“จบเรื่องของสกุลเผยแล้ว ภายภาคหน้า เจ้าเองก็สามารถวางใจได้แล้ว”กู้หว่านเยว่ตบหลังเมี่ยชิงหว่าน สามารถมองออกว่า นางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย“อืม”เมี่ยชิงหว่านพยักหน้าเบาๆ สกุลเผยสำหรับนางก็คือฝันร้าย บัดนี้ได้เห็นทุกคนที่เคยรังแกนางได้รับการลงโทษตามสมควรแล้ว ปมภายในใจนางเองก็นับว่าคลายออกอย่างสมบูรณ์“ภายภาคหน้าข้าไม่มีวันโง่เขลาเหมือนในอดีตอีกแล้ว เชื่อใจคนอื่นอย่างง่ายดาย”เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วมุ่น ครั้งนี้นางกลัวแล้วจริงๆคนสุภาพอ่อนโยนมีความรักลึกซึ้งอย่างเผยเสวียนเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง ส่วนคนเรียกนางว่าลูกสาวอย่างนั้นอย่างนี้เฉกเช่นเผยฮูหยิน ก็คือคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง“ต้องโทษข้าก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามาโดยตลอด ได้ติดต่อคนอื่นน้อยมาก จึงไม่รู้จักความชั่วร้ายในใจคน”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะนาง “นี่ไม่โทษเจ้า จะโทษก็โทษเพียงวิธีการต่ำช้าของพวกเขา ความคิดของเจ้าบริสุทธิ์นัก นี่คือข้อได้เปรียบของเจ้า”หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์ ไฉนเลยในต้นฉบับ จะยอมตายเพื่อซูจื่อชิง?“อย่างไรเสีย ภายภาคหน้ามีข้าปกป้องเจ้า คนชั่วเหล่านั้นมอบให้ข้าเถอะ”ซูจื่อชิงจับมือเมี่ยชิงหว่านข
ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจกับความคิดของนาง“ตั้งแต่โบราณกาลมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีสำนักศึกษาไหนที่รับนักศึกษาเป็นสตรีมาก่อน”แม้แต่นาง ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเรียนในสำนักศึกษาทำได้เพียงเรียนแบบตัวต่อตัวที่บ้าน เชิญอาจารย์มาสอนลูกหลานในตระกูลแทนหรือเพราะภูมิหลังของนางนั้นดูโดดเด่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง สตรีทั่วไปไหนเลยจะมีโอกาสได้อ่านออกเขียนได้ แค่รู้เพียงไม่กี่คำและทำบัญชีได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้วกู้หว่านเยว่ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สตรีอย่างเราด้อยกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ? อย่างลายมือของเจ้าก็ดีกว่า ใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีสตรีที่เทียบเท่าบุรุษไม่มากนัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีอย่างเราก็มีคุณค่า ไม่ได้ด้อยกว่าบุรุษเท่าไหร่นัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงจะเข้าเรียนบ้างไม่ได้ล่ะ? พี่หญิงพูดเองมิใช่หรือว่าใต้หล้าไม่มีสำนักศึกษาแห่งไหนที่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียน? ดังนั้นสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้จึงเป็นที่แรกที่ไม่เพียงแต่รับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนแล้ว ยังไม่สนใจภูมิหลังของนักศึกษาอีกด้วย”กู้หว่านเยว่มีจิตใจสูงส่ง ความเชื่อมั่นทางแววตาล้วนแต่สร้างความศ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ซูจื่อชิงก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้นโวยวายเสียงดังเชียว”กู้หว่านเยว่ตำหนิหนึ่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางเพิ่งจะเขียนเทียบเชิญเสร็จ ไม่ระวังถูกหมึกสีดำเปรอะเปื้อน“ตอนข้ากลับเข้ามา ข้าเห็นคุณชายโจวนั่งอยู่ใต้รูปปั้นสิงโตหินหน้าบ้านของเรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ข้าจึงเดินเข้าไปดู ปรากฏว่าเห็นเขาชักกริชเล่มหนึ่งออกมา แล้วกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นไปหมด”“ว่าอย่างไรนะ?!”กู้หว่านเยว่ตื่นตกใจ “คุณชายโจวไหน?”ซูจื่อชิงมองไปทางซ่งเสวี่ย “คุณชายโจวไหนเล่า ใช่โจวเซ่อคู่หมั้นของพี่หญิงซ่งใช่หรือไม่?”คราวนี้ซ่งเสวี่ยตื่นตกใจยิ่งกว่า รีบโยนพู่กัน แล้วยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอกทันที“พวกเราก็ตามไปดูกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่พริบตาเดียวทำไมคนผู้นี้ถึงได้กรีดข้อมือฆ่าตัวตายเสียได้?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคงจะไม่รู้ว่าตอนที่เขากรีดข้อมือของตัวเองน่ากลัวเพียงใด ข้าคิดว่าข้าจำผิดคนแล้วเสียอีก”ซูจื่อชิงเดินตามหลังของนางพลางทำเสียงจิ
โจวเซ่อส่ายหน้า “ไม่นะ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าขาดเจ้าไม่ได้ หากเจ้าไม่ให้อภัยข้า ข้ายอมเลือดแห้งตายเสียตอนนี้ดีกว่า บอกข้าเถอะ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยตะลึงงันทั้งตัวความจริงแล้วตอนนี้นางยังโกรธอยู่ แต่ครั้นเห็นท่าทางอยากตายของโจวเซ่อ จริง ๆ นางตกใจเพราะเขา จึงรีบพยักหน้า“ข้าให้อภัยท่านแล้ว ท่านคืนกริชให้ข้าเถอะ อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย”ครั้นได้ยินซ่งเสวี่ยกล่าวเช่นนี้ โจวเซ่อก็ปล่อยกริชเล่มนั้น ก่อนจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำที่หลั่งริน“เจ้าให้อภัยข้าแล้วก็ดี เสวี่ยเอ๋อร์ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้จริง ๆ อ๊าก....ข้าเจ็บข้อมือยิ่งนัก”ท่าทีของโจวเซ่อเปลี่ยนไป ซ่งเสวี่ยรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าประคบข้อมือของเข้าไว้ แล้วมองไปทางกู้หว่านเยว่อย่างร้อนใจ“หว่านเยว่ เจ้าช่วยเขาได้หรือไม่ ข้าเห็นบาดแผลบนข้อมือของเขาหนักหนามาก”กู้หว่านเยว่มองไปทางโจวเซ่อแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า“ชิงเหลียน เจ้าให้คนพาตัวคุณชายโจวเข้าไป”ชิงเหลียนรีบหาคนเข้ามาพร้อมกับเปลหามและยกโจวเซ่อวางบนนั้น“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าจับมือข้าไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า”โจวเซ่อกล่าวถามอย่างกังวล ซ่งเสวี่ยมองกู้
ซ่งเสวี่ยทอดถอนใจหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็ดี”นางอดหันไปมองโจวเซ่อไม่ได้ “ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีก มีอะไรก็คุยกันดี ๆ เล่นของมีคมเช่นนี้ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะมาเสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว”ซ่งเสวี่ยมักจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดหลังจากแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวแล้ว นางและสามีให้ความเคารพซึ่งกันและ ไม่เคยแม้แต่จะทะเลาะกัน นับประสาอะไรกับการเล่นของมีคม? การกระทำในวันนี้ของโจวเซ่อทำให้นางหวาดกลัวบางทีทั้งสองคนอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้?“ขอโทษนะ ข้าผิดเอง”โจวเซ่อขอโทษทั้งน้ำตา “ข้าแค่กลัวว่าจะเสียเจ้าไป แค่ข้าคิดว่าข้าจะต้องเสียเจ้าไป ข้าก็ทนไม่ได้แล้ว หากเจ้าไม่มองหน้าข้าอีก ข้ายอมตายเสียยังดีกว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ารักเจ้ามากจริง ๆ รักเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด ข้าอยากดูแลเจ้าและลูกของเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าชอบนานนาน ข้าเห็นนางเปรียบเสมือนบุตรสาวของข้าคนหนึ่ง”“ท่าน....”“เจ้าดูสินี่คืออะไร?”โจวโซ่อล้วงหยิบไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งออกมา ซึ่งนั้นทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจไม้แกะสลักชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายกับสามีที่เสียไปแล้วของซ่งเสวี่ย “คราวที่แล้วนานนานเห็นภาพวาดของสามีที่เสียไป
“เฮ้อ ขอให้พี่หญิงซ่งอย่าได้หลงกลเขาเชียวนะ รีบ ๆ ตาสว่างเสียทีเถอะ”ซูจื่อชิงส่ายหน้า ในตอนนั้นเองเขาบังเอิญเจอกับเมี่ยชิงหว่านพอดี ครั้นเห็นสีหน้าของทั้งสองดูแย่ลง จึงอดแปลกใจไม่ได้“เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดูไม่จืดเช่นนั้น?”“ไม่มีอะไร ก็แค่คุยเรื่องเคร่งเครียดนิดหน่อย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”ซูจื่อชิงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีลับหลังผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของซ่งเสวี่ย เห็นด้วยตาตัวเองก็แล้วไป พูดลับหลังไปดูไม่ดีนักโชคดีที่เมี่ยชิงหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบถามจุกจิก ไม่ถามมาก แค่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ในร้านดอกท้อ ขายของออกไปก็ไม่น้อย ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าเอง”ตัวตลกสองคนนี้พูดคุยอย่างสนุกสนานแล้วก็จากไปทางด้านนี้ ครั้นโจวเซ่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจื่อชิงจากไปแล้ว จึงกล่าวกับซ่งเสวี่ยว่า“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวมาก เจ้าช่วยไปหาของกินในครัวมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”ซ่งเสวี่ยกล่าวด้วยความลำบากใจ “ไม่ดีหรอกกระมั้งเจ้าคะ แม้ว่าข้าและหว่านเยว่จะสนิทกัน แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนของนาง ไหนเลยจะกล้าถือวิสาสะเข้าไปหยิบของ
“เหตุใดถึงมีคราบเลือดเช่นนั้น?”“ยังคงเป็นของโจวเซ่อผู้นั้น” กู้หว่านเยว่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนในวันนี้ให้ซูจิ่งสิงฟังอย่างละเอียด“ท่านไม่ได้เห็นท่าทางร้องไห้ฟูมฟายของโจวเซ่อ ตอนนั้นเขาดูไม่เหมือนกับบุรุษเลยสักนิด แล้วพี่หญิงซ่งก็ดันหลงกลเขาเสียด้วย หากเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าเหวี่ยงหมัดชกเขาลอยละลิ่วออกไปแล้วเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่กำหมัดแน่น ครั้งนี้ซูจิ่งสิงไม่กล่าวแทนเขาอีก“อยู่ ๆ ก็กรีดข้อมือของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหวเอาเสียจริง ๆ ?”“นั่นนะสิ”กู้หว่านเยว่มองไปทางรูปปั้นหินสิงโต แล้วตะโกนเรียกทหารเฝ้าประตูไปตักน้ำมาทำความสะอากรูปปั้นหินสิงโตทันทีมิเช่นนั้นนางคงรู้สึกสะอิดสะเอียดยามได้เห็นคราบเลือดของโจวเซ่อผู้นั้นตลอดเวลาแน่ทหารเฝ้าประตูรับคำสั่ง ไม่เพียงแต่ตักน้ำเข้ามา ยังถือผลของสบู่ก้อนติดมือมาด้วยหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ทำความสะอาดรูปปั้นหินสิงโต ขัด ๆ ถู ๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งสะอาด“ด้านหน้าเป็นหน้าบ้านของซุนมู่เจี้ยง”รถม้าถูกจอดไว้ในตรอกแคบ ๆ ตรอกหนึ่ง ซูจิ่งสิงชี้ไปยังบ้านที่อยู่สุดซอยหลังหนึ่ง“ฝีมือของมู่เจี้ยงไม่ธรรมดา เพียงแต่นิสัยค่อนข้างประหลาด”“นิสัย
“ขอโทษที่ข้ามาช้า”ซุนมู่เจี้ยงสาวเท้าก้าวเข้ามา จมูกกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงไวต่อความรู้สึกมาก ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็ได้กลิ่นทันทีเหม็น เหม็นมาก!ซุนมู่เจี้ยงผู้นี้ไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ว !เสี่ยวชิวยิ้มอย่างลำบากใจ “ท่านพ่อมักจะตั้งอกตั้งใจกับการแกะสลักมาก กินดื่มและใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องนั้น ดังนั้นบางครั้งก็ไม่ได้อาบน้ำเลยสามสี่วัน ครั้งนี้เพื่อแกะสลักไม้ให้แขกกลุ่มก่อนหน้า จึงไม่ได้อาบน้ำมาเจ็ดแปดวันแล้ว.....”ทั้งสองคน “.....”อากาศแบบนี้ ไม่อาบน้ำเป็นเวลาสามวันก็ต้องเหม็นอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะไม่อาบน้ำเจ็ดวันเลย ซุนมู่เจี้ยงผู้นี้อดทนเก่งจริง ๆ ถือว่าเป็นการอุทิศให้กับงานศิลปะอย่างนั้นหรือ?ซุนมู่เจี้ยงเหมือนจะไม่ได้กลิ่นเหม็นบนตัวของตัวเอง เขานั่งลงตรงข้ามคนทั้งสอง จากนั้นก็กระดกชาดื่ม แล้วกล่าวถาม “พวกเจ้าสองคน อยากให้ข้าแกะสลักอะไรหรือ?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตามกัน แม้จะบอกว่ากลิ่นตัวเหม็นของซุนมู่เจี้ยงคนนี้จะตีขึ้นหน้า แต่ผลงานแกะสลักของเขาที่พวกเขาเข้ามาดูเมื่อครู่ ก็ถือว่ามีกึ๋นอยู่ไม่น้อย “ข้าอยากให้เจ้าแกะสลักตัวอักษร”กู้หว่านเยว่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก