สรวิชญ์ยอมปล่อยปุณิกาเป็นอิสระในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตอนที่เขาจัดการโจ้กเป็นชามที่สอง“มึงทำกับข้าวแบบหนัก ๆ ท้องหน่อยสิวะ มีแต่ข้าวต้ม มีแต่โจ้ก กูกินสองชามแทบไม่อิ่ม”แสนดีที่เข้ามาเก็บชามยิ้มแห้ง“เติมชามที่สามได้นะจ๊ะคุณเต้ย”“พอเลยมึง ให้กูกินแต่น้ำ เดี๋ยวก็ได้เอาแต่เยี่ยวทั้งวัน”หรือนี่จะเป็นการพูดคุยปรกติในไร่ พูดเรื่องของเสียกลางโต๊ะกินข้าว ไม่เกรงใจแขกอย่างปุณิกาเลย...เออ จริงสิ เธอมาในฐานะตัวประกัน ไม่ใช่แขกเสียหน่อย เจ้าบ้านหน้าดุเลยย่ามใจ นึกจะพูดอะไรก็พูด นึกจะทำอะไรกับเธอก็ทำ ปุณิกาแกล้งทำหูทวนลม ปรับหน้าให้นิ่ง...ให้เขารู้ว่าเรื่องแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก“งั้นกลางวันจะลาบวัวให้กินดีไหมจ๊ะ มื้อเย็นก็สเต็ก”“พอเลยมึง เปลืองตายห่า เอาแค่ข้าวกับแกงก็พอ” เจ้านายบอก ก่อนเดินปึง ๆ ออกไป“เอาใจย๊าก...ยากนะคุณเต้ย ปรกติแค่ข้าวไข่เจียวก็กินได้แล้ว”แสนดีเปรยแบบขำ ๆ พอจะรู้ว่าที่เจ้าตัวเกิดอาการเรื่องมากเช่นนี้เป็นเพราะใคร ปุณิการีบเก็บของบนโต๊ะตามพ่อบ้านไปในครัว“วันนี้แสนดีมีอะไรให้ฉันช่วยไหม”เธอทำได้แค่ยืนเกาะเคาน์เตอร์ครัว เพราะหนุ่มน้อยยึดอ่างไว้ล้างจานแล้ว“คุณมิ้มขยันม
“ไอ้แสนโว้ย! มึงอยู่ไหน”ปุณิกากับพ่อบ้านชะงักมือจากทิชชูที่กำลังซับหัวตา หนังเกาหลีของสิริยานั้นแน่จริง เศร้า หม่นหมองประคองอารมณ์จนน้ำตาหยดแหมะ การมีความรักของคนเรามันเศร้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถ้าอย่างนั้นปุณิกาก็ไม่อยากมีแล้วล่ะความรัก“ไอ้แสน!”เสียงดังปานฟ้าผ่าบ่งบอกความไม่สบอารมณ์ของเจ้าตัว ทำให้แสนดีลนลาน รีบเขยกขาออกมาจากห้องแห่งความบันเทิง“จ้ะคุณเต้ย แสนดีมาแล้ว”ลูกน้องรีบยิ้มให้เจ้านายที่ยืนจังก้า กำหมัดอยู่กลางห้องโถง คิ้วขมวด ตาวาวดุ ราวกำลังจะไปฆ่าใคร“เฮ้ย! มือไปโดนอะไรมาคุณเต้ย”สีแดงที่ข้อนิ้วนั้นเด่นเหลือเกิน“ช่างกู! เอาเหล้ามาให้แดกหน่อย ที่ห้องทำงาน อย่าให้หมาที่ไหนมากวน ไม่งั้นพ่อจะเชือดรายตัว”รัศมีดำมืดที่แผ่มาจากร่างสูงใหญ่ ทำให้แสนดีรู้ว่าคราวนี้เจ้านายเอาจริง“กับแกล้มด้วยไหมจ๊ะ”“ไม่ต้อง”เขาตัดบทเสียงห้วน เดินปึงปังไปทางห้องทำงาน ได้ยินเสียงปิดประตูแรงดังปัง“แสนดีให้ช่วยอะไรไหม เขาอารมณ์เสียเวลากลับมาบ้านอย่างนี้บ่อยเหรอ”ปุณิกาย่องเข้ามาในครัว“นาน ๆ ทีก็มีบ้างครับ”แสนดีเปิดตู้หยิบถังใส่น้ำแข็งมาวางในถาด แล้วไปทางตู้เย็น จัดการเอาน้ำแข็งมาเทใส่ถัง วางแ
ณ ห้องทำงานที่แสงสลัว เจ้าบ้านนอนซบหน้าฟุบอยู่กับโต๊ะ ข้าง ๆ กันมีแก้วเปล่า ถังน้ำแข็งที่มีหยดน้ำเกาะเต็ม และขวดบรั่นดีที่ไร้น้ำสีอำพัน“คุณเต้ยเนี่ยน้า...รู้ว่าคอแข็ง แต่ดื่มไปขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้ไปเฝ้ายมบาลหรอก”แสนดีเดินไปหิ้วปีกซ้ายสรวิชญ์ขึ้นจากโต๊ะ เอาต้นแขนสีทองแดงมาคล้อง“บ่นมากจริงไอ้แสน อย่ายุ่งกับกู ไปหาเหล้ามาให้อีกสิวะ”ปุณิกาย่นจมูก จำต้องสอดตัวไปพยุงปีกซ้าย ผมดำยาวของหนุ่มชาวไร่ตกระหน้าตา ยามเข้าใกล้ได้กลิ่นลมหายใจเจือเหล้าคลุ้ง“จะเอากูไปไหน ไม่ไปเว้ย”คนเมาพาลโวยวาย ดิ้นตัวให้หลุดจากผู้มาช่วยเหลือ ซึ่งตัวบางกันทั้งนั้น ปุณิกาเม้มปากข่มอารมณ์ขุ่นข้างใน แต่กระนั้นยังปิดไม่มิดแสดงออกผ่านสายตาวาว“ทำตาแบบนี้หมายความว่ายังไง มองฉันผิดเหรอ น้องเธอต่างหากที่ทำสตางค์ท้อง มันเลวจริง ๆ” แสนดีห่อปากเป็นรูปตัวโอกับความจริงที่ได้รับรู้“น้องเธอทำลายอนาคตสตางค์”ปุณิกาอึ้งไปครู่ ...เหตุการณ์แย่ที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ผิดจากคาดไว้เสียที่ไหน“ฉันจะฆ่ามัน!”คนเมาคำราม ภายในดวงตาสีรัตติกาลมีแสงไฟแล่นแปลบ“คุณเมาแล้วนะ ไปพักก่อน ไว้มีสติค่อยคิดหาทางออกกันว่าจะเอายังไง”เธอเลือกจะรับมือกับสถ
“ฉันไม่มีวันปล่อยสตางค์อยู่คนเดียวอีกแล้ว”ในสายตาคู่ดำสนิทนั้นมุ่งมั่นเหมือนวาจาที่เอ่ย“แล้วคุณจะทำยังไงกับเธอ ทำปั้นปึ่ง ทำหน้าดุโกรธ เหมือนที่ทำกับฉันแบบนี้เหรอ”สรวิชญ์ไม่ทันคิด โทษว่าเป็นฤทธิ์น้ำเมาที่กดประสาทอยู่ ทำให้เชื่องช้า“น้องคุณ...คุณสตางค์จะรู้สึกยังไง ไม่อึดอัดแย่เหรอ”ปุณิกาอาศัยจังหวะที่เขานิ่ง เอ่ยหว่านล้อม ตีขลุมเรียกชื่อเล่นสิริยาเพื่อความสนิทสนม“ฉันไม่ยอมยกคนของฉันให้เธอ ทั้งน้อง ทั้งหลาน” สรวิชญ์กัดฟันกรอด โทสะเริ่มกลับมาแล้ว“ถ้าอย่างนั้นคุณจะทำยังไงถ้าพวกเขากลับมา เรื่องแม้ว คุณจะอัดเขาก็ได้”ใช่ว่าไม่ห่วงน้อง...แต่จากการได้อยู่ด้วยกันมา รู้ว่ามิอาจห้ามอีกฝ่ายได้“แต่คุณสตางค์กับหลานล่ะ จะเอายังไง จะปล่อยให้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้เหรอ”“ไม่รู้โว้ย! ฉันปวดหัว”ชายหนุ่มคำราม เธอสะดุ้งนิด ๆ แล้วกลับร้องถามเมื่อเขาทำท่าจะลงจากเตียง“คุณจะไปไหน”“หาเหล้ากิน”“พอแล้ว...”ด้วยอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ปุณิกากลับเป็นฝ่ายดึงแขนเขาไว้“ฉันกับแสนดีอุตส่าห์หิ้วคุณขึ้นมานอนนะ จะลงไปกินอีกทำไม มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”มือเล็ก แรงแค่นี้ สรวิชญ์สะบัดออกสบายมาก แต่เ
ดวงอาทิตย์ที่ปรกติต้องราแสงอ่อนในตอนเย็น ขณะนี้ถูกบดบังด้วยเมฆฝนครึ้ม ลมพัดกรูเข้ามาดังคนเกรี้ยวกราดแสนดีเปิดประตูหลังบ้านติดกับครัวแล้วมองฟ้า คะเนได้เลยว่าฝนจะตกแน่ในอีกไม่ถึงชั่วโมง เขาเขยกขาไปเก็บผ้าผ่อน รีบเอามาไว้ในห้องนั่งเล่น ยังไม่กล้าขึ้นข้างบน ด้วยคิดว่าเจ้านายกับปุณิกากำลังทำกิจกันอยู่เคยได้ยินพวกคนสนิทที่ออกไปไหนต่อไหนกับสรวิชญ์ เล่าลือว่าเขา “กินดุ” แสนดีเพิ่งประจักษ์สายตาในวันสองวันนี้นี่เองเจ้านายลากปุณิกาไปทำกิจสองต่อสอง สองวันซ้อนและไม่เลือกเวลา ท่าทางเธอก็ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่แสนดีเห็นรอยแดงที่คอวับแวมระหว่างเนื้อผ้าแหวกปุณิกาเองก็ไม่ได้ร้องไห้ตีโพยตีพายแบบนางเอกผู้ใสซื่อในละคร แสนดีจึงคิดในแง่ดี...เธออาจไม่เป็นไร อาจรับมือกับแรงอารมณ์เจ้านายได้ดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำแสนดีพับผ้าไปพลางถอนหายใจ แม้สรวิชญ์จะให้ความสนิทสนมกับเขา พูดคุยเล่นหัวได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาบอกเจ้านายไม่ได้ พูดไปเขาก็ไม่ฟัง อย่างเรื่องปุณิกา หรือเรื่องสิริยากับคุณหนูตัวน้อย ๆ ที่จะเกิดมาในอนาคตเขาเข้าใจสรวิชญ์ดี เป็นใครก็โกรธที่น้องกำลังกลายเป็นคุณแม่วัยใส มีลูกในเวลาไม่ควร แต่เหตุเกิดขึ้น
ไอ้เด็กนั่น...ปุณณภพกวนอารมณ์สรวิชญ์นัก มันไม่มีท่าทางหงอ หรือกลัวเขาเลย ฟาดสายตากับเขาเปรี๊ยะ ๆ แถมสิริยากับมัน จับมือกันไว้ เบียดกระแซะราวจะเป็นเนื้อเดียวกันดวงตาคนอายุอ่อนกว่ากระตุกวูบเมื่อเห็นปุณิกาจำต้องนั่งข้างสรวิชญ์ เธอปล่อยแขนเขา แล้วพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่สรวิชญ์คว้าเอวบางนั้นไว้“จะไปไหน”เจ้าบ้านคำราม เห็นน้องชายจ้องเธอและเขาตาไม่กะพริบเช่นกัน“ไปนั่งเก้าอี้ตัวโน่นไงคะ”ความจริงเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ รองรับผู้นั่งได้ถึงสองคน แต่ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่อยากนั่งใกล้ ในใจบอกว่าไม่เหมาะ แต่กะระยะห่างระหว่างเก้าอี้เขาอยู่ หากสรวิชญ์โมโหจนขาดสติ เธอยังมีเวลาเข้ามาห้ามเขาทัน“นั่งตัวนี้แหละ อยู่ใกล้ ๆ ฉัน”เขาออกแรงไม่มากก็กดร่างอรชร ให้นั่งใกล้ วสันต์เลิกคิ้วกับท่าทีที่แปลกไปของเจ้านายเพียงนิด แล้วปรับมาให้เรียบเฉยดังเดิม เขายืนเยื้อง ๆ สองหนุ่มสาวในห้องเกิดเกมจ้องตากันอีกครั้ง สรวิชญ์กับปุณณภพดูเชิงกัน ดังไก่ชนได้ลงสนาม ขณะสาว ๆ เหลือบมองตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นใจกันทันที แม้นี่จะเป็นการพบครั้งแรก“มึงกล้ามากนะที่พาน้องกูหนี”เสือตัวใหญ่คำรามก่อน พายุเพลิงฉายในดวงตา“เรื่องนั้นผมผิด ผม
แสนดีเป็นคนเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้ สิริยายกมือไหว้ปุณิกา“สตางค์ขอโทษค่ะ ที่ทำให้พี่มิ้มต้องมารับเคราะห์ไปด้วย”ไหนพี่ชายตัวเองจะพาหญิงสาวมาอย่างไม่เต็มใจ แถมยังพานโดนหมัดลูกหลงเข้าไปเต็ม ๆ“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เข้าใจว่าคุณเต้ยห่วงคุณสตางค์”ปุณิกาถือถุงใส่น้ำแข็งประคบแก้มที่กำลังบวม...ซึ่งจัดหามาให้โดยแสนดีตามเคย“มันทำร้ายรังแกพี่หรือเปล่า ตอนผมไม่อยู่”ปุณณภพใบหน้าฟกช้ำดำเขียวพอกัน เขานั่งบนเก้าอี้ตัวไม่ห่างนัก ส่วนโซฟายาวร่างเจ้าบ้านนอนทอดตัวยาวอยู่ ส่วนปุณิกากับสิริยานั่งอยู่ใกล้กัน“เขาไม่ได้ทำอะไรพี่มาก”เธอหลุบสายตาหลบผู้เป็นน้อง“อยู่ในขอบเขตที่พี่รับได้”ว่าที่พ่อแม่วัยใสคิดตรงกันเรื่องที่สรวิชญ์ทำกับปุณิกา เพราะเจ้าตัวย้ำให้ฟังเต็มหู“มันจะฟันพี่แล้วทิ้งไม่ได้”ปุณณภพเข่นเขี้ยวส่งสายตาวับแวว เสือแม้อายุเท่าไรก็ยังเป็นเสือ ไม่ยอมให้อะไรมากระตุกหนวดง่าย ๆ“เรื่องพี่กับคุณเต้ยนั่นช่างเถอะ เราเป็นผู้ใหญ่ มีวิธีจัดการกันเอง ว่าแต่เรื่องของพวกเธอล่ะ”คราวนี้เป็นหนุ่มสาวอ่อนเองที่หลุบหลบไม่กล้าสบตา“คุณสตางค์ท้องเดือนแล้ว”“พี่มิ้มเรียกสตางค์ก็พอ ต่อไปพี่มิ้มจะเป็นพี่ของสตางค์อีกคน”สา
“แล้วจะทำยังไงล่ะคุณเต้ย ท้องสตางค์มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง”ปุณิกาปรับเสียงเป็นโทนอบอุ่นน่าฟัง“น้องเธอมันมัดมือชกน้องฉัน มันกะมาปอกลอกสตางค์ละสิ”“ผมไม่เคยคิดจะปอกลอกสตางค์เลยนะ”ปุณณภพโต้“ใช่ค่ะ แม้วคิดว่าสตางค์เป็นเด็กใจแตกด้วยซ้ำ ตอนสตางค์กระเป๋าเงินหายยังให้ค่าแท็กซี่กลับหอด้วย”สิริยาเล่าความดีของคนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วก็หลบวูบเมื่อพี่ชายส่งสายตาฉุนเฉียวให้“น้องเธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงสตางค์กับลูก”พี่ชายจี้ประเด็นเดิม งานนี้พี่สาวอย่างปุณิกาต้องให้ความแน่ใจ“ตอนพ่อแม่ฉันตาย ทิ้งสมบัติไว้นิดหน่อย ครึ่งหนึ่งมันเป็นของแม้ว ฉันจะเอาเงินมาให้เขา”“หึ...สุดท้ายก็ขายสมบัติเก่า”เธอเก็บความขุ่นเคืองในถ้อยคำดูถูกนั้นไว้เสีย จะพลอยให้เขากวนสถานการณ์ชวนอารมณ์ฉุนอีกไม่ได้“บ้านฉันไม่มีไร่ ไม่มีบ้านใหญ่เหมือนคุณ แต่ก็พอเลี้ยงกันไปได้ จนกว่าแม้วจะเรียนจบปริญญาตรีในอีกสองปี พอเขาหางานได้ หลานเข้าอนุบาล ฉันจะให้สตางค์เรียนกศน. ช้าหน่อย แต่ไม่ทำลายอนาคตเขาแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีปริญญาติดตัว”ทุกคนอึ้งในแผนที่ปุณิกาวางไว้ เห็นจะมีเสียก็แต่...
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี
“คุณเต้ย!”แม่เล้าวัยกลางคนที่สวมเสื้อคว้านคอลึกอวดเนินทรวงอวบอัด ร้องทักอย่างยินดีเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักรความบันเทิงของท่านชาย ซึ่งคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยลูกค้าอารมณ์เปลี่ยว มาหาความอบอุ่นและรับบริการจากสาว ๆ“คิดถึงจังค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดว่าเสร็จสาวไหนไปแล้วเสียอีก”นวลส่งยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าหยาดเยิ้มที่สุดให้ ใบหน้าฉาบด้วยเครื่องสำอางประทินผิวปิดบังอายุที่แท้จริง ที่น่าจะอยู่ในวัยคุณน้าเขาแล้ว“คืนนี้เหงาใช่ไหมคะ เดี๋ยวนวลหาน้อง ๆ ไปบริการให้”นางกวักมือเรียกหนุ่มในอาณัติให้พาแขกวีไอพีเช่นสรวิชญ์ไปยังห้องรับรองที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ไม่ทันไรสุราอย่างดี น้ำแข็งเย็น ๆ และกับแกล้มก็เรียงรายเสิร์ฟเต็มโต๊ะลูกน้องสรวิชญ์ทุกคนคุ้นเคยกับสถานที่ดี บ้างก็ถามหาเด็กใหม่จากบริกร บางคนสมัครใจจะซบอกคู่ขาเดิม ๆ เพราะคุ้นเคยกลิ่น แบบเข้าสำนวนวัวเคยขาม้าเคยขี่ รู้จังหวะเข้าขาลีลากันดีบนเตียงนวลเข้าห้องมาพร้อมกับสาวหน้าใสสองคน หนึ่งผมดำยาวสยายถึงกลางหลังสวมชุดแซกเกาะอกสีแดงสั้นแค่ต้นขา อวดความอวบอัดน่าฟัดของหุ่น อีกคนผมน้ำตาลอ่อนใส่สายเดี่ยวปักเลื่อมลายหัวใจชมพูกระโปรงยีนสั้น อวดคว
“ไอ้หมอนั่นทำอะไรพี่หรือเปล่า”ปุณณภพเอ่ยทำลายความเงียบหลังรถคันเก่งของปุณิกาแล่นไปบนทางหลวง ทิ้งป้ายไร่สรวิชญ์ไว้ด้านหลัง“เรียกเขาดี ๆ หน่อยสิ นั่นน่ะพี่สตางค์ เมียเธอนะแม้ว”หญิงสาวไม่ยอมสบตาคนนั่งข้าง ทำทีเป็นสนใจทางข้างหน้า“เอ้อ...นั่นแหละ มันเอ๊ย! เขาทำอะไรพี่มิ้มหรือเปล่าตอนพามาอยู่ไร่”“แค่ขู่นิดหน่อย แล้วพามาเป็นตัวประกันไว้แลกหมูแลกแมวกับสตางค์”เกิดความเงียบระหว่างสองพี่น้องอีกครั้ง ก่อนผู้อ่อนวัยกว่าจะกล่าว“ผมขอโทษ”เธอเหลือบเห็นเขาหน้าม่อย คอตก“ผมทำให้พี่มิ้มมาลำบากด้วย”“อือ...รู้ก็ดีแล้ว”มองรอยช้ำบนใบหน้าปุณณภพแล้วก็สงสาร แต่เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรโอ๋เขาจนเกินไป ปุณณภพควรได้รับบทเรียน“เรื่องนี้คนลำบากไม่ใช่พี่คนเดียว ทั้งสตางค์ ทั้งพี่ชายเขาก็ลำบากด้วย”เธอเลี่ยงเรียกชื่อเล่นอีกฝ่าย ...ไม่อยากให้ความสนิทสนม เรื่องที่เกิดในไร่ก็ควรจบเสียแต่ในไร่ อย่าให้มันมาเพ่นพ่าน เกะกะหัวใจเลย“ต่อไปนี้แม้วไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ มีสตางค์กับลูกด้วยที่ต้องดูแล ทำอะไรต้องคิดให้มาก”“ผมไม่ทิ้งสตางค์กับลูกแน่”น้องชายเงยหน้าให้คำมั่นกับเธอด้วยตาลุกวาว“ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจ เวลามาหา
“แล้วจะทำยังไงล่ะคุณเต้ย ท้องสตางค์มีแต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง”ปุณิกาปรับเสียงเป็นโทนอบอุ่นน่าฟัง“น้องเธอมันมัดมือชกน้องฉัน มันกะมาปอกลอกสตางค์ละสิ”“ผมไม่เคยคิดจะปอกลอกสตางค์เลยนะ”ปุณณภพโต้“ใช่ค่ะ แม้วคิดว่าสตางค์เป็นเด็กใจแตกด้วยซ้ำ ตอนสตางค์กระเป๋าเงินหายยังให้ค่าแท็กซี่กลับหอด้วย”สิริยาเล่าความดีของคนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่แล้วก็หลบวูบเมื่อพี่ชายส่งสายตาฉุนเฉียวให้“น้องเธอยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงสตางค์กับลูก”พี่ชายจี้ประเด็นเดิม งานนี้พี่สาวอย่างปุณิกาต้องให้ความแน่ใจ“ตอนพ่อแม่ฉันตาย ทิ้งสมบัติไว้นิดหน่อย ครึ่งหนึ่งมันเป็นของแม้ว ฉันจะเอาเงินมาให้เขา”“หึ...สุดท้ายก็ขายสมบัติเก่า”เธอเก็บความขุ่นเคืองในถ้อยคำดูถูกนั้นไว้เสีย จะพลอยให้เขากวนสถานการณ์ชวนอารมณ์ฉุนอีกไม่ได้“บ้านฉันไม่มีไร่ ไม่มีบ้านใหญ่เหมือนคุณ แต่ก็พอเลี้ยงกันไปได้ จนกว่าแม้วจะเรียนจบปริญญาตรีในอีกสองปี พอเขาหางานได้ หลานเข้าอนุบาล ฉันจะให้สตางค์เรียนกศน. ช้าหน่อย แต่ไม่ทำลายอนาคตเขาแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีปริญญาติดตัว”ทุกคนอึ้งในแผนที่ปุณิกาวางไว้ เห็นจะมีเสียก็แต่...