“ฉันไม่มีวันปล่อยสตางค์อยู่คนเดียวอีกแล้ว”ในสายตาคู่ดำสนิทนั้นมุ่งมั่นเหมือนวาจาที่เอ่ย“แล้วคุณจะทำยังไงกับเธอ ทำปั้นปึ่ง ทำหน้าดุโกรธ เหมือนที่ทำกับฉันแบบนี้เหรอ”สรวิชญ์ไม่ทันคิด โทษว่าเป็นฤทธิ์น้ำเมาที่กดประสาทอยู่ ทำให้เชื่องช้า“น้องคุณ...คุณสตางค์จะรู้สึกยังไง ไม่อึดอัดแย่เหรอ”ปุณิกาอาศัยจังหวะที่เขานิ่ง เอ่ยหว่านล้อม ตีขลุมเรียกชื่อเล่นสิริยาเพื่อความสนิทสนม“ฉันไม่ยอมยกคนของฉันให้เธอ ทั้งน้อง ทั้งหลาน” สรวิชญ์กัดฟันกรอด โทสะเริ่มกลับมาแล้ว“ถ้าอย่างนั้นคุณจะทำยังไงถ้าพวกเขากลับมา เรื่องแม้ว คุณจะอัดเขาก็ได้”ใช่ว่าไม่ห่วงน้อง...แต่จากการได้อยู่ด้วยกันมา รู้ว่ามิอาจห้ามอีกฝ่ายได้“แต่คุณสตางค์กับหลานล่ะ จะเอายังไง จะปล่อยให้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้เหรอ”“ไม่รู้โว้ย! ฉันปวดหัว”ชายหนุ่มคำราม เธอสะดุ้งนิด ๆ แล้วกลับร้องถามเมื่อเขาทำท่าจะลงจากเตียง“คุณจะไปไหน”“หาเหล้ากิน”“พอแล้ว...”ด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ปุณิกากลับเป็นฝ่ายดึงแขนเขาไว้“ฉันกับแสนดีอุตส่าห์หิ้วคุณขึ้นมานอนนะ จะลงไปกินอีกทำไม มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”มือเล็ก แรงแค่นี้ สรวิชญ์สะบัดออกสบายมาก แต่เ
ดวงอาทิตย์ที่ปรกติต้องราแสงอ่อนในตอนเย็น ขณะนี้ถูกบดบังด้วยเมฆฝนครึ้ม ลมพัดกรูเข้ามาดังคนเกรี้ยวกราดแสนดีเปิดประตูหลังบ้านติดกับครัวแล้วมองฟ้า คะเนได้เลยว่าฝนจะตกแน่ในอีกไม่ถึงชั่วโมง เขาเขยกขาไปเก็บผ้าผ่อน รีบเอามาไว้ในห้องนั่งเล่น ยังไม่กล้าขึ้นข้างบน ด้วยคิดว่าเจ้านายกับปุณิกากำลังทำกิจกันอยู่เคยได้ยินพวกคนสนิทที่ออกไปไหนต่อไหนกับสรวิชญ์ เล่าลือว่าเขา “กินดุ” แสนดีเพิ่งประจักษ์สายตาในวันสองวันนี้นี่เองเจ้านายลากปุณิกาไปทำกิจสองต่อสอง สองวันซ้อนและไม่เลือกเวลา ท่าทางเธอก็ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่แสนดีเห็นรอยแดงที่คอวับแวมระหว่างเนื้อผ้าแหวกปุณิกาเองก็ไม่ได้ร้องไห้ตีโพยตีพายแบบนางเอกผู้ใสซื่อในละคร แสนดีจึงคิดในแง่ดี...เธออาจไม่เป็นไร อาจรับมือกับแรงอารมณ์เจ้านายได้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำแสนดีพับผ้าไปพลางถอนหายใจ แม้สรวิชญ์จะให้ความสนิทสนมกับเขา พูดคุยเล่นหัวได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาบอกเจ้านายไม่ได้ พูดไปเขาก็ไม่ฟัง อย่างเรื่องปุณิกา หรือเรื่องสิริยากับคุณหนูตัวน้อย ๆ ที่จะเกิดมาในอนาคตเขาเข้าใจสรวิชญ์ดี เป็นใครก็โกรธที่น้องกำลังกลายเป็นคุณแม่วัยใส มีลูกในเวลาไม่ควร แต่เหตุเกิดขึ้น
ไอ้เด็กนั่น...ปุณณภพกวนอารมณ์สรวิชญ์นัก มันไม่มีท่าทางหงอ หรือกลัวเขาเลย ฟาดสายตากับเขาเปรี๊ยะ ๆ แถมสิริยากับมัน จับมือกันไว้ เบียดกระแซะราวจะเป็นเนื้อเดียวกันดวงตาคนอายุอ่อนกว่ากระตุกวูบเมื่อเห็นปุณิกาจำต้องนั่งข้างสรวิชญ์ เธอปล่อยแขนเขา แล้วพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่สรวิชญ์คว้าเอวบางนั้นไว้“จะไปไหน”เจ้าบ้านคำราม เห็นน้องชายจ้องเธอและเขาตาไม่กะพริบเช่นกัน“ไปนั่งเก้าอี้ตัวโน่นไงคะ”ความจริงเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ รองรับผู้นั่งได้ถึงสองคน แต่ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่อยากนั่งใกล้ ในใจบอกว่าไม่เหมาะ แต่กะระยะห่างระหว่างเก้าอี้เขาอยู่ หากสรวิชญ์โมโหจนขาดสติ เธอยังมีเวลาเข้ามาห้ามเขาทัน“นั่งตัวนี้แหละ อยู่ใกล้ ๆ ฉัน”เขาออกแรงไม่มากก็กดร่างอรชร ให้นั่งใกล้ วสันต์เลิกคิ้วกับท่าทีที่แปลกไปของเจ้านายเพียงนิด แล้วปรับมาให้เรียบเฉยดังเดิม เขายืนเยื้อง ๆ สองหนุ่มสาวในห้องเกิดเกมจ้องตากันอีกครั้ง สรวิชญ์กับปุณณภพดูเชิงกัน ดังไก่ชนได้ลงสนาม ขณะสาว ๆ เหลือบมองตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นใจกันทันที แม้นี่จะเป็นการพบครั้งแรก“มึงกล้ามากนะที่พาน้องกูหนี”เสือตัวใหญ่คำรามก่อน พายุเพลิงฉายในดวงตา“เรื่องนั้นผมผิด ผม
แสนดีเป็นคนเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้ สิริยายกมือไหว้ปุณิกา“สตางค์ขอโทษค่ะ ที่ทำให้พี่มิ้มต้องมารับเคราะห์ไปด้วย”ไหนพี่ชายตัวเองจะพาหญิงสาวมาอย่างไม่เต็มใจ แถมยังพานโดนหมัดลูกหลงเข้าไปเต็ม ๆ“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เข้าใจว่าคุณเต้ยห่วงคุณสตางค์”ปุณิกาถือถุงใส่น้ำแข็งประคบแก้มที่กำลังบวม...ซึ่งจัดหามาให้โดยแสนดีตามเคย“มันทำร้ายรังแกพี่หรือเปล่า ตอนผมไม่อยู่”ปุณณภพใบหน้าฟกช้ำดำเขียวพอกัน เขานั่งบนเก้าอี้ตัวไม่ห่างนัก ส่วนโซฟายาวร่างเจ้าบ้านนอนทอดตัวยาวอยู่ ส่วนปุณิกากับสิริยานั่งอยู่ใกล้กัน“เขาไม่ได้ทำอะไรพี่มาก”เธอหลุบสายตาหลบผู้เป็นน้อง“อยู่ในขอบเขตที่พี่รับได้”ว่าที่พ่อแม่วัยใสคิดตรงกันเรื่องที่สรวิชญ์ทำกับปุณิกา เพราะเจ้าตัวย้ำให้ฟังเต็มหู“มันจะฟันพี่แล้วทิ้งไม่ได้”ปุณณภพเข่นเขี้ยวส่งสายตาวับแวว เสือแม้อายุเท่าไรก็ยังเป็นเสือ ไม่ยอมให้อะไรมากระตุกหนวดง่าย ๆ“เรื่องพี่กับคุณเต้ยนั่นช่างเถอะ เราเป็นผู้ใหญ่ มีวิธีจัดการกันเอง ว่าแต่เรื่องของพวกเธอล่ะ”คราวนี้เป็นหนุ่มสาวอ่อนเองที่หลุบหลบไม่กล้าสบตา“คุณสตางค์ท้องเดือนแล้ว”“พี่มิ้มเรียกสตางค์ก็พอ ต่อไปพี่มิ้มจะเป็นพี่ของสตางค์อีกคน”สา
“แล้วจะทำยังไงล่ะคุณเต้ย ท้องสตางค์มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง”ปุณิกาปรับเสียงเป็นโทนอบอุ่นน่าฟัง“น้องเธอมันมัดมือชกน้องฉัน มันกะมาปอกลอกสตางค์ละสิ”“ผมไม่เคยคิดจะปอกลอกสตางค์เลยนะ”ปุณณภพโต้“ใช่ค่ะ แม้วคิดว่าสตางค์เป็นเด็กใจแตกด้วยซ้ำ ตอนสตางค์กระเป๋าเงินหายยังให้ค่าแท็กซี่กลับหอด้วย”สิริยาเล่าความดีของคนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วก็หลบวูบเมื่อพี่ชายส่งสายตาฉุนเฉียวให้“น้องเธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงสตางค์กับลูก”พี่ชายจี้ประเด็นเดิม งานนี้พี่สาวอย่างปุณิกาต้องให้ความแน่ใจ“ตอนพ่อแม่ฉันตาย ทิ้งสมบัติไว้นิดหน่อย ครึ่งหนึ่งมันเป็นของแม้ว ฉันจะเอาเงินมาให้เขา”“หึ...สุดท้ายก็ขายสมบัติเก่า”เธอเก็บความขุ่นเคืองในถ้อยคำดูถูกนั้นไว้เสีย จะพลอยให้เขากวนสถานการณ์ชวนอารมณ์ฉุนอีกไม่ได้“บ้านฉันไม่มีไร่ ไม่มีบ้านใหญ่เหมือนคุณ แต่ก็พอเลี้ยงกันไปได้ จนกว่าแม้วจะเรียนจบปริญญาตรีในอีกสองปี พอเขาหางานได้ หลานเข้าอนุบาล ฉันจะให้สตางค์เรียนกศน. ช้าหน่อย แต่ไม่ทำลายอนาคตเขาแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีปริญญาติดตัว”ทุกคนอึ้งในแผนที่ปุณิกาวางไว้ เห็นจะมีเสียก็แต่...
“ไอ้หมอนั่นทำอะไรพี่หรือเปล่า”ปุณณภพเอ่ยทำลายความเงียบหลังรถคันเก่งของปุณิกาแล่นไปบนทางหลวง ทิ้งป้ายไร่สรวิชญ์ไว้ด้านหลัง“เรียกเขาดี ๆ หน่อยสิ นั่นน่ะพี่สตางค์ เมียเธอนะแม้ว”หญิงสาวไม่ยอมสบตาคนนั่งข้าง ทำทีเป็นสนใจทางข้างหน้า“เอ้อ...นั่นแหละ มันเอ๊ย! เขาทำอะไรพี่มิ้มหรือเปล่าตอนพามาอยู่ไร่”“แค่ขู่นิดหน่อย แล้วพามาเป็นตัวประกันไว้แลกหมูแลกแมวกับสตางค์”เกิดความเงียบระหว่างสองพี่น้องอีกครั้ง ก่อนผู้อ่อนวัยกว่าจะกล่าว“ผมขอโทษ”เธอเหลือบเห็นเขาหน้าม่อย คอตก“ผมทำให้พี่มิ้มมาลำบากด้วย”“อือ...รู้ก็ดีแล้ว”มองรอยช้ำบนใบหน้าปุณณภพแล้วก็สงสาร แต่เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรโอ๋เขาจนเกินไป ปุณณภพควรได้รับบทเรียน“เรื่องนี้คนลำบากไม่ใช่พี่คนเดียว ทั้งสตางค์ ทั้งพี่ชายเขาก็ลำบากด้วย”เธอเลี่ยงเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย ...ไม่อยากให้ความสนิทสนม เรื่องที่เกิดในไร่ก็ควรจบเสียแต่ในไร่ อย่าให้มันมาเพ่นพ่าน เกะกะหัวใจเลย“ต่อไปนี้แม้วไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ มีสตางค์กับลูกด้วยที่ต้องดูแล ทำอะไรต้องคิดให้มาก”“ผมไม่ทิ้งสตางค์กับลูกแน่”น้องชายเงยหน้าให้คำมั่นกับเธอด้วยตาลุกวาว“ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจ เวลามาหา
“คุณเต้ย!”แม่เล้าวัยกลางคนที่สวมเสื้อคว้านคอลึกอวดเนินทรวงอวบอัด ร้องทักอย่างยินดีเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรความบันเทิงของท่านชาย ซึ่งคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยลูกค้าอารมณ์เปลี่ยว มาหาความอบอุ่นและรับบริการจากสาว ๆ“คิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าเสร็จสาวไหนไปแล้วเสียอีก”นวลส่งยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าหยาดเยิ้มที่สุดให้ ใบหน้าฉาบด้วยเครื่องสำอางประทินผิวปิดบังอายุที่แท้จริง ที่น่าจะอยู่ในวัยคุณน้าเขาแล้ว“คืนนี้เหงาใช่ไหมคะ เดี๋ยวนวลหาน้อง ๆ ไปบริการให้”นางกวักมือเรียกหนุ่มในอาณัติให้พาแขกวีไอพีเช่นสรวิชญ์ไปยังห้องรับรองที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ทันไรสุราอย่างดี น้ำแข็งเย็น ๆ และกับแกล้มก็เรียงรายเสิร์ฟเต็มโต๊ะลูกน้องสรวิชญ์ทุกคนคุ้นเคยกับสถานที่ดี บ้างก็ถามหาเด็กใหม่จากบริกร บางคนสมัครใจจะซบอกคู่ขาเดิม ๆ เพราะคุ้นเคยกลิ่น แบบเข้าสำนวนวัวเคยขาม้าเคยขี่ รู้จังหวะเข้าขาลีลากันดีบนเตียงนวลเข้าห้องมาพร้อมกับสาวหน้าใสสองคน หนึ่งผมดำยาวสยายถึงกลางหลังสวมชุดแซกเกาะอกสีแดงสั้นแค่ต้นขา อวดความอวบอัดน่าฟัดของหุ่น อีกคนผมน้ำตาลอ่อนใส่สายเดี่ยวปักเลื่อมลายหัวใจชมพูกระโปรงยีนสั้น อวดคว
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี