่อเล่นว่าเต้ย
“หกล้มนิดหน่อยครับ”
ผู้สูงวัยมองเส้นผมที่เต็มไปโคลนและดอกหญ้าเจ้าชู้ที่ติดตามเสื้อผ้าคนป่วย
“แล้วหนูคนนี้เป็นอะไรกับคุณล่ะ”
ปุณิกาได้โอกาสที่จะขอความช่วยเหลือ แต่มือใหญ่กลับมาช้อนศีรษะ เอาหน้าเธอซบแนบอก
“แฟน เราทะเลาะ เลยไปบู๊กลางสายฝน หกล้ม โดนงูกัดครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นแฟนคุณ!”
เธอรัวกำปั้นทุบอกแกร่ง
“นั่นแหละลุงหมอ มิ้มกำลังโกรธมากด้วย โรงพยาบาลก็อยู่ไกล กลัวเขาจะตายก่อน ผมไม่อยากเป็นหม้าย เลยให้ลุงหมอช่วยดูอาการเบื้องต้น”
แพทย์ชราพยักหน้าเข้าใจ ในเหตุผลที่พอฟังได้
“ไหนขอดูแผลหน่อย”
และกลับไปทำหน้าที่ตามวิชาชีพ สักพักก็บอกด้วยสีหน้ากังวลเพราะรอยกัดมีสองเขี้ยว แสดงว่าเป็นงูพิษ ถามถึงลักษณะงูปุณิกาบอกว่าไม่รู้ว่าสีอะไรเพราะในพุ่มไม้มืด ประกอบกับเธอตกใจจึงไม่ทันสังเกตลักษณะงู แพทย์จึงทำได้เพียงเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลให้ และบอกให้เธออย่าหลับ
“ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ ลุงไม่เคยเห็นแม่หนูคนนี้เลย”
หนึ่งในการทำให้ตื่นคือแลกเปลี่ยนบทสนทนา
“เรื่องมันยาวครับ ไว้วันไหนอากาศดีกว่านี้ผมจะไปเล่าให้ฟัง แกล้มไวน์ดี ๆ สักขวด”
ปุณิกาได้ข้อมูลเพิ่มอีกอย่าง ไร่ของเขาปลูกองุ่น ผลิตไวน์ของตัวเอง สองหนุ่มต่างวัยสนทนากันเองมากกว่า เธอเป็นฝ่ายฟัง
เวลาเขาคุยกับนายแพทย์ผู้นี้มีแต่ความนอบน้อม วาจาระรื่นหู นี่คงเป็นคนสำคัญที่เขาเคารพ ปุณิกาตั้งใจไว้ว่าหากเขาเผลอจะขอความช่วยเหลือ แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็กอดเธอไว้แนบอกจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล
ปุณิกาถูกนำขึ้นเตียงเข้าห้องฉุกเฉินในทันทีเมื่อถึง นายแพทย์วิโรจน์เข้าไปดูอาการด้วย โดยมีหนุ่ม ๆ นั่งรอบนเก้าอี้หน้าห้อง พยาบาลเวรคนหนึ่งเรียกนายหน้าเสี้ยมจากหน้าเคาน์เตอร์
“เขาขอประวัติคนป่วยครับ”
คนสนิทมาบอกเจ้านาย
“บอกไปว่าเหตุฉุกละหุก เอกสารหายไปสิวะ”
นายหน้าเสี้ยมแจ้งพยาบาลเวรตามนั้น แต่ดูเหมือนเรื่องยังไม่จบเพราะยังยืนอยู่ที่เดิม สรวิชญ์จึงเข้าไปจัดการเอง
“พรุ่งนี้ต้องเอาเอกสารของคนไข้มาให้นะคะ ไม่งั้นทางหมอจะลำบาก ไม่รู้ว่าคนไข้คนไหนเป็นคนไหน”
พยาบาลรุ่นแม่มองลอดแว่นมา
“พวกคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”
นางกวาดตามองสภาพเปียกมะลอกมะแลกของทุกคน ถ้าไม่ได้คำตอบที่เข้าที ดูเหมือนจะต้องโทรเรียกตำรวจเสียแล้ว
“ไงคุณแสงเดือน อยู่เวรดึกเหรอวันนี้”
นายแพทย์วิโรจน์เป็นผู้แก้สถานการณ์
“สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ พาใครมาโรงพยาบาลเหรอคะ”
คนหลังเคาน์เตอร์เวชระเบียนทักทายเสียงอ่อนหวาน
“พาแฟนหลานมาน่ะ โดนงูกัด”
ผู้อาวุโสตบที่ไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ
“อ้อ...”
นางรีบคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ คนไข้นิรนามผู้พามาคือแฟน
“ขอชื่อผู้ติดต่อได้ไว้หน่อยค่ะ”
สรวิชญ์จึงต้องแจ้งชื่อและนามสกุลไป นายแพทย์วิโรจน์บอกว่าปุณิกาไม่เป็นอะไร ได้รับเซรุ่มแล้ว
“คืนนี้ให้เขานอนนี่ก็แล้วกัน เต้ยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วย เปียกขนาดนี้เดียวเป็นหวัดไปอีกคน”
ชายหนุ่มพยักหน้า สั่งให้ลูกน้องพานายแพทย์วิโรจน์กลับบ้าน ส่วนตนขึ้นห้องพักผู้ป่วยไปกับปุณิกา ระหว่างกำลังล้างเนื้อล้างตัวมือถือมีข้อความเข้า
“สตางค์สบายดีค่ะ พี่เต้ยไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถ้าสบายใจแล้วจะส่งข่าวอีก”
สิริยาตอบไลน์ข้อความติดตามอันยาวเหยียดของเขาเพียงแค่ประโยคเดียว ทีแรกสรวิชญ์จะโทรหาน้อง แต่เมื่อเหลือบดูนาฬิกาก็เป็นเวลาตีสองแล้ว โทรไปตอนนี้คงไม่พร้อมคุย
เขาหัวเราะฮึสมเพชตัวเอง นี่กลายเป็นคนใจเย็นใช้เหตุผลนำตามที่ปุณิกาหว่านล้อมไปเสียแล้วละหรือ
สรวิชญ์เดินไปยืนมองคนที่หลับอยู่บนเตียง เวลานิ่ง ๆ เธอดูไม่มีพิษสงอะไร เมื่อสวมชุดคนไข้แล้วดูหลวมโพรก ตัวเล็กนิดเดียว แต่พยศนัก คืนนี้ทำเขาหัวหมุนไปถึงสองรอบ อยากจับตัวมาเขย่านักว่าจะก่อเรื่องยุ่งไปถึงไหน
แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าซีด ๆ ตาปรือ ๆ ความเดือดดาลค่อยลดระดับลงหน่อย
ชายหนุ่มตัดสินใจโทรหานายหน้าเสี้ยมคนสนิท บอกว่าเปลี่ยนแผน ให้นายหน้าเสี้ยมไปตามดูสิริยาที่สมุยแทน โดยจะจองตั๋วเครื่องบินให้ไปเช้านี้
“ถ้าเจอสตางค์กับไอ้หมอนั่นให้จับตาดูไว้ แล้วรายงานกูทุกระยะ”
สรวิชญ์จะลองดู ...อยากรู้ว่าวิธีใช้เหตุผลนำอารมณ์ของเธอจะได้ผลหรือเปล่า หากไม่แล้วละก็...ปุณิกาต้องรับผิดชอบ!
ณ ที่แห่งนั้นเย็นสบายลมพัดระเรื่อย ท้องฟ้าสีสดใสจนเหมือนภาพวาด พระอาทิตย์สาดแสงส่อง แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกร้อน เท้าปุณิกาก้าวลงในผืนหญ้าเขียวนุ่มละมุนราวกำมะหยี่เธอไม่รู้เมื่อกันว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ในตอนนั้นยังก้าวไม่หยุด พลันสายตาเห็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งเป็นพุ่มใหญ่ห้อยลงเกือบระพื้น ยกมือขึ้นหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ในอกรัวแรงเป็นตีกลอง เมื่อเห็นร่างคู่หนึ่งยืนอยู่ที่โคนต้นไม้“พ่อคะ...แม่คะ”หญิงสาววิ่งตัวปลิวเข้าไปโผกอด ซบไซร้ในอกมารดาอุ่นที่เคยพึ่งมาแต่เยาว์วัย“มิ้มคิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด”เธอบอกเล่าความรู้สึกด้วยเสียงอันสั่นเครือ รู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กอนุบาลกลับบ้านวันแรกหลังเลิกเรียน โลกภายนอกน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เธอรักบ้านที่มีพวกท่านทั้งสองอยู่ด้วยเป็นที่สุด“พ่อกับแม่มารับมิ้มไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”ปุณิกาจำได้ว่าตนถูกงูกัด ถูกพามาโรงพยาบาล มีมือคนไม่รู้จักมาสาละวนจับทั่วร่างเธอ บางมือยังสอดโน่น เสียบนี่เข้าร่างกาย เธอรู้ตัวขยับไม่ได้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง ด้วยไม่อาจจ้องแผงหลอดไฟจ้าบนเพดานห้องฉุกเฉินได้ ...บางทีพิษงูอาจทำให้ปุณิกาตายเสียแล้วกระมังแม่เป็นผู้ให้คำตอบโดยการสั่นศีรษะ“ยั
สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสดหากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่าท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิดรถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า
ปุณิกาคิดว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้ชายมาสนใจเธอแบบจริง ๆ จังแน่ ผู้ชายที่ไม่ต้องหล่อรวย แบบผู้ชายในฝันตามนิยาย ขอแค่เขารักจริง อยากมีอนาคตร่วมสร้างฝันกับเธอ ปุณิกาคิดว่าต้องรักก่อน ความใคร่ถึงตามมาจนกระทั่งวินาทีนี้...เธอกำลังตัวเอนอ่อนให้คนแปลกหน้าสัมผัส เขามีความตะกรุมตะกราม ไม่ถนอมเนื้ออ่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกใจเต้น อยากให้เขาสัมผัสแรงขึ้นอีก“อาห์...”เธอบดเบียดร่างเกือบเปลือยของตนเข้าหาเขา นิ้วมือสอดใต้เรือนผม ลูบไล้ท้ายทอยของศีรษะได้รูป อีกมือเลื่อนมาจิกนิ้วบนบ่ากว้าง เคลื่อนเต้าตูมอำนวยความสะดวกให้เขาดื่มกิน ใจรัญจวนอยู่ในห้วงความกระสัน จนต้องอุทานเมื่อถูกรุกรานอีกที่มืออีกข้างของเขาไม่ได้ประคองเต้าทรวงแล้ว กลับไล้ลงต่ำ สู่เนินสาว นิ้วชี้กรีดไปตามรอยแยกของกลีบผกาแห่งชีวิต เธอลืมตาจ้องมองเขา ตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คุณเต้ย...”“หือ...”เสียงเรียกชื่อเขาที่แหบพร่าจากแรงราคะช่างไพเราะเสียนี่กระไร เขาถอนริมปากออกจากปลายถันอย่างแสนเสียดาย มันกำลังเป็นสีแดงเต่งตึง น่าฟัดอีกซักยก“อุ๊ย!”ปุณิกาสะดุ้งเฮือก เมื่อนิ้วชี้ออกแรงกด จนเกือบสัมผัสติ่งหวาบหวาม“ไวไฟเชียวนะเธอ แค่นี้ก็เ
“เธอเรียนรู้ไวมากมิ้ม”สรวิชญ์จูบเปลือกตาชื้นเหงื่ออย่างเอาใจ...อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน“ฉันควรภูมิใจกับคำชมนี้ไหมเนี่ย”ปุณิกาเปรยมากกว่าจะขอคำตอบจริงจัง ตาที่ตาโตอยู่แล้วเบิกโพลงมากขึ้นตอนเห็นเขาเปลื้องผ้า อกแน่นหนั่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำเธอกลืนน้ำลาย เคยเห็นแต่ซิกซ์แพ็คในรูปภาพบ้าง ในอินเทอร์เน็ตบ้าง เพิ่งจะเห็นชัด ๆ กระจ่างตาวันนี้เองผิวสรวิชญ์คล้ำแดด ร่างกายเขาจึงไม่ต่างจากรูปสลักเทพบุตรหนุ่มหล่อจากทองแดง ...สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ สิ่งที่ต่างจากรูปปั้นคือขนสีดำกลางอก ไล่เรื่อยมาถึงช่วงเอว ลงใต้สะดือ เชื่อมกับกลุ่มไหมดำเหนือแก่นกายแข็งแรงของเขา“คุณเต้ย...อื้อ”คำพูดเธอหยุดลงพร้อมริมฝีปากที่บดเบียด เขาดันตัวเธอลงบนที่นอน ค่อยสอดความแกร่งกร้าวสู่โพรงอันชื่นฉ่ำอ่อนนุ่ม“...”สรวิชญ์ถอนริมฝีปากจากเธอ กัดฟันกรอด มีสัมผัสได้ถึงแรงบีบรัด เนื้อสาวเต้นตุบตับรอบลำ“อย่าเกร็งสิมิ้ม”เขาจูบที่เปลือกตาหญิงสาวที่กำลังหลับปี๋“มันแน่นอ่ะ”ผู้หญิงคนอื่นมีบ่นแบบนี้กับคู่นอนตัวเองไหมหนอ ปุณิกาเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเอง“ปล่อยตัวตามสบาย เชื่อใจฉัน”ริมฝีปากเขาคลอเคลียอยู่บริเวณหน้าผาก“
ขณะกำลังเดินไปฝักบัว สายตาเจ้ากรรมของเธอก็สบกับเงาที่ฉายบนกระจก มีรอยแดงทั่วผิวเนื้อขาว ใบหน้าหญิงสาวร้อนซ่านเมื่อย้อนนึกถึงกิจกรรมที่ทำให้เกิดรอยนี้สรวิชญ์แม้หน้าโหดดุปานใด เขายังล่อหลอกให้เธอเคลิ้ม สมยอมจนมีอะไรด้วย ก่อนจะระลึกได้ทีหลังว่านี่คือการแก้แค้น ตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างที่เขาว่าไว้หญิงสาวกะพริบตาตนถี่ ๆ ไล่ความโศกที่กำลังจะเอ่อล้นขึ้นมา อย่าเสียใจให้เขาเห็น อย่าอ่อนแอ สรวิชญ์ชอบใจนักแล เมื่อเห็นเธอเจ็บ เพราะมันหมายถึงเขาแก้แค้นสำเร็จปุณิกาบอกตัวเองว่าตนจะไม่ยอมทำตัวเป็นเหยื่อ หัวหดอยู่ในกระดอง เธอต้องเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เสียแล้วก็ปล่อยให้เสียไป คิดในแง่ดี...ตอนทำก็สุขทั้งสองฝ่าย วินวินกันทั้งคู่ แล้วไฉนเธอจึงต้องมาเศร้าเสียน้ำตาคนเดียวไม่เอาล่ะ... หญิงสาวเชิดหน้าใส่เงาในกระจก บอกตนให้เข้มแข็งไว้ แล้วในเวลาแบบนี้คนแบบนั้นเขาทำอะไรกัน ก่อนอื่นต้องจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเธอผละจากกระจก ไปยืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำเย็น ๆ ให้ไหลผ่านศีรษะ เรียกสติสตังที่ควรมีให้กลับมาสรวิชญ์เอาหูแนบประตู ได้ยินเสียงน้ำไหล ค่อยโล่งใจหน่อย เขาไม่ได้ห่วงเธอ แค่เห็นเงียบไป กลัวลื่นล้มแข้ง