เฉินจื่อวั่งยิ้มขมปร่า “เรื่องนี้ ยากจะพูดให้จบได้ภายในคำเดียว”เขาย่อมไม่สามารถพูดว่า เพราะหน้าละอ่อนนี้ของเขา ไม่เพียงทำให้เสียตำแหน่งทั่นฮวาหลาง ยังถูกจับขังคุก เกือบถูกบั่นคอหรอกกระมัง?“บัดนี้ศิษย์เป็นผู้อำนวยการสำนักศึกษาของสำนักศึกษาถงซันขอรับ”เฉินจื่อวั่งพูดยิ้มๆ “ภายภาคหน้าสามารถพบท่านอาจารย์ได้บ่อยๆ แล้ว”“อืม” โจวเหล่าลูบเคราเงียบๆ ภายภาคหน้ามีคนลำบากลงแรงโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้วคล้ายเรื่องคัดลอกหนังสือทำนองนี้ ก็สมควรให้คนหนุ่มมาทำ“ข้าว่าพวกเจ้ายืนอยู่ทำไม? รีบกินข้าวเถอะ ข้าวใกล้จะเย็นแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกอยากอาหารรึ?”ปรมาจารย์แพทย์นั่งลงอย่างรอแทบไม่ไหว ทำเสียจนโจวเหล่าถลึงตาใส่เขาอีกหนึ่งปราดทุกคนต่างพากันนั่งที่ กู้หว่านเยว่ให้ห้องครัวเล็กเตรียมอาหารเลิศรส เพียงครู่เดียว ระหว่างงานเลี้ยงก็ผลัดกันยกจอกสุรา บรรยากาศครึกครื้นกู้หว่านเยว่ยังตกตะลึงกับหนี้ก้อนใหญ่ที่ปรมาจารย์แพทย์ติดค้างไว้ แปลกใจมาก “ผู้อาวุโส ตกลงท่านทำอะไร เหตุใดติดเงินมากเพียงนั้นเล่า?”“พวกเราสองคนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เขาติดหนี้ข้า ติดหนี้ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่รู้ตัวก็สั่งส
“โจวเหล่าเห็นซ่งเซวี่ยเป็นลูกสาวแท้ๆ เคยตรวจสอบโจวเซ่อมาก่อน ครอบครัวไร้มลทิน”ซูจิ่งสิงมิได้มีความประทับใจต่อโจวเซ่อ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายค่อนข้างซื่อสัตย์ ตอนที่อยู่ที่งานเลี้ยงเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำตัววุ่นวายอะไร“อาจเป็นสัมผัสที่หกของผู้หญิง อย่างไรเสียข้าก็คิดว่าโจวเซ่อไม่ใช่คนดีอะไร”กู้หว่านเยว่เบ้ปาก แต่หวังว่าสัมผัสที่หกของนางจะผิดพลาดไปอย่างไรเสียนางก็ยังหวังให้พี่หญิงซ่งมีความสุข“ข้าส่งคนไปจับตาดูมากหน่อย”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดแล้วจึงพูด เขาเองก็ไม่หวังให้สกุลโจวชักนำภัยเข้าบ้านตอนนี้เองอวิ๋นมู่เดินเข้ามาใบหน้าบึ้งตึง สีหน้าอ่อนล้าเล็กน้อย “หว่านเยว่ เกิดเรื่องแล้ว”“เกิดอะไรขึ้น?”หลายวันนี้กู้หว่านเยว่ให้อวิ๋นมู่ช่วยไปซื้อของใช้จำเป็นอย่างเช่นหนังสือ กระดาษให้แก่สำนักศึกษาถงซัน กลับกันไม่ได้พบหน้าเขามาระยะหนึ่งแล้ว“ราชสำนัก ไม่อนุญาตสำนักศึกษาทุกแห่งให้พวกเรายืมหนังสือมาคัดลอก อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ทางการขายกระดาษให้พวกเรา”เปิดสำนักศึกษาจะขาดกระดาษหมึกพู่กันแท่นฝนหมึกไปไม่ได้ รวมถึงหนังสือด้วยหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ สำนักศึกษาจะเปิดได้อย่างไร ศิษย์ไม่มีกระดาษเขียนแม้แ
กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อยๆ“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลวิธีทำกระดาษถูกราชสำนักผูกขาด ในมือข้านี้มีวิธีทำกระดาษ”“ท่านมีวิธีทำกระดาษ?”ครู่ต่อมาอวิ๋นมู่ตกตะลึงเหม่อไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายในมือกู้หว่านเยว่ถึงขั้นมีวิธีทำกระดาษ ตกลงนี่คือสตรีเช่นไรกันแน่ ถึงขั้นมีของล้ำค่ามหัศจรรย์มากมายเพียงนี้ได้?เจ้าดูนางไม่เพียงรู้วิชาแพทย์ ยังสร้างดินปืน ถังดินปืน ไปจนถึงสร้างกระจก สร้างถนนคอนกรีต บัดนี้ถึงขั้นรู้วิธีทำกระดาษ“ข้าก็แค่มีสูตรอยู่ในมือเท่านั้น ส่วนทำออกมาเยี่ยงไร ยังต้องให้คนทดลองซ้ำไปมา”มิใช่พูดว่าเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำกระดาษสำเร็จ จะต้องให้คนทดลองซ้ำไปมาอวิ๋นมู่รีบพูด “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”เขาซื้อกระดาษกลับมาไม่ได้ อยากทำความดีชดเชยความผิด“ข้าจะพาคนไม่สร้างโรงงานผลิตกระดาษแห่งหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย พาคนงานไปทำกระดาษ”“ได้”กู้หว่านเยว่คิ้วกระตุกเบาๆ “เจ้าไปห้องหนังสือรับวิธีทำกระดาษกับข้า”นางยังต้องเข้ามิติไปซื้อจากจากแพลตฟอร์มการซื้อขาย ไปห้องหนังสือเพียงแค่ตบตาเท่านั้นวิธีทำกระดาษของเล่นนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่สิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของบ้านเมืองข้า นางได้ยินจนคุ้นหูแ
“หลังเสวียนเอ๋อร์จากไปพร้อมพวกเจ้า เขาก็หายตัวไปแล้ว ไม่กลับมาอีก ตกลงเจ้าพาเขาไปอยู่ที่ใด?”เผยฮูหยินถลึงตาใส่เมี่ยชิงหว่านอย่างโกรธแค้น มือออกแรงบีบจนเกิดรอยมือสีแดง“เขาตายแล้ว”เมี่ยชิงหว่านผลักเผยฮูหยินออก ลูบข้อมือของตนอย่างรังเกียจ“เจ้าพูดอะไร? ลูกชายข้าชอบเจ้าถึงเพียงนั้น เจ้าถึงขั้นฆ่าเขา”เผยฮูหยินเห็นเผยเสวียนหายตัวไปหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดเรื่องในจวนอย่างต่อเนื่อง เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วครั้นได้ยินจากปากเมี่ยชิงหว่าน ยังรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด“เขาเป็นคู่หมั้นของเจ้า เหตุใดเจ้าใจร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าคืนลูกชายข้ามานะ”เผยฮูหยินโมโหถลันเข้าหาเมี่ยชิงหว่าน ถูกซูจื่อชิงใช้ขาเตะออกไป“ลูกชายท่านทำเรื่องอะไรไว้ ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ?”ดวงตาซูจื่อชิงทอประกายเย็นชา ทำให้เผยฮูหยินร้อนตัว “ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไม่ควรฆ่าเขา”เมี่ยชิงหว่านถลึงตาใส่เผยฮูหยิน หากพูดว่าคนแรกที่นางเกลียดคือเผยเสวียน คนที่สองที่นางเกลียดก็คือเผยฮูหยิน“เผยเสวียนบอกข้า ความคิดเรื่องภาพม้วน เป็นฝีมือท่าน”สายตานางทอประกายเย็นชา “ท่านพูด ผู้หญิงรู้จักผู้หญิงดีที่สุดยังต้องกลัวอะไ
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
แสดงให้เห็นว่า เจี่ยชิงอวิ๋นไม่รู้จริง ๆ ว่าอดีตรัชทายาทสิ้นพระชนม์อย่างไรซูจิ่งสิงเห็นดังนั้น ในดวงตาก็เผยความเสียใจออกมา ทำได้เพียงสอบถามเจี่ยชิงอวิ๋นต่อไป“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอดีตรัชทายาทสิ้นพระชนม์อย่างไร แล้วเหตุใดจึงกล่าวถึงเขาในจดหมาย?”เจี่ยชิงอวิ๋นตอบอย่างตรงไปตรงมา “นี่คือคำสั่งจากเบื้องบน”“คนที่อยู่เบื้องบนคือใคร?”ซูจิ่งสิงซักถามต่อไป“หัวหน้าขันทีเจี่ยงฝูไฉ เขาเป็นพ่อบุญธรรมของข้า” เจี่ยชิงอวิ๋นตอบอย่างซื่อตรงใบหน้าของกู้หว่านเยว่เผยความอยากรู้อยากเห็นออกมา“คนผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”ซูจิ่งสิงอธิบายให้นางฟังที่ข้างหู“นี่คือหัวหน้าขันทีในวัง และเป็นสมุนของฮ่องเต้ชั่วด้วย”ตอนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศ ก็เป็นคนผู้นี้ที่ประกาศคำตัดสินโทษของเขาดังนั้นซูจิ่งสิงจึงมีความทรงจำต่อคนผู้นี้เป็นอย่างดี“ได้ยินมาว่าเขาติดตามฮ่องเต้ชั่วมาตั้งแต่ยังเป็นญาติพี่น้องร่วมวงศ์ตระกูล ดังนั้นฮ่องเต้ชั่วจึงไว้ใจเขามาก”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางเข้าใจแล้ว“เนื่องจากหัวหน้าขันทีผู้นี้เป็นคนของฮ่องเต้ชั่ว นั่นก็หมายความว่า หญิงผู้นี้ฝ่ายฮ่องเต้ชั่วเป็นผู้ส
“ยาพูดความจริงที่ปรมาจารย์แพทย์ให้ข้ามายังเหลืออยู่เล็กน้อย เพียงพอแล้ว”กู้หว่านเยว่ให้ซูจิ่งสิงนำทางไปคนถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของเมืองจางโจว ที่แห่งนี้โดยทั่วไปจะใช้คุมขังผู้สืบราชการลับและข้าศึกต่างแดน“เป็นผู้หญิงหรือ?”แล้วยังเป็นหญิงสาวอีกด้วยมวยผมสีดำขลับ หน้าตาสะสวย ดูท่าทางอายุยี่สิบกว่าเท่านั้นกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจ นางยังนึกว่าคนที่รู้เรื่องราวในอดีตของอดีตรัชทายาท อย่างน้อยต้องมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางหยางและซูจิ้ง“ปล่อยข้านะ!”เจี่ยชิงอวิ๋นดิ้นรน ร่างกายของนางถูกตรึงด้วยโซ่เหล็กซูจิ่งสิงนำจดหมายลับออกมาฉบับหนึ่ง จดหมายนี้พบจากการค้นตัวเจี่ยชิงอวิ๋น“พูดมา อดีตรัชทายาทที่กล่าวถึงในจดหมายถูกใครสังหารกันแน่ ผู้บงการคือใคร”ที่แท้ ขณะที่ซูจิ่งสิงลาดตระเวนกำแพงเมืองในวันนี้ จู่ ๆ เจี่ยชิงอวิ๋นก็เหาะเหินออกมาเพื่อสังหารเขาเขาคิดว่านางเป็นเพียงนักฆ่าธรรมดา แต่องครักษ์จันทรากลับพบจดหมายลับจากการค้นตัวนางในแต่ละบรรทัดมีการกล่าวถึงว่า ต้องสังหารซูจิ่งสิงให้ได้ จะให้ความจริงเรื่องการสิ้นพระชนม์ของอดีตรัชทายาทรั่วไหลออกไปไม่ได้“ฮึ ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเ
พูดไปก็ทุบตีและถีบเจี่ยหงอีก ไม่สนใจเลยว่าลูกสาวจะร้องไห้งอแงอยู่ข้าง ๆช่วงนี้เจี่ยหงถูกทุบตีอย่างโหดเหี้ยมอยู่หลายครั้ง คราวนี้ถูกถีบหลายครั้ง มีอยู่สองครั้งถีบเข้าที่ท้องของนางพอดีหลังจากนั้นไม่นานก็มีเลือดไหลออกมาจากหว่างขาทั้งสองของนางสติของนางค่อย ๆ เลือนราง และสลบไปอย่างรวดเร็ว“ท่านแม่!” เหลือเพียงเสียงร้องไห้ของลูกสาวตัวน้อย“เอาข้าวของไปหมดแล้วหรือยัง?”กู้หว่านเยว่ที่อยู่ด้านนอกประตูให้ชิงเหลียนช่วยประคองหลิ่วเพียวเพียวขึ้นรถม้าทั้งคณะมาถึงจวนสกุลหลิว หลิวชวี่ได้ให้พ่อบ้านทำความสะอาดเรือนไว้ก่อนหน้านี้แล้วเมื่อเห็นรถม้ากลับมา พ่อบ้านก็เข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง“ท่านแม่ทัพและท่านอ๋องไปที่กำแพงเมืองแล้ว ทิ้งข้าน้อยไว้รอต้อนรับ”พ่อบ้านอธิบาย กู้หว่านเยว่พยักหน้าระหว่างมื้ออาหารเช้า ซูจิ่งสิงบอกว่าวันนี้เขาจะไปที่กำแพงเมืองเพื่อดูแผนผังการจัดวางกำลังป้องกันเสียหน่อย“ไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ให้พ่อบ้านนำทางอยู่ข้างหน้า ส่วนตัวเองคอยประคองหลิ่วเพียวเพียวอยู่ทางด้านหลังขณะที่เข้าไป ก็เห็นคณะละครกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางประตูข้างพอดี“ท่านแม่ทัพเชื่อฟังคำพูดของท่า
สกุลหลี่เห็นลูกชายสำคัญมากกว่าลูกสาว จึงไม่ชอบลูกสาวสองคนนี้เลยและนี่ก็เป็นสาเหตุที่เจี่ยหงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสกุลหลี่เลยสักนิดแต่ถึงอย่างไรเด็กสองคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหลี่หากหย่าร้างไป สกุลหลี่จะไม่ยอมให้นางพาลูกไปด้วยแน่นอน“พวกนางล้วนเป็นก้อนเนื้อที่มาจากตัวข้า ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีพวกนาง”เจี่ยหงเช็ดน้ำตาที่หางตา“ไม่ต้องสนใจข้า ดูแลเพียวเพียวอย่างสบายใจเถอะ”เจี่ยอวิ๋นถอนหายใจ ในใจรู้สึกแย่ยิ่งนัก“ในช่วงนี้ ข้ากับเพียวเพียวจะอาศัยอยู่ในเมืองจางโจว หากท่านมีเรื่องคับข้องใจอันใด ก็ไปบอกพวกข้าสองคน ข้าจะมาจัดการให้ท่านแน่นอน”“อืม”เจี่ยหงลูบแขนโดยสัญชาตญาณ ไม่กล้าเอ่ยปากพูด“เราไปกันเถอะ อย่าให้น้องหญิงต้องรอจนร้อนใจ”หลิ่วเพียวเพียวเอ่ยเตือนสติ กู้หว่านเยว่ยุ่งอยู่กับการงานต่าง ๆ ก็ยังหาเวลามารับนาง นางไม่อยากให้กู้หว่านเยว่รอนานเกินไป“ตกลง”เจี่ยอวิ๋นพยักหน้า พลางลูบไล้ใบหน้าของหลานสาว“เด็กดี วันหลังลุงจะมาหาเจ้าใหม่” ก่อนจะออกไปกับหลิ่วเพียวเพียวทันทีที่ทั้งสองจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทางด้านหลังที่อึดอัดใจอยู่นานก็ปรี่เข้ามาพร้อมกับคุณชายหลี่
“ตกลง” หลิ่วเพียวเพียวรีบพยักหน้า เรียนรู้อย่างอดทนในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน คนสกุลหลี่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เจี่ยอวิ๋น ทำไมพวกเจ้าถึงรีบร้อนจะย้ายออกไปนัก?”ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากตอนที่สงสัยว่าเจี่ยฮูหยินขโมยรังนกไปในวันนั้นราวกับเป็นคนละคน“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมน้องชายถึงไม่พักที่สกุลหลี่ของเราอีกสักสองวันเล่า”คุณชายหลี่ก็เสริมขึ้นมาด้วยแม้ว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับเจี่ยอวิ๋น แต่สายตากลับมองไปทางกู้หว่านเยว่อยู่บ่อยครั้ง“นี่ นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาของท่านกระมัง?”“บังอาจนัก”ชิงเหลียนชักมีดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา“เห็นพระชายาแต่ไม่ทำความเคารพ มัวมองอะไรอยู่?”สองแม่ลูกสกุลหลี่ตกใจกลัวจนทนไม่ไหวทั้งสองเพิ่งเข้ามา ในใจยังมีเจตนาชั่วร้ายอยู่หากรู้ว่าหลิ่วเพียวเพียวและพระชายาเป็นญาติพี่น้องกัน พวกเขาคงทำแบบผักชีโรยหน้าไปแล้วบัดนี้เป็นเรื่องเป็นราว น่าอึดอัดยิ่งนักทั้งสองรีบคุกเข่าลง หลี่ฮูหยินกล่าวว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ข้าคิดว่าท่านและภรรยาของเจี่ยอวิ๋นเป็นญาติพี่น้อกัน พวกเราก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันด้วย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก”“ใช่แ
นางมองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาคาดหวัง “พระชายา ข้าจะหายหรือไม่?”“ไม่ต้องกังวล หายสิ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างอ่อนโยนหลิวหว่านอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อารมณ์เสียไปพักหนึ่ง นางไม่ได้กินอะไรเลย ไม่นานก็งัวเงียผล็อยหลับไป“ข้าจะต้องไปทวงความยุติธรรมกับสกุลฟ่านให้ได้”หลิวชวี่ปิดประตูอย่างระมัดระวัง พอออกมาได้ก็ด่าเปิงทันทีนี่คือการกลั่นแกล้งอย่างแท้จริง“อย่าให้คุณหนูหลิวได้ยินคำพูดไม่ดีอีก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนสติประโยคหนึ่ง ด้วยความใจร้อนที่จะปกป้องน้องสาวของหลิวชวี่ ต้องทำให้สกุลฟ่านทนไม่ไหวแน่นอน“พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”หลิวชวี่รีบพยักหน้าเวลานี้ ชิงเหลียนเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน สกุลเจี่ยกลับมาที่เมืองเหยาแล้ว ทางด้านคุณหนูญาติผู้พี่ยังคงหาที่พักอยู่”หลิ่วเพียวเพียวร่างกายอุ้ยอ้าย ไม่เหมาะที่จะกลับไปเมืองเหยาอีก“พระชายา ท่านมีญาติที่กำลังมองหาที่พักอยู่หรือ?”หลิวชวี่กำลังจะออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ย้อนกลับมาอีกกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ญาติผู้พี่ของข้าเอง”“ถ้าพระชายาไม่รังเกียจ ก็พักที่จวนของข้าน้อยแล้วกันในจวนกว้างขวาง มีห้องรับรองแขกม
เมื่อก่อนนางเป็นคนชอบกิน เห็นของอร่อยก็อดใจไม่ไหวเหมือนกับที่กู้หว่านเยว่คิดไว้ หลังจากกินเสร็จแล้ว ในใจของนางก็เริ่มรู้สึกผิด จึงได้แต่พยายามเอานิ้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารออกมาหลังจากอาเจียนออกมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบายต่อมา แม้ว่านางจะรู้สึกหิว แต่พอเห็นอาหารเหล่านั้นก็มีความรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเองโดยธรรมชาติ“น้องเล็ก เจ้าช่างโง่เขลาจริง ๆ ”หลิวชวี่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่เบื้องหลัง จึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธในทันที“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพี่ใหญ่เล่า?”ที่ผ่านมาเขายังคิดว่าหลิวหว่านอี้ป่วย ไม่คิดว่าจะเป็นโรคทางใจหากรู้ว่าเจ้าเด็กสกุลฟ่านนั่นกล้าทำเช่นนี้ เขาก็คงจะง้างหมัดขึ้นมาทุบตีพวกเขาให้ตายไปแล้ว“เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ข้าไม่กล้าบอกพี่ใหญ่”หลิวหว่านอี้ก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าใจ“อีกอย่างพอผอมลง ข้าก็รู้สึกดีใจพวกเขาว่าข้าอ้วนเกินไป ตั้งฉายาให้ข้าว่าหมูอ้วนยังบอกอีกว่าคนที่อ้วนอย่างข้า หากในอนาคตได้เป็นเจ้าสาวคงไม่สวยแน่ ๆ ”น้ำตาของหลิวหว่านอี้ไหลรินลงมาเป็นหยด ๆ หลิวชวี่โกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา น้องสาวถูก
นานวันเข้า ไม่เพียงแต่จะทำลายกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นโรคเบื่ออาหารได้ด้วยกู้หว่านเยว่นำการวิเคราะห์ของตนเองมาอธิบายให้หลิวหว่านอี้และหลิวชวี่ฟัง“โรคเบื่ออาหาร?”หลิวชวี่แสดงสีหน้าสับสน“ไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน”ซูจิ่งสิงก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน แต่เขาได้ยินเรื่องแปลกใหม่จากปากภรรยามาไม่น้อย จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเหมือนกับทั้งสองคนกู้หว่านเยว่ยิ้ม “โรคนี้พบได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่า น้อยคนนักที่จะคิดไปถึงเรื่องนี้”“พระชายา เช่นนั้นท่านคิดว่าควรจะรักษาอย่างไรเล่า?”หลิวชวี่รีบเอ่ยถามแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หมอทั้งหลายไม่สามารถบอกได้เลยว่าน้องเล็กป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุใด ๆ เลย ตอนนี้อย่างน้อยกู้หว่านเยว่ก็ยังสามารถบอกอาการของโรคได้เมื่อมีอาการของโรค ก็ต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอนได้ลองรักษา ก็ดีกว่าไม่ได้ลองอะไรเลย“โรคนี้จะว่ารักษายากก็ไม่ยาก แต่จะว่ารักษาให้หายก็ไม่ง่ายเช่นนั้น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด โรคนี้ยังต้องถามให้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากอะไร“คุณหนูหลิว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เมื่อปีก่อนเห
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”อิงเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่ท่านแม่ทัพมาแล้วมิฉะนั้น หากคุณหนูเกิดอาการกำเริบขึ้นมา นางก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรจริง ๆ นางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานห้องก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้วหลิวชวี่จึงออกไปข้างนอก เชิญกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเข้ามา“พระชายา ต้องขออภัยจริง ๆ น้องเล็กเพิ่งจะอาการกำเริบ”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า“ไม่เป็นไร”แค่ฟังหลิวชวี่บรรยายในห้องหนังสือ ก็รู้ว่าโรคของหลิวหว่านอี้มีอารมณ์แปรปรวนเวลานี้ หลิวหว่านอี้กลับไปนอนอยู่บนเตียงแล้วนางจะอารมณ์พลุ่งพล่านมากในเวลาที่อาการกำเริบ โดยปกติแล้วก็จะนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ทานอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมานั่งนาน ๆ กู้หว่านเยว่เดินไปที่ข้างเตียง ตกใจกับสภาพของหลิวหว่านอี้เป็นอย่างมากเมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู ได้ยินเสียงพูดของนางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริงก็พบว่า คนผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้วทั้ง ๆ ที่อายุเพียงสิบห้าปี เป็นวัยที่สดใสงดงามราวกับดอกไม้ แต่กลับซูบผอมเหมือนคนอายุสามสิบปี“คารวะท่านอ๋อง พระชายา”หลิวหว่านอี้กล่าวอย่างอ่อนแรง คิดจะลุกขึ้นทำความเคาร