ทั้งสามคนหัวเราะครื้นเครงเป็นเสียงเดียวกันในทันทีกู้หว่านเยว่หาเวลาบอกนางหยางเรื่องที่ซูจื่อชิงและเมี่ยชิงหว่านคืนดีกันแล้ว และย่อมไม่ได้พูดถึงเรื่องสกปรกที่เผยเสวียนทำในระหว่างนั้นก่อนหน้านี้ไม่นานซูจื่อชิงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะช่วยชีวิตเมี่ยชิงหว่านมาแล้ว นางกังวลว่านางหยางจะไม่ชอบใจแต่ใครจะรู้หลังจากนางหยางฟังจบแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก “เด็กสองคนนี้ควรจะได้เป็นคู่กันอยู่แล้ว หวังว่าคราวนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียน ต่อไปจะได้ทะนุถนอมซึ่งกันและกันให้ดี ๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย”กู้หว่านเยว่อมยิ้ม นางหยางเป็นแม่สามีที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามที่คิดไว้หลังจากออกจากเรือนของนางหยาง นางก็ไปพบเฉินจื่อวั่งอีกครั้งเฉินจื่อวั่งเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษาถงซัน รู้สึกมึนงงไปหมด“ชายาท่านอ๋อง เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยรู้ว่า สำนักศึกษาสามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่ากระดานดำและชอล์ก มันคือของสิ่งใดกัน ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน”“ตอนนี้บอกข้าหน่อยว่า เจ้ายินดีที่จะเป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาถงซันหรือไม่?”“ยินดี ยินดี!”ก่อนหน้านี้เฉินจื่อวั่งยังลังเลอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน”เฉินจื่อวั่งลูบศีรษะพลางคิดในใจว่า ถ้าอาจารย์ของเขามาที่นี่ได้ก็คงจะดีกว่านี้เพียงแต่ว่า นี่แค่ลองคิดดูเท่านั้นอาจารย์ของเขาคือราชครู ถึงแม้ตอนนี้จะเกษียณกลับบ้านเกิดไปแล้ว แต่นั่นก็คือราชครู ไม่มีทางมาที่เจดีย์หนิงกู่ ไม่มีทาง“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน เรื่องความคืบหน้าของสำนักศึกษา ข้าน้อยจะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา”“อืม”กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เหลืออยู่เล่มเดียวออกมาจากมิติ มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ วันเวลาว่าง ๆ แสนสบายนั้นไม่เลวจริง ๆไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็สามารถใช้เวลาศึกษาค้นคว้าจากตำราแพทย์ได้พอกู้หว่านเยว่ได้เปิดอ่านเวลาก็หมดไปทั้งช่วงบ่าย หลังจากยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ก็เห็นเมี่ยชิงหว่านและซูจื่อชิงเข้ามาส่งอาหารให้นาง“เอามาจากจินโหลว จิ่นเอ๋อร์บอกว่าท่านชอบกิน พวกข้าก็เลยเอามาให้ท่านส่วนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องออก เห็นกุ้งแช่เหล้าจานหนึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุดทันที“ขอบคุณนะ ข้าชอบกินจานนี้จริง ๆ”เมี่ยชิงหว่านยิ้มอย่างเก้อเขิน “เรื่องระหว่างข้ากับจื่อชิงก่อนหน้านี้ ทำให้พี่หว่านเยว่ต้องเป็นกังวล”“ไม่
“บ่าว จะเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาล้อเล่นได้ยังไงเจ้าคะ?”ชิวจู๋จะล้มมิล้มแหล่ ไม่กล้าสบสายตากับกู้หว่านเยว่เมี่ยชิงหว่านกลับมองอะไรไม่ออกมากนัก ในชั่วขณะนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป“จื่อชิง เจ้าจะว่ายังไง?”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงมองไปทางซูจื่อชิง แต่ปรากฏว่าซูจื่อชิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น“คืนวันนั้น ข้าไม่ได้แตะต้องชิวจู๋เลย”“คุณชายรอง ท่าน...”สายตาของชิวจู๋สับสนเล็กน้อย ทำไมซูจื่อชิงถึงพูดเช่นนี้?คืนวันนั้นชัดเจนว่านางปีนขึ้นไปในขณะที่เขากำลังสลบไสลอยู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาไม่ควรรู้เรื่องถึงจะถูก“คืนวันนั้นข้าเมาเหล้า อารมณ์ไม่ค่อยดี แต่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”ซูจื่อชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ตอนนั้นเพิ่งตื่นพอดี สมองของข้าตื้อเหลือเกิน ยังไม่อาจตอบสนองอะไรได้ทัน”“บนหัวเตียงมีคราบเลือดของข้า ตอนนั้นคุณชายรองก็เห็น”ชิวจู๋ไม่อยากยอมรับ จนทำให้ซูจื่อชิงต้องส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคราบเลือด ข้าคงไม่สามารถยืนยันได้ เจ้าบอกมาซิว่าบาดแผลที่มือของเจ้าคืออะไร?”“ข้า...” ชิวจู๋รีบซ่อนนิ้วมือเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าซูจื่อชิงจะสังเกตได้อย่างรอบคอบเช่นนี้“ชิวจู๋
“ไม่จำเป็น”ซูจื่อชิงมองไปที่ร่างบางอ่อนแอของนาง ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เลื่อนสายตา “ชิวจู๋ ต่อให้วันนี้เจ้าไม่ได้ตั้งใจไปพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าก็ไม่สามารถอยู่ข้างกายข้าได้อีกแล้ว”“คุณชายรอง...”ชิวจู๋โงนเงน ประกายน้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตาก่อนหน้านี้ซูจื่อชิงเห็นใจนางอยู่บ้าง แต่กลับเป็นเพียงความเห็นใจที่มีต่อสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีความรักระหว่างชายหญิงเมื่อครู่ถูกนางทำร้าย บัดนี้แม้แต่ความเห็นใจก็ไม่เหลือเลยสักเศษเสี้ยว“ข้างกายข้าไม่มีที่ให้สาวใช้มีใจเป็นอื่น”หากวันใดถูกวางอุบายจริง ก็ไม่มีวันรู้“พี่สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อนางพูดว่าบ้านของนางจัดเตรียมงานแต่งไว้ให้นางแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่มอบหนังสือปลดปล่อยทาสให้นาง ปล่อยให้นางออกไปเถอะ”ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หนังสือปลดปล่อยทาสมอบให้เพียงสาวใช้ทำความผิด นั่นหมายถึงการไล่ออกจากจวน“ไปทำตามความนัยของเขา”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ชิวจู๋เป็นคนของเรือนซูจื่อชิง นางเองก็คร้านจะดูแล“คุณชายรอง ท่านจะไล่บ่าวไป เหตุใดท่านใจร้ายถึงเพียงนี้? ดีชั่วอย่างไรบ่าวก็ดูแลท่านมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวยังจริ
บัดนี้เส้นโครงเรื่องถูกตนเปลี่ยนแปลง ซูจิ่งสิงยังมีชีวิตอยู่ บนตัวซูจื่อชิงกลับไม่มีภาระอะไร ตรงข้ามกันทำให้ตอนนี้ยังมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง“ใช่แล้ว พรุ่งนี้โจวเหล่าและซ่งเสวี่ยจะเดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่”ซูจิ่งสิงเอ่ยเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้กู้หว่านเยว่ตกตะลึง“พี่หญิงซ่งมิใช่พูดว่า ผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่งถึงจะเดินทางมามิใช่หรือ เหตุใดโจวเหล่าเองก็มาได้เล่า?”ซูจิ่งสิงเห็นท่าทางตกตะลึงของนางนี้น่ารักมาก ยื่นมือออกไปบีบจมูกนางอย่างสุดจะหักห้ามใจ“เจ้ามิใช่พูดว่าเจ้าต้องการสร้างสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง แต่ภายในสำนักศึกษายังขาดแคลนอาจารย์หรอกหรือ? ข้าก็เรียกตัวโจวเหล่ามาอย่างไรเล่า”กู้หว่านเยว่ว้าวุ่นใจ นางขาดแคลนอาจารย์จริง แต่นางเองก็คาดไม่ถึงว่าจะสามารถเรียกตัวโจวเหล่ามาได้ต้องรู้ว่า ในอดีตโจวเหล่าเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาท เป็นราชครูเชียวนะ!ให้เขามาสอนหนังสือที่เจดีย์หนิงกู่?ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ “โจวเหล่าอยากเห็นเสี่ยวจ้านจ้าน เขาวางแผนสอนเสี่ยวจ้านจ้านด้วยตนเอง”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเสี่ยวจ้านจ้านเป็นลูกชายของซูจิ่งสิง ก็คือสายเลือดของอดีตองค์รัชทายาท โจวเหล่าเป็นอ
ทว่ายามอยู่ต่อหน้าโจวเซ่อ กลับไม่แสดงออกมา วางแผนถามซ่งเสวี่ยเป็นการส่วนตัว“เสี่ยวจ้านจ้านเล่า อุ้มเสี่ยวจ้านจ้านของพวกเจ้ามาให้ข้าดูเถอะ”โจวเหล่าหันซ้ายแลขวา มิอาจข่มความอยากเห็นหลานชายตัวน้อยเอาไว้ได้ตั้งนานแล้วกู้หว่านเยว่ให้สาวใช้ไปอุ้มจ้านจ้านออกมา จ้านจ้านเพิ่งตื่น สายตายังพร่ามัวจู่ๆ มองเห็นคนล้อมไว้มากเพียงนี้ กะพริบตาปริบๆ อย่างสับสน“เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักจริงๆ มองจากพื้นฐานแล้ว โตขึ้นจะต้องมีพรสวรรค์อย่างแน่นอน”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวอุ้มจ้านจ้านขึ้นมาชื่นชม ซ่งเสวี่ยเองก็อุ้มลูกสาวไปเล่นด้วย“เด็กคนนี้ฉลาดมาก” โจวเหล่าครุ่นคิดภายในใจ ภายภาคหน้าจะต้องเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปรีชา“เสี่ยวจ้านจ้าน รอเจ้าโตแล้ว ข้าจะสอนเจ้าอ่านหนังสือเรียนอักษรดีหรือไม่?” โจวเหล่ายิ้มตาหยีเดินเข้าไปอ่านหนังสือ เขียนอักษร? เสี่ยวจ้านจ้านจับเคราสีขาวของโจวเหล่าทำเสียจนโจวเหล่ารีบพูด “เร็วๆ ปล่อยเคราของข้าเร็วเข้า เคราใกล้จะถูกเจ้าดึงหลุดแล้ว”จ้านจ้านไม่สนใจมากมายนัก หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเวลาเพียงชั่วพริบตา ความคิดที่โจวเหล่ามีต่อจ้านจ้านเปลี่ยนไปมากแล้วนี่จะต้องเป็นเด็กซุกซนคนหนึ่ง!
กู้หว่านเยว่มองตามสายตานางไป โจวเซ่อและนานนานเข้ากันได้ดีจริงๆ“พี่หญิงทำเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะไม่เสียใจหรือ หากภายภาคหน้าได้พบคนที่ชอบจะทำเยี่ยงไร?”กู้หว่านเยว่มักคิดว่าทำเช่นนี้ไม่ดีนัก“ข้าอายุขนาดนี้แล้ว ลูกก็คลอดแล้ว ยังจะสามารถมีอะไรได้อีก? มีคนที่ชอบ หาคนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ได้ก็พอ ส่วนความคิดอย่างอื่นก็ไม่คิดแล้ว”ซ่งเสวี่ยถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่อยากให้พ่อสามีและแม่สามีกังวล ล้วนอายุมากแล้ว ระยะก่อนใส่ใจเรื่องของข้าอยู่ตลอด ข้าเองก็พูดเอาชนะพวกเขาไม่ได้”กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงถอนหายใจ “โจวเหล่าและโจวฮูหยินดีต่อท่านด้วยใจจริง”“แน่นอนพวกเขาเห็นข้าเป็นลูกสาวแท้ๆ ชนิดที่ว่าก่อนหน้านี้ยังอยากให้ข้าเปลี่ยนเป็นสกุลโจว เข้าลำดับวงศ์ตระกูล เป็นลูกสาวของพวกเขาโดยตรงเพียงแต่ถูกข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าอยากอยู่เฝ้าสามีผู้ล่วงลับ อย่างไรเสียข้าและเขาก็เป็นคู่รักในวัยเยาว์ที่รักกันมาก...”ซ่งเสวี่ยพูดไปน้ำตาก็เอ่อคลอ หลายปีมานี้ไม่มีเรื่องใดสามารถสะเทือนอารมณ์ของนางได้ เว้นเสียแต่เอ่ยถึงสามีผู้ล่วงลับ อารมณ์ของนางถึงเปลี่ยนไปนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยามคุณชายโจวยังอยู่ เดิมทีพวกเขาสอ
ในสายตาของผู้เฒ่ามีเพียงเสี่ยวจ้านจ้าน กู้หว่านเยว่กลับดีใจมาก มีคนเอ็นดูลูกเพิ่มขึ้นอีกคนนับเป็นเรื่องดียิ่งไปกว่านั้นลูกศิษย์ของโจวเหล่ากระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง คนมากมายขอร้องให้เขาสอนแต่กลับไม่สมปรารถนา“นี่คือวาสนาของจ้านจ้านเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่อุ้มจ้านจ้านไว้แล้วโค้งคำนับโจวเหล่า นับว่ายอมรับอาจารย์ท่านนี้แล้ว“ดี ดี ข้าจะนำความรู้ที่มีทั้งหมด ถ่ายทอดออกไป”โจวเหล่าซับน้ำตา เมื่อแรกเขาเองก็พูดกับอดีตองค์รัชทายาทเช่นนี้ หวังให้อดีตองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ สามารถนำพาต้าฉีสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอดีตองค์รัชทายาทจะด่วนจากไป สิ้นพระชนม์อย่างคลุมเครือเขามองจ้านจ้าน น้ำตาเอ่อคลอหวังว่าเด็กคนนี้ จะสามารถทำให้ความหวังของปู่เขาในปีนั้นสำเร็จ“อา...”จ้านจ้านยกมือขึ้น เช็ดน้ำตาให้โจวเหล่าเบาๆเหตุใดผู้เฒ่าร้องไห้แล้วเล่า?โจวเหล่าเหน็ดเหนื่อย เดินทางมาไกล กู้หว่านเยว่สั่งให้ห้องครัวเล็กเตรียมงานเลี้ยงไว้อย่างดีตั้งนานแล้ว จะได้เลี้ยงต้อนรับพวกเขาอย่างเต็มที่ก่อนรับประทานอาหาร คนอีกสองกลุ่มก็เดินทางมา“เจ้าเด็กตัวเหม็น มีของกินกลับไม่เรียกผู้เฒ่าข้า ไ
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง