Share

Chapter 7 ไร่สรวิชญ์

สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี

ทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสด

หากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่า

ท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะ

ปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิด

รถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่สรวิชญ์” แกะสลักเด่นตระหง่านอยู่บนท่อนซุงที่ถากอย่างเรียบร้อย หน้าไร่มีป้อมยาม

เมื่อคนในป้อมเห็นรถก็แทบจะยกไม้กั้นขึ้นในทันใด รถตู้แล่นมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้สักสองชั้น ยกระเบียงสูงขึ้นจากพื้นถึงศีรษะ

“เจอคุณสตางค์ไหมครับคุณเต้ย”

หนุ่มขาลีบข้างหนึ่งเดินเขยกเข้ามาถาม

“ยัง วสันต์กำลังตามอยู่ เดี๋ยวจะส่งข่าวมา”

สรวิชญ์สนทนากับคนของเขาโดยไม่ใส่ใจเธอเลย

“เอ่อ...แล้วนั่นใครครับ”

เป็นหนุ่มแปลกหน้าเสียอีกที่ทำท่าสนอกสนใจเธอ

“ตัวประกัน เอาไว้ยื่นหมูยื่นแมว”

“แล้วกันคุณเต้ย ! ไหนไปตามคุณสตางค์ไม่ใช่เหรอ ไหงไปเอาตัวประกันที่ไหนมา”

หนุ่มคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาดูในรถ ปุณิกาจึงเห็นว่าเจ้าตัวยังมีเค้าวัยเยาว์ เดาอายุว่าน่าจะพอ ๆ กับปุณณภพ

“ก็พี่สาวไอ้เด็กนั่นแหละ คนที่พาสตางค์หนีไป”

“บอกแล้วให้ปล่อยฉันไปก่อน ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนี่เห็นไหม”

เธอขอร้อง ใครก็ได้ที่ยังเมตตาเธอหน่อย หนุ่มคนนั้นมองชุดผู้ป่วยที่หญิงสาวสวมอยู่แล้วห่อปาก

“นี่พากันมาจากโรงพยาบาลเหรอ คุณเต้ยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเชียวรึ”

“ด่ากูเหรอไอ้แสน เดี๋ยวแตะให้ขาลีบอีกข้าง ยัยนี่โดนงูกัดเว้ย กูเลยพาไปโรงพยาบาล วุ่นวายทั้งคืน เหนื่อย หิว เหนียวตัว อยากอาบน้ำ มึงหาอะไรให้กูกินหน่อย”

บ่นแล้วร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป

“คุณเต้ย แล้วจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนี้”

ลูกน้องร้องถามไล่หลัง

“เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่เรือนพักคนงานที่ว่าง ๆ ก็ได้”

ในดวงตาปุณิกาปรากฏแววหวั่นระริก ...ผิดจากที่คิดไว้เสียเมื่อไร แค่เปลี่ยนจากโดนขังกระท่อมท้ายไร่ เป็นล่ามโซ่ขังในเรือนคนงาน

“ไม่เอานะ ฉันกลัว”

เธอเสียงโหยอย่างน่าสงสาร

“ลงมาจากรถก่อนเถอะคุณ เดินไหวไหม”

ลูกน้องเขาเสียงอารี

“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”

คำถามซื่อ ๆ จากคนแปลกหน้า ทำให้ทำนบแห่งความอดทนเธอพังลง

“ช่วยฉันด้วย เจ้านายเธอลักพาตัวฉันมา ฉันอยากกลับบ้าน”

น้ำตาไหลลงบนแก้มนวล ต่อหน้าคนไม่เคยรู้จักที่แสดงความห่วงใย

“คุณเต้ยคงกำลังโกรธเรื่องน้องคุณพาคุณสตางค์หนีอยู่ รอสักเดี๋ยวให้ใจเย็นลงก่อนครับ ปรกติแกชอบทำหน้าดุ แต่จริง ๆ ใจดี”

หนุ่มร่างกายไม่สมประกอบยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปในรถ

“ฉันไม่อยากถูกล่ามโซ่ไว้เรือนคนงาน”

“ครับ...คุณเต้ยแกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรอก ลงมาจากรถก่อน”

หนุ่มรุ่นน้องหว่านล้อม

“ผมชื่อแสนดีครับ คุณชื่ออะไร”

ปุณิกาเพิ่งสังเกตว่ายามยืนตัวเขาเอียงไปข้าง นิ้วที่คีบรองเท้าคีบอยู่ผิดปรกติ

“ผมเป็นโปลิโอขาลีบครับ ถ้าเป็นที่อื่นคงไล่ออกจากไร่แล้ว แต่คุณเต้ยให้ช่วยดูแลบ้านกับทำกับข้าว ให้เงิน ที่กิน ที่นอน เห็นไหมว่าเจ้านายผมใจดี”

รอยยิ้มที่ส่งมาซื่อ ๆ สมกับชื่อแสนดี แต่พฤติกรรมของเจ้านายเขาที่เธอประสบ ทำให้ไม่อาจเชื่อคำบอกเล่าของเจ้าตัวได้

“ตอนนี้คงหงุดหงิดที่หาน้องไม่เจอ แถมต้องอยู่โรงพยาบาลเพราะเรื่องคุณ คงหัวเสียอยู่หรอก เดี๋ยวพอกินอิ่ม ได้หลับสักตื่นก็จะดีขึ้นครับ”

แสนดีเดินนำเธอขึ้นบนบ้าน เขาดูคล่องแคล่วและคุ้นชินตามที่เล่าหน้าที่ เขาพาเธอไปนั่งยังห้องอาหาร

“ฉันชื่อมิ้มนะ”

เธอแนะนำตัว พอแสนดีลับสายตาไป ปุณิการีบโทรหาปุณณภพทันที แต่ยังเป็นสัญญาณฝากข้อความ เธอจึงไลน์บอกให้เขาติดต่อมาด่วน

จากนั้นเช็กจีพีเอสดูว่าไร่แห่งนี้อยู่ที่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พอได้รู้ที่อยู่ก็หาข่าวเกี่ยวกับเขา เธอรู้ตอนนั้นเองว่าชื่อไร่สรวิชญ์มาจากชื่อเขา มีภาพถ่ายชายหนุ่มในชุดโคบาลในนิตยสารออนไลน์สองสามฉบับ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามยิ้มโดยยกริมฝีปากขึ้น แต่กระนั้นยังดูดุอยู่ดี

“ไอ้แสน กูบอกให้เอาแม่นี่ไปไว้เรือนคนงานไง”

สรวิชญ์จงมาจากข้างบนด้วยสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง สระผมหอมกลิ่นแชมพูฟุ้ง เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า

“โธ่ ! คุณเต้ย คุณมิ้มเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เกิดไปเป็นอะไรอยู่ในเรือนคนงานล่ะ ตายขึ้นมาจะติดคุกหัวโตเอานา”

แสนดีออกมาพร้อมมือถือกระบวยตักแกง สวมผ้าคลุมกันเปื้อนลายดอกทานตะวัน

“รู้ดีจริงมึง !”

เขาเดินมาทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ปุณิกา

“ก็สมกับชื่อผมแล้วนี่ ทั้งแสนดี ทั้งแสนรู้”

หนุ่มรุ่นน้องต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับลูกน้องคนอื่น

“อย่ามัวแต่โม้ ข้าวกูอ่ะได้หรือยัง หิวจนแทบกินควายได้ทั้งตัวแล้ว”

ปลายสายตาหรี่มายังเธอ ปุณิกาหน้าตึง นี่นะหรือเจ้านายผู้ใจดีของแสนดี ไม่มีเค้าเลยสักนิด

“คร๊าบ ๆ”

พ่อครัวหายไปครู่ ก็ออกมาโถบรรจุข้าวต้มทรงเครื่อง มีถ้วยแบ่งสองใบ ข้างกันก็เป็นไข่ต้ม กระเทียมเจียว

“ข้าวต้มสูตรพิเศษของแสนดี รับรองกินแล้วอารมณ์ดี คนไหนป่วยก็ฟื้นไข้แน่”

เจ้าตัวบรรยายสรรพคุณ ขณะมือตักข้าวลงชามแบ่ง กลิ่นข้าวหอม ๆ โชยเมื่อเปิดโถ อีกยังกระเทียมเจียวสะเด็ดน้ำมันสีเหลืองทอง

“โคร๊ก...”

สายตาเจ้านายกับลูกน้องมองอายังเธอ มีจุดแดงขึ้นบนพวงแก้มของปุณิกา เธอยกมือจับปอยผมทัดอย่างอาย ๆ

“ฉันจับเธอมาเป็นตัวประกันนะ ไม่ใช่มาเลี้ยงให้เปลืองข้าว”

ปุณิกาไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าดุ ๆ ของคนพูดคือการเย้าแหย่

“โถ่ ! คุณเต้ย ให้คุณมิ้มกินข้าวหน่อยเถอะครับ ตัวเธอผอมแทบจะเท่าผมอยู่แล้ว”

“เจอกันไม่กี่นาที มึงเข้าข้างเขาเหลือเกินนะ”

สรวิญช์ตักข้าวต้มเข้าปาก ชื่นใจ...นี่เป็นอาหารมื้อแรกนับตั้งแต่เมื่อวานที่เขารู้ว่าน้องสาวหนีไป

“ใครดี แสนดีก็ทำดีด้วยครับ”

พ่อครัวเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าเธอ

“มีให้เติมไม่อั้นครับ เพราะคุณเต้ยกินจุ”

แสนดีขยิบตาให้ จากนั้นเดินกลับเข้าครัวไป นี่เป็นมื้อที่แปลกประหลาดในชีวิตปุณิกา เธอนั่งกินข้าวในบ้านของผู้ชายที่ลักพาตัวมา

ทว่าเมื่ออาหารเข้าปาก หญิงสาวก็ลืมความตะขิดตะขวงใจทันที ข้าวต้มมีรสซุปอ่อน ๆ เค็มกำลังพอดี หมูปั้นเป็นก้อนเต็มไปด้วยเนื้อให้เคี้ยว กระเทียมเจียวหอมและกรอบ

เข้าใจแล้วที่แสนดีบอกว่าให้สรวิชญ์กินอิ่มแล้วเขาจะอารมณ์ดี เพราะคิ้วชายหนุ่มคลายลงจากการขมวด ปอกไข่ต้มกินเป็นเครื่องเคียงและเติมข้าวต้มเป็นชามที่สอง

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status