สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
ทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสด
หากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่า
ท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะ
ปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิด
รถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่สรวิชญ์” แกะสลักเด่นตระหง่านอยู่บนท่อนซุงที่ถากอย่างเรียบร้อย หน้าไร่มีป้อมยาม
เมื่อคนในป้อมเห็นรถก็แทบจะยกไม้กั้นขึ้นในทันใด รถตู้แล่นมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้สักสองชั้น ยกระเบียงสูงขึ้นจากพื้นถึงศีรษะ
“เจอคุณสตางค์ไหมครับคุณเต้ย”
หนุ่มขาลีบข้างหนึ่งเดินเขยกเข้ามาถาม
“ยัง วสันต์กำลังตามอยู่ เดี๋ยวจะส่งข่าวมา”
สรวิชญ์สนทนากับคนของเขาโดยไม่ใส่ใจเธอเลย
“เอ่อ...แล้วนั่นใครครับ”
เป็นหนุ่มแปลกหน้าเสียอีกที่ทำท่าสนอกสนใจเธอ
“ตัวประกัน เอาไว้ยื่นหมูยื่นแมว”
“แล้วกันคุณเต้ย ! ไหนไปตามคุณสตางค์ไม่ใช่เหรอ ไหงไปเอาตัวประกันที่ไหนมา”
หนุ่มคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาดูในรถ ปุณิกาจึงเห็นว่าเจ้าตัวยังมีเค้าวัยเยาว์ เดาอายุว่าน่าจะพอ ๆ กับปุณณภพ
“ก็พี่สาวไอ้เด็กนั่นแหละ คนที่พาสตางค์หนีไป”
“บอกแล้วให้ปล่อยฉันไปก่อน ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนี่เห็นไหม”
เธอขอร้อง ใครก็ได้ที่ยังเมตตาเธอหน่อย หนุ่มคนนั้นมองชุดผู้ป่วยที่หญิงสาวสวมอยู่แล้วห่อปาก
“นี่พากันมาจากโรงพยาบาลเหรอ คุณเต้ยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเชียวรึ”
“ด่ากูเหรอไอ้แสน เดี๋ยวแตะให้ขาลีบอีกข้าง ยัยนี่โดนงูกัดเว้ย กูเลยพาไปโรงพยาบาล วุ่นวายทั้งคืน เหนื่อย หิว เหนียวตัว อยากอาบน้ำ มึงหาอะไรให้กูกินหน่อย”
บ่นแล้วร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป
“คุณเต้ย แล้วจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนี้”
ลูกน้องร้องถามไล่หลัง
“เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่เรือนพักคนงานที่ว่าง ๆ ก็ได้”
ในดวงตาปุณิกาปรากฏแววหวั่นระริก ...ผิดจากที่คิดไว้เสียเมื่อไร แค่เปลี่ยนจากโดนขังกระท่อมท้ายไร่ เป็นล่ามโซ่ขังในเรือนคนงาน
“ไม่เอานะ ฉันกลัว”
เธอเสียงโหยอย่างน่าสงสาร
“ลงมาจากรถก่อนเถอะคุณ เดินไหวไหม”
ลูกน้องเขาเสียงอารี
“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”
คำถามซื่อ ๆ จากคนแปลกหน้า ทำให้ทำนบแห่งความอดทนเธอพังลง
“ช่วยฉันด้วย เจ้านายเธอลักพาตัวฉันมา ฉันอยากกลับบ้าน”
น้ำตาไหลลงบนแก้มนวล ต่อหน้าคนไม่เคยรู้จักที่แสดงความห่วงใย
“คุณเต้ยคงกำลังโกรธเรื่องน้องคุณพาคุณสตางค์หนีอยู่ รอสักเดี๋ยวให้ใจเย็นลงก่อนครับ ปรกติแกชอบทำหน้าดุ แต่จริง ๆ ใจดี”
หนุ่มร่างกายไม่สมประกอบยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปในรถ
“ฉันไม่อยากถูกล่ามโซ่ไว้เรือนคนงาน”
“ครับ...คุณเต้ยแกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรอก ลงมาจากรถก่อน”
หนุ่มรุ่นน้องหว่านล้อม
“ผมชื่อแสนดีครับ คุณชื่ออะไร”
ปุณิกาเพิ่งสังเกตว่ายามยืนตัวเขาเอียงไปข้าง นิ้วที่คีบรองเท้าคีบอยู่ผิดปรกติ
“ผมเป็นโปลิโอขาลีบครับ ถ้าเป็นที่อื่นคงไล่ออกจากไร่แล้ว แต่คุณเต้ยให้ช่วยดูแลบ้านกับทำกับข้าว ให้เงิน ที่กิน ที่นอน เห็นไหมว่าเจ้านายผมใจดี”
รอยยิ้มที่ส่งมาซื่อ ๆ สมกับชื่อแสนดี แต่พฤติกรรมของเจ้านายเขาที่เธอประสบ ทำให้ไม่อาจเชื่อคำบอกเล่าของเจ้าตัวได้
“ตอนนี้คงหงุดหงิดที่หาน้องไม่เจอ แถมต้องอยู่โรงพยาบาลเพราะเรื่องคุณ คงหัวเสียอยู่หรอก เดี๋ยวพอกินอิ่ม ได้หลับสักตื่นก็จะดีขึ้นครับ”
แสนดีเดินนำเธอขึ้นบนบ้าน เขาดูคล่องแคล่วและคุ้นชินตามที่เล่าหน้าที่ เขาพาเธอไปนั่งยังห้องอาหาร
“ฉันชื่อมิ้มนะ”
เธอแนะนำตัว พอแสนดีลับสายตาไป ปุณิการีบโทรหาปุณณภพทันที แต่ยังเป็นสัญญาณฝากข้อความ เธอจึงไลน์บอกให้เขาติดต่อมาด่วน
จากนั้นเช็กจีพีเอสดูว่าไร่แห่งนี้อยู่ที่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พอได้รู้ที่อยู่ก็หาข่าวเกี่ยวกับเขา เธอรู้ตอนนั้นเองว่าชื่อไร่สรวิชญ์มาจากชื่อเขา มีภาพถ่ายชายหนุ่มในชุดโคบาลในนิตยสารออนไลน์สองสามฉบับ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามยิ้มโดยยกริมฝีปากขึ้น แต่กระนั้นยังดูดุอยู่ดี
“ไอ้แสน กูบอกให้เอาแม่นี่ไปไว้เรือนคนงานไง”
สรวิชญ์จงมาจากข้างบนด้วยสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง สระผมหอมกลิ่นแชมพูฟุ้ง เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า
“โธ่ ! คุณเต้ย คุณมิ้มเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เกิดไปเป็นอะไรอยู่ในเรือนคนงานล่ะ ตายขึ้นมาจะติดคุกหัวโตเอานา”
แสนดีออกมาพร้อมมือถือกระบวยตักแกง สวมผ้าคลุมกันเปื้อนลายดอกทานตะวัน
“รู้ดีจริงมึง !”
เขาเดินมาทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ปุณิกา
“ก็สมกับชื่อผมแล้วนี่ ทั้งแสนดี ทั้งแสนรู้”
หนุ่มรุ่นน้องต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับลูกน้องคนอื่น
“อย่ามัวแต่โม้ ข้าวกูอ่ะได้หรือยัง หิวจนแทบกินควายได้ทั้งตัวแล้ว”
ปลายสายตาหรี่มายังเธอ ปุณิกาหน้าตึง นี่นะหรือเจ้านายผู้ใจดีของแสนดี ไม่มีเค้าเลยสักนิด
“คร๊าบ ๆ”
พ่อครัวหายไปครู่ ก็ออกมาโถบรรจุข้าวต้มทรงเครื่อง มีถ้วยแบ่งสองใบ ข้างกันก็เป็นไข่ต้ม กระเทียมเจียว
“ข้าวต้มสูตรพิเศษของแสนดี รับรองกินแล้วอารมณ์ดี คนไหนป่วยก็ฟื้นไข้แน่”
เจ้าตัวบรรยายสรรพคุณ ขณะมือตักข้าวลงชามแบ่ง กลิ่นข้าวหอม ๆ โชยเมื่อเปิดโถ อีกยังกระเทียมเจียวสะเด็ดน้ำมันสีเหลืองทอง
“โคร๊ก...”
สายตาเจ้านายกับลูกน้องมองอายังเธอ มีจุดแดงขึ้นบนพวงแก้มของปุณิกา เธอยกมือจับปอยผมทัดอย่างอาย ๆ
“ฉันจับเธอมาเป็นตัวประกันนะ ไม่ใช่มาเลี้ยงให้เปลืองข้าว”
ปุณิกาไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าดุ ๆ ของคนพูดคือการเย้าแหย่
“โถ่ ! คุณเต้ย ให้คุณมิ้มกินข้าวหน่อยเถอะครับ ตัวเธอผอมแทบจะเท่าผมอยู่แล้ว”
“เจอกันไม่กี่นาที มึงเข้าข้างเขาเหลือเกินนะ”
สรวิญช์ตักข้าวต้มเข้าปาก ชื่นใจ...นี่เป็นอาหารมื้อแรกนับตั้งแต่เมื่อวานที่เขารู้ว่าน้องสาวหนีไป
“ใครดี แสนดีก็ทำดีด้วยครับ”
พ่อครัวเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าเธอ
“มีให้เติมไม่อั้นครับ เพราะคุณเต้ยกินจุ”
แสนดีขยิบตาให้ จากนั้นเดินกลับเข้าครัวไป นี่เป็นมื้อที่แปลกประหลาดในชีวิตปุณิกา เธอนั่งกินข้าวในบ้านของผู้ชายที่ลักพาตัวมา
ทว่าเมื่ออาหารเข้าปาก หญิงสาวก็ลืมความตะขิดตะขวงใจทันที ข้าวต้มมีรสซุปอ่อน ๆ เค็มกำลังพอดี หมูปั้นเป็นก้อนเต็มไปด้วยเนื้อให้เคี้ยว กระเทียมเจียวหอมและกรอบ
เข้าใจแล้วที่แสนดีบอกว่าให้สรวิชญ์กินอิ่มแล้วเขาจะอารมณ์ดี เพราะคิ้วชายหนุ่มคลายลงจากการขมวด ปอกไข่ต้มกินเป็นเครื่องเคียงและเติมข้าวต้มเป็นชามที่สอง
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า
ปุณิกาคิดว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้ชายมาสนใจเธอแบบจริง ๆ จังแน่ ผู้ชายที่ไม่ต้องหล่อรวย แบบผู้ชายในฝันตามนิยาย ขอแค่เขารักจริง อยากมีอนาคตร่วมสร้างฝันกับเธอ ปุณิกาคิดว่าต้องรักก่อน ความใคร่ถึงตามมาจนกระทั่งวินาทีนี้...เธอกำลังตัวเอนอ่อนให้คนแปลกหน้าสัมผัส เขามีความตะกรุมตะกราม ไม่ถนอมเนื้ออ่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกใจเต้น อยากให้เขาสัมผัสแรงขึ้นอีก“อาห์...”เธอบดเบียดร่างเกือบเปลือยของตนเข้าหาเขา นิ้วมือสอดใต้เรือนผม ลูบไล้ท้ายทอยของศีรษะได้รูป อีกมือเลื่อนมาจิกนิ้วบนบ่ากว้าง เคลื่อนเต้าตูมอำนวยความสะดวกให้เขาดื่มกิน ใจรัญจวนอยู่ในห้วงความกระสัน จนต้องอุทานเมื่อถูกรุกรานอีกที่มืออีกข้างของเขาไม่ได้ประคองเต้าทรวงแล้ว กลับไล้ลงต่ำ สู่เนินสาว นิ้วชี้กรีดไปตามรอยแยกของกลีบผกาแห่งชีวิต เธอลืมตาจ้องมองเขา ตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คุณเต้ย...”“หือ...”เสียงเรียกชื่อเขาที่แหบพร่าจากแรงราคะช่างไพเราะเสียนี่กระไร เขาถอนริมปากออกจากปลายถันอย่างแสนเสียดาย มันกำลังเป็นสีแดงเต่งตึง น่าฟัดอีกซักยก“อุ๊ย!”ปุณิกาสะดุ้งเฮือก เมื่อนิ้วชี้ออกแรงกด จนเกือบสัมผัสติ่งหวาบหวาม“ไวไฟเชียวนะเธอ แค่นี้ก็เ
“เธอเรียนรู้ไวมากมิ้ม”สรวิชญ์จูบเปลือกตาชื้นเหงื่ออย่างเอาใจ...อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน“ฉันควรภูมิใจกับคำชมนี้ไหมเนี่ย”ปุณิกาเปรยมากกว่าจะขอคำตอบจริงจัง ตาที่ตาโตอยู่แล้วเบิกโพลงมากขึ้นตอนเห็นเขาเปลื้องผ้า อกแน่นหนั่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำเธอกลืนน้ำลาย เคยเห็นแต่ซิกซ์แพ็คในรูปภาพบ้าง ในอินเทอร์เน็ตบ้าง เพิ่งจะเห็นชัด ๆ กระจ่างตาวันนี้เองผิวสรวิชญ์คล้ำแดด ร่างกายเขาจึงไม่ต่างจากรูปสลักเทพบุตรหนุ่มหล่อจากทองแดง ...สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ สิ่งที่ต่างจากรูปปั้นคือขนสีดำกลางอก ไล่เรื่อยมาถึงช่วงเอว ลงใต้สะดือ เชื่อมกับกลุ่มไหมดำเหนือแก่นกายแข็งแรงของเขา“คุณเต้ย...อื้อ”คำพูดเธอหยุดลงพร้อมริมฝีปากที่บดเบียด เขาดันตัวเธอลงบนที่นอน ค่อยสอดความแกร่งกร้าวสู่โพรงอันชื่นฉ่ำอ่อนนุ่ม“...”สรวิชญ์ถอนริมฝีปากจากเธอ กัดฟันกรอด มีสัมผัสได้ถึงแรงบีบรัด เนื้อสาวเต้นตุบตับรอบลำ“อย่าเกร็งสิมิ้ม”เขาจูบที่เปลือกตาหญิงสาวที่กำลังหลับปี๋“มันแน่นอ่ะ”ผู้หญิงคนอื่นมีบ่นแบบนี้กับคู่นอนตัวเองไหมหนอ ปุณิกาเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเอง“ปล่อยตัวตามสบาย เชื่อใจฉัน”ริมฝีปากเขาคลอเคลียอยู่บริเวณหน้าผาก“
ขณะกำลังเดินไปฝักบัว สายตาเจ้ากรรมของเธอก็สบกับเงาที่ฉายบนกระจก มีรอยแดงทั่วผิวเนื้อขาว ใบหน้าหญิงสาวร้อนซ่านเมื่อย้อนนึกถึงกิจกรรมที่ทำให้เกิดรอยนี้สรวิชญ์แม้หน้าโหดดุปานใด เขายังล่อหลอกให้เธอเคลิ้ม สมยอมจนมีอะไรด้วย ก่อนจะระลึกได้ทีหลังว่านี่คือการแก้แค้น ตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างที่เขาว่าไว้หญิงสาวกะพริบตาตนถี่ ๆ ไล่ความโศกที่กำลังจะเอ่อล้นขึ้นมา อย่าเสียใจให้เขาเห็น อย่าอ่อนแอ สรวิชญ์ชอบใจนักแล เมื่อเห็นเธอเจ็บ เพราะมันหมายถึงเขาแก้แค้นสำเร็จปุณิกาบอกตัวเองว่าตนจะไม่ยอมทำตัวเป็นเหยื่อ หัวหดอยู่ในกระดอง เธอต้องเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เสียแล้วก็ปล่อยให้เสียไป คิดในแง่ดี...ตอนทำก็สุขทั้งสองฝ่าย วินวินกันทั้งคู่ แล้วไฉนเธอจึงต้องมาเศร้าเสียน้ำตาคนเดียวไม่เอาล่ะ... หญิงสาวเชิดหน้าใส่เงาในกระจก บอกตนให้เข้มแข็งไว้ แล้วในเวลาแบบนี้คนแบบนั้นเขาทำอะไรกัน ก่อนอื่นต้องจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเธอผละจากกระจก ไปยืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำเย็น ๆ ให้ไหลผ่านศีรษะ เรียกสติสตังที่ควรมีให้กลับมาสรวิชญ์เอาหูแนบประตู ได้ยินเสียงน้ำไหล ค่อยโล่งใจหน่อย เขาไม่ได้ห่วงเธอ แค่เห็นเงียบไป กลัวลื่นล้มแข้ง
ปุณิกาตื่นมาอีกครั้งเป็นวันใหม่ เวลาก็สายมากแล้ว มีแสงแดดส่องลอดผ้าม่านมากระทบเตียง เธองัวเงียยกมือขยี้ตา นิ่งสักครู่ก่อนเบิกตาโพลงเมื่อคิดได้ว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไหนเธอถูกลักพาตัวโดยผู้ชายแปลกหน้า เธอมีอะไรกับเขาบนเตียงนี้ ตาโตกวาดไปทั่วบริเวณ พบตนอยู่เพียงลำพัง เธอค่อย ๆ ย่องลงบันไดไปข้างล่าง“อรุณสวัสดิ์ครับคุณมิ้ม”แสนดียิ้มแป้นอยู่ปลายบันได มือถือไม้ถูพื้น ข้าง ๆ ขามีถังน้ำ“หิวหรือเปล่าครับ”เธอยกนิ้วคีบปอยผมมาทัดหู ...แสนดีจะรู้ไหมว่าเมื่อคืนเธอกับเจ้านายเขาทำอะไรกัน คงจะรู้อยู่หรอกน่า เพราะเจ้าตัวเป็นคนเตรียมสำรับมื้อดึกไว้ให้“ผมทำข้าวผัดไส้กรอกไว้ จะไปอุ่นให้”เขาวางไม้ถูพื้นลง“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ว่าแต่...” หญิงสาวส่งสายตาหลุกหลิก“คุณเต้ยอยู่ในไร่ วันนี้ไปดูลำธารที่โดนน้ำท่วม เวลาน้ำหลากมานี่น่ากลัวนะคุณมิ้ม วัวทั้งตัวมันก็พัดมาแล้ว ผมเคยเห็น แต่คุณเต้ยเก่ง เหวี่ยงบ่วงบาศช่วยมันไว้ได้”ลูกน้องยังมิวายขายความเก่งของเจ้านาย“อืม...”เธอพยักหน้า ท่าทางสรวิชญ์แข็งแรงออกอย่างนั้น ต้องทำอย่างที่ว่าได้แน่ เธอเชื่อที่แสนดีเล่าอย่างสนิทใจ“จะทำงานบ้านเหรอ เดี๋ยวกินข้
สรวิชญ์เตะประตูห้องที่แสนดีเคยบอกว่าต้องห้าม มันไม่มีอะไรนอกจากแฟ้มสูงเป็นตั้ง คอมพิวเตอร์จอบาง มีกลิ่นกระดาษเก่าเจือกลิ่นยาสูบ ปุณิกาใจเต้นระรัวนี่สินะ อาณาเขตของเขา ทั้งตู้ใส่หนังสือสันหนา โต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ม่านสีแดงเลือดนกที่ปิดบังแสงอาทิตย์ ห้องนี้ดูลึกลับ น่าเกรงขาม เหมือนกับตัวคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ชายหนุ่มวางร่างในอ้อมแขนลงบนโต๊ะ สะโพกกลมกลึงพิงขอบโต๊ะหมิ่นเหม่ ริมฝีปากเข้มฉกจุมพิตเธอปุณิกาที่กำลังต่อว่าในการกระทำแสนห่ามของเขาตัวแข็ง เมื่อลิ้นร้อนไล่สำรวจหาความหวานในโพรงปาก ปากที่ยังพอขยับได้ส่งเสียงประท้วงอือออ...มือผลักไสคนร้ายที่เข้ามาจวบจ้วงซึ่งสรวิชญ์มีวิธีการดึงความสนใจเธอโดยการสอดมือหยาบกร้านเข้าใต้เสื้อ สัมผัสผิวเนื้ออ่อน ปุณิการู้สึกราวมีไฟฟ้าช็อตตามจุดเขาสัมผัส แต่กระนั้นเธอยังสู้ ปัดมือเขาออกจากตัวสรวิชญ์เลิกคิ้วพึงใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงดื้อ แต่พวกสมยอมตัวอ่อนให้ทันทีก็ไม่เร้าใจ ปุณิกาอยู่ระหว่างกึ่งกลาง เธอฤทธิ์เยอะ แต่ไม่ใช่เขาจะรับมือไม่ได้ ...ก็เมื่อคืนเล่นกันเสียหลายยก เธอขัดขืนหน่อย ๆ แค่นี้จิ๊บ ๆเขาใช้ส่วนอ่อนนุ่มแต่ทรงพลังที่สุดในกายมนุษย์หยอกเย้า รัดตรึงส่
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี
“คุณเต้ย!”แม่เล้าวัยกลางคนที่สวมเสื้อคว้านคอลึกอวดเนินทรวงอวบอัด ร้องทักอย่างยินดีเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรความบันเทิงของท่านชาย ซึ่งคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยลูกค้าอารมณ์เปลี่ยว มาหาความอบอุ่นและรับบริการจากสาว ๆ“คิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าเสร็จสาวไหนไปแล้วเสียอีก”นวลส่งยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าหยาดเยิ้มที่สุดให้ ใบหน้าฉาบด้วยเครื่องสำอางประทินผิวปิดบังอายุที่แท้จริง ที่น่าจะอยู่ในวัยคุณน้าเขาแล้ว“คืนนี้เหงาใช่ไหมคะ เดี๋ยวนวลหาน้อง ๆ ไปบริการให้”นางกวักมือเรียกหนุ่มในอาณัติให้พาแขกวีไอพีเช่นสรวิชญ์ไปยังห้องรับรองที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ทันไรสุราอย่างดี น้ำแข็งเย็น ๆ และกับแกล้มก็เรียงรายเสิร์ฟเต็มโต๊ะลูกน้องสรวิชญ์ทุกคนคุ้นเคยกับสถานที่ดี บ้างก็ถามหาเด็กใหม่จากบริกร บางคนสมัครใจจะซบอกคู่ขาเดิม ๆ เพราะคุ้นเคยกลิ่น แบบเข้าสำนวนวัวเคยขาม้าเคยขี่ รู้จังหวะเข้าขาลีลากันดีบนเตียงนวลเข้าห้องมาพร้อมกับสาวหน้าใสสองคน หนึ่งผมดำยาวสยายถึงกลางหลังสวมชุดแซกเกาะอกสีแดงสั้นแค่ต้นขา อวดความอวบอัดน่าฟัดของหุ่น อีกคนผมน้ำตาลอ่อนใส่สายเดี่ยวปักเลื่อมลายหัวใจชมพูกระโปรงยีนสั้น อวดคว
“ไอ้หมอนั่นทำอะไรพี่หรือเปล่า”ปุณณภพเอ่ยทำลายความเงียบหลังรถคันเก่งของปุณิกาแล่นไปบนทางหลวง ทิ้งป้ายไร่สรวิชญ์ไว้ด้านหลัง“เรียกเขาดี ๆ หน่อยสิ นั่นน่ะพี่สตางค์ เมียเธอนะแม้ว”หญิงสาวไม่ยอมสบตาคนนั่งข้าง ทำทีเป็นสนใจทางข้างหน้า“เอ้อ...นั่นแหละ มันเอ๊ย! เขาทำอะไรพี่มิ้มหรือเปล่าตอนพามาอยู่ไร่”“แค่ขู่นิดหน่อย แล้วพามาเป็นตัวประกันไว้แลกหมูแลกแมวกับสตางค์”เกิดความเงียบระหว่างสองพี่น้องอีกครั้ง ก่อนผู้อ่อนวัยกว่าจะกล่าว“ผมขอโทษ”เธอเหลือบเห็นเขาหน้าม่อย คอตก“ผมทำให้พี่มิ้มมาลำบากด้วย”“อือ...รู้ก็ดีแล้ว”มองรอยช้ำบนใบหน้าปุณณภพแล้วก็สงสาร แต่เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรโอ๋เขาจนเกินไป ปุณณภพควรได้รับบทเรียน“เรื่องนี้คนลำบากไม่ใช่พี่คนเดียว ทั้งสตางค์ ทั้งพี่ชายเขาก็ลำบากด้วย”เธอเลี่ยงเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย ...ไม่อยากให้ความสนิทสนม เรื่องที่เกิดในไร่ก็ควรจบเสียแต่ในไร่ อย่าให้มันมาเพ่นพ่าน เกะกะหัวใจเลย“ต่อไปนี้แม้วไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ มีสตางค์กับลูกด้วยที่ต้องดูแล ทำอะไรต้องคิดให้มาก”“ผมไม่ทิ้งสตางค์กับลูกแน่”น้องชายเงยหน้าให้คำมั่นกับเธอด้วยตาลุกวาว“ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจ เวลามาหา
“แล้วจะทำยังไงล่ะคุณเต้ย ท้องสตางค์มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง”ปุณิกาปรับเสียงเป็นโทนอบอุ่นน่าฟัง“น้องเธอมันมัดมือชกน้องฉัน มันกะมาปอกลอกสตางค์ละสิ”“ผมไม่เคยคิดจะปอกลอกสตางค์เลยนะ”ปุณณภพโต้“ใช่ค่ะ แม้วคิดว่าสตางค์เป็นเด็กใจแตกด้วยซ้ำ ตอนสตางค์กระเป๋าเงินหายยังให้ค่าแท็กซี่กลับหอด้วย”สิริยาเล่าความดีของคนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วก็หลบวูบเมื่อพี่ชายส่งสายตาฉุนเฉียวให้“น้องเธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงสตางค์กับลูก”พี่ชายจี้ประเด็นเดิม งานนี้พี่สาวอย่างปุณิกาต้องให้ความแน่ใจ“ตอนพ่อแม่ฉันตาย ทิ้งสมบัติไว้นิดหน่อย ครึ่งหนึ่งมันเป็นของแม้ว ฉันจะเอาเงินมาให้เขา”“หึ...สุดท้ายก็ขายสมบัติเก่า”เธอเก็บความขุ่นเคืองในถ้อยคำดูถูกนั้นไว้เสีย จะพลอยให้เขากวนสถานการณ์ชวนอารมณ์ฉุนอีกไม่ได้“บ้านฉันไม่มีไร่ ไม่มีบ้านใหญ่เหมือนคุณ แต่ก็พอเลี้ยงกันไปได้ จนกว่าแม้วจะเรียนจบปริญญาตรีในอีกสองปี พอเขาหางานได้ หลานเข้าอนุบาล ฉันจะให้สตางค์เรียนกศน. ช้าหน่อย แต่ไม่ทำลายอนาคตเขาแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีปริญญาติดตัว”ทุกคนอึ้งในแผนที่ปุณิกาวางไว้ เห็นจะมีเสียก็แต่...