เลือดในตัวสรวิชญ์กำลังเดือด ชนิดใครอยู่ใกล้เป็นต้องรู้สึกถึงไอร้อน เข็มวินาทีบนนาฬิกาที่ติดผนังทำเอาแทบบ้า
เขาไม่น่าเชื่อคำพูดของสิริยาที่กล่อมขอมาเรียนในกรุงเทพฯเลย ดูเอาเถิด เกิดเรื่องจนได้ แล้วนี่ไอ้หนุ่มเด็กบาร์นั่นจะพาน้องเขาไปตกระกำลำบากที่ไหน แค่คิดเส้นเลือดก็ปูนเกร็งขึ้นขมับ
สรวิชญ์สมควรทำอะไรได้มากกว่าการนั่งรอ ลูกน้องเมื่อเห็นลูกพี่นิ่ง ต่างมองตากันเลิ่กลั่ก รู้ว่าเห็นเงียบแบบนี้พายุใหญ่กำลังจะมาเป็นแน่
“เมี๊ยว...”
ปุณิกาเผลอทำจานที่ตั้งใจมาปิดชามบะหมี่ระหว่างรอสุกตก เธอร้องเสียงแมวตามนิสัยปรกติ ทว่ากลับทำให้ความอดทนของใครบางคนขาดผึง เจ้าของร่างสูงผุดลุกจากโซฟารับแขก เดินดุ่มไปยังเธอที่เอาจานปิดชามบะหมี่สำเร็จแล้ว
“น้องเธอพาน้องฉันหนีไปไหนก็ยังไม่รู้ เธอเป็นพี่ประสาอะไร ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังห่วงกินมาม่าอยู่ได้”
เธอเห็นภาพกองไฟลุกในดวงตาสีนิล
“ก็จะให้ทำอะไรได้ล่ะ โทรไปแม้วก็ไม่รับ แถมพวกคุณยังมาเพ่นพ่านเต็มบ้าน ฉันขอแค่กินมาม่าเอง”
เขาช่างเถื่อน ไม่มีเหตุผล ไร้ระเบียบ เหมือนเคราที่ขึ้นรกเต็มใบหน้า
“น้องหายไปทั้งคน รู้จักทุกข์รู้จักร้อนเสียบ้างสิ” ปุณิกาไม่พอใจในคำกล่าวหา แต่ต้องทำละเลยเสีย คุยกับคนอารมณ์ร้อน หากยิ่งร้อนตามพานจะกลายเป็นการฟืนใส่กองไฟให้โหมกระพือวอดวายเสียทั้งสองฝ่าย
“เดี๋ยวเขาก็กลับมากันเองแหละ หน้าที่เราคือต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ใช้เหตุผลคุย”
สรวิชญ์ย่างสุขุมเข้ามาใกล้ เขาสูงจนเธอต้องมองชนิดคอแหงนตั้งบ่า
“เธอก็พูดอย่างนั้นได้นะสิ น้องเธอเป็นผู้ชาย ไม่ต้องเสียอะไรเลย”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
เธอกอดอก แสดงอาการให้รู้ว่าไม่กลัว
“ผู้ชายกับผู้หญิง หนีไปด้วยกันมันจะเป็นไรไปได้...”
คนพูดยื่นหน้าลงมาหาเธอในลักษณะคุกคาม
“คุณคิดสกปรก น้องฉันเป็นสุภาพบุรุษพอ”
อย่างน้อยปุณณภพไม่เคยมีความประพฤติเสียหายเรื่องผู้หญิง
“อย่าคิดว่าผู้ชายทุกคนเหมือนตัวเองหมด”
น่าสงสารน้องสาวเขาเหลือเกิน ที่ตีตรายัดข้อหาว่าเสียความบริสุทธิ์จากผู้เป็นพี่
“เหมือนตัวฉันแล้วยังไง เธอเป็นใคร ทำเป็นพูดเหมือนรู้จักฉันดี”
“ฉันรู้จักคุณแน่ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ชอบใช้อารมณ์ ชอบใช้กำลัง”
สรวิชญ์ขบฟันแล้วหรี่ตา
“ปากดีจริงนะเธอน่ะ”
คนน่ากลัวนิ่งไปครู่ ก่อนแสยะยิ้มร้าย
“งั้นฉันจะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อน้องเธอเอาน้องฉันไป ฉันก็จะเอาตัวเธอไปเหมือนกัน เฮ้ย! เตรียมรถ กูจะกลับไร่”
สิ้นคำสั่งเขา ร่างอรชรก็ลอยหวือขึ้นบ่า เอวปุณิกาอยู่บนไหล่เขา สภาพเหมือนแบกถุงข้าวสาร
“ปล่อยฉันนะเว้ย! ช่วยด้วยค่ะ มีคนจะลักพาตัวฉัน”
เธอพยายามทั้งดิ้น ทั้งกำมือระดมตีแผ่นหลัง แต่คนอุ้มเธออยู่ไม่สะดุ้งสะเทือน
“เอามือถือมาด้วย เผื่อได้เด็กนั่นโทรมา”
สรวิชญ์ยังรอบคอบพอจะให้ลูกน้องเก็บเครื่องมือสื่อสาร เมื่อถึงรถตู้ ชายหนุ่มก็จับเธอยัดเข้าทันที
ปุณิกาพยายามพุ่งตัวออก ร่างใหญ่โตก็เบียดกระแซะ ถอดเข็มขัดตัวเองมามัดข้อมือเธอไว้ ท่ามกลางเสียงโวยวายของเธอ
รถตู้แล่นฝ่าการจราจรอันหนาแน่นของยามค่ำในเมืองหลวง ปุณิกาพยายามส่งเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ผูกปากตนไว้ ด้วยเสียงดังมากนักจึงถูกสรวิชญ์ใช้ผ้ามัดปาก ตอนนี้เหลือเพียงดวงตาส่งประกายแวววับ แทบเผาเขาไหม้เป็นจุณ สรวิชญ์ไม่สน นั่งกอดอกมองตรงไปทางคนขับ ออกไปสู่ถนนข้างหน้า
“อื้อ...”
เธอพยายามดันไหล่ดุนตัวเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“อยู่นิ่ง ๆ อย่าโวยวายมาก ถ้าฉันทนไม่ได้เดี๋ยวก็ฉีดยาสลบช้างให้เสียหรอก”
ปุณิกาไม่กลัวคำขู่ ด้วยบางอย่างในกายเรียกร้อง
“อื้อ...”
“อะไรอีกล่ะ เธอนี่น่ารำคาญเสียจริง”
เสียงตวาดทำให้บรรยากาศในรถยิ่งตึงเครียด แทบได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
“อื้อ...”
คราวนี้เธอมาพร้อมอาการกระทืบเท้าประกอบ
“แก้ผ้าผูกปากออกหน่อยเถอะครับคุณเต้ย เหมือนเธออยากบอกอะไร”
นายหน้าเสี้ยมเสนอ
“ไม่เอา กูหนวกหู”
“อื้อ...”
หญิงสาวส่ายศีรษะหน้าแดง ลูกน้องเหลือบมองกดดันลูกพี่
“เออ ๆ ก็ได้ ถ้าโวยวายนัก คราวนี้เตรียมยาสลบช้างได้เลย”
สรวิชญ์กระชากผ้าปิดปากออกจากหน้า เลื่อนมาอยู่ที่คอเธอ
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
ปุณิกาหน้าแดง ทั้งอายทั้งโกรธ ผู้ชายคนนี้หยาบคายที่สุด เขาข่มขู่ ทรมาน ทำให้เธอเสียหน้า
“เฮ้ย ! แวะปั๊มข้างหน้า”
สั่งคนขับแล้วเหล่มาทางหญิงสาว
“เธอน่ะทนได้ใช่ไหม อย่ามาฉี่ราดในรถฉันนะ”
“ฉันมีสำนึกพอ ไม่ใช่หมา นึกจะฉี่ตรงไหนก็ฉี่”
คุยกับคนไร้มารยาท ก็ต้องไม่มีมารยาทตอบ สมกันดี
“ถ้าถึงปั๊มแล้วฉันให้เวลาเธอห้านาที”
“จะบ้าเหรอไง ไม่ใช่ฝึกวินัยทหารนะ ขอเวลาส่วนตัวฉันบ้างสิ”
สรวิชญ์กอดอกมองเธออย่างประเมิน
“เจ็ดนาที”
“ยี่สิบ”
“สิบ”
“สิบห้า”
“สิบสอง ฉันไม่ให้มากกว่านี้แล้ว ถ้าช้าฉันจะไปลากเธอมาทั้ง ๆ ยังแก้ผ้าอยู่นั่นแหละ”
หน้าดุ เสียงก็ดุ แถมยังชอบขู่ คนอย่างนี้จะมีน้องสาวสวยเพียงใดหนอ ขนาดทำให้ปุณณภพผู้ไม่เคยมีเรื่องราวผู้หญิง ถึงกับพาหนีได้
“สิบสองนาทีก็ได้ ถ้าเข้ามาห้องน้ำหญิงฉันจะกรี๊ดให้คนช่วยจริง ๆ นะ คุณมันโรคจิต”
“แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยพาผู้หญิงหนี”
คนนั่งหน้าเธอเชิดหน้าอย่างทะนง
“แต่ลักพาตัวผู้หญิง”
ลูกน้องที่แอบฟังกันอยู่ถึงกับยิ้ม นาน ๆ ทีจะเจอคนกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้านายบ้าง แถมยังเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ดูแล้วบันเทิงดูไม่หยอก
“ฉันต้องเอาเธอมาไว้เป็นตัวประกัน ถ้าไอ้เด็กนั่นเอาน้องฉันมาคืน เธอจะได้กลับไป”
ปุณิกาทีแรกใจชื้น แต่ทว่าลึกๆ กลับฉุกคิด หนุ่มสาวที่ตัดสินใจหนีตามกันไปมักจะมีจุดหักเหให้บุ่มบ่ามตัดสินใจ เหตุผลหนึ่งในนั้นคือการตั้งครรภ์ ...หากเป็นเช่นนั้นจริงผู้ชายคนนี้จะจัดการกับเธอและน้องแบบไหนล่ะ เขาน่าจะยังเกรงกลัวกฎหมายไม่จับไปยิงทิ้งหรอกนะ
สรวิชญ์ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถตู้ ตายังมองไปทางห้องน้ำหญิง
“ทำอย่างนี้จะดีเหรอครับคุณเต้ย”
วสันต์ลูกน้องหน้าเสี้ยมคู่ใจพยักหน้าไปตามจุดหมายสายตาลูกพี่
“ไอ้เด็กนั่นมันเอาสตางค์ไป กูก็แค่เอาพี่มันมา จะคืนให้ก็ต้องแลกหมูแลกแมว”
ในสายตาวสันต์ ที่สรวิชญ์พามาไม่ใช่หมู เป็นแมวส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ
“ทางตำรวจว่าไง”
“มีรายงานว่ากล้องวงจรปิดแถวด่านเห็นรถทะเบียนคันที่ว่าขับไปทางใต้ครับ”
“ส่งคนของเราไปตามรอย ลากตัวมันมาให้ได้”
ชายหนุ่มอัดบุหรี่ลงปอดจนปลายมวนเป็นไฟสีแดงวาบ
“แล้วจะทำยังไงกับตัวพี่สาวครับ คนหายไปทั้งคนญาติไม่ตามหากันใหญ่เหรอครับ”
“ช่างแ-งมัน! ถ้าอยากเสือกนักให้มาเจอกับกูเลย”
สิริยาเป็นที่รักของพี่ชายนัก อาการสรวิชญ์จึงหนักเมื่อรู้ว่าน้องหายไป เขากำลังปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งไม่ใช่บุคลิกของสรวิชญ์ตามปรกติเลย
“เฮ้ย ! มึงให้คนไปดูสิ ทำไมพี่สาวไอ้เด็กนั่นถึงเข้าห้องน้ำนานนัก ตกส้วมตายไปหรือยังไง”
ยังไม่ถึงนาทีเส้นตายที่เขาตกลงกับปุณิกาไว้ แต่ความเงียบสงบหน้าห้องน้ำหญิงทำเขาหงุดหงิด จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำตัวสบาย ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ได้ เธอต้องทุกข์เหมือนกับเขาสิ
ปุณิกาทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เธอยืนอยู่หน้ากระจก รอดูว่าจะมีใครผ่านมาให้ขอความช่วยเหลือบ้าง จะสู้กับโจรต้องทำตัวร้ายยิ่งกว่า เรื่องเสียสัจจะนั้นจิ๊บ ๆ
มีสาวใหญ่หน้าแฉล้มใส่ต่างหูห้อยเป็นพู่ระย้าเข้ามาใช้บริการห้องน้ำ เจ้าหล่อนย่นจมูกทันทีเมื่อเห็นความสะอาด...ที่ระดับแค่พอใช้ จนในที่สุดก็ตัดใจใช้ห้องหนึ่ง ปุณิการอจนสาวคนนั้นเสร็จกิจจึงเริ่มหว่านล้อม
“คุณคะ ช่วยฉันหน่อย ฉันถูกลักพาตัวมา”
ปุณิกาอธิบายพร้อมพนมมือแนบอก
“จะขอเงินเหรอ ฉันไม่มีให้หรอกนะ”
สาวหน้าแฉล้มผงะหนีอย่างขยะแขยง
“เปล่าค่ะ แค่จะให้ช่วยเรียกคนในปั๊มมาช่วยฉันหน่อย ข้างนอกมีพวกคนร้ายคอยคุมเชิงฉันอยู่”
“โอ๊ย ! ไม่ใช่ธุระอะไรของฉัน ร้องกรี๊ดดัง ๆ สิ เดี๋ยวคนก็มา”
ปุณิกายิ้มแห้ง หว่านล้อมต่อ
“พวกมันอยู่หน้าห้องน้ำ ขืนฉันกรี๊ดตอนนี้มีแต่จะเฮโลกันเข้ามาจับนะสิ พวกมันมีกันสี่คน สองคนคุมเชิงอยู่ข้างหน้า อีกสองคนอยู่ที่รถตู้ คันสีดำ ๆ ติดฟิล์มมืดอ่ะค่ะ ไม่เชื่อคุณลองไปดู”
อีกฝ่ายโผล่หน้าไปจริง ๆ สบตากับผู้ชายหน้าโหดที่ยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ มองไปทางรถตู้ก็เห็นอีกสอง สายตากำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน
“นะคะคุณ ช่วยฉันหน่อยฐานะเป็นผู้หญิงด้วยกัน”
“ไม่ใช่เธอเป็นนางนกต่อจะมาตบเงินฉันหรอกนะ” มือกอดกระเป๋าถืออย่างหวงแหน
“ไม่ค่ะคุณ เอาฉันไปสาบานที่วัดไหนก็ได้ ขอให้ฟ้าผ่าตายในห้าวันเจ็ดวัน หรือให้ไม่มีแฟนตลอดชีวิตก็ได้”ทีแรกคนฟังไม่เชื่อ แต่พอขนาดเดิมพันกันเรื่องแฟน ...เธอยอมเชื่อก็ได้ แหม...สมัยนี้แฟนหายากกว่าเงิน ดูท่าคนขอความช่วยเหลือจะอายุไม่น้อยแล้วเสียด้วย ถึงจะสวยน้อยกว่าที่เธอไปหน่อยก็เถอะ“งั้นรออยู่นี่ ฉันแค่ไปบอกคนในปั๊มให้เท่านั้นนะ”คนแปลกหน้าตั้งใจจะช่วยเท่าที่พอช่วยได้ เมื่อออกจากห้องน้ำ หนุ่มหน้าโหดก็ปรี่มาถาม“คุณเห็นน้องสาวผมในห้องน้ำไหมครับ คนที่ผมยาว ๆ ใส่เสื้อเชิ้ต”ผู้ชายพวกนี้ดูไม่น่าไว้ใจจริง ๆ ด้วย โน่น มีหน้าโหดอีกสองคนมองมาจากทางฝั่งรถตู้“เห็นเขาล้างหน้าอยู่นะ”เธอแสร้งบุ้ยปากประกอบการตอบให้สมจริง หนุ่ม ๆ หน้าโหดจึงไม่ขวางอีกต่อไป เธอรีบเดินไปทางเด็กปั๊มคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เล่าเรื่องให้ฟัง อีกฝ่ายจึงให้เด็กปั๊มหญิงชายคู่หนึ่งไปดูในห้องน้ำ“คุณ...กำลังมีปัญหาเหรอคะ ให้เรียกตำรวจไหม”ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้ามาดูลาดเลาและเจรจา บางทีอาจจะเป็นเรื่องภายในครอบครัว รีบร้อนเรียกตำรวจมามีแต่จะเป็นเรื่องใหญ่เปล่า ๆ“ฉันถูกลักพาตัวมา ช่วยฉันด้วย”ปุณิการีบบอกเสียงตื่น ๆ“พวกมันจับฉันมากับรถ
เมื่อได้คำสั่งจากเจ้านายเช่นนั้น เหล่าหนุ่มหน้าโหดก็กลับขึ้นรถ เลี้ยวกลับไปยังศาลาที่ห่างไปประมาณสามกิโลเมตร มันเป็นศาลาครึ่งปูน โครงสร้างเป็นไม้ มีหลังคาสังกะสีทีแรกชายเหล่านั้นก็นั่งนิ่ง ๆ คุยกันเบา ๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็เบื่อ ก้นที่นั่งแช่อยู่ก็เมื่อยขบ จึงลงไปนั่งหย่อนอารมณ์ที่ศาลา เห็นปลายบุหรี่แดงกวาบ ๆ ท่ามกลางความมืดและสายฝนพรำสรวิชญ์ยังนั่งอยู่ที่นั่งข้างปุณิกา เขาพิงหลังกับพนัก หลับตา มืดยังกอดอก เธอแอบหรี่ตามองแล้วค่อนแคะ ผู้ชายอะไร...ขนาดนอนยังหน้าเครียด คิ้วขมวดแทบเป็นโบอยู่แล้วเขานอนจริงละหรือ บางทีอาจเป็นกลลวงแบบเสือหลับ หลอกล่อให้เหงื่ออย่างเธอเยื้องกราย แล้วเขารอตะครุบ จับกินทั้งตัว ปุณิกาไม่โง่ขนาดนั้น เธอจะรอโอกาสเขาเผลอ เตรียมหนีทันทีโอกาสที่ว่านั้นมาทันใจ เมื่อเสียงมือถือเขาดัง“ห่าเอ๊ย! สัญญาณไม่ดีเลย”สรวิชญ์สบถใส่สายที่โทรมา“เดี๋ยวนะมึง กูเดินหาสัญญาณก่อน ที่นี่ฝนตกว่ะ”ชายหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วปิดมันลง เดินเข้าศาลาไปรวมกับลูกน้อง นี่แหละโอกาสทองที่ปุณิการออยู่เธอเคลื่อนกายที่ถูกมัดไปยังประตูรถ พบว่ามันล็อก ปรกติใช้มือดันแล้วเลื่อนก็จะเปิดออกได้ แต่ตอนนี้ทั้ง
ลูกน้องไม่มีใครกล้าแตะตัวปุณิกา ทุกสายตามองไปที่เจ้านายผู้หัวเสียขั้นสุด“สภาพอย่างนี้คงหามเธอไปลำบาก”นายหน้าเสี้ยมกระแอม ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัด จำใจยอมรับตำแหน่งคนอุ้ม เอาร่างอรชรมาแนบอกตัวปุณิกาเย็นแทบเท่าสายฝน ปากก็สั่น นี่เธอหนีมาอยู่ที่นี่นานขนาดไหนแล้วหนอ หากงูไม่กัดก็ต้องโดนไข้หวัดเล่นงานแน่ เธอช่างบ้าบิ่น ทำอะไรไร้หัวคิดนัก ...พี่กับน้องเหมือนกันไม่มีผิด คนแบบนี้มีอะไรดี สิริยาถึงได้หลง ขนาดหอบผ้าผ่อนตามไป สรวิชญ์คิดหาเหตุผลไม่ออกเลยจริง ๆรถตู้วิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียดกรวดบนพื้นลูกรัง กระเด็นกระทบบังโคลนรถดังปึก ๆ“เธออย่าหลับ ประคองสติไว้ให้ถึงโรงพยาบาล”ผู้ชายแสนร้ายกาจที่เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดของเธอ เขาสั่งอย่างไม่เห็นใจคนป่วย“ไม่รู้ว่างูที่กัดเธอมันมีพิษส่งผลต่อประสาทให้หลับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหลับ”“ฉันแค่พักสายตาหน่อยเดียวเอง”ปุณิกาเถียงขณะตาปรือ เธอเหนื่อยเหลือเกินเมื่อครู่ เนื้อตัวปวดเมื่อยอย่างกับโดนรถทับ“มีสติ มองหน้าฉันไว้”เขายังพูดไม่เลิก“ถ้าฉันตายจะมาเป็นผีหลอกคุณ”ศีรษะที่กลุ่มผมเปียกไปด้วยโคลนเอนพิงกระจก“คนปากเก่ง ๆ อย่างเธอไ
ณ ที่แห่งนั้นเย็นสบายลมพัดระเรื่อย ท้องฟ้าสีสดใสจนเหมือนภาพวาด พระอาทิตย์สาดแสงส่อง แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกร้อน เท้าปุณิกาก้าวลงในผืนหญ้าเขียวนุ่มละมุนราวกำมะหยี่เธอไม่รู้เมื่อกันว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ในตอนนั้นยังก้าวไม่หยุด พลันสายตาเห็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งเป็นพุ่มใหญ่ห้อยลงเกือบระพื้น ยกมือขึ้นหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ในอกรัวแรงเป็นตีกลอง เมื่อเห็นร่างคู่หนึ่งยืนอยู่ที่โคนต้นไม้“พ่อคะ...แม่คะ”หญิงสาววิ่งตัวปลิวเข้าไปโผกอด ซบไซร้ในอกมารดาอุ่นที่เคยพึ่งมาแต่เยาว์วัย“มิ้มคิดถึงพ่อกับแม่ที่สุด”เธอบอกเล่าความรู้สึกด้วยเสียงอันสั่นเครือ รู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กอนุบาลกลับบ้านวันแรกหลังเลิกเรียน โลกภายนอกน่าตื่นเต้นก็จริง แต่เธอรักบ้านที่มีพวกท่านทั้งสองอยู่ด้วยเป็นที่สุด“พ่อกับแม่มารับมิ้มไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”ปุณิกาจำได้ว่าตนถูกงูกัด ถูกพามาโรงพยาบาล มีมือคนไม่รู้จักมาสาละวนจับทั่วร่างเธอ บางมือยังสอดโน่น เสียบนี่เข้าร่างกาย เธอรู้ตัวขยับไม่ได้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง ด้วยไม่อาจจ้องแผงหลอดไฟจ้าบนเพดานห้องฉุกเฉินได้ ...บางทีพิษงูอาจทำให้ปุณิกาตายเสียแล้วกระมังแม่เป็นผู้ให้คำตอบโดยการสั่นศีรษะ“ยั
สรวิชญ์พาเธอนั่งกลับรถตู้คันเดิม เพิ่มเติมคือเขาซื้อชุดคนป่วยให้เธอด้วย ปุณิกาอยู่ในสภาพหัวสั่นหัวคลอนเพราะรถวิ่งตามทางลูกรัง จนมาถึงสะพานเมื่อคืน น้ำลดลงแล้วรถจึงแล่นผ่านอย่างง่ายดายเธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีทิวทัศน์ข้างนอกเห็นภูเขาอยู่ลิบ ๆ บนฟ้ามีเมฆอุ้มน้ำสีเทา เดาว่าฝนต้องตกอีกในไม่ช้า ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้ใบหญ้าเมื่อได้น้ำเมื่อคืนดูสดชื่น เปล่งประกายเขียวสดหากเป็นเวลาปรกติเธอคงอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์ กังวลถึงไร่ที่เขาจะพาไปมากกว่า จะเป็นไร่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวัวลายจุดเล็มหญ้าอยู่หรือเปล่าท่าทางคนลักตัวเธอมาไม่ใจดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจขังเธอไว้ที่กระท่อมปลายไร่โกโรโกโส แล้วที่เขาบอกว่าจะทำกับเธอเหมือนที่ปุณณภพทำกับน้องเขาอีกล่ะปุณิกาทำตัวลีบติดกระจก การขืนใจผู้หญิงเป็นการกระทำไร้อารยะ ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม แต่ท่ามกลางป่า ท่ามกลางไร่ไกลหูตาคนแบบนี้ เธอไม่แน่ใจในอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคนพามานัก หวังแต่ขอให้เขาปรานีเหมือนตอนที่พาเธอมาโรงพยาบาลบ้างด้วยเถิดรถเริ่มเข้าสู่รั้วที่ขึงด้วยลวดหนาม แล่นไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นป้าย “ไร่
ปรกติมื้อเช้าปุณิกาดื่มน้ำเต้าหู้ หรือแค่หมูปิ้งสองไม้ข้าวเหนียวหนึ่งห่อ การกินมื้อเช้าที่พร้อมพรั่งแบบนี้ทำกระเพาะตื้อ แสนดีถามว่าจะเอากาแฟไหม เธอส่ายหน้าปฏิเสธ“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูอยากได้กาแฟไหม ไอ้แสน!”สรวิชญ์ว่าตอนที่พ่อครัวกำลังจะเดินจากไป“ไหนว่าเหนื่อย ไม่ได้นอนทั้งคืนไงนาย พักผ่อนเถอะ อย่ากินกาแฟเลย ผมหวังดีนะเนี่ย”“กูจะกินอะไรก็เรื่องของกู แสนรู้นักนะมึง ไปเอากาแฟมา”เจอหน้ากันแค่ไม่กี่สิบนาทีปุณิกาสงสารแสนดีเหลือเกิน ที่ต้องรับใช้คนเจ้าอารมณ์“มองฉันทำไม หรือวางแผนจะหนีอีก”เขาขึงตาดุ ไม่ล่ะ...ปุณิกาไม่ทำแล้ว สองครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว ไปนอนโรงพยาบาล เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เธออยากเก็บแรงไว้มากกว่า“เอามือถือมานี่ เผื่อน้องเธอโทรมา”เขาแย่งกระเป๋าสะพายที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ค้นหามือถือเธอเอามายัดใส่กางเกง“นี่คุณ! นั่นมันของฉันนะ”สรวิชญ์แทบจะโยนกระเป๋าสะพายให้“ฉันต้องเก็บไว้ก่อน ถ้าไอ้เด็กนั่นโทรมาแล้วเธอเล่นตุกติกไม่บอกล่ะ”เขาวางระเบิดด้วยการฝากข้อความเสียง หากมันมีใจห่วงพี่เหมือนที่เธอห่วงมัน ปุณณภพต้องติดต่อมาแน่“เธอน่ะ เชื่อไม่ได้ หนีจากฉันสองครั้งแ
“คุณมิ้มดี๊...ดีจ้ะ นอกจากสวยเหมือนนางเอกในทีวียังช่วยผมทำความสะอาดบ้านด้วย”สรวิชญ์มองเธอแล้วเหยียดยิ้ม ปุณิกาเชิดหน้าขึ้นสูง“เอ...ดีกว่าสาว ๆ ที่เพื่อนคุณเต้ยพามาอีก พวกนั้นดีแต่ทำตัวสำรวย สวยไปวัน ๆ”เธอเห็นจะต้องมองแสนดีเสียใหม่ หนุ่มพ่อบ้านปากร้ายพอตัว“ใครได้มาเป็นเมียต้องคิดหนัก จ่ายค่าคนใช้บาน”“บ้านฉันไม่ใช่คนรวยหรอกนะแสนดี เลยต้องสลับกันกับน้องทำงานบ้าน”“แค่นี้คุณมิ้มก็เหนือกว่าสาวกรุงเทพฯพวกนั้นเยอะ”หนุ่มรุ่นน้องยังยอไม่เลิก“พอแล้ว ไปทำกับข้าวให้กูกินไป หิว!”เขาสั่ง ก่อนหันหลังจากห้องไป“โอ้...โมโหหิวนี่เอง”แสนดีปล่อยลมหายใจออกพรืด“ให้ฉันช่วยทำข้าวกลางวันไหม”“ไม่ต้องหรอกครับ คุณมิ้มไปอาบน้ำ มารอกินข้าวเถอะ”แล้วแสนดีก็ออกจากห้องไปอีกคน เธอจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าชั้นเหมือนเดิม เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ล้วนมีแต่เสื้อยืดกับผ้าถุงหลวม ๆ แสนดีเล่าว่ากางเกงขายหมดแล้ว ต้องรออีกสองสามวันของถึงจะมาใหม่เธอพันผ้าถุง แนบลำตัว เหลือส่วนเกินเป็นคืบ ต้องเหน็บแล้วม้วนไว้ที่เอว กระนั้นยังเห็นส่วนเว้าโค้งชัด ปุณิการู้สึกไม่มั่นใจเลยในการสวมชุดไม่คุ้นเคยแบบนี้ ได้แต่ปลอบตนเอ
“ไอ้บ้ากาม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”พอเจ้าของร่างสูงวางตัวเธอลงบนพื้น ปุณิกาก็รีบวิ่งแจ้นหนีเขาไปมุมเหนือเตียง เมื่อเขาย่างเท้ามา เธอรีบคว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ หวังจะหยุดเขาได้ แต่อนิจจา เขาหลบสิ่งของได้อย่างว่องไว“ฉันจะเรียกตำรวจ”“เรียกมาเลย ฉันจะได้ให้มาจับน้องเธอ ข้อหาพรากผู้เยาว์”“แต่คุณก็ลักพาตัวฉันมาแล้วนี่ แถมยังจะข่มขืนฉันอีก บ้านเมืองมีกฎหมาย หัดคิดเสียบ้าง คนมีสติดี ๆ เขาไม่ทำกันหรอก”“ที่นี่คือถิ่นฉัน ...ฉันคือกฎ!”ปุณิกาบูชากฎโดยการขว้างโคมไฟใส่ เขาเบี่ยงตัวหลบทันตามเคย แต่ไม่นึกว่าเธอจะเปิดลิ้นชัก หยิบกรอบรูปโลหะมาขว้างซ้ำ สรวิชญ์ที่ไม่ทันระหว่างจึงโดนขอบมุมโลหะเข้าที่ปลายคิ้ว เขานิ่วหน้าเพราะปวดแปลบ ยกมือขึ้นคลำ สัมผัสได้ถึงน้ำสีแดงซึมออกมา“ฤทธิ์มากนักนะเธอ มา! พ่อจะเอาให้ยับนอนจมเตียง”ห้องนอนไม่กว้างนัก เจ้าของก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงคนตัวบาง จับกระชากข้อมือ จนตัวเธอถลาลงบนเตียงปุณิกาใช้กำลังเฮือกสุดท้าย กางเล็บหมายข่วนหน้าเขา สรวิชญ์ไม่ยอมเสียท่าซ้ำสอง มือใหญ่รวบข้อมือคนพยศไว้เหนือศีรษะเจ้าตัว เมื่อส่วนบนถูกพันธนาการ แต่ส่วนล่างยังว่าง ปุณิกาจึงทั้งตีเข่า ทั้งพยายามแตะผ่า