Share

Chapter 4 ซวยซ้ำซวยซ้อน

เมื่อได้คำสั่งจากเจ้านายเช่นนั้น เหล่าหนุ่มหน้าโหดก็กลับขึ้นรถ เลี้ยวกลับไปยังศาลาที่ห่างไปประมาณสามกิโลเมตร มันเป็นศาลาครึ่งปูน โครงสร้างเป็นไม้ มีหลังคาสังกะสี

ทีแรกชายเหล่านั้นก็นั่งนิ่ง ๆ คุยกันเบา ๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็เบื่อ ก้นที่นั่งแช่อยู่ก็เมื่อยขบ จึงลงไปนั่งหย่อนอารมณ์ที่ศาลา เห็นปลายบุหรี่แดงกวาบ ๆ ท่ามกลางความมืดและสายฝนพรำ

สรวิชญ์ยังนั่งอยู่ที่นั่งข้างปุณิกา เขาพิงหลังกับพนัก หลับตา มืดยังกอดอก เธอแอบหรี่ตามองแล้วค่อนแคะ ผู้ชายอะไร...ขนาดนอนยังหน้าเครียด คิ้วขมวดแทบเป็นโบอยู่แล้ว

เขานอนจริงละหรือ บางทีอาจเป็นกลลวงแบบเสือหลับ หลอกล่อให้เหงื่ออย่างเธอเยื้องกราย แล้วเขารอตะครุบ จับกินทั้งตัว ปุณิกาไม่โง่ขนาดนั้น เธอจะรอโอกาสเขาเผลอ เตรียมหนีทันที

โอกาสที่ว่านั้นมาทันใจ เมื่อเสียงมือถือเขาดัง

“ห่าเอ๊ย! สัญญาณไม่ดีเลย”

สรวิชญ์สบถใส่สายที่โทรมา

“เดี๋ยวนะมึง กูเดินหาสัญญาณก่อน ที่นี่ฝนตกว่ะ”

ชายหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วปิดมันลง เดินเข้าศาลาไปรวมกับลูกน้อง นี่แหละโอกาสทองที่ปุณิการออยู่

เธอเคลื่อนกายที่ถูกมัดไปยังประตูรถ พบว่ามันล็อก ปรกติใช้มือดันแล้วเลื่อนก็จะเปิดออกได้ แต่ตอนนี้ทั้งปาก มือ เท้า เธอถูกพันธนาการไว้หมด จะทำอย่างไรดี

เอาว่ะลองเสี่ยงดู หญิงสาวใช้ไหล่ดันประตู ไปให้ถึงตัวล็อก ออกแรงเคลื่อน ประตูขยับแต่ไม่เปิดออก งั้นต้องใช้วิธีใหม่

เธอหันหลัง ยืดตัวขึ้น กะระดับข้อมือที่โดนผูกไพล่หลังให้พอดีกับตัวล็อก นิ้วที่ยังเป็นอิสระของเธอยื่นไขว่คว้า สะเปะสะปะจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าจับถูกอะไรเป็นแท่งแข็งยาวพอประมาณ

ปุณิกาส่งแรงไปที่นิ้ว เกี่ยวกระชากสุดชีวิต จนหูได้ยินเสียงประตูรถเปิดออก ความเย็นของสายฝนจู่โจมปะทะผิว จมูกได้กลิ่นดินปนกลิ่นใบไม้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาชื่นชมกับธรรมชาติ

เธอทิ้งตัวเองลงพื้นลูกรังที่เจิ่งไปด้วยน้ำฝน หากเป็นเวลาปรกติคนคงจับสังเกตได้เมื่อเห็นรถเคลื่อนไหว เสียงตัวเธอสัมผัสพื้นไม่เบาเท่าไรนัก แต่เนื่องด้วยสายฝนโปรยปรายบดบังการมองเห็น อีกทั้งมันยังเสียงดัง ทำให้พวกที่อยู่ในศาลาไม่สังเกต

เมื่อกายสัมผัสพื้นหญิงสาวรีบกลิ้งตัวลงริมถนน ไม่สนคมหินหรือคมหญ้าจะบาดเนื้อ สมองสั่งแต่ให้หนี...และหนี

ปุณิกาเคยกลิ้งตัวฝ่าดงไม้ไผ่ เมื่อยามเรียนเนตรนารี เธอผ่านไปอย่างเชื่องช้า ด้วยกลัวเจ้าพืชที่มีใบแหลมจะสร้างริ้วรอยบนผิว ความเร็วในตอนนั้นเทียบตอนนี้ไม่ได้

ปุณิกาคลุกโคนแดง ขาโดนดอกหญ้าเจ้าชู้เกาะติด บางครั้งก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้าเพราะถูกหนามกระสุนแทง แต่เธอยังคงมุ่งมั่นกลิ้งหนี ตั้งใจไปให้ไกลที่สุด พรุ่งนี้เช้าหลังฝนหยุดต้องมีคนมาช่วยเธอแน่

เพื่อนตั้งแต่เด็กและมีอาชีพเป็นตำรวจยศสารวัตรโทรมาบอกข้อมูลเพิ่ม

“มีคนเห็นรถคันนั้นขึ้นเฟอร์รี่ไปเกาะสมุย”

“ห่าเอ๊ย!”

สรวิชญ์คำรามแข่งสายฝน

“คืนนี้คงต้องเลิกหาไปก่อน ไว้พรุ่งนี้จะวานเพื่อนตำรวจที่อยู่นั่นดูให้”

“มันจะไม่พาสตางค์หนีไปเกาะอื่นแล้วเรอะ!”

“จะไปเกาะอื่นจากที่สมุยต้องไปท่าเรือ น้องมึงกับคนที่พาหนีมันคงไปไหนได้ไม่ไกลหรอกคืนนี้”

“กูจะขึ้นเครื่องไปสมุยพรุ่งนี้ ติดต่อเพื่อนมึงไว้ให้หน่อย”

ต่อให้ต้องข้ามไปอีกฟากโลก สรวิชญ์ก็ต้องพาสิริยากลับมาให้ได้

“เออ เดี๋ยวเช้าก็ส่งเบอร์มันไปให้ ว่าแต่มึงอ่ะ ได้นอนบ้างหรือยังตั้งแต่สตางค์หายไป”

“เป็นมึงน้องหายจะมามัวหลับสบายใจเฉิบอยู่อีกเหรอ”

เขากัดฟันกรอด ขณะนึกถึงภาพปุณิกาที่หลับไม่รู้เรื่องในรถตู้

“กลัวมึงจะเดี้ยงก่อนเจอสตางค์นะสิ”

“กูไม่ตายง่าย ๆ หรอกว่ะ ขอบใจที่ส่งข่าว”

สัญญาณโทรศัพท์ไปก่อนที่สรวิชญ์จะบอกลูกน้อง

“กูไม่กลับไร่แล้ว จะไปสมุย ไอ้ปาล์มบอกว่าคนของมันเห็นสตางค์ไปที่นั่น พาไปสนามบินเลย แกจะขึ้นเครื่องบินเที่ยวแรก”

“แล้วตัวพี่สาวละครับ”

ลูกน้องมองไปทางรถตู้

“เอากลับกรุงเทพฯด้วยกันก่อน ส่งกูแล้วค่อยเอาไปขังไว้ที่ไร่”

ชะตากรรมของปุณิกา ยังไม่พ้นเป็นตัวประกันถูกขัง สรวิชญ์คิดว่าสาสมแล้วกับเรื่องน้องเธอพาน้องเขาหนี สาสมกับที่เธอออกฤทธิ์ให้เขาหัวหมุน แถมยังหลับสบายในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ปุณิกาช่างเป็นผู้หญิงเลือดเย็นเสียเหลือเกิน

เขาเดินกลับมาที่รถตู้ แล้วก็คำรามก้องเมื่อเห็นประตูเปิดอยู่

“ยัยนั่นหนีไปแล้ว!”

ลูกน้องวิ่งตาเหลือกมาหาเจ้านายทันที

“รีบตามหาเลย โดนมัดไว้คงไปได้ไม่ไกล”

รอยกลิ้งบนพื้นลูกรังเฉอะแฉะหายไปในพงหญ้าข้างทาง

“ถ้าจับได้ครั้งนี้กูจะล่ามโซ่เลย ผู้หญิงอะไรบ้าฉิบหาย อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นหรือไงวะ สร้างแต่เรื่อง”

ชายหนุ่มให้คำปฏิญาณกับตัวเอง ขณะรับไฟฉายจากนายหน้าเสี้ยมสองดูตามพื้นหญ้า

ปุณิกาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเขาดังแหวกสายฝนเข้ามา ต้องหนีแล้ว แต่ตอนนี้ตัวเธอหนักอึ้งไปด้วยโคลนและน้ำฝน ผมเต็มไปด้วยหญ้า ใบหน้าแสบเป็นริ้ว ๆ

ทันใดนั้นเธอเห็นพุ่มไม้ใหญ่ น่าจะกันภัยได้ หญิงสาวกลิ้งตัวเข้าไปกระทบหนามไม้เต็มรัก ความเจ็บหายไปทันทีเมื่อหูได้เสียง

“ฟ่อ...”

อสรพิษดำมะเมื่อมที่อยู่ที่หน้าแข้ง ดวงตาสีแดงมองมาอย่างมาดร้าย ปุณิกาตัวแข็งทื่อ ใจภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้เธอพ้นจากทุกข์เภทภัยนี้เถิด เธอยอมรำถวายพร้อมจัดเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่เลยเอ้!

ทว่าคำภาวนาไม่ได้ผล เมื่อสัตว์ร้ายรู้สึกถึงความสั่นของพื้น เพราะเหล่าหนุ่มหน้าโหดเดินลงเท้าหนัก ๆ เพื่อหาตัวเธอ ปุณิการู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าแข้ง งูตัวขั้นฝังเขี้ยวลงบนเนื้ออ่อน ๆ ของเธอ

“อื้อ...”

เธอยกขาสะบัดจนเจ้างูลอยเหนือพื้น มันตกตุบที่ฝากหนึ่งของพุ่มไม้ แล้วรีบเลื้อยเร้นกายหนีไป

“อื้อ...”

ปุณิกาน้ำตาคลอ ส่งเสียงขอความช่วยเหลือ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ หนีก็ไม่รอด แถมมาถูกงูกัด เธอจะตายในสภาพอนาถเช่นนี้ละหรือ

“เจอแล้ว แม่ตัวดี”

คนเลวที่จับเธอมาร้อง มองหญิงสาวด้วยสายตาถมึงถึง

“ฤทธิ์มากนักนะ”

ในเมื่อปุณิกาเลือกรักษาชีวิตไว้ก่อน เธอจึงรีบยกขาที่ถูกมัดให้เขาดู

“อื้อ...”

“อะไร! ฉันไม่บ้าขนาดจะแก้มัดให้เธอหรอก จะให้คนหามเธอไปขึ้นรถเหมือนหมู”

เธอสะบัดหน้า ตั้งใจจะบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น...ขา ดูที่ขาเธอหน่อยสิ เป็นนายหน้าเสี้ยมนั่นเองที่สังเกต ส่องไฟฉายมายังขาจนหอบรอยเขี้ยวที่มีเลือดซึม

“คุณเต้ยครับ เธอโดนงูกัด มีเขี้ยวแบบนี้เป็นงูพิษแน่”

เจ้านายยกขาขาวขึ้นดู

“รีบพากลับเข้าเมืองไปหาหมอดีกว่า”

นายหน้าเสี้ยมถอดเสื้อตัวเอง มามัดไว้เหนือแผลและคลายพันธนาการที่ข้อเท้าเธอ

“โว้ย ! เธอนี่ก่อเรื่องไม่รู้จบ”

ปุณิกากัดผ้า เป็นสัญญาณว่าอยากให้เอามันออกด้วย

“เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าคุณใจเย็นสักนิด ไม่คิดเอาฉันมาเป็นตัวประกัน”

เธอหอบหายใจแรง บอกไม่ถูกว่าเหนื่อย หรือเป็นผลจากพิษงูเป็นแน่

“คุณนั่นแหละ มาทำฉันซวยไปด้วย”

บางทีอีกไม่กี่ชั่วโมง เธออาจตายเพราะพิษงู อย่างน้อยขอได้ด่าตัวการหน่อยเถอะ และสาบานเลยหากตายแล้วจะมาเป็นผีหลอกหลอนเขาตลอดชีวิต

“ใครก็ได้โทรหาหมอวิโรจน์หน่อย นัดเจอที่บ้านแก บอกมีคนไข้ด่วน ให้ช่วยดูแลไปจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล”

สรวิชญ์เลือกที่พึ่งเป็นแพทย์สูงอายุที่รู้จักกันดี บ้านท่านห่างไปอีกสองหมู่บ้าน ประมาณห้ากิโลเมตร ใกล้กว่าในเมืองที่มีโรงพยาบาลห่างไปอีกยี่สิบกิโลเมตร อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้วเธอคงจะไม่ได้ตายง่าย ๆ

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status