“ไม่ค่ะคุณ เอาฉันไปสาบานที่วัดไหนก็ได้ ขอให้ฟ้าผ่าตายในห้าวันเจ็ดวัน หรือให้ไม่มีแฟนตลอดชีวิตก็ได้”
ทีแรกคนฟังไม่เชื่อ แต่พอขนาดเดิมพันกันเรื่องแฟน ...เธอยอมเชื่อก็ได้ แหม...สมัยนี้แฟนหายากกว่าเงิน ดูท่าคนขอความช่วยเหลือจะอายุไม่น้อยแล้วเสียด้วย ถึงจะสวยน้อยกว่าที่เธอไปหน่อยก็เถอะ
“งั้นรออยู่นี่ ฉันแค่ไปบอกคนในปั๊มให้เท่านั้นนะ”
คนแปลกหน้าตั้งใจจะช่วยเท่าที่พอช่วยได้ เมื่อออกจากห้องน้ำ หนุ่มหน้าโหดก็ปรี่มาถาม
“คุณเห็นน้องสาวผมในห้องน้ำไหมครับ คนที่ผมยาว ๆ ใส่เสื้อเชิ้ต”
ผู้ชายพวกนี้ดูไม่น่าไว้ใจจริง ๆ ด้วย โน่น มีหน้าโหดอีกสองคนมองมาจากทางฝั่งรถตู้
“เห็นเขาล้างหน้าอยู่นะ”
เธอแสร้งบุ้ยปากประกอบการตอบให้สมจริง หนุ่ม ๆ หน้าโหดจึงไม่ขวางอีกต่อไป เธอรีบเดินไปทางเด็กปั๊มคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เล่าเรื่องให้ฟัง อีกฝ่ายจึงให้เด็กปั๊มหญิงชายคู่หนึ่งไปดูในห้องน้ำ
“คุณ...กำลังมีปัญหาเหรอคะ ให้เรียกตำรวจไหม”
ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้ามาดูลาดเลาและเจรจา บางทีอาจจะเป็นเรื่องภายในครอบครัว รีบร้อนเรียกตำรวจมามีแต่จะเป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ
“ฉันถูกลักพาตัวมา ช่วยฉันด้วย”
ปุณิการีบบอกเสียงตื่น ๆ
“พวกมันจับฉันมากับรถตู้”
ยังไม่ทันที่เด็กปั๊มจะทำอะไร เสียงเข้ม ๆ ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ทำอะไรอยู่น่ะมิ้ม ช้าจัง”
ร่างสรวิชญ์ยืนตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำ
“คิดว่าเป็นลมไปแล้วเสียอีก”
เขาขมวดคิ้ว ขณะปุณิกาอ้าปากค้าง ...เขารู้ชื่อเล่นได้ยังไง เธอไม่เคยบอก
“อ้าว! รู้จักกันเหรอคะ”
เด็กปั๊มมองทั้งสองสลับกัน ห่างไม่ไกลเด็กปั๊มผู้ชายก็โดนคนของเขาประกบ
“ครับ เมียผมเอง”
“ใครเป็นเมียคุณ ไอ้คนป่าเถื่อน!”
เธอแว้ดให้กับการโมเมนั้น
“เห็นไหม เขาโกรธผมนิดหน่อย”
ขายาว ๆ ก้าวมาหาเธอ แขนตวัดโอบเอว
“ดีกันนะมิ้ม”
เขาออกแรงกระชับเอวคอด เป็นผลให้ร่างนุ่มนิ่มมาบดเบียดเนื้อแข็ง ๆ
“อยู่นิ่ง ๆ ไม่งั้นฉันจะเล่นหนังสดเป็นเธอในห้องน้ำนี่แหละ”
สรวิชญ์กระซิบลอดไรฟัน ปุณิกาสบตาคมดุนั้นอย่างไม่ยอมเช่นกัน
“อื้อ...”
โลกหยุดนิ่งไปเมื่อริมฝีปากสีเข้มประทับกลีบกุหลาบบาง ตาหญิงสาวเบิกโพลง เป็นผลให้ปากเผยอ คนรุกรานจึงเข้ามาโดยง่าย ส่งเรียวลิ้นชิมความหวานของโพรงน้ำผึ้ง
“อื้อ...”
เธอดิ้นขลุกขลักหนี แต่อ้อมแขนยิ่งโอบกระชับ ลมหายใจขาดห้วง เหมือนดังจมสู่น้ำลึก
“ถ้าอยากได้มากกว่านี้เราจะไปต่อกันที่ไร่”
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกพร้อมเหยียดยิ้ม ปุณิกาตัวอ่อนยืนแทบไม่ไหว ต้องกำมือกับเสื้อเขาไว้ รีบสูดลมหายใจเข้าปอด
“ก็อย่างนี้แหละ ผมกับแฟนทะเลาะกันนิดหน่อย”
เธอส่งสายฉุนเฉียวให้ แต่เขาจึงตาดุเป็นคำสั่งห้ามพูด
“โทษทีที่ทำให้วุ่นวาย กลับกันเถอะมิ้ม”
สรวิชญ์ใช้แขนดันหลังคนอยู่ในเอวให้ออกจากห้องน้ำ
“อย่าขัดขืน ไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอเสีย”
เขากระซิบขู่ขวัญ เป็นผลให้เธอขนลุกเกรียว ยอมตามไปขึ้นรถตู้ด้วยแต่โดยดี
เข้ามาแล้วสรวิชญ์ไม่พูดพล่ามทำเพลง จับผ้ามัดปากปุณิกา มัดเพิ่มอีกทั้งมือและขา
“ฤทธิ์มากนัก เห็นฉันใจดีหรือยัง”
ถ้าไม่ได้ลางสังหรณ์ว่าคนพี่พามาจะตุกติก ตัวประกันอย่างปุณิกาคงหนีไปแล้ว ...ร้ายนัก ปล่อยไปห้องน้ำไม่กี่นาทีจึงหาคนช่วยได้
“พวกมึงเหยียบเต็มตีนเลย ให้ถึงไร่เร็วที่สุดก่อนกูจะหักคอแม่นี่ ฤทธิ์เยอะ กวนตีนกูทั้งพี่ทั้งน้อง”
สรวิชญ์จะหยาบ ไม่สุภาพต่อคนที่เขาเห็นว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งตำแหน่งตรงนั้นตกเป็นของเธอ
“อื้อ...”
ปุณิกาพยายามส่งเสียงผ่านผ้า ตามองเขาอย่างคั่งแค้น ผู้ชายคนนี้ เลวที่สุด จับเธอมา โมเมว่าเป็นเมีย ขโมยจูบ แล้วยังข่มขู่อีกแน่ะ
เวลาอ่านนิยายตบจูบนี่ฟินกับฉากแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงอยากข่วนหน้าเขานัก เข้าใจอยู่ว่าโกรธ แต่อย่ามาพาลพาโล เอากับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเธอสิ
ไม่กลัวกฎหมาย ไม่กลัวเธอฟ้องกลับเลยละหรือ เขาคงคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่มีใครลงโทษได้ แต่ปุณิกาไม่ยอมหรอก เธอจะยอมนิ่งก่อน หากมีโอกาสเมื่อไรจะหนีอีก
ชักเข้าใจความรู้สึกน้องสาวเขาแล้ว มีพี่ที่ใช้อารมณ์นำเหตุผลอย่างนี้ เป็นใครก็อยากหนี ปุณิกาภาวนาขอให้ปุณณภพและน้องสาวเขาหนีให้รอด หากไปทางใต้ก็ให้ออกด่านไปมาเลเซียเลย คนอารมณ์ร้อนคงแทบคลั่งใจตาย
สรวิชญ์มองผู้หญิงที่โดนมัดไว้ เธอเอนศีรษะพิงหน้าต่าง ตาหลับลง ...เมื่อกี้เขาแค่แสดงไม่ให้คนอื่นจับพิรุธ ไม่ให้เธอได้ทันโวยวาย ใช้ข้อมูลที่สืบได้ของเธอและปุณณภพมาเป็นประโยชน์
รายงานบอกว่าเธอยังโสด แต่ใครละจะคิดว่าซิง ขนาดจูบยังเยอะ ๆ งะ ๆ จนวูบหนึ่งเขารู้สึกกำลังกลับเป็นเด็กหนุ่ม ผู้มอบจูบแรกแก่สาวน้อย
นั่นล่ะนะ...มันเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ ผ่านมาเหมือนสายลมในคืนฤดูร้อน เย็นนิดเดียวแต่ไม่อาจข่มความเดือดในอารมณ์ ยังหาสิริยาไม่เจอเลย ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีการส่งข่าว
เขาไม่ชอบสถานการณ์เงียบสงบแบบนี้เลย เพราะมันมักมีเหตุใหญ่ตามมา สรวิชญ์ไม่อาจเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของปุณณภพเรื่องพาน้องสาวหนี ผู้ชายเหมือนกันดูออก ต้องมีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดพลิกผัน
สรวิชญ์ขบกรามกำมือแน่น ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย ขออย่าให้การกระทำครั้งนี้เป็นการตัดอนาคตอันสดใสของน้องสาว สิริยาควรมีชีวิตวัยเรียนที่สดใสกว่านี้ เธอไม่ควรต้องมาเป็นคุณแม่วัยใส
และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพ่อหลานที่เขาไม่ต้องการ จะจัดการเสียก็กลัวน้องเป็นหม้าย จะละเว้นไว้ก็กลัวเสียอนาคต
โว้ย! ปวดหัว
เหลือบตามองร่างที่พิงกระจก สบายเสียจริงแม่คุณ หลับเสียแล้ว นี่เขาพามาเป็นตัวประกันนะ ไม่ใช่พามาเที่ยว
แต่ก็ดีเหมือน หลับไปเสียจะได้สิ้นฤทธิ์ เขาไม่มีอารมณ์จะปะทะด้วยตอนนี้ กลัวตัวเองพลั้งมือทำร้ายเธอ เพราะทั้งปุณิกาและปุณณภพกวนอารมณ์เขาเสียเหลือเกิน
หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แค่หลบสายตาไม่อยากมองคนป่าเถื่อน เมื่อโลกมืดมิดเธอก็ได้อยู่กับตัวเอง สติเริ่มมีมากขึ้น
ปุณิกาต้องนิ่ง รอดูสถานการณ์ก่อน ในรถและสภาพที่โดนมัดมือมัดเท้าคงทำอะไรไม่ได้มาก ผู้ชายคนนี้พูดถึงไร่
ถ้าเดาตามนิยายที่เคยอ่านมา พระเอก(ซึ่งเธอคิดว่าไม่ใช่เขา)ต้องมีไร่อยู่แถวปากช่อง เลี้ยงวัว เลี้ยงม้า ปลูกองุ่น ทำถึงเป็นพืชชนิดนี้นะหรือ คนเขียนนิยายคงคิดว่าเท่ดี ครั้นจะให้ปลูกต้นสาเกก็ออกจะแปลกไปหน่อย
เธอยิ้มกับตัวเอง หากคิดอะไรแปลก ๆ แบบนี้ได้แสดงว่าสติกลับมาเต็มร้อยแล้ว เหลือบตาหรี่มองคนนั่งข้าง เขากอดอกตามองตรงไปยังทางข้างหน้า
อึดจริงพ่อเจ้าประคุณ ไม่เมื่อยเหนื่อยบ้างหรือยังไง เพราะดูท่าเขาคงรีบร้อนมาจากไร่ เสื้อผ้ายังมีกลิ่นเหงื่อปนกลิ่นหญ้าแห้ง
...แล้วปุณิกาไปสนใจกลิ่นเขาทำไม ผู้ชายคนนั้นคือคนเถื่อน หนุ่มชาวไร่ จับเธอมัดแบบไม่ปรานีปราศรัยอย่างกับมัดวัว
ปุณิกาหลับตาลงเช่นเดิม ขอออมแรงไว้ก่อนละกัน ถึงไร่ที่ว่าแล้วค่อยคิด บางทีเธออาจอาศัยความมืดพรางตัวหนีได้ ปุณิกาแค่คิด แต่ฟ้ากลับเป็นใจ ส่งความช่วยเหลือมาในรูปฝนห่าใหญ่ ตกรดถนนดินลูกรังเป็นหลุมบ่อ คนขับบังคับรถลำบากนัก ตกหลุมให้คนในรถกระเด้งจากเบาะหลายครั้งอยู่
“ฝนห่าเอ๊ย! มาตกอะไรตอนนี้”
อีกคนที่ไม่พอใจสภาพอากาศมากอีกคนคือสรวิชญ์ อีกสิบห้ากิโลเมตรจะถึงไร่เขาแล้ว ฝนเจ้ากรรมดันมาตก มืดก็มืด รถแล่นด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปรกติจน คนขับประคับประคองสุดฝีมือก่อนอุทาน
“สะพานโดนน้ำท่วมครับคุณเต้ย”
ข้างหน้านั้นมีราวสะพานขาวโพลน แต่พื้นกลับเต็มไปด้วยน้ำป่าไหลหลากสีแดงขุ่นคลั่ก
“แม่งเอ๊ย ! ไอ้พวกตัดไม้ทำลายป่า อยากให้น้ำพวกนี้ไปท่วมบ้านพวกมันนัก”
เพราะต้นไม้มีรากยึดหน้าดิน ชะลอการไหลของน้ำ เมื่อถูกตัด พื้นดินก็โล่งโจ้ง พอฝนตกหนักเกิดน้ำป่าไม่มีอะไรคอยชะลอ น้ำจึงท่วมเร็วเช่นนี้แล
“ผมว่าโทรให้พวกในไร่เอารถคนคนงานมารับดีกว่าครับ ขับไปเองมีแต่จะอันตราย”
นายหน้าเสี้ยมเสนอ
“เดี๋ยวกูไปดูเอง”
สรวิชญ์เปิดประตูรถ กลิ่นน้ำปนกลิ่นไม้หักโค่นลอยมาจาง ๆ น้ำท่วมมาครึ่งล้อแล้ว
“โทรให้คนในไร่มารับเถอะครับ”
“ไม่ต้อง กูไม่อยากให้ใครมาเสี่ยงอันตรายด้วย มึงโทรบอกพวกมันให้ตื่นดูสถานการณ์ ระวังน้ำท่วมด้วย”
หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับไร่แล้ว เขากลับมาเป็นเจ้าของไร่ผู้สุขุมดังเดิม
“ถอยรถกลับไปตั้งหลักที่ศาลาริมทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ดีกว่า ดับเครื่องรถด้วยจะได้ประหยัดน้ำมัน ตอนเช้าค่อยขับไปกัน”
เมื่อได้คำสั่งจากเจ้านายเช่นนั้น เหล่าหนุ่มหน้าโหดก็กลับขึ้นรถ เลี้ยวกลับไปยังศาลาที่ห่างไปประมาณสามกิโลเมตร มันเป็นศาลาครึ่งปูน โครงสร้างเป็นไม้ มีหลังคาสังกะสีทีแรกชายเหล่านั้นก็นั่งนิ่ง ๆ คุยกันเบา ๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็เบื่อ ก้นที่นั่งแช่อยู่ก็เมื่อยขบ จึงลงไปนั่งหย่อนอารมณ์ที่ศาลา เห็นปลายบุหรี่แดงกวาบ ๆ ท่ามกลางความมืดและสายฝนพรำสรวิชญ์ยังนั่งอยู่ที่นั่งข้างปุณิกา เขาพิงหลังกับพนัก หลับตา มืดยังกอดอก เธอแอบหรี่ตามองแล้วค่อนแคะ ผู้ชายอะไร...ขนาดนอนยังหน้าเครียด คิ้วขมวดแทบเป็นโบอยู่แล้วเขานอนจริงละหรือ บางทีอาจเป็นกลลวงแบบเสือหลับ หลอกล่อให้เหงื่ออย่างเธอเยื้องกราย แล้วเขารอตะครุบ จับกินทั้งตัว ปุณิกาไม่โง่ขนาดนั้น เธอจะรอโอกาสเขาเผลอ เตรียมหนีทันทีโอกาสที่ว่านั้นมาทันใจ เมื่อเสียงมือถือเขาดัง“ห่าเอ๊ย! สัญญาณไม่ดีเลย”สรวิชญ์สบถใส่สายที่โทรมา“เดี๋ยวนะมึง กูเดินหาสัญญาณก่อน ที่นี่ฝนตกว่ะ”ชายหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วปิดมันลง เดินเข้าศาลาไปรวมกับลูกน้อง นี่แหละโอกาสทองที่ปุณิการออยู่เธอเคลื่อนกายที่ถูกมัดไปยังประตูรถ พบว่ามันล็อก ปรกติใช้มือดันแล้วเลื่อนก็จะเปิดออกได้ แต่ตอนนี้ทั้ง
ลูกน้องไม่มีใครกล้าแตะตัวปุณิกา ทุกสายตามองไปที่เจ้านายผู้หัวเสียขั้นสุด“สภาพอย่างนี้คงหามเธอไปลำบาก”นายหน้าเสี้ยมกระแอม ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด จำใจยอมรับตำแหน่งคนอุ้ม เอาร่างอรชรมาแนบอกตัวปุณิกาเย็นแทบเท่าสายฝน ปากก็สั่น นี่เธอหนีมาอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้วหนอ หากงูไม่กัดก็ต้องโดนไข้หวัดเล่นงานแน่ เธอช่างบ้าบิ่น ทำอะไรไร้หัวคิดนัก ...พี่กับน้องเหมือนกันไม่มีผิด คนแบบนี้มีอะไรดี สิริยาถึงได้หลง ขนาดหอบผ้าผ่อนตามไป สรวิชญ์คิดหาเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆรถตู้วิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียดกรวดบนพื้นลูกรัง กระเด็นกระทบบังโคลนรถดังปึก ๆ“เธออย่าหลับ ประคองสติไว้ให้ถึงโรงพยาบาล”ผู้ชายแสนร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดของเธอ เขาสั่งอย่างไม่เห็นใจคนป่วย“ไม่รู้ว่างูที่กัดเธอมันมีพิษส่งผลต่อประสาทให้หลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหลับ”“ฉันแค่พักสายตาหน่อยเดียวเอง”ปุณิกาเถียงขณะตาปรือ เธอเหนื่อยเหลือเกินเมื่อครู่ เนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างกับโดนรถทับ“มีสติ มองหน้าฉันไว้”เขายังพูดไม่เลิก“ถ้าฉันตายจะมาเป็นผีหลอกคุณ”ศีรษะที่กลุ่มผมเปียกไปด้วยโคลนเอนพิงกระจก“คนปากเก่ง ๆ อย่างเธอไ
ณ ที่แห่งนั้นเย็นสบายลมพัดระเรื่อย ท้องฟ้าสีสดใสจนเหมือนภาพวาด พระอาทิตย์สาดแสงส่อง แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกร้อน เท้าปุณิกาก้าวลงในผืนหญ้าเขียวนุ่มละมุนราวกำมะหยี่เธอไม่รู้เมื่อกันว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ในตอนนั้นยังก้าวไม่หยุด พลันสายตาเห็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งเป็นพุ่มใหญ่ห้อยลงเกือบระพื้น ยกมือขึ้นหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ในอกรัวแรงเป็นตีกลอง เมื่อเห็นร่างคู่หนึ่งยืนอยู่ที่โคนต้นไม้“พ่อคะ...แม่คะ”หญิงสาววิ่งตัวปลิวเข้าไปโผกอด ซบไซร้ในอกมารดาอุ่นที่เคยพึ่งมาแต่เยาว์วัย“มิ้มคิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด”เธอบอกเล่าความรู้สึกด้วยเสียงอันสั่นเครือ รู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กอนุบาลกลับบ้านวันแรกหลังเลิกเรียน โลกภายนอกน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เธอรักบ้านที่มีพวกท่านทั้งสองอยู่ด้วยเป็นที่สุด“พ่อกับแม่มารับมิ้มไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”ปุณิกาจำได้ว่าตนถูกงูกัด ถูกพามาโรงพยาบาล มีมือคนไม่รู้จักมาสาละวนจับทั่วร่างเธอ บางมือยังสอดโน่น เสียบนี่เข้าร่างกาย เธอรู้ตัวขยับไม่ได้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง ด้วยไม่อาจจ้องแผงหลอดไฟจ้าบนเพดานห้องฉุกเฉินได้ ...บางทีพิษงูอาจทำให้ปุณิกาตายเสียแล้วกระมังแม่เป็นผู้ให้คำตอบโดยการสั่นศีรษะ“ยั
สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสดหากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่าท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิดรถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า
ปุณิกาคิดว่าสักวันหนึ่งต้องมีผู้ชายมาสนใจเธอแบบจริง ๆ จังแน่ ผู้ชายที่ไม่ต้องหล่อรวย แบบผู้ชายในฝันตามนิยาย ขอแค่เขารักจริง อยากมีอนาคตร่วมสร้างฝันกับเธอ ปุณิกาคิดว่าต้องรักก่อน ความใคร่ถึงตามมาจนกระทั่งวินาทีนี้...เธอกำลังตัวเอนอ่อนให้คนแปลกหน้าสัมผัส เขามีความตะกรุมตะกราม ไม่ถนอมเนื้ออ่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกใจเต้น อยากให้เขาสัมผัสแรงขึ้นอีก“อาห์...”เธอบดเบียดร่างเกือบเปลือยของตนเข้าหาเขา นิ้วมือสอดใต้เรือนผม ลูบไล้ท้ายทอยของศีรษะได้รูป อีกมือเลื่อนมาจิกนิ้วบนบ่ากว้าง เคลื่อนเต้าตูมอำนวยความสะดวกให้เขาดื่มกิน ใจรัญจวนอยู่ในห้วงความกระสัน จนต้องอุทานเมื่อถูกรุกรานอีกที่มืออีกข้างของเขาไม่ได้ประคองเต้าทรวงแล้ว กลับไล้ลงต่ำ สู่เนินสาว นิ้วชี้กรีดไปตามรอยแยกของกลีบผกาแห่งชีวิต เธอลืมตาจ้องมองเขา ตาฉ่ำเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“คุณเต้ย...”“หือ...”เสียงเรียกชื่อเขาที่แหบพร่าจากแรงราคะช่างไพเราะเสียนี่กระไร เขาถอนริมปากออกจากปลายถันอย่างแสนเสียดาย มันกำลังเป็นสีแดงเต่งตึง น่าฟัดอีกซักยก“อุ๊ย!”ปุณิกาสะดุ้งเฮือก เมื่อนิ้วชี้ออกแรงกด จนเกือบสัมผัสติ่งหวาบหวาม“ไวไฟเชียวนะเธอ แค่นี้ก็เ