กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อยๆ“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลวิธีทำกระดาษถูกราชสำนักผูกขาด ในมือข้านี้มีวิธีทำกระดาษ”“ท่านมีวิธีทำกระดาษ?”ครู่ต่อมาอวิ๋นมู่ตกตะลึงเหม่อไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายในมือกู้หว่านเยว่ถึงขั้นมีวิธีทำกระดาษ ตกลงนี่คือสตรีเช่นไรกันแน่ ถึงขั้นมีของล้ำค่ามหัศจรรย์มากมายเพียงนี้ได้?เจ้าดูนางไม่เพียงรู้วิชาแพทย์ ยังสร้างดินปืน ถังดินปืน ไปจนถึงสร้างกระจก สร้างถนนคอนกรีต บัดนี้ถึงขั้นรู้วิธีทำกระดาษ“ข้าก็แค่มีสูตรอยู่ในมือเท่านั้น ส่วนทำออกมาเยี่ยงไร ยังต้องให้คนทดลองซ้ำไปมา”มิใช่พูดว่าเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำกระดาษสำเร็จ จะต้องให้คนทดลองซ้ำไปมาอวิ๋นมู่รีบพูด “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”เขาซื้อกระดาษกลับมาไม่ได้ อยากทำความดีชดเชยความผิด“ข้าจะพาคนไม่สร้างโรงงานผลิตกระดาษแห่งหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย พาคนงานไปทำกระดาษ”“ได้”กู้หว่านเยว่คิ้วกระตุกเบาๆ “เจ้าไปห้องหนังสือรับวิธีทำกระดาษกับข้า”นางยังต้องเข้ามิติไปซื้อจากจากแพลตฟอร์มการซื้อขาย ไปห้องหนังสือเพียงแค่ตบตาเท่านั้นวิธีทำกระดาษของเล่นนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่สิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของบ้านเมืองข้า นางได้ยินจนคุ้นหูแ
“หลังเสวียนเอ๋อร์จากไปพร้อมพวกเจ้า เขาก็หายตัวไปแล้ว ไม่กลับมาอีก ตกลงเจ้าพาเขาไปอยู่ที่ใด?”เผยฮูหยินถลึงตาใส่เมี่ยชิงหว่านอย่างโกรธแค้น มือออกแรงบีบจนเกิดรอยมือสีแดง“เขาตายแล้ว”เมี่ยชิงหว่านผลักเผยฮูหยินออก ลูบข้อมือของตนอย่างรังเกียจ“เจ้าพูดอะไร? ลูกชายข้าชอบเจ้าถึงเพียงนั้น เจ้าถึงขั้นฆ่าเขา”เผยฮูหยินเห็นเผยเสวียนหายตัวไปหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดเรื่องในจวนอย่างต่อเนื่อง เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วครั้นได้ยินจากปากเมี่ยชิงหว่าน ยังรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด“เขาเป็นคู่หมั้นของเจ้า เหตุใดเจ้าใจร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าคืนลูกชายข้ามานะ”เผยฮูหยินโมโหถลันเข้าหาเมี่ยชิงหว่าน ถูกซูจื่อชิงใช้ขาเตะออกไป“ลูกชายท่านทำเรื่องอะไรไว้ ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ?”ดวงตาซูจื่อชิงทอประกายเย็นชา ทำให้เผยฮูหยินร้อนตัว “ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไม่ควรฆ่าเขา”เมี่ยชิงหว่านถลึงตาใส่เผยฮูหยิน หากพูดว่าคนแรกที่นางเกลียดคือเผยเสวียน คนที่สองที่นางเกลียดก็คือเผยฮูหยิน“เผยเสวียนบอกข้า ความคิดเรื่องภาพม้วน เป็นฝีมือท่าน”สายตานางทอประกายเย็นชา “ท่านพูด ผู้หญิงรู้จักผู้หญิงดีที่สุดยังต้องกลัวอะไ
ทั้งสองคนเหินบินเข้าจวนเผย ไม่ต้องพูดเชียว สกุลเผยสมเป็นตระกูลชนชั้นสูงนับร้อยปีของเจดีย์หนิงกู่ ตกแต่งได้อย่างหรูหรางดงามกู้หว่านเยว่เดินเข้าไป เก็บเครื่องเรือนไม้หวงฮวา ฉากกั้น ภาพอักษรงดงามบางส่วนตามใจ ลงท้ายถึงขั้นพบอย่างแปลกใจ ภายในห้องหนังสือของสกุลเผยมีหนังสือไม่น้อย มากเสียจนเต็มผนังห้องหนึ่งด้าน“สกุลเผยสมเป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปี มีมรดกทางปัญญาติดตัวอยู่บ้าง มีหนังสือเหล่านี้กลับไม่ใช่เรื่องแปลก”ซูจิ่งสิงพูดยิ้มๆ“สำนักศึกษาถงซันของเจ้าต้องการหนังสือมิใช่หรือ เก็บหนังสือเหล่านี้ไปทั้งหมดเลยเถอะ”“ขอบคุณท่านพี่”กู้หว่านเยว่ต้องการหนังสือเหล่านี้จริง นี่ก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว โบกมือเก็บหนังสือทั้งหมดเข้ามิติทั้งคู่ค้นหาทั้งภายในภายนอกห้องหนังสือหนึ่งรอบน่าเสียดายเหลือเกิน หาจดหมายลับหรือเบาะแสอะไรไม่พบ“แม้แต่เผยเสวียนเองก็ไม่รู้ คนบงการอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร รู้เพียงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ ต้องการหาตัวออกมา น่ากลัวว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก”ความหวังสุดท้าย ก็อยู่บนตัวคนสกุลเผยเหล่านั้นทั้งสองคนย้อนกลับมาที่เรือนส่วนหน้าอีกครั้งขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงเพิ่งสอบสวนมาหนึ่ง
ไม่ตัดรากถอนโคน ก็อาจเกิดหายนะอีกครั้ง“ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น ท่านแม่ข้าเองก็ด้วย”เผยเสียรีบพูดต่อ “หลายปีมานี้พวกเราสองคนอยู่อย่างลำบากที่สกุลเผย ท่านแม่ข้าถูกเดรัจฉานคนนั้นทำร้ายพรากความบริสุทธิ์ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของนางอีก ชนิดที่ว่าเผยฮูหยินยังทิ้งท่านแม่ข้าไว้ภายในเรือน ไม่ใส่ใจไยดีท่านแม่ข้าคลอดข้าออกมาเพียงลำพัง อีกทั้งยังเลี้ยงข้าจนเติบโตอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว หลายปีมานี้สกุลเผยไม่เคยปกป้องคุ้มครองพวกเรา คุณชายคุณหนูของสกุลเผยเหล่านั้นก็ด่าว่าทุบตีพวกเรา”เผยเสียยิ้มเย็น “พูดอย่างไม่เกรงใจหนึ่งประโยค ข้าไม่แก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีแล้ว ไฉนเลยจะช่วยล้างแค้นแทนพวกเขา”แววตานางเฉยเมย ภายในก้นบึ้งของสายตายังมีความแค้นอี๋เหนียงทางด้านหลังหดเกร็งตัว รูปร่างผอมบาง สติก็ไม่ค่อยดีกู้หว่านเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากเจ้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วกับสกุลเผย ข้าสามารถรับปากเงื่อนไขของเจ้าได้”เผยเสียรีบพูด “ข้าสาบาน ข้าและท่านแม่สำรวมตนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องชั่ว”“ดี เจ้าพูดเถอะ”กู้หว่านเยว่มองคนเหล่านี้แวบหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงคนปากมาก เรียกเผยเสียไปพูดที่ฝั่ง
“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
“ตกลง” หลิ่วเพียวเพียวรีบพยักหน้า เรียนรู้อย่างอดทนในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน คนสกุลหลี่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เจี่ยอวิ๋น ทำไมพวกเจ้าถึงรีบร้อนจะย้ายออกไปนัก?”ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แตกต่างจากตอนที่สงสัยว่าเจี่ยฮูหยินขโมยรังนกไปในวันนั้นราวกับเป็นคนละคน“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมน้องชายถึงไม่พักที่สกุลหลี่ของเราอีกสักสองวันเล่า”คุณชายหลี่ก็เสริมขึ้นมาด้วยแม้ว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับเจี่ยอวิ๋น แต่สายตากลับมองไปทางกู้หว่านเยว่อยู่บ่อยครั้ง“นี่ นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาของท่านกระมัง?”“บังอาจนัก”ชิงเหลียนชักมีดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา“เห็นพระชายาแต่ไม่ทำความเคารพ มัวมองอะไรอยู่?”สองแม่ลูกสกุลหลี่ตกใจกลัวจนทนไม่ไหวทั้งสองเพิ่งเข้ามา ในใจยังมีเจตนาชั่วร้ายอยู่หากรู้ว่าหลิ่วเพียวเพียวและพระชายาเป็นญาติพี่น้องกัน พวกเขาคงทำแบบผักชีโรยหน้าไปแล้วบัดนี้เป็นเรื่องเป็นราว น่าอึดอัดยิ่งนักทั้งสองรีบคุกเข่าลง หลี่ฮูหยินกล่าวว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ข้าคิดว่าท่านและภรรยาของเจี่ยอวิ๋นเป็นญาติพี่น้อกัน พวกเราก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันด้วย จึงไม่ได้คิดอะไรมาก”“ใช่แ
นางมองไปทางกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาคาดหวัง “พระชายา ข้าจะหายหรือไม่?”“ไม่ต้องกังวล หายสิ”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างอ่อนโยนหลิวหว่านอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อารมณ์เสียไปพักหนึ่ง นางไม่ได้กินอะไรเลย ไม่นานก็งัวเงียผล็อยหลับไป“ข้าจะต้องไปทวงความยุติธรรมกับสกุลฟ่านให้ได้”หลิวชวี่ปิดประตูอย่างระมัดระวัง พอออกมาได้ก็ด่าเปิงทันทีนี่คือการกลั่นแกล้งอย่างแท้จริง“อย่าให้คุณหนูหลิวได้ยินคำพูดไม่ดีอีก”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนสติประโยคหนึ่ง ด้วยความใจร้อนที่จะปกป้องน้องสาวของหลิวชวี่ ต้องทำให้สกุลฟ่านทนไม่ไหวแน่นอน“พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”หลิวชวี่รีบพยักหน้าเวลานี้ ชิงเหลียนเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน สกุลเจี่ยกลับมาที่เมืองเหยาแล้ว ทางด้านคุณหนูญาติผู้พี่ยังคงหาที่พักอยู่”หลิ่วเพียวเพียวร่างกายอุ้ยอ้าย ไม่เหมาะที่จะกลับไปเมืองเหยาอีก“พระชายา ท่านมีญาติที่กำลังมองหาที่พักอยู่หรือ?”หลิวชวี่กำลังจะออกไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ย้อนกลับมาอีกกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ญาติผู้พี่ของข้าเอง”“ถ้าพระชายาไม่รังเกียจ ก็พักที่จวนของข้าน้อยแล้วกันในจวนกว้างขวาง มีห้องรับรองแขกม
เมื่อก่อนนางเป็นคนชอบกิน เห็นของอร่อยก็อดใจไม่ไหวเหมือนกับที่กู้หว่านเยว่คิดไว้ หลังจากกินเสร็จแล้ว ในใจของนางก็เริ่มรู้สึกผิด จึงได้แต่พยายามเอานิ้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารออกมาหลังจากอาเจียนออกมาหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบายต่อมา แม้ว่านางจะรู้สึกหิว แต่พอเห็นอาหารเหล่านั้นก็มีความรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเองโดยธรรมชาติ“น้องเล็ก เจ้าช่างโง่เขลาจริง ๆ ”หลิวชวี่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้อยู่เบื้องหลัง จึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธในทันที“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพี่ใหญ่เล่า?”ที่ผ่านมาเขายังคิดว่าหลิวหว่านอี้ป่วย ไม่คิดว่าจะเป็นโรคทางใจหากรู้ว่าเจ้าเด็กสกุลฟ่านนั่นกล้าทำเช่นนี้ เขาก็คงจะง้างหมัดขึ้นมาทุบตีพวกเขาให้ตายไปแล้ว“เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ข้าไม่กล้าบอกพี่ใหญ่”หลิวหว่านอี้ก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าใจ“อีกอย่างพอผอมลง ข้าก็รู้สึกดีใจพวกเขาว่าข้าอ้วนเกินไป ตั้งฉายาให้ข้าว่าหมูอ้วนยังบอกอีกว่าคนที่อ้วนอย่างข้า หากในอนาคตได้เป็นเจ้าสาวคงไม่สวยแน่ ๆ ”น้ำตาของหลิวหว่านอี้ไหลรินลงมาเป็นหยด ๆ หลิวชวี่โกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา น้องสาวถูก
นานวันเข้า ไม่เพียงแต่จะทำลายกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นโรคเบื่ออาหารได้ด้วยกู้หว่านเยว่นำการวิเคราะห์ของตนเองมาอธิบายให้หลิวหว่านอี้และหลิวชวี่ฟัง“โรคเบื่ออาหาร?”หลิวชวี่แสดงสีหน้าสับสน“ไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน”ซูจิ่งสิงก็รู้สึกแปลกใหม่เช่นกัน แต่เขาได้ยินเรื่องแปลกใหม่จากปากภรรยามาไม่น้อย จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเหมือนกับทั้งสองคนกู้หว่านเยว่ยิ้ม “โรคนี้พบได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่า น้อยคนนักที่จะคิดไปถึงเรื่องนี้”“พระชายา เช่นนั้นท่านคิดว่าควรจะรักษาอย่างไรเล่า?”หลิวชวี่รีบเอ่ยถามแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินโรคแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หมอทั้งหลายไม่สามารถบอกได้เลยว่าน้องเล็กป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุใด ๆ เลย ตอนนี้อย่างน้อยกู้หว่านเยว่ก็ยังสามารถบอกอาการของโรคได้เมื่อมีอาการของโรค ก็ต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอนได้ลองรักษา ก็ดีกว่าไม่ได้ลองอะไรเลย“โรคนี้จะว่ารักษายากก็ไม่ยาก แต่จะว่ารักษาให้หายก็ไม่ง่ายเช่นนั้น”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด โรคนี้ยังต้องถามให้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากอะไร“คุณหนูหลิว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เมื่อปีก่อนเห
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”อิงเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่ท่านแม่ทัพมาแล้วมิฉะนั้น หากคุณหนูเกิดอาการกำเริบขึ้นมา นางก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรจริง ๆ นางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานห้องก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดแล้วหลิวชวี่จึงออกไปข้างนอก เชิญกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเข้ามา“พระชายา ต้องขออภัยจริง ๆ น้องเล็กเพิ่งจะอาการกำเริบ”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า“ไม่เป็นไร”แค่ฟังหลิวชวี่บรรยายในห้องหนังสือ ก็รู้ว่าโรคของหลิวหว่านอี้มีอารมณ์แปรปรวนเวลานี้ หลิวหว่านอี้กลับไปนอนอยู่บนเตียงแล้วนางจะอารมณ์พลุ่งพล่านมากในเวลาที่อาการกำเริบ โดยปกติแล้วก็จะนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ทานอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมานั่งนาน ๆ กู้หว่านเยว่เดินไปที่ข้างเตียง ตกใจกับสภาพของหลิวหว่านอี้เป็นอย่างมากเมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู ได้ยินเสียงพูดของนางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นตัวจริงก็พบว่า คนผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแล้วทั้ง ๆ ที่อายุเพียงสิบห้าปี เป็นวัยที่สดใสงดงามราวกับดอกไม้ แต่กลับซูบผอมเหมือนคนอายุสามสิบปี“คารวะท่านอ๋อง พระชายา”หลิวหว่านอี้กล่าวอย่างอ่อนแรง คิดจะลุกขึ้นทำความเคาร
เมื่อปรึกษาหารือกับซูจิ่งสิงเสร็จสิ้น กู้หว่านเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวชวี่ เปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา“ท่านแม่ทัพหลิว ข้าคือผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถ ข้ากับหมอเฒ่าเป็นสหายกัน และมีความรู้ด้านการแพทย์เช่นกัน น้องสาวของท่านป่วยเป็นโรคอะไร พาข้าไปดูก่อนก็ได้”หลิวชวี่ได้ยินมานานแล้วว่ากู้หว่านเยว่เก่งกาจ ไม่คิดว่านางจะมีความรู้ทางการแพทย์ด้วย“ท่านเป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถหรือ?”เขาไม่อยากจะเชื่อ กู้หว่านเยว่อายุเท่าไรกันเชียว เป็นผู้อาวุโสแห่งหุบเขาราชาโอสถแล้วหรือ?“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่กุมขมับอายุน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดีไปเสียทุกอย่างไม่มีความน่าเชื่อถือเลย!“ข้าน้อยตาไม่ถึง มองไม่ออกแม้แต่น้อย พระชายาโปรดอย่าถือสา”หลิวชวี่ลูบศีรษะ เรื่องนี้น่าอับอายมิใช่หรือ?เจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาราชาโอสถตัวจริงอยู่ตรงหน้า เขากลับมองไม่ออก ยังอุตส่าห์ขอร้องให้คนไปยังเจดีย์หนิงกู่เพื่อแนะนำในเมื่อกู้หว่านเยว่บอกว่า นางมีความรู้ทางการแพทย์ หลิวชวี่ก็ไม่เรื่องมาก รีบเชิญนางไปยังเรือนด้านหลัง “น้องเล็กของข้าป่วยเป็นโรคประหลาดมาตั้งแต่ปีที่แล้วแม้ว่าท้องจะหิว แต่เมื่อเห็นอาหา
“ฝ่าบาท อย่าทรงคิดมากเกินไป เรื่องนี้ยังมีทางแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ก้าวออกมาเสนอความคิดเห็น“เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย...”เพียงแค่ซูจิ่งสิงตาย เจดีย์หนิงกู่ก็จะแตกพ่ายไปเองมู่หรงถิงจะไม่รู้หลักการนี้ได้อย่างไร แต่ชีวิตของซูจิ่งสิงนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางทำอะไรได้เลย“การจะฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าล้มเหลวมาหลายครั้งแล้ว”อีกทั้งตอนนี้รอบกายซูจิ่งสิงก็มีคนมากมายต่อให้ตนจะส่งมือสังหารไป ก็คงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวได้“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความคิดโง่ ๆ อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าพระองค์จะยินดีรับฟังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ในเมื่อมีความคิดเห็น ก็รีบพูดมา”มู่หรงถิงเร่งเร้าอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้เขาเหมือนคนป่วยหนักที่รักษาไม่ถูกจุดขุนนางบู๊บุ๋นทั้งราชสำนักต่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดอะไรไม่ออก เขาสามารถมองออกว่าจิตใจของคนบางคน ได้ค่อย ๆ เอนเอียงไปทางซูจิ่งสิงแล้ว“ฝ่าบาท คนของพวกเรายากที่จะเข้าใกล้เจิ้นเป่ยอ๋อง แต่สิ่งที่เจิ้นเป่ยอ๋องอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คืออะไร...”สายตาของขันทีมีความหมายแฝง มู่หรงถิงก็เข้าใจในทันที“เจ้าหมายถึงเรื่องของอดีตรัชทายาท?”“ฝ่าบาท ในวังไม่ได้มีผู้
“รู้หรือยัง? ท่านแม่ทัพของพวกเรายอมจำนนเสียแล้ว”“ยังไม่ได้สู้รบก็ยอมจำนนแล้ว รอให้กองทัพใหญ่ของเจดีย์หนิงกู่เข้ามาแล้ว คงไม่ฆ่าล้างเมืองหรอกกระมัง?”“เหลวไหล กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ไม่มีทางฆ่าล้างเมือง ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเขาเข้าเมืองเหยาและเมืองซุ่ยโจว ยังแจกจ่ายยาและอาหารให้ชาวบ้านด้วย”“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนั้น ที่ท่านแม่ทัพยอมจำนนก็เพื่อประชาชนอย่างเราสินะ”ประตูเมืองเพิ่งเปิดออก เรื่องที่หลิวชวี่ยอมจำนนโดยไม่สู้รบ ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจางโจวแล้วเวลานี้ร้านน้ำชา โรงเตี๊ยม และร้านสุราต่าง ๆ ในเมืองจางโจวล้วนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้“เดิมทียังคิดว่าเกิดสงคราม ก็จะขายทรัพย์สินในบ้านทั้งหมด พาครอบครัวหนีเอาชีวิตรอด”“คิดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องหนีแล้ว”ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็ดีใจก็เป็นเพราะเจดีย์หนิงกู่ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีในช่วงก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าล้างเมือง เผา ฆ่าปล้นสะดมเกิดขึ้นตรงกันข้าม หลังจากเข้าเมืองแล้ว ยังแสดงความเมตตาต่อชาวบ้านอย่างกว้างขวางยิ่งไปกว่านั้น การที่ซูจิ่งสิงยกทัพ ก็ไม่ใช่การรุกรานชนเผ่าอื่น ดังนั้น ชาวบ้านจึงยอมรับได้มากประกอบกั
“ในที่สุดก็มีที่ให้พักผ่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ ยังนึกว่าพวกเราจะต้องออกจากเมืองจางโจวกลางดึก แล้วกลับไปยังค่ายใหญ่เสียอีก”แผนเดิมของกู้หว่านเยว่ หลิวชวี่จะต้องไม่ยอมจำนนง่าย ๆ อย่างแน่นอนไม่ว่าจะจับตัวหรือบุกโจมตี ก็ต้องกลับไปปรึกษากับหนานหยางอ๋องและคนอื่น ๆ เพื่อหาหนทางที่เป็นไปได้ผลปรากฏว่า หลิวชวี่เปิดฉากด้วยการมอบตราบัญชาการแล้วแบบเขานี่เรียกว่ายอมจำนนที่ไหนกัน?นี่มันคือการเฝ้ารอให้พวกเขามายึดเมืองจางโจวไปชัด ๆ “น้องหญิง เหนื่อยหรือไม่?”ซูจิ่งสิงเดินไปหากู้หว่านเยว่ นั่งลงข้างเตียง จากนั้นยื่นนิ้วเรียวยาวออกไป นวดขมับทั้งสองข้างให้นางเบา ๆ จะว่าไปแล้ว ก็นับว่าสบายมากจริง ๆ กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงอย่างมีความสุข แล้วเหลือบมองซูจิ่งสิงภายใต้แสงเทียน ชายหนุ่มหล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาไปนางขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าพบว่าท่านมีเสน่ห์จริง ๆ ” เสน่ห์เฉพาะตัว!ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย จ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเป็นประกาย“เทียบไม่ได้กับเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว”บุรุษผู้นี้ก็รู้จักประจบประแจงแล้ว กู้หว่านเยว่ค่อนข้างพึงพอใจสองสามีภรรยาพูดคุย