ปุณิกาตื่นมาอีกครั้งเป็นวันใหม่ เวลาก็สายมากแล้ว มีแสงแดดส่องลอดผ้าม่านมากระทบเตียง เธองัวเงียยกมือขยี้ตา นิ่งสักครู่ก่อนเบิกตาโพลงเมื่อคิดได้ว่าตนอยู่ในสถานการณ์ไหนเธอถูกลักพาตัวโดยผู้ชายแปลกหน้า เธอมีอะไรกับเขาบนเตียงนี้ ตาโตกวาดไปทั่วบริเวณ พบตนอยู่เพียงลำพัง เธอค่อย ๆ ย่องลงบันไดไปข้างล่าง“อรุณสวัสดิ์ครับคุณมิ้ม”แสนดียิ้มแป้นอยู่ปลายบันได มือถือไม้ถูพื้น ข้าง ๆ ขามีถังน้ำ“หิวหรือเปล่าครับ”เธอยกนิ้วคีบปอยผมมาทัดหู ...แสนดีจะรู้ไหมว่าเมื่อคืนเธอกับเจ้านายเขาทำอะไรกัน คงจะรู้อยู่หรอกน่า เพราะเจ้าตัวเป็นคนเตรียมสำรับมื้อดึกไว้ให้“ผมทำข้าวผัดไส้กรอกไว้ จะไปอุ่นให้”เขาวางไม้ถูพื้นลง“ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ว่าแต่...” หญิงสาวส่งสายตาหลุกหลิก“คุณเต้ยอยู่ในไร่ วันนี้ไปดูลำธารที่โดนน้ำท่วม เวลาน้ำหลากมานี่น่ากลัวนะคุณมิ้ม วัวทั้งตัวมันก็พัดมาแล้ว ผมเคยเห็น แต่คุณเต้ยเก่ง เหวี่ยงบ่วงบาศช่วยมันไว้ได้”ลูกน้องยังมิวายขายความเก่งของเจ้านาย“อืม...”เธอพยักหน้า ท่าทางสรวิชญ์แข็งแรงออกอย่างนั้น ต้องทำอย่างที่ว่าได้แน่ เธอเชื่อที่แสนดีเล่าอย่างสนิทใจ“จะทำงานบ้านเหรอ เดี๋ยวกินข้
สรวิชญ์เตะประตูห้องที่แสนดีเคยบอกว่าต้องห้าม มันไม่มีอะไรนอกจากแฟ้มสูงเป็นตั้ง คอมพิวเตอร์จอบาง มีกลิ่นกระดาษเก่าเจือกลิ่นยาสูบ ปุณิกาใจเต้นระรัวนี่สินะ อาณาเขตของเขา ทั้งตู้ใส่หนังสือสันหนา โต๊ะไม้สักตัวใหญ่ ม่านสีแดงเลือดนกที่ปิดบังแสงอาทิตย์ ห้องนี้ดูลึกลับ น่าเกรงขาม เหมือนกับตัวคนที่กำลังอุ้มเธออยู่ชายหนุ่มวางร่างในอ้อมแขนลงบนโต๊ะ สะโพกกลมกลึงพิงขอบโต๊ะหมิ่นเหม่ ริมฝีปากเข้มฉกจุมพิตเธอปุณิกาที่กำลังต่อว่าในการกระทำแสนห่ามของเขาตัวแข็ง เมื่อลิ้นร้อนไล่สำรวจหาความหวานในโพรงปาก ปากที่ยังพอขยับได้ส่งเสียงประท้วงอือออ...มือผลักไสคนร้ายที่เข้ามาจวบจ้วงซึ่งสรวิชญ์มีวิธีการดึงความสนใจเธอโดยการสอดมือหยาบกร้านเข้าใต้เสื้อ สัมผัสผิวเนื้ออ่อน ปุณิการู้สึกราวมีไฟฟ้าช็อตตามจุดเขาสัมผัส แต่กระนั้นเธอยังสู้ ปัดมือเขาออกจากตัวสรวิชญ์เลิกคิ้วพึงใจ เขาไม่ชอบผู้หญิงดื้อ แต่พวกสมยอมตัวอ่อนให้ทันทีก็ไม่เร้าใจ ปุณิกาอยู่ระหว่างกึ่งกลาง เธอฤทธิ์เยอะ แต่ไม่ใช่เขาจะรับมือไม่ได้ ...ก็เมื่อคืนเล่นกันเสียหลายยก เธอขัดขืนหน่อย ๆ แค่นี้จิ๊บ ๆเขาใช้ส่วนอ่อนนุ่มแต่ทรงพลังที่สุดในกายมนุษย์หยอกเย้า รัดตรึงส่
ปุณิกาตื่นเช้ามาบนเตียงเพียงลำพัง ห้องนอนนั้นยังเป็นห้องเดิมเหมือนเมื่อเช้าวาน ...ห้องสรวิชญ์เมื่อลุกขึ้นก็พบว่าตนเปลือยเปล่า เข้าไปสำรวจตัวเองในห้องน้ำก็พบรอยแดงบนผิว หญิงสาวเม้มปากแล้วถอนหายใจยาว ...ทั้งโกรธปนหงุดหงิดสรวิชญ์นั้นเป็นตัวต้นเหตุใหญ่อยู่แล้ว แต่ที่เพิ่มเติมคือโกรธตัวเอง ยังโง่ซ้ำสอง ไม่เข็ดเสียที โดนเขากินฟรีเสียหลายรอบ...เอ คิดอย่างนั้นฟังเหมือนเธอเสียเปรียบอย่างไรชอบกล ในสมองมีภาพสรวิชญ์หัวเราะเยาะหึ ๆ เรื่องอะไรจะต้องไปเศร้าตามเกมเขา สรวิชญ์ชอบแน่หากรู้ว่าเธออัปยศอดสู ปุณิกาไม่ยอมหรอกมันก็แค่หญิงชายมีเซ็กซ์กัน ผู้ใหญ่ค่อนโลกเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีใครตาย ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย ต่างปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศของตน ปุณิกาบอกให้ตนคิดเช่นนี้เสีย จะได้สบายใจ มีหน้าไปเผชิญกับเขาหน่อยมีผ้าขนหนูพับเรียบร้อยบนชั้นเหนือชักโครก ปุณิกาถือวิสาสะเอามาใช้เสีย หลังอาบน้ำชำระคราบไคล เธอก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่พับเรียบร้อยวางอยู่ที่ปลายเตียง ...หรือจะเป็นแสนดีเอามาให้ เธอหน้าแดง หนุ่มน้อยคงมาเห็นสภาพเธอกับเจ้านายเขาแล้ว อยากแทรกแผ่นดินหนี แต่ในเมื่อทำไม่ได้ก็มีแต่ต้องเชิดหน
สรวิชญ์ยอมปล่อยปุณิกาเป็นอิสระในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตอนที่เขาจัดการโจ้กเป็นชามที่สอง“มึงทำกับข้าวแบบหนัก ๆ ท้องหน่อยสิวะ มีแต่ข้าวต้ม มีแต่โจ้ก กูกินสองชามแทบไม่อิ่ม”แสนดีที่เข้ามาเก็บชามยิ้มแห้ง“เติมชามที่สามได้นะจ๊ะคุณเต้ย”“พอเลยมึง ให้กูกินแต่น้ำ เดี๋ยวก็ได้เอาแต่เยี่ยวทั้งวัน”หรือนี่จะเป็นการพูดคุยปรกติในไร่ พูดเรื่องของเสียกลางโต๊ะกินข้าว ไม่เกรงใจแขกอย่างปุณิกาเลย...เออ จริงสิ เธอมาในฐานะตัวประกัน ไม่ใช่แขกเสียหน่อย เจ้าบ้านหน้าดุเลยย่ามใจ นึกจะพูดอะไรก็พูด นึกจะทำอะไรกับเธอก็ทำ ปุณิกาแกล้งทำหูทวนลม ปรับหน้าให้นิ่ง...ให้เขารู้ว่าเรื่องแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก“งั้นกลางวันจะลาบวัวให้กินดีไหมจ๊ะ มื้อเย็นก็สเต็ก”“พอเลยมึง เปลืองตายห่า เอาแค่ข้าวกับแกงก็พอ” เจ้านายบอก ก่อนเดินปึง ๆ ออกไป“เอาใจย๊าก...ยากนะคุณเต้ย ปรกติแค่ข้าวไข่เจียวก็กินได้แล้ว”แสนดีเปรยแบบขำ ๆ พอจะรู้ว่าที่เจ้าตัวเกิดอาการเรื่องมากเช่นนี้เป็นเพราะใคร ปุณิการีบเก็บของบนโต๊ะตามพ่อบ้านไปในครัว“วันนี้แสนดีมีอะไรให้ฉันช่วยไหม”เธอทำได้แค่ยืนเกาะเคาน์เตอร์ครัว เพราะหนุ่มน้อยยึดอ่างไว้ล้างจานแล้ว“คุณมิ้มขยันม
“ไอ้แสนโว้ย! มึงอยู่ไหน”ปุณิกากับพ่อบ้านชะงักมือจากทิชชูที่กำลังซับหัวตา หนังเกาหลีของสิริยานั้นแน่จริง เศร้า หม่นหมองประคองอารมณ์จนน้ำตาหยดแหมะ การมีความรักของคนเรามันเศร้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถ้าอย่างนั้นปุณิกาก็ไม่อยากมีแล้วล่ะความรัก“ไอ้แสน!”เสียงดังปานฟ้าผ่าบ่งบอกความไม่สบอารมณ์ของเจ้าตัว ทำให้แสนดีลนลาน รีบเขยกขาออกมาจากห้องแห่งความบันเทิง“จ้ะคุณเต้ย แสนดีมาแล้ว”ลูกน้องรีบยิ้มให้เจ้านายที่ยืนจังก้า กำหมัดอยู่กลางห้องโถง คิ้วขมวด ตาวาวดุ ราวกำลังจะไปฆ่าใคร“เฮ้ย! มือไปโดนอะไรมาคุณเต้ย”สีแดงที่ข้อนิ้วนั้นเด่นเหลือเกิน“ช่างกู! เอาเหล้ามาให้แดกหน่อย ที่ห้องทำงาน อย่าให้หมาที่ไหนมากวน ไม่งั้นพ่อจะเชือดรายตัว”รัศมีดำมืดที่แผ่มาจากร่างสูงใหญ่ ทำให้แสนดีรู้ว่าคราวนี้เจ้านายเอาจริง“กับแกล้มด้วยไหมจ๊ะ”“ไม่ต้อง”เขาตัดบทเสียงห้วน เดินปึงปังไปทางห้องทำงาน ได้ยินเสียงปิดประตูแรงดังปัง“แสนดีให้ช่วยอะไรไหม เขาอารมณ์เสียเวลากลับมาบ้านอย่างนี้บ่อยเหรอ”ปุณิกาย่องเข้ามาในครัว“นาน ๆ ทีก็มีบ้างครับ”แสนดีเปิดตู้หยิบถังใส่น้ำแข็งมาวางในถาด แล้วไปทางตู้เย็น จัดการเอาน้ำแข็งมาเทใส่ถัง วางแ
ณ ห้องทำงานที่แสงสลัว เจ้าบ้านนอนซบหน้าฟุบอยู่กับโต๊ะ ข้าง ๆ กันมีแก้วเปล่า ถังน้ำแข็งที่มีหยดน้ำเกาะเต็ม และขวดบรั่นดีที่ไร้น้ำสีอำพัน“คุณเต้ยเนี่ยน้า...รู้ว่าคอแข็ง แต่ดื่มไปขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้ไปเฝ้ายมบาลหรอก”แสนดีเดินไปหิ้วปีกซ้ายสรวิชญ์ขึ้นจากโต๊ะ เอาต้นแขนสีทองแดงมาคล้อง“บ่นมากจริงไอ้แสน อย่ายุ่งกับกู ไปหาเหล้ามาให้อีกสิวะ”ปุณิกาย่นจมูก จำต้องสอดตัวไปพยุงปีกซ้าย ผมดำยาวของหนุ่มชาวไร่ตกระหน้าตา ยามเข้าใกล้ได้กลิ่นลมหายใจเจือเหล้าคลุ้ง“จะเอากูไปไหน ไม่ไปเว้ย”คนเมาพาลโวยวาย ดิ้นตัวให้หลุดจากผู้มาช่วยเหลือ ซึ่งตัวบางกันทั้งนั้น ปุณิกาเม้มปากข่มอารมณ์ขุ่นข้างใน แต่กระนั้นยังปิดไม่มิดแสดงออกผ่านสายตาวาว“ทำตาแบบนี้หมายความว่ายังไง มองฉันผิดเหรอ น้องเธอต่างหากที่ทำสตางค์ท้อง มันเลวจริง ๆ” แสนดีห่อปากเป็นรูปตัวโอกับความจริงที่ได้รับรู้“น้องเธอทำลายอนาคตสตางค์”ปุณิกาอึ้งไปครู่ ...เหตุการณ์แย่ที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ผิดจากคาดไว้เสียที่ไหน“ฉันจะฆ่ามัน!”คนเมาคำราม ภายในดวงตาสีรัตติกาลมีแสงไฟแล่นแปลบ“คุณเมาแล้วนะ ไปพักก่อน ไว้มีสติค่อยคิดหาทางออกกันว่าจะเอายังไง”เธอเลือกจะรับมือกับสถ
“ฉันไม่มีวันปล่อยสตางค์อยู่คนเดียวอีกแล้ว”ในสายตาคู่ดำสนิทนั้นมุ่งมั่นเหมือนวาจาที่เอ่ย“แล้วคุณจะทำยังไงกับเธอ ทำปั้นปึ่ง ทำหน้าดุโกรธ เหมือนที่ทำกับฉันแบบนี้เหรอ”สรวิชญ์ไม่ทันคิด โทษว่าเป็นฤทธิ์น้ำเมาที่กดประสาทอยู่ ทำให้เชื่องช้า“น้องคุณ...คุณสตางค์จะรู้สึกยังไง ไม่อึดอัดแย่เหรอ”ปุณิกาอาศัยจังหวะที่เขานิ่ง เอ่ยหว่านล้อม ตีขลุมเรียกชื่อเล่นสิริยาเพื่อความสนิทสนม“ฉันไม่ยอมยกคนของฉันให้เธอ ทั้งน้อง ทั้งหลาน” สรวิชญ์กัดฟันกรอด โทสะเริ่มกลับมาแล้ว“ถ้าอย่างนั้นคุณจะทำยังไงถ้าพวกเขากลับมา เรื่องแม้ว คุณจะอัดเขาก็ได้”ใช่ว่าไม่ห่วงน้อง...แต่จากการได้อยู่ด้วยกันมา รู้ว่ามิอาจห้ามอีกฝ่ายได้“แต่คุณสตางค์กับหลานล่ะ จะเอายังไง จะปล่อยให้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้เหรอ”“ไม่รู้โว้ย! ฉันปวดหัว”ชายหนุ่มคำราม เธอสะดุ้งนิด ๆ แล้วกลับร้องถามเมื่อเขาทำท่าจะลงจากเตียง“คุณจะไปไหน”“หาเหล้ากิน”“พอแล้ว...”ด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ปุณิกากลับเป็นฝ่ายดึงแขนเขาไว้“ฉันกับแสนดีอุตส่าห์หิ้วคุณขึ้นมานอนนะ จะลงไปกินอีกทำไม มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”มือเล็ก แรงแค่นี้ สรวิชญ์สะบัดออกสบายมาก แต่เ
ดวงอาทิตย์ที่ปรกติต้องราแสงอ่อนในตอนเย็น ขณะนี้ถูกบดบังด้วยเมฆฝนครึ้ม ลมพัดกรูเข้ามาดังคนเกรี้ยวกราดแสนดีเปิดประตูหลังบ้านติดกับครัวแล้วมองฟ้า คะเนได้เลยว่าฝนจะตกแน่ในอีกไม่ถึงชั่วโมง เขาเขยกขาไปเก็บผ้าผ่อน รีบเอามาไว้ในห้องนั่งเล่น ยังไม่กล้าขึ้นข้างบน ด้วยคิดว่าเจ้านายกับปุณิกากำลังทำกิจกันอยู่เคยได้ยินพวกคนสนิทที่ออกไปไหนต่อไหนกับสรวิชญ์ เล่าลือว่าเขา “กินดุ” แสนดีเพิ่งประจักษ์สายตาในวันสองวันนี้นี่เองเจ้านายลากปุณิกาไปทำกิจสองต่อสอง สองวันซ้อนและไม่เลือกเวลา ท่าทางเธอก็ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่แสนดีเห็นรอยแดงที่คอวับแวมระหว่างเนื้อผ้าแหวกปุณิกาเองก็ไม่ได้ร้องไห้ตีโพยตีพายแบบนางเอกผู้ใสซื่อในละคร แสนดีจึงคิดในแง่ดี...เธออาจไม่เป็นไร อาจรับมือกับแรงอารมณ์เจ้านายได้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำแสนดีพับผ้าไปพลางถอนหายใจ แม้สรวิชญ์จะให้ความสนิทสนมกับเขา พูดคุยเล่นหัวได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาบอกเจ้านายไม่ได้ พูดไปเขาก็ไม่ฟัง อย่างเรื่องปุณิกา หรือเรื่องสิริยากับคุณหนูตัวน้อย ๆ ที่จะเกิดมาในอนาคตเขาเข้าใจสรวิชญ์ดี เป็นใครก็โกรธที่น้องกำลังกลายเป็นคุณแม่วัยใส มีลูกในเวลาไม่ควร แต่เหตุเกิดขึ้น
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี
“คุณเต้ย!”แม่เล้าวัยกลางคนที่สวมเสื้อคว้านคอลึกอวดเนินทรวงอวบอัด ร้องทักอย่างยินดีเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรความบันเทิงของท่านชาย ซึ่งคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยลูกค้าอารมณ์เปลี่ยว มาหาความอบอุ่นและรับบริการจากสาว ๆ“คิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าเสร็จสาวไหนไปแล้วเสียอีก”นวลส่งยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าหยาดเยิ้มที่สุดให้ ใบหน้าฉาบด้วยเครื่องสำอางประทินผิวปิดบังอายุที่แท้จริง ที่น่าจะอยู่ในวัยคุณน้าเขาแล้ว“คืนนี้เหงาใช่ไหมคะ เดี๋ยวนวลหาน้อง ๆ ไปบริการให้”นางกวักมือเรียกหนุ่มในอาณัติให้พาแขกวีไอพีเช่นสรวิชญ์ไปยังห้องรับรองที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ทันไรสุราอย่างดี น้ำแข็งเย็น ๆ และกับแกล้มก็เรียงรายเสิร์ฟเต็มโต๊ะลูกน้องสรวิชญ์ทุกคนคุ้นเคยกับสถานที่ดี บ้างก็ถามหาเด็กใหม่จากบริกร บางคนสมัครใจจะซบอกคู่ขาเดิม ๆ เพราะคุ้นเคยกลิ่น แบบเข้าสำนวนวัวเคยขาม้าเคยขี่ รู้จังหวะเข้าขาลีลากันดีบนเตียงนวลเข้าห้องมาพร้อมกับสาวหน้าใสสองคน หนึ่งผมดำยาวสยายถึงกลางหลังสวมชุดแซกเกาะอกสีแดงสั้นแค่ต้นขา อวดความอวบอัดน่าฟัดของหุ่น อีกคนผมน้ำตาลอ่อนใส่สายเดี่ยวปักเลื่อมลายหัวใจชมพูกระโปรงยีนสั้น อวดคว
“ไอ้หมอนั่นทำอะไรพี่หรือเปล่า”ปุณณภพเอ่ยทำลายความเงียบหลังรถคันเก่งของปุณิกาแล่นไปบนทางหลวง ทิ้งป้ายไร่สรวิชญ์ไว้ด้านหลัง“เรียกเขาดี ๆ หน่อยสิ นั่นน่ะพี่สตางค์ เมียเธอนะแม้ว”หญิงสาวไม่ยอมสบตาคนนั่งข้าง ทำทีเป็นสนใจทางข้างหน้า“เอ้อ...นั่นแหละ มันเอ๊ย! เขาทำอะไรพี่มิ้มหรือเปล่าตอนพามาอยู่ไร่”“แค่ขู่นิดหน่อย แล้วพามาเป็นตัวประกันไว้แลกหมูแลกแมวกับสตางค์”เกิดความเงียบระหว่างสองพี่น้องอีกครั้ง ก่อนผู้อ่อนวัยกว่าจะกล่าว“ผมขอโทษ”เธอเหลือบเห็นเขาหน้าม่อย คอตก“ผมทำให้พี่มิ้มมาลำบากด้วย”“อือ...รู้ก็ดีแล้ว”มองรอยช้ำบนใบหน้าปุณณภพแล้วก็สงสาร แต่เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรโอ๋เขาจนเกินไป ปุณณภพควรได้รับบทเรียน“เรื่องนี้คนลำบากไม่ใช่พี่คนเดียว ทั้งสตางค์ ทั้งพี่ชายเขาก็ลำบากด้วย”เธอเลี่ยงเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย ...ไม่อยากให้ความสนิทสนม เรื่องที่เกิดในไร่ก็ควรจบเสียแต่ในไร่ อย่าให้มันมาเพ่นพ่าน เกะกะหัวใจเลย“ต่อไปนี้แม้วไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ มีสตางค์กับลูกด้วยที่ต้องดูแล ทำอะไรต้องคิดให้มาก”“ผมไม่ทิ้งสตางค์กับลูกแน่”น้องชายเงยหน้าให้คำมั่นกับเธอด้วยตาลุกวาว“ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจ เวลามาหา
“แล้วจะทำยังไงล่ะคุณเต้ย ท้องสตางค์มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง”ปุณิกาปรับเสียงเป็นโทนอบอุ่นน่าฟัง“น้องเธอมันมัดมือชกน้องฉัน มันกะมาปอกลอกสตางค์ละสิ”“ผมไม่เคยคิดจะปอกลอกสตางค์เลยนะ”ปุณณภพโต้“ใช่ค่ะ แม้วคิดว่าสตางค์เป็นเด็กใจแตกด้วยซ้ำ ตอนสตางค์กระเป๋าเงินหายยังให้ค่าแท็กซี่กลับหอด้วย”สิริยาเล่าความดีของคนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วก็หลบวูบเมื่อพี่ชายส่งสายตาฉุนเฉียวให้“น้องเธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงสตางค์กับลูก”พี่ชายจี้ประเด็นเดิม งานนี้พี่สาวอย่างปุณิกาต้องให้ความแน่ใจ“ตอนพ่อแม่ฉันตาย ทิ้งสมบัติไว้นิดหน่อย ครึ่งหนึ่งมันเป็นของแม้ว ฉันจะเอาเงินมาให้เขา”“หึ...สุดท้ายก็ขายสมบัติเก่า”เธอเก็บความขุ่นเคืองในถ้อยคำดูถูกนั้นไว้เสีย จะพลอยให้เขากวนสถานการณ์ชวนอารมณ์ฉุนอีกไม่ได้“บ้านฉันไม่มีไร่ ไม่มีบ้านใหญ่เหมือนคุณ แต่ก็พอเลี้ยงกันไปได้ จนกว่าแม้วจะเรียนจบปริญญาตรีในอีกสองปี พอเขาหางานได้ หลานเข้าอนุบาล ฉันจะให้สตางค์เรียนกศน. ช้าหน่อย แต่ไม่ทำลายอนาคตเขาแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีปริญญาติดตัว”ทุกคนอึ้งในแผนที่ปุณิกาวางไว้ เห็นจะมีเสียก็แต่...