เมื่อได้คำสั่งจากเจ้านายเช่นนั้น เหล่าหนุ่มหน้าโหดก็กลับขึ้นรถ เลี้ยวกลับไปยังศาลาที่ห่างไปประมาณสามกิโลเมตร มันเป็นศาลาครึ่งปูน โครงสร้างเป็นไม้ มีหลังคาสังกะสี
ทีแรกชายเหล่านั้นก็นั่งนิ่ง ๆ คุยกันเบา ๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็เบื่อ ก้นที่นั่งแช่อยู่ก็เมื่อยขบ จึงลงไปนั่งหย่อนอารมณ์ที่ศาลา เห็นปลายบุหรี่แดงกวาบ ๆ ท่ามกลางความมืดและสายฝนพรำ
สรวิชญ์ยังนั่งอยู่ที่นั่งข้างปุณิกา เขาพิงหลังกับพนัก หลับตา มืดยังกอดอก เธอแอบหรี่ตามองแล้วค่อนแคะ ผู้ชายอะไร...ขนาดนอนยังหน้าเครียด คิ้วขมวดแทบเป็นโบอยู่แล้ว
เขานอนจริงละหรือ บางทีอาจเป็นกลลวงแบบเสือหลับ หลอกล่อให้เหงื่ออย่างเธอเยื้องกราย แล้วเขารอตะครุบ จับกินทั้งตัว ปุณิกาไม่โง่ขนาดนั้น เธอจะรอโอกาสเขาเผลอ เตรียมหนีทันที
โอกาสที่ว่านั้นมาทันใจ เมื่อเสียงมือถือเขาดัง
“ห่าเอ๊ย! สัญญาณไม่ดีเลย”
สรวิชญ์สบถใส่สายที่โทรมา
“เดี๋ยวนะมึง กูเดินหาสัญญาณก่อน ที่นี่ฝนตกว่ะ”
ชายหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วปิดมันลง เดินเข้าศาลาไปรวมกับลูกน้อง นี่แหละโอกาสทองที่ปุณิการออยู่
เธอเคลื่อนกายที่ถูกมัดไปยังประตูรถ พบว่ามันล็อก ปรกติใช้มือดันแล้วเลื่อนก็จะเปิดออกได้ แต่ตอนนี้ทั้งปาก มือ เท้า เธอถูกพันธนาการไว้หมด จะทำอย่างไรดี
เอาว่ะลองเสี่ยงดู หญิงสาวใช้ไหล่ดันประตู ไปให้ถึงตัวล็อก ออกแรงเคลื่อน ประตูขยับแต่ไม่เปิดออก งั้นต้องใช้วิธีใหม่
เธอหันหลัง ยืดตัวขึ้น กะระดับข้อมือที่โดนผูกไพล่หลังให้พอดีกับตัวล็อก นิ้วที่ยังเป็นอิสระของเธอยื่นไขว่คว้า สะเปะสะปะจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าจับถูกอะไรเป็นแท่งแข็งยาวพอประมาณ
ปุณิกาส่งแรงไปที่นิ้ว เกี่ยวกระชากสุดชีวิต จนหูได้ยินเสียงประตูรถเปิดออก ความเย็นของสายฝนจู่โจมปะทะผิว จมูกได้กลิ่นดินปนกลิ่นใบไม้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาชื่นชมกับธรรมชาติ
เธอทิ้งตัวเองลงพื้นลูกรังที่เจิ่งไปด้วยน้ำฝน หากเป็นเวลาปรกติคนคงจับสังเกตได้เมื่อเห็นรถเคลื่อนไหว เสียงตัวเธอสัมผัสพื้นไม่เบาเท่าไรนัก แต่เนื่องด้วยสายฝนโปรยปรายบดบังการมองเห็น อีกทั้งมันยังเสียงดัง ทำให้พวกที่อยู่ในศาลาไม่สังเกต
เมื่อกายสัมผัสพื้นหญิงสาวรีบกลิ้งตัวลงริมถนน ไม่สนคมหินหรือคมหญ้าจะบาดเนื้อ สมองสั่งแต่ให้หนี...และหนี
ปุณิกาเคยกลิ้งตัวฝ่าดงไม้ไผ่ เมื่อยามเรียนเนตรนารี เธอผ่านไปอย่างเชื่องช้า ด้วยกลัวเจ้าพืชที่มีใบแหลมจะสร้างริ้วรอยบนผิว ความเร็วในตอนนั้นเทียบตอนนี้ไม่ได้
ปุณิกาคลุกโคนแดง ขาโดนดอกหญ้าเจ้าชู้เกาะติด บางครั้งก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้าเพราะถูกหนามกระสุนแทง แต่เธอยังคงมุ่งมั่นกลิ้งหนี ตั้งใจไปให้ไกลที่สุด พรุ่งนี้เช้าหลังฝนหยุดต้องมีคนมาช่วยเธอแน่
เพื่อนตั้งแต่เด็กและมีอาชีพเป็นตำรวจยศสารวัตรโทรมาบอกข้อมูลเพิ่ม
“มีคนเห็นรถคันนั้นขึ้นเฟอร์รี่ไปเกาะสมุย”
“ห่าเอ๊ย!”
สรวิชญ์คำรามแข่งสายฝน
“คืนนี้คงต้องเลิกหาไปก่อน ไว้พรุ่งนี้จะวานเพื่อนตำรวจที่อยู่นั่นดูให้”
“มันจะไม่พาสตางค์หนีไปเกาะอื่นแล้วเรอะ!”
“จะไปเกาะอื่นจากที่สมุยต้องไปท่าเรือ น้องมึงกับคนที่พาหนีมันคงไปไหนได้ไม่ไกลหรอกคืนนี้”
“กูจะขึ้นเครื่องไปสมุยพรุ่งนี้ ติดต่อเพื่อนมึงไว้ให้หน่อย”
ต่อให้ต้องข้ามไปอีกฟากโลก สรวิชญ์ก็ต้องพาสิริยากลับมาให้ได้
“เออ เดี๋ยวเช้าก็ส่งเบอร์มันไปให้ ว่าแต่มึงอ่ะ ได้นอนบ้างหรือยังตั้งแต่สตางค์หายไป”
“เป็นมึงน้องหายจะมามัวหลับสบายใจเฉิบอยู่อีกเหรอ”
เขากัดฟันกรอด ขณะนึกถึงภาพปุณิกาที่หลับไม่รู้เรื่องในรถตู้
“กลัวมึงจะเดี้ยงก่อนเจอสตางค์นะสิ”
“กูไม่ตายง่าย ๆ หรอกว่ะ ขอบใจที่ส่งข่าว”
สัญญาณโทรศัพท์ไปก่อนที่สรวิชญ์จะบอกลูกน้อง
“กูไม่กลับไร่แล้ว จะไปสมุย ไอ้ปาล์มบอกว่าคนของมันเห็นสตางค์ไปที่นั่น พาไปสนามบินเลย แกจะขึ้นเครื่องบินเที่ยวแรก”
“แล้วตัวพี่สาวละครับ”
ลูกน้องมองไปทางรถตู้
“เอากลับกรุงเทพฯด้วยกันก่อน ส่งกูแล้วค่อยเอาไปขังไว้ที่ไร่”
ชะตากรรมของปุณิกา ยังไม่พ้นเป็นตัวประกันถูกขัง สรวิชญ์คิดว่าสาสมแล้วกับเรื่องน้องเธอพาน้องเขาหนี สาสมกับที่เธอออกฤทธิ์ให้เขาหัวหมุน แถมยังหลับสบายในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ปุณิกาช่างเป็นผู้หญิงเลือดเย็นเสียเหลือเกิน
เขาเดินกลับมาที่รถตู้ แล้วก็คำรามก้องเมื่อเห็นประตูเปิดอยู่
“ยัยนั่นหนีไปแล้ว!”
ลูกน้องวิ่งตาเหลือกมาหาเจ้านายทันที
“รีบตามหาเลย โดนมัดไว้คงไปได้ไม่ไกล”
รอยกลิ้งบนพื้นลูกรังเฉอะแฉะหายไปในพงหญ้าข้างทาง
“ถ้าจับได้ครั้งนี้กูจะล่ามโซ่เลย ผู้หญิงอะไรบ้าฉิบหาย อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นหรือไงวะ สร้างแต่เรื่อง”
ชายหนุ่มให้คำปฏิญาณกับตัวเอง ขณะรับไฟฉายจากนายหน้าเสี้ยมสองดูตามพื้นหญ้า
ปุณิกาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเขาดังแหวกสายฝนเข้ามา ต้องหนีแล้ว แต่ตอนนี้ตัวเธอหนักอึ้งไปด้วยโคลนและน้ำฝน ผมเต็มไปด้วยหญ้า ใบหน้าแสบเป็นริ้ว ๆ
ทันใดนั้นเธอเห็นพุ่มไม้ใหญ่ น่าจะกันภัยได้ หญิงสาวกลิ้งตัวเข้าไปกระทบหนามไม้เต็มรัก ความเจ็บหายไปทันทีเมื่อหูได้เสียง
“ฟ่อ...”
อสรพิษดำมะเมื่อมที่อยู่ที่หน้าแข้ง ดวงตาสีแดงมองมาอย่างมาดร้าย ปุณิกาตัวแข็งทื่อ ใจภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้เธอพ้นจากทุกข์เภทภัยนี้เถิด เธอยอมรำถวายพร้อมจัดเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่เลยเอ้!
ทว่าคำภาวนาไม่ได้ผล เมื่อสัตว์ร้ายรู้สึกถึงความสั่นของพื้น เพราะเหล่าหนุ่มหน้าโหดเดินลงเท้าหนัก ๆ เพื่อหาตัวเธอ ปุณิการู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าแข้ง งูตัวขั้นฝังเขี้ยวลงบนเนื้ออ่อน ๆ ของเธอ
“อื้อ...”
เธอยกขาสะบัดจนเจ้างูลอยเหนือพื้น มันตกตุบที่ฝากหนึ่งของพุ่มไม้ แล้วรีบเลื้อยเร้นกายหนีไป
“อื้อ...”
ปุณิกาน้ำตาคลอ ส่งเสียงขอความช่วยเหลือ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ หนีก็ไม่รอด แถมมาถูกงูกัด เธอจะตายในสภาพอนาถเช่นนี้ละหรือ
“เจอแล้ว แม่ตัวดี”
คนเลวที่จับเธอมาร้อง มองหญิงสาวด้วยสายตาถมึงถึง
“ฤทธิ์มากนักนะ”
ในเมื่อปุณิกาเลือกรักษาชีวิตไว้ก่อน เธอจึงรีบยกขาที่ถูกมัดให้เขาดู
“อื้อ...”
“อะไร! ฉันไม่บ้าขนาดจะแก้มัดให้เธอหรอก จะให้คนหามเธอไปขึ้นรถเหมือนหมู”
เธอสะบัดหน้า ตั้งใจจะบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น...ขา ดูที่ขาเธอหน่อยสิ เป็นนายหน้าเสี้ยมนั่นเองที่สังเกต ส่องไฟฉายมายังขาจนหอบรอยเขี้ยวที่มีเลือดซึม
“คุณเต้ยครับ เธอโดนงูกัด มีเขี้ยวแบบนี้เป็นงูพิษแน่”
เจ้านายยกขาขาวขึ้นดู
“รีบพากลับเข้าเมืองไปหาหมอดีกว่า”
นายหน้าเสี้ยมถอดเสื้อตัวเอง มามัดไว้เหนือแผลและคลายพันธนาการที่ข้อเท้าเธอ
“โว้ย ! เธอนี่ก่อเรื่องไม่รู้จบ”
ปุณิกากัดผ้า เป็นสัญญาณว่าอยากให้เอามันออกด้วย
“เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าคุณใจเย็นสักนิด ไม่คิดเอาฉันมาเป็นตัวประกัน”
เธอหอบหายใจแรง บอกไม่ถูกว่าเหนื่อย หรือเป็นผลจากพิษงูเป็นแน่
“คุณนั่นแหละ มาทำฉันซวยไปด้วย”
บางทีอีกไม่กี่ชั่วโมง เธออาจตายเพราะพิษงู อย่างน้อยขอได้ด่าตัวการหน่อยเถอะ และสาบานเลยหากตายแล้วจะมาเป็นผีหลอกหลอนเขาตลอดชีวิต
“ใครก็ได้โทรหาหมอวิโรจน์หน่อย นัดเจอที่บ้านแก บอกมีคนไข้ด่วน ให้ช่วยดูแลไปจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล”
สรวิชญ์เลือกที่พึ่งเป็นแพทย์สูงอายุที่รู้จักกันดี บ้านท่านห่างไปอีกสองหมู่บ้าน ประมาณห้ากิโลเมตร ใกล้กว่าในเมืองที่มีโรงพยาบาลห่างไปอีกยี่สิบกิโลเมตร อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้วเธอคงจะไม่ได้ตายง่าย ๆ
ลูกน้องไม่มีใครกล้าแตะตัวปุณิกา ทุกสายตามองไปที่เจ้านายผู้หัวเสียขั้นสุด“สภาพอย่างนี้คงหามเธอไปลำบาก”นายหน้าเสี้ยมกระแอม ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด จำใจยอมรับตำแหน่งคนอุ้ม เอาร่างอรชรมาแนบอกตัวปุณิกาเย็นแทบเท่าสายฝน ปากก็สั่น นี่เธอหนีมาอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้วหนอ หากงูไม่กัดก็ต้องโดนไข้หวัดเล่นงานแน่ เธอช่างบ้าบิ่น ทำอะไรไร้หัวคิดนัก ...พี่กับน้องเหมือนกันไม่มีผิด คนแบบนี้มีอะไรดี สิริยาถึงได้หลง ขนาดหอบผ้าผ่อนตามไป สรวิชญ์คิดหาเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆรถตู้วิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียดกรวดบนพื้นลูกรัง กระเด็นกระทบบังโคลนรถดังปึก ๆ“เธออย่าหลับ ประคองสติไว้ให้ถึงโรงพยาบาล”ผู้ชายแสนร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดของเธอ เขาสั่งอย่างไม่เห็นใจคนป่วย“ไม่รู้ว่างูที่กัดเธอมันมีพิษส่งผลต่อประสาทให้หลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหลับ”“ฉันแค่พักสายตาหน่อยเดียวเอง”ปุณิกาเถียงขณะตาปรือ เธอเหนื่อยเหลือเกินเมื่อครู่ เนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างกับโดนรถทับ“มีสติ มองหน้าฉันไว้”เขายังพูดไม่เลิก“ถ้าฉันตายจะมาเป็นผีหลอกคุณ”ศีรษะที่กลุ่มผมเปียกไปด้วยโคลนเอนพิงกระจก“คนปากเก่ง ๆ อย่างเธอไ
ณ ที่แห่งนั้นเย็นสบายลมพัดระเรื่อย ท้องฟ้าสีสดใสจนเหมือนภาพวาด พระอาทิตย์สาดแสงส่อง แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกร้อน เท้าปุณิกาก้าวลงในผืนหญ้าเขียวนุ่มละมุนราวกำมะหยี่เธอไม่รู้เมื่อกันว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ในตอนนั้นยังก้าวไม่หยุด พลันสายตาเห็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งเป็นพุ่มใหญ่ห้อยลงเกือบระพื้น ยกมือขึ้นหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ในอกรัวแรงเป็นตีกลอง เมื่อเห็นร่างคู่หนึ่งยืนอยู่ที่โคนต้นไม้“พ่อคะ...แม่คะ”หญิงสาววิ่งตัวปลิวเข้าไปโผกอด ซบไซร้ในอกมารดาอุ่นที่เคยพึ่งมาแต่เยาว์วัย“มิ้มคิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด”เธอบอกเล่าความรู้สึกด้วยเสียงอันสั่นเครือ รู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กอนุบาลกลับบ้านวันแรกหลังเลิกเรียน โลกภายนอกน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เธอรักบ้านที่มีพวกท่านทั้งสองอยู่ด้วยเป็นที่สุด“พ่อกับแม่มารับมิ้มไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”ปุณิกาจำได้ว่าตนถูกงูกัด ถูกพามาโรงพยาบาล มีมือคนไม่รู้จักมาสาละวนจับทั่วร่างเธอ บางมือยังสอดโน่น เสียบนี่เข้าร่างกาย เธอรู้ตัวขยับไม่ได้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง ด้วยไม่อาจจ้องแผงหลอดไฟจ้าบนเพดานห้องฉุกเฉินได้ ...บางทีพิษงูอาจทำให้ปุณิกาตายเสียแล้วกระมังแม่เป็นผู้ให้คำตอบโดยการสั่นศีรษะ“ยั
สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสดหากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่าท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิดรถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า
ปุณิกาคิดว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้ชายมาสนใจเธอแบบจริง ๆ จังแน่ ผู้ชายที่ไม่ต้องหล่อรวย แบบผู้ชายในฝันตามนิยาย ขอแค่เขารักจริง อยากมีอนาคตร่วมสร้างฝันกับเธอ ปุณิกาคิดว่าต้องรักก่อน ความใคร่ถึงตามมาจนกระทั่งวินาทีนี้...เธอกำลังตัวเอนอ่อนให้คนแปลกหน้าสัมผัส เขามีความตะกรุมตะกราม ไม่ถนอมเนื้ออ่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกใจเต้น อยากให้เขาสัมผัสแรงขึ้นอีก“อาห์...”เธอบดเบียดร่างเกือบเปลือยของตนเข้าหาเขา นิ้วมือสอดใต้เรือนผม ลูบไล้ท้ายทอยของศีรษะได้รูป อีกมือเลื่อนมาจิกนิ้วบนบ่ากว้าง เคลื่อนเต้าตูมอำนวยความสะดวกให้เขาดื่มกิน ใจรัญจวนอยู่ในห้วงความกระสัน จนต้องอุทานเมื่อถูกรุกรานอีกที่มืออีกข้างของเขาไม่ได้ประคองเต้าทรวงแล้ว กลับไล้ลงต่ำ สู่เนินสาว นิ้วชี้กรีดไปตามรอยแยกของกลีบผกาแห่งชีวิต เธอลืมตาจ้องมองเขา ตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คุณเต้ย...”“หือ...”เสียงเรียกชื่อเขาที่แหบพร่าจากแรงราคะช่างไพเราะเสียนี่กระไร เขาถอนริมปากออกจากปลายถันอย่างแสนเสียดาย มันกำลังเป็นสีแดงเต่งตึง น่าฟัดอีกซักยก“อุ๊ย!”ปุณิกาสะดุ้งเฮือก เมื่อนิ้วชี้ออกแรงกด จนเกือบสัมผัสติ่งหวาบหวาม“ไวไฟเชียวนะเธอ แค่นี้ก็เ
“เธอเรียนรู้ไวมากมิ้ม”สรวิชญ์จูบเปลือกตาชื้นเหงื่ออย่างเอาใจ...อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน“ฉันควรภูมิใจกับคำชมนี้ไหมเนี่ย”ปุณิกาเปรยมากกว่าจะขอคำตอบจริงจัง ตาที่ตาโตอยู่แล้วเบิกโพลงมากขึ้นตอนเห็นเขาเปลื้องผ้า อกแน่นหนั่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำเธอกลืนน้ำลาย เคยเห็นแต่ซิกซ์แพ็คในรูปภาพบ้าง ในอินเทอร์เน็ตบ้าง เพิ่งจะเห็นชัด ๆ กระจ่างตาวันนี้เองผิวสรวิชญ์คล้ำแดด ร่างกายเขาจึงไม่ต่างจากรูปสลักเทพบุตรหนุ่มหล่อจากทองแดง ...สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ สิ่งที่ต่างจากรูปปั้นคือขนสีดำกลางอก ไล่เรื่อยมาถึงช่วงเอว ลงใต้สะดือ เชื่อมกับกลุ่มไหมดำเหนือแก่นกายแข็งแรงของเขา“คุณเต้ย...อื้อ”คำพูดเธอหยุดลงพร้อมริมฝีปากที่บดเบียด เขาดันตัวเธอลงบนที่นอน ค่อยสอดความแกร่งกร้าวสู่โพรงอันชื่นฉ่ำอ่อนนุ่ม“...”สรวิชญ์ถอนริมฝีปากจากเธอ กัดฟันกรอด มีสัมผัสได้ถึงแรงบีบรัด เนื้อสาวเต้นตุบตับรอบลำ“อย่าเกร็งสิมิ้ม”เขาจูบที่เปลือกตาหญิงสาวที่กำลังหลับปี๋“มันแน่นอ่ะ”ผู้หญิงคนอื่นมีบ่นแบบนี้กับคู่นอนตัวเองไหมหนอ ปุณิกาเลือกจะซื่อสัตย์กับตัวเอง“ปล่อยตัวตามสบาย เชื่อใจฉัน”ริมฝีปากเขาคลอเคลียอยู่บริเวณหน้าผาก“