สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี
ทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสด
หากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่า
ท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะ
ปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิด
รถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่สรวิชญ์” แกะสลักเด่นตระหง่านอยู่บนท่อนซุงที่ถากอย่างเรียบร้อย หน้าไร่มีป้อมยาม
เมื่อคนในป้อมเห็นรถก็แทบจะยกไม้กั้นขึ้นในทันใด รถตู้แล่นมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้สักสองชั้น ยกระเบียงสูงขึ้นจากพื้นถึงศีรษะ
“เจอคุณสตางค์ไหมครับคุณเต้ย”
หนุ่มขาลีบข้างหนึ่งเดินเขยกเข้ามาถาม
“ยัง วสันต์กำลังตามอยู่ เดี๋ยวจะส่งข่าวมา”
สรวิชญ์สนทนากับคนของเขาโดยไม่ใส่ใจเธอเลย
“เอ่อ...แล้วนั่นใครครับ”
เป็นหนุ่มแปลกหน้าเสียอีกที่ทำท่าสนอกสนใจเธอ
“ตัวประกัน เอาไว้ยื่นหมูยื่นแมว”
“แล้วกันคุณเต้ย ! ไหนไปตามคุณสตางค์ไม่ใช่เหรอ ไหงไปเอาตัวประกันที่ไหนมา”
หนุ่มคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาดูในรถ ปุณิกาจึงเห็นว่าเจ้าตัวยังมีเค้าวัยเยาว์ เดาอายุว่าน่าจะพอ ๆ กับปุณณภพ
“ก็พี่สาวไอ้เด็กนั่นแหละ คนที่พาสตางค์หนีไป”
“บอกแล้วให้ปล่อยฉันไปก่อน ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลนี่เห็นไหม”
เธอขอร้อง ใครก็ได้ที่ยังเมตตาเธอหน่อย หนุ่มคนนั้นมองชุดผู้ป่วยที่หญิงสาวสวมอยู่แล้วห่อปาก
“นี่พากันมาจากโรงพยาบาลเหรอ คุณเต้ยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเชียวรึ”
“ด่ากูเหรอไอ้แสน เดี๋ยวแตะให้ขาลีบอีกข้าง ยัยนี่โดนงูกัดเว้ย กูเลยพาไปโรงพยาบาล วุ่นวายทั้งคืน เหนื่อย หิว เหนียวตัว อยากอาบน้ำ มึงหาอะไรให้กูกินหน่อย”
บ่นแล้วร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป
“คุณเต้ย แล้วจะเอายังไงกับผู้หญิงคนนี้”
ลูกน้องร้องถามไล่หลัง
“เอาไปล่ามโซ่ไว้ที่เรือนพักคนงานที่ว่าง ๆ ก็ได้”
ในดวงตาปุณิกาปรากฏแววหวั่นระริก ...ผิดจากที่คิดไว้เสียเมื่อไร แค่เปลี่ยนจากโดนขังกระท่อมท้ายไร่ เป็นล่ามโซ่ขังในเรือนคนงาน
“ไม่เอานะ ฉันกลัว”
เธอเสียงโหยอย่างน่าสงสาร
“ลงมาจากรถก่อนเถอะคุณ เดินไหวไหม”
ลูกน้องเขาเสียงอารี
“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”
คำถามซื่อ ๆ จากคนแปลกหน้า ทำให้ทำนบแห่งความอดทนเธอพังลง
“ช่วยฉันด้วย เจ้านายเธอลักพาตัวฉันมา ฉันอยากกลับบ้าน”
น้ำตาไหลลงบนแก้มนวล ต่อหน้าคนไม่เคยรู้จักที่แสดงความห่วงใย
“คุณเต้ยคงกำลังโกรธเรื่องน้องคุณพาคุณสตางค์หนีอยู่ รอสักเดี๋ยวให้ใจเย็นลงก่อนครับ ปรกติแกชอบทำหน้าดุ แต่จริง ๆ ใจดี”
หนุ่มร่างกายไม่สมประกอบยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปในรถ
“ฉันไม่อยากถูกล่ามโซ่ไว้เรือนคนงาน”
“ครับ...คุณเต้ยแกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรอก ลงมาจากรถก่อน”
หนุ่มรุ่นน้องหว่านล้อม
“ผมชื่อแสนดีครับ คุณชื่ออะไร”
ปุณิกาเพิ่งสังเกตว่ายามยืนตัวเขาเอียงไปข้าง นิ้วที่คีบรองเท้าคีบอยู่ผิดปรกติ
“ผมเป็นโปลิโอขาลีบครับ ถ้าเป็นที่อื่นคงไล่ออกจากไร่แล้ว แต่คุณเต้ยให้ช่วยดูแลบ้านกับทำกับข้าว ให้เงิน ที่กิน ที่นอน เห็นไหมว่าเจ้านายผมใจดี”
รอยยิ้มที่ส่งมาซื่อ ๆ สมกับชื่อแสนดี แต่พฤติกรรมของเจ้านายเขาที่เธอประสบ ทำให้ไม่อาจเชื่อคำบอกเล่าของเจ้าตัวได้
“ตอนนี้คงหงุดหงิดที่หาน้องไม่เจอ แถมต้องอยู่โรงพยาบาลเพราะเรื่องคุณ คงหัวเสียอยู่หรอก เดี๋ยวพอกินอิ่ม ได้หลับสักตื่นก็จะดีขึ้นครับ”
แสนดีเดินนำเธอขึ้นบนบ้าน เขาดูคล่องแคล่วและคุ้นชินตามที่เล่าหน้าที่ เขาพาเธอไปนั่งยังห้องอาหาร
“ฉันชื่อมิ้มนะ”
เธอแนะนำตัว พอแสนดีลับสายตาไป ปุณิการีบโทรหาปุณณภพทันที แต่ยังเป็นสัญญาณฝากข้อความ เธอจึงไลน์บอกให้เขาติดต่อมาด่วน
จากนั้นเช็กจีพีเอสดูว่าไร่แห่งนี้อยู่ที่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พอได้รู้ที่อยู่ก็หาข่าวเกี่ยวกับเขา เธอรู้ตอนนั้นเองว่าชื่อไร่สรวิชญ์มาจากชื่อเขา มีภาพถ่ายชายหนุ่มในชุดโคบาลในนิตยสารออนไลน์สองสามฉบับ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามยิ้มโดยยกริมฝีปากขึ้น แต่กระนั้นยังดูดุอยู่ดี
“ไอ้แสน กูบอกให้เอาแม่นี่ไปไว้เรือนคนงานไง”
สรวิชญ์จงมาจากข้างบนด้วยสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง สระผมหอมกลิ่นแชมพูฟุ้ง เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแค่เข่า
“โธ่ ! คุณเต้ย คุณมิ้มเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เกิดไปเป็นอะไรอยู่ในเรือนคนงานล่ะ ตายขึ้นมาจะติดคุกหัวโตเอานา”
แสนดีออกมาพร้อมมือถือกระบวยตักแกง สวมผ้าคลุมกันเปื้อนลายดอกทานตะวัน
“รู้ดีจริงมึง !”
เขาเดินมาทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ปุณิกา
“ก็สมกับชื่อผมแล้วนี่ ทั้งแสนดี ทั้งแสนรู้”
หนุ่มรุ่นน้องต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับลูกน้องคนอื่น
“อย่ามัวแต่โม้ ข้าวกูอ่ะได้หรือยัง หิวจนแทบกินควายได้ทั้งตัวแล้ว”
ปลายสายตาหรี่มายังเธอ ปุณิกาหน้าตึง นี่นะหรือเจ้านายผู้ใจดีของแสนดี ไม่มีเค้าเลยสักนิด
“คร๊าบ ๆ”
พ่อครัวหายไปครู่ ก็ออกมาโถบรรจุข้าวต้มทรงเครื่อง มีถ้วยแบ่งสองใบ ข้างกันก็เป็นไข่ต้ม กระเทียมเจียว
“ข้าวต้มสูตรพิเศษของแสนดี รับรองกินแล้วอารมณ์ดี คนไหนป่วยก็ฟื้นไข้แน่”
เจ้าตัวบรรยายสรรพคุณ ขณะมือตักข้าวลงชามแบ่ง กลิ่นข้าวหอม ๆ โชยเมื่อเปิดโถ อีกยังกระเทียมเจียวสะเด็ดน้ำมันสีเหลืองทอง
“โคร๊ก...”
สายตาเจ้านายกับลูกน้องมองอายังเธอ มีจุดแดงขึ้นบนพวงแก้มของปุณิกา เธอยกมือจับปอยผมทัดอย่างอาย ๆ
“ฉันจับเธอมาเป็นตัวประกันนะ ไม่ใช่มาเลี้ยงให้เปลืองข้าว”
ปุณิกาไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าดุ ๆ ของคนพูดคือการเย้าแหย่
“โถ่ ! คุณเต้ย ให้คุณมิ้มกินข้าวหน่อยเถอะครับ ตัวเธอผอมแทบจะเท่าผมอยู่แล้ว”
“เจอกันไม่กี่นาที มึงเข้าข้างเขาเหลือเกินนะ”
สรวิญช์ตักข้าวต้มเข้าปาก ชื่นใจ...นี่เป็นอาหารมื้อแรกนับตั้งแต่เมื่อวานที่เขารู้ว่าน้องสาวหนีไป
“ใครดี แสนดีก็ทำดีด้วยครับ”
พ่อครัวเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าเธอ
“มีให้เติมไม่อั้นครับ เพราะคุณเต้ยกินจุ”
แสนดีขยิบตาให้ จากนั้นเดินกลับเข้าครัวไป นี่เป็นมื้อที่แปลกประหลาดในชีวิตปุณิกา เธอนั่งกินข้าวในบ้านของผู้ชายที่ลักพาตัวมา
ทว่าเมื่ออาหารเข้าปาก หญิงสาวก็ลืมความตะขิดตะขวงใจทันที ข้าวต้มมีรสซุปอ่อน ๆ เค็มกำลังพอดี หมูปั้นเป็นก้อนเต็มไปด้วยเนื้อให้เคี้ยว กระเทียมเจียวหอมและกรอบ
เข้าใจแล้วที่แสนดีบอกว่าให้สรวิชญ์กินอิ่มแล้วเขาจะอารมณ์ดี เพราะคิ้วชายหนุ่มคลายลงจากการขมวด ปอกไข่ต้มกินเป็นเครื่องเคียงและเติมข้าวต้มเป็นชามที่สอง
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า
ปุณิกาคิดว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้ชายมาสนใจเธอแบบจริง ๆ จังแน่ ผู้ชายที่ไม่ต้องหล่อรวย แบบผู้ชายในฝันตามนิยาย ขอแค่เขารักจริง อยากมีอนาคตร่วมสร้างฝันกับเธอ ปุณิกาคิดว่าต้องรักก่อน ความใคร่ถึงตามมาจนกระทั่งวินาทีนี้...เธอกำลังตัวเอนอ่อนให้คนแปลกหน้าสัมผัส เขามีความตะกรุมตะกราม ไม่ถนอมเนื้ออ่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกใจเต้น อยากให้เขาสัมผัสแรงขึ้นอีก“อาห์...”เธอบดเบียดร่างเกือบเปลือยของตนเข้าหาเขา นิ้วมือสอดใต้เรือนผม ลูบไล้ท้ายทอยของศีรษะได้รูป อีกมือเลื่อนมาจิกนิ้วบนบ่ากว้าง เคลื่อนเต้าตูมอำนวยความสะดวกให้เขาดื่มกิน ใจรัญจวนอยู่ในห้วงความกระสัน จนต้องอุทานเมื่อถูกรุกรานอีกที่มืออีกข้างของเขาไม่ได้ประคองเต้าทรวงแล้ว กลับไล้ลงต่ำ สู่เนินสาว นิ้วชี้กรีดไปตามรอยแยกของกลีบผกาแห่งชีวิต เธอลืมตาจ้องมองเขา ตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คุณเต้ย...”“หือ...”เสียงเรียกชื่อเขาที่แหบพร่าจากแรงราคะช่างไพเราะเสียนี่กระไร เขาถอนริมปากออกจากปลายถันอย่างแสนเสียดาย มันกำลังเป็นสีแดงเต่งตึง น่าฟัดอีกซักยก“อุ๊ย!”ปุณิกาสะดุ้งเฮือก เมื่อนิ้วชี้ออกแรงกด จนเกือบสัมผัสติ่งหวาบหวาม“ไวไฟเชียวนะเธอ แค่นี้ก็เ
“เธอเรียนรู้ไวมากมิ้ม”สรวิชญ์จูบเปลือกตาชื้นเหงื่ออย่างเอาใจ...อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน“ฉันควรภูมิใจกับคำชมนี้ไหมเนี่ย”ปุณิกาเปรยมากกว่าจะขอคำตอบจริงจัง ตาที่ตาโตอยู่แล้วเบิกโพลงมากขึ้นตอนเห็นเขาเปลื้องผ้า อกแน่นหนั่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำเธอกลืนน้ำลาย เคยเห็นแต่ซิกซ์แพ็คในรูปภาพบ้าง ในอินเทอร์เน็ตบ้าง เพิ่งจะเห็นชัด ๆ กระจ่างตาวันนี้เองผิวสรวิชญ์คล้ำแดด ร่างกายเขาจึงไม่ต่างจากรูปสลักเทพบุตรหนุ่มหล่อจากทองแดง ...สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ สิ่งที่ต่างจากรูปปั้นคือขนสีดำกลางอก ไล่เรื่อยมาถึงช่วงเอว ลงใต้สะดือ เชื่อมกับกลุ่มไหมดำเหนือแก่นกายแข็งแรงของเขา“คุณเต้ย...อื้อ”คำพูดเธอหยุดลงพร้อมริมฝีปากที่บดเบียด เขาดันตัวเธอลงบนที่นอน ค่อยสอดความแกร่งกร้าวสู่โพรงอันชื่นฉ่ำอ่อนนุ่ม“...”สรวิชญ์ถอนริมฝีปากจากเธอ กัดฟันกรอด มีสัมผัสได้ถึงแรงบีบรัด เนื้อสาวเต้นตุบตับรอบลำ“อย่าเกร็งสิมิ้ม”เขาจูบที่เปลือกตาหญิงสาวที่กำลังหลับปี๋“มันแน่นอ่ะ”ผู้หญิงคนอื่นมีบ่นแบบนี้กับคู่นอนตัวเองไหมหนอ ปุณิกาเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเอง“ปล่อยตัวตามสบาย เชื่อใจฉัน”ริมฝีปากเขาคลอเคลียอยู่บริเวณหน้าผาก“
ขณะกำลังเดินไปฝักบัว สายตาเจ้ากรรมของเธอก็สบกับเงาที่ฉายบนกระจก มีรอยแดงทั่วผิวเนื้อขาว ใบหน้าหญิงสาวร้อนซ่านเมื่อย้อนนึกถึงกิจกรรมที่ทำให้เกิดรอยนี้สรวิชญ์แม้หน้าโหดดุปานใด เขายังล่อหลอกให้เธอเคลิ้ม สมยอมจนมีอะไรด้วย ก่อนจะระลึกได้ทีหลังว่านี่คือการแก้แค้น ตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างที่เขาว่าไว้หญิงสาวกะพริบตาตนถี่ ๆ ไล่ความโศกที่กำลังจะเอ่อล้นขึ้นมา อย่าเสียใจให้เขาเห็น อย่าอ่อนแอ สรวิชญ์ชอบใจนักแล เมื่อเห็นเธอเจ็บ เพราะมันหมายถึงเขาแก้แค้นสำเร็จปุณิกาบอกตัวเองว่าตนจะไม่ยอมทำตัวเป็นเหยื่อ หัวหดอยู่ในกระดอง เธอต้องเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เสียแล้วก็ปล่อยให้เสียไป คิดในแง่ดี...ตอนทำก็สุขทั้งสองฝ่าย วินวินกันทั้งคู่ แล้วไฉนเธอจึงต้องมาเศร้าเสียน้ำตาคนเดียวไม่เอาล่ะ... หญิงสาวเชิดหน้าใส่เงาในกระจก บอกตนให้เข้มแข็งไว้ แล้วในเวลาแบบนี้คนแบบนั้นเขาทำอะไรกัน ก่อนอื่นต้องจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเธอผละจากกระจก ไปยืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำเย็น ๆ ให้ไหลผ่านศีรษะ เรียกสติสตังที่ควรมีให้กลับมาสรวิชญ์เอาหูแนบประตู ได้ยินเสียงน้ำไหล ค่อยโล่งใจหน่อย เขาไม่ได้ห่วงเธอ แค่เห็นเงียบไป กลัวลื่นล้มแข้ง
ปุณิกาตื่นมาอีกครั้งเป็นวันใหม่ เวลาก็สายมากแล้ว มีแสงแดดส่องลอดผ้าม่านมากระทบเตียง เธองัวเงียยกมือขยี้ตา นิ่งสักครู่ก่อนเบิกตาโพลงเมื่อคิดได้ว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไหนเธอถูกลักพาตัวโดยผู้ชายแปลกหน้า เธอมีอะไรกับเขาบนเตียงนี้ ตาโตกวาดไปทั่วบริเวณ พบตนอยู่เพียงลำพัง เธอค่อย ๆ ย่องลงบันไดไปข้างล่าง“อรุณสวัสดิ์ครับคุณมิ้ม”แสนดียิ้มแป้นอยู่ปลายบันได มือถือไม้ถูพื้น ข้าง ๆ ขามีถังน้ำ“หิวหรือเปล่าครับ”เธอยกนิ้วคีบปอยผมมาทัดหู ...แสนดีจะรู้ไหมว่าเมื่อคืนเธอกับเจ้านายเขาทำอะไรกัน คงจะรู้อยู่หรอกน่า เพราะเจ้าตัวเป็นคนเตรียมสำรับมื้อดึกไว้ให้“ผมทำข้าวผัดไส้กรอกไว้ จะไปอุ่นให้”เขาวางไม้ถูพื้นลง“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ว่าแต่...” หญิงสาวส่งสายตาหลุกหลิก“คุณเต้ยอยู่ในไร่ วันนี้ไปดูลำธารที่โดนน้ำท่วม เวลาน้ำหลากมานี่น่ากลัวนะคุณมิ้ม วัวทั้งตัวมันก็พัดมาแล้ว ผมเคยเห็น แต่คุณเต้ยเก่ง เหวี่ยงบ่วงบาศช่วยมันไว้ได้”ลูกน้องยังมิวายขายความเก่งของเจ้านาย“อืม...”เธอพยักหน้า ท่าทางสรวิชญ์แข็งแรงออกอย่างนั้น ต้องทำอย่างที่ว่าได้แน่ เธอเชื่อที่แสนดีเล่าอย่างสนิทใจ“จะทำงานบ้านเหรอ เดี๋ยวกินข้
สรวิชญ์เตะประตูห้องที่แสนดีเคยบอกว่าต้องห้าม มันไม่มีอะไรนอกจากแฟ้มสูงเป็นตั้ง คอมพิวเตอร์จอบาง มีกลิ่นกระดาษเก่าเจือกลิ่นยาสูบ ปุณิกาใจเต้นระรัวนี่สินะ อาณาเขตของเขา ทั้งตู้ใส่หนังสือสันหนา โต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ม่านสีแดงเลือดนกที่ปิดบังแสงอาทิตย์ ห้องนี้ดูลึกลับ น่าเกรงขาม เหมือนกับตัวคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ชายหนุ่มวางร่างในอ้อมแขนลงบนโต๊ะ สะโพกกลมกลึงพิงขอบโต๊ะหมิ่นเหม่ ริมฝีปากเข้มฉกจุมพิตเธอปุณิกาที่กำลังต่อว่าในการกระทำแสนห่ามของเขาตัวแข็ง เมื่อลิ้นร้อนไล่สำรวจหาความหวานในโพรงปาก ปากที่ยังพอขยับได้ส่งเสียงประท้วงอือออ...มือผลักไสคนร้ายที่เข้ามาจวบจ้วงซึ่งสรวิชญ์มีวิธีการดึงความสนใจเธอโดยการสอดมือหยาบกร้านเข้าใต้เสื้อ สัมผัสผิวเนื้ออ่อน ปุณิการู้สึกราวมีไฟฟ้าช็อตตามจุดเขาสัมผัส แต่กระนั้นเธอยังสู้ ปัดมือเขาออกจากตัวสรวิชญ์เลิกคิ้วพึงใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงดื้อ แต่พวกสมยอมตัวอ่อนให้ทันทีก็ไม่เร้าใจ ปุณิกาอยู่ระหว่างกึ่งกลาง เธอฤทธิ์เยอะ แต่ไม่ใช่เขาจะรับมือไม่ได้ ...ก็เมื่อคืนเล่นกันเสียหลายยก เธอขัดขืนหน่อย ๆ แค่นี้จิ๊บ ๆเขาใช้ส่วนอ่อนนุ่มแต่ทรงพลังที่สุดในกายมนุษย์หยอกเย้า รัดตรึงส่