ทั้งสองจูงมือกันออกไปได้ไม่นาน ซูจิ่งสิงก็หยิบจดหมายลับมาให้กู้หว่านเยว่ซูจิ่งสิงยื่นรายงานลับให้กู้หว่านเยว่ เขาหาตัวอันธพาลสองสามคนนั้นที่รังแกจิ่นเอ๋อร์พบแล้ว แต่ตอนหาพบ พวกเขาล้วนตายไปแล้ว“ถูกวางยาตาย”อันธพาลสองสามคนนั้น ใครจงใจวางยาพิษฆ่าพวกเขากัน ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักแล้วร้านขายยาล้วนไม่ขายยาพิษ มิใช่คนทั่วไปสามารถนำมาใช้ได้เดิมทีกู้หว่านเยว่สงสัยความผิดปกติของหร่านเหยียน นี่จึงยิ่งสงสัย“อย่าให้นางอยู่กับจิ่นเอ๋อร์อีก ประเดี๋ยวจะทำร้ายจิ่นเอ๋อร์ได้”เรียกหงเจาเข้ามา ได้รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์พาหร่านเหยียนไปร้านอาหาร นางก้าวเดินไปแล้ว“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าจะไปตามจิ่นเอ๋อร์กลับมา”กู้หว่านเยว่กลัวจิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย ไปที่ร้านอาหารโดยตรงปรากฏว่ามองเห็นคนทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวบนชั้นสอง มิหนำซ้ำยังมีชายที่นางไม่รู้จักคนหนึ่ง“พี่สะใภ้ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รอให้กู้หว่านเยว่เอ่ยปาก ก็วิ่งลงมาคล้องแขนนางแล้ว“พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านมาได้?”“ชายข้างกายคุณหนูหร่านเหยียนเป็นใคร?” กู้หว่านเยว่รู้สึกว่าหร่านเหยียนผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆซูจิ่นเอ๋อร์กลับพูดอย่างไม่
หร่านเหยียนเกือบขบฟันเหล็กแตก เผชิญหน้ากับสายตาหวังดีของซูจิ่นเอ๋อร์ ยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ ดึงกำไลข้อมือออกเลือดหยดภายในใจนาง!“ยี่สิบตำลึง กำไลของท่านได้ราคาดีมากจริงๆ” ซูจิ่นเอ๋อร์อุทานอย่างตกตะลึงยิ้มออกมา ไม่ว่ามองอย่างไรก็เจ่าเล่ห์ “คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวพี่ใหญ่เจ้าไม่มีเงินให้ใช้แล้ว”“ใช่ นี่”นี่คือกำไลที่นางหวงแหนที่สุด ไฉนเลยจะไม่ได้ราคา!รอเสร็จเรื่องนี้แล้วค่อยไถ่กลับมาก็แล้วกัน ฝืนส่งเงินให้หร่านถิง“ใต้เท้าท่านดู นั่นคล้ายเป็นคุณหนูจิ่น?”บนถนน รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาอย่างเชื่องช้าเห็นข้างกายซูจิ่นเอ๋อร์มีชายคนหนึ่งอยู่ด้วย บ่าวรับใช้บ่นงึมงำ “แปลกยิ่งนัก ชายคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดคุณหนูจิ่นต้องพูดคุยพลางหัวเราะกับเขาด้วย?”ฟู่หลานเหิงมองตามสายตาของบ่าวรับใช้ นี่ถึงพบว่าซูจิ่นเอ๋อร์กำลังยิ้มกว้างให้ชายที่อยู่ข้างกายไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจคล้ายถูกเข็มทิ่ม ราวกับถูกผีอำอยากเดินไปดูให้ได้“ใต้เท้า พวกเรายังต้องไปรายงานนะขอรับ”ถ้อยคำของบ่าวรับใช้ทำให้หัวใจของเขาตึงเครียด ลงท้ายก็สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะมิให้ตามไปได้“ไป ไปที่จวนกู้ก่อน”ระยะนี้เ
ความรักของจิ่นเอ๋อร์คนนี้เป็นความรักที่ขาดสติ นางเริ่มชอบฟู่หลานเหิงตั้งแต่เมืองตงโจว อีกทั้งในต้นฉบับ เดิมทีสองคนนี้จะต้องคู่กัน ในต้นฉบับเดิมหลังจากที่ซูจิ่งสิงตาย ซูจิ่นเอ๋อร์จะต้องถูกเนรเทศมายังเจดีย์หนิงกู่สุดท้ายฟู่หลานเหิงก็ได้ช่วยชีวิตนางออกมา ช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ให้นาง คอยดูแลอยู่ข้างกายในหนังสือ จิ่นเอ๋อร์ก็ยังคงลุ่มหลงในตัวเขาหากพลาดโอกาสนี้ไปก็คงน่าเสียดายไม่น้อยซูจิ่งสิงจนปัญญา “เจ้าจะทำอย่างไร?”เรื่องที่ภรรยาตัดสินใจ เขาไม่เคยคัดค้านเลยสักครั้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องทำตามยิ่งไปกว่านั้นจากมุมมองของผู้ชาย ฟู่หลานเหิงเป็นคนที่ไว้วางใจได้ บริสุทธิ์ ไม่เคยมีสตรีเข้ามายุ่งวุ่นวายข้างกาย“ข้าจะพูดให้เจ้าฟัง....”กู้หว่านเยว่เขย่งปลายเท้า ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบางอย่างข้างหูของซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงปรายตามองด้วยความสงสัย “ทำเช่นนี้ได้จริง ๆ หรือ?”“ข้าจะพยายามอย่างถึงที่สุด สุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา”และไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ เช้าวันที่สอง ซูจิ่นเอ๋อร์ออกจากบ้านเช้ากลับเร็วเหมือนต้องการหลบเลี่ยงใครบางคนฟู่หลานเหิงเองก็พยายามหลบ
“จิ่นเอ๋อร์ ในเมื่อลานสัตว์ก็เกิดเรื่องแล้ว ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปยุ่งพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าดีกว่า”หร่านเหยียนแสดงท่าทีหวังดีซูจิ่นเอ๋อร์เหมือนกำลังถูกนางโน้มน้าว แต่นัยน์ตากลับยังคงแดงก่ำอย่างอดไม่ได้ “หากม้าศึกและนักรบหมาป่าเหล่านี้เป็นอะไรขึ้นมา จะต้องเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล พี่สะใภ้ใหญ่จะต้องเสียใจมาก นางกำลังตั้งครรภ์ ไม่รู้ว่าจะควบคุมไหวหรือไม่”หร่านเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “พี่ใหญ่เจ้า คงปลอบใจได้กระมัง?” ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่คิดอะไร “พี่ใหญ่ไม่อยู่บ้านหลายวันแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่เจ้าค่ะ”นางแสดงความเจ็บปวดและรู้สึกผิด “ข้าเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ ทั้งจวนมีเพียงพี่สะใภ้ใหญ่ที่พึ่งได้”ทันทีที่ประโยคนี้ดังเข้าไปในหูของหร่านเหยียน สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมลง“ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงซูฮูหยินเช่นนี้ก็ตามนางไปดูเถอะ”นางกล่าวเอาใจ “ข้าและพี่ใหญ่ไม่เป็นไร พวกเราจะรอเจ้าเสร็จงานอยู่ที่นี่”ซูจิ่นเอ๋อร์รูสึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที “หร่านเหยียน เจ้าช่างเป็นพี่สาวที่แสนดีของข้ายิ่งนัก ข้าจะจำเจ้าไว้ รอข้าเสร็จงาน ข้าจะมาหาเจ้า”กล่าวจบก็จับชายกระโปรงแล้ววิ่งออก
กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นที่จะไม่อาเจียนออกมา ก่อนจะกลอกตามองบน “คุณชายหร่านจะช่วยข้าอย่างไร?”“สตรีผู้งามเลิศอย่างซูฮูหยิน ควรได้รับการทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่ มิเช่นนั้นหากเกิดริ้วรอยขึ้นมา คงดูไม่จืด” หร่านถิงค่อนข้างมั่นใจในตัวเองมากใช้น้ำเสียงที่น่าดึงดูดค่อย ๆ กล่าวโน้มน้าว “ข้าดีดฉินเป็น เสียงฉินปลอบประโลมใจคน ข้าเต็มใจปลอบประโลมใจฮูหยิน”กู้หว่านเยว่ “.....”หงจาว “.....”จะไม่ให้อาเจียนได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่แผนการ หมัดเล็ก ๆ ของหงจาวคงชกหน้าของเขาไปแล้วกู้หว่านเยว่พยายามข่มความสะอิดสะเอียน อยากรู้ว่าหร่านถิงจะทำอะไรจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ในห้องตำรามีฉิน ไปกันเถอะ”หร่านถิงยิ้มหวานการะชากใจ โปรยเสน่ห์ตามใจชอบ ไม่นานก็มาถึงห้องตำรา“เป็นฉินที่ดีจริง ๆ นี่คือฉินของฮูหยินหรือ ดูจากตัวฉินแล้วน่าจะถูกใช้มาหลายครั้ง ฮูหยินมักจะดีดฉินอยู่บ่อย ๆ กระมัง”หร่านถิงทำการดึงสาย กู้หว่านเยว่ดื่มชาอย่างสงบเงียบ “นี่คือฉินที่ข้าขโมยมาจากคลังส่วนตัวของบุรุษผู้หนึ่ง”ทั้งยังเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นขุนนางเก่าหร่านถิง “.....” ทั
หร่านถิงที่ยังปากแข็งอยู่เมื่อครู่ก็พลันระเบิดอารมณ์ออกมา “ตอนข้าหรือ? อย่า อย่าตอนข้า”การตอนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าการถูกทรมานสิบประการเสียอีก!เขาเป็นหนุ่มเจ้าชู้ที่ควบหญิงงามไม่เลือกหน้า สิ่งนั้นคือชีวิตเขาเป็นส่วนที่สร้างความสุขให้กับเขาหากไม่มีสิ่งนั้นแล้ว เขายอมตายดีกว่าลู่จิงตั้งใจหยิบมีดตะขอเล็กเล่มหนึ่งออกมา “นายท่านดูมีดเล่มนี้ของข้าสิ นี่คือมีดสำหรับตอนขันทีที่ลูกสมุนของข้านำออกมาจากวังหลวง รับรองเลยว่ามันสามารถตัดน้องชายของเจ้าจนสะอาดเกลี้ยง ฮ่าๆ!”“เจ้าอย่าเข้ามา อ๊าก!” หร่านถิงไม่เคยสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน เขาไม่อยากขาดลูกสิ้นหลาน ลู่จิงจับเขากระชากขึ้นมา จากนั้นก็ถลกกางเกงของเขาอาจเพราะหร่านถิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งสองคนจึงได้ยินเขาสารภาพผ่านประตู“ข้าพูดแล้ว ข้าสารภาพแล้ว!”กู้หว่านเยว่กล่าวขึ้น “ลากเขาเข้ามา”หร่านถิงดึงกางเกงไว้ จากนั้นก็คลานไปบนพื้นอย่างจนตรอก “หร่านเหยียน นางไม่ใช่น้องสาวของข้า”“ข้าแค่รับเงิน มาหลอกล่อเจ้า”ไม่รู้ว่าเขาเข้าถึงบทบาทมากเกินไปหรือเปล่า หร่านถิงถึงได้มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาหลงใหล“เจ้าเป็นคนแรกที่ต่อต้านเสียงฉินของข้า เ
“อ๊าก ช่วยด้วย!”หนูตัวนั้นเกาะอยู่บนเสื้อผ้าบริเวณหน้าอก ทั้งยังปีนป่ายขึ้นมาบนตัวของนาง ซูจิ่นเอ๋อร์ตื่นตกใจจนร้องกรีด สีหน้าซีดเผือด“หนูสกปรก ออกไปเดี๋ยวนี้!” หนูตัวนี้มีขนสีเขียวหม่นทั้งตัว ดวงตาสีแดงเลือด มองยังไงก็ดูแปลกประหลาดไม่เพียงแต่ซูจิ่นเอ๋อร์ที่ตื่นตกใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่เพิ่งมาถึงก็ตกใจมากเช่นกันทั้งสองคนรู้ว่าอุจจาระของหนูตัวนั้นทำให้หนูติดโรคระบาดจะให้ซูจิ่นเอ๋อร์โดนมันกัดไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นซูจิ่นเอ๋อร์ก็อาจจะติดเชื้ออย่างไม่อาจหนีพ้น“ซูจิ่นเอ๋อร์ อย่าแตะต้องมัน!”เสียงที่ตื่นตระหนกดังขึ้น จากนั้นฟู่หลานเหิงก็พุ่งออกมาจากความมืด จับหนูที่เกาะอยู่บนหน้าอกของซูจิ่นเอ๋อร์ออกอย่างไม่ลังเลเหตุการณ์เพียงสั้น ๆ ได้ทำให้ซูจิ่นเอ๋อร์ตะลึงงันไปชั่วขณะ ทั้งตัวของนางทรุดลงไปนั่งบนพื้นเด็กผู้หญิงมักจะกลัวหนูอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหนูที่มีขนสีเขียวทั้งตัวและเป็นโรคระบาดมือและเท้าของนางเย็นเยือก สายตาที่มองไปทางฟู่หลานเหิงฉายแววสับสนฟู่หลานเหิงทำให้นางตกใจ จากนั้นก็เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”ส่วนองครักษ์จันทราที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ฟู่หลานเหิงค่อย ๆ สงบลง “ข้าถูกหนูที่ติดเชื้อกัด ข้าต้องติดโรคระบาดอย่างแน่นอน พวกเจ้าห้ามเข้าใกล้ข้าเด็ดขาด ทางที่ดีควรพาข้าออกไปกักตัวนอกเมือง”หนูที่ติดเชื้อมีนิสัยดุร้าย ฟู่หลานเหิงต้องคำนึงถึงชาวบ้านเป็นหลักยิ่งไปกว่านั้นทางราชสำนักได้จับตาดูอย่างเคร่งครัด หากมีโรคระบาดแพร่กระจาย เช่นนี้ไม่เป็นการแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มศึกอย่างนั้นหรือ?ซูจิ่นเอ๋อร์จะได้ไหวหรือ?นางร้องไห้พลางส่ายหน้า “ไม่เอา หนูที่ติดเชื้อน่ากลัวมาก หากไม่ระวังอาจจะคร่าชีวิตได้ การส่งท่านไปนอกเมือง ไม่เป็นการปล่อยให้ท่านรอความตายอยู่เพียงลำพังหรอกหรือ?”นางปาดน้ำตา “ใต้เท้าฟู่ ข้ารู้ว่าท่านไม่สนใจข้า แต่เพื่อช่วยข้า ท่านจึงต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้ หากท่านตาย ข้าก็จะขอตายไปพร้อมท่านด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงเมินหน้าไปทางอื่น ทำเป็นมองไม่เห็น“ตายด้วยกัน ชีวิตเจ้าอาภัพนักหรือถึงได้อยากตายเช่นนี้!” กู้หว่านเยว่ดีดหน้าผากของนาง จากนั้นก็หันไปกล่าวกับฟู่หลานเหิง“เจ้าสองคนลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นหมอ กว่าโรคระบาดจะแสดงอาการต้องใช้เวลา ท่านเพิ่งโดนหนูกัดไม่นาน แม้ว่าจะติดเชื้อแล้ว บัดนี้มันก็ยังอยู่ในช่วงฟักตัว ไม่
นี่มันของขวัญบ้าบออะไรกัน หากท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงได้รับของขวัญชิ้นนี้จริง ๆ เขาจะโมโหอย่างรุนแรงแค่ไหนกัน“จับพวกเขาไว้ ไม่ ฆ่าพวกเขาไปเลย รีบฆ่าพวกเขาสองคนเสีย!”เจ้าเมืองชิงซานตะโกนอย่างบ้าคลั่งตอนนี้หนทางรอดเดียวของเขา คือต้องจับตัวฆาตกรสองคนนี้มาให้ได้ แล้วนำศพของพวกเขาไปมอบให้ท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง บางทีอาจจะช่วยระงับความโกรธของแม่ทัพเหยลวี่เจิง และรักษาศีรษะของเขาไว้ได้“ท่านพี่ ไปกัน!”กู้หว่านเยว่แค่อยากยั่วโมโหเจ้าเมืองชิงซานสักหน่อย ไม่ได้อยากจะเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ นางยังต้องรีบไปที่เมืองอูถ่านเพื่อจัดการเหยลวี่เจิงอย่างไรเล่าซูจิ่งสิงได้รับคำสั่งจากนาง ปลายเท้าแตะพื้น โอบเอวบางของนางไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นทะยานหายไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องของเจ้าเมืองชิงซานหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองชิงซานในทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองก่อนตามความเคยชิน กู้หว่านเยว่จึงไปที่ห้องเก็บของเพื่อกวาดทรัพย์สินก่อน กวาดเอาของทุกอย่างในจวนเจ้าเมืองจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงค่อยจากไปอย่างพึงพอใจเมื่อเจ้าเมืองชิงซานพบว่าบ้านของเขาถูกขโ
แม้จะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรออกไปตอนที่หมดสติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงแล้ว เหยลวี่หมิงก็เดาว่าตัวเองคงเผลอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป“พวกเจ้าสองคนต่ำช้าเกินไปแล้ว!”“กลศึกสงคราม ย่อมมีการใช้กลอุบาย หากจะว่ากันด้วยเรื่องความต่ำช้า ใครจะไปเทียบพี่ใหญ่ของเจ้าได้?”กู้หว่านเยว่เบ้ปาก พวกเขาไม่เคยคิดจะไปเล่นสกปรกใส่เหยลวี่เจิงก่อนเลยสักครั้ง กลับกัน เหยลวี่เจิงต่างหากที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาไม่ปล่อยพวกเขาแค่โต้กลับเท่านั้นเอง“พวกเจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป รอให้พี่ใหญ่ของข้าเจอพวกเจ้าเมื่อไร จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!” เหยลวี่หมิงตวาดลั่น พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาอาฆาต“ถ้าไม่อยากถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...อ๊าก!”สำหรับคุณชายจอมเสเพลใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ ซูจิ่งสิงไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย จัดการปลิดชีพเขาในทันที“สกปรกจริง ๆ โยนเขาออกไปจากมิติ”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ พลางลากศพของเหยลวี่หมิงออกไปจากมิติเวลานี้ เจ้าเมืองชิงซานกำลังนำทหารใต้บังคับบัญชาออกค้นหาทั่วโรงเตี๊ยมอย่างไร้จุดหมายคิ้วของ
“อะไรนะ?!”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างตกตะลึง ทั้งสองคนไม่คิดเลยว่าซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงจะไม่ได้อยู่ในมือของเหยลวี่เจิง สวรรค์ จะให้ตื่นเต้นกันไปถึงไหน พวกเขาเสียแรงเปล่าแล้วหรือ?“พวกเขาถูกใครชิงตัวไป?”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนจะเป็นชายผมขาวคนหนึ่ง”เหยลวี่หมิงส่ายหัว กู้หว่านเยว่แสดงสีหน้างุนงง ชายผมขาว? ใต้หล้านี้มีคนผมขาวมากมายเหลือเกิน พวกเขาจะไปหาที่ไหน?แต่ขอแค่รู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงปลอดภัย ทั้งสองคนก็วางใจลงได้บ้างแล้ว“พี่ใหญ่ของเจ้าวางกับดักอะไรไว้ที่เมืองอูถ่าน?”ถึงแม้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ได้อยู่ในมือของเหยลวี่เจิง แต่หลังจากที่สองสามีภรรยาปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าในเมื่อมาถึงทูเจวี๋ยแล้ว ก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่จะไปเยือนเมืองอูถ่านสักครั้งอย่างแรก เพื่อกำจัดเหยลวี่เจิงซึ่งเป็นภัยอันตรายที่ซ่อนเร้นนี้อย่างที่สอง กู้หว่านเยว่ตั้งใจจะพาสัตว์น้ำแข็ง ไปตามหาดอกน้ำแข็งนิล“พี่ใหญ่ได้ยาพิษชนิดหนึ่งมาจากหมอผี ได้ยินมาว่ายาพิษชนิดนั้นแค่ได้กลิ่น ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง ก็จะสูญเสียพลังทั้งหมดในชั่วพริบตานอกจากนี้ พี่ใหญ่ยังได้จ้างมือสังห
การคาดเดาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยืนยันให้แน่ชัดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใบหน้าของเหยลวี่หมิงแสดงความตกตะลึงอย่างมาก ในเมื่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่ทุบตีเขาที่ตลาดและเป็นคนที่วางเพลิงในเมืองสือโม่เมื่อคืนนี้ถ้าเช่นนั้น ตัวตนของพวกเขาก็คือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาแห่งต้าฉีใช่หรือไม่?!“เจ้าเดาถูกแล้ว ข้าคือพระชายาเจิ้นเป่ยอ๋องจริง ๆ และคนที่อยู่ข้าง ๆ ข้า ก็คือเจิ้นเป่ยอ๋อง ศัตรูตัวฉกาจของพี่ชายเจ้า”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย ช่วยไขข้อข้องใจให้เขาด้วยความใจดี ถึงอย่างไรเหยลวี่หมิงก็ต้องตายอยู่แล้ว กู้หว่านเยว่จึงไม่รังเกียจที่จะบอกความจริงกับเขาคราวนี้ เหยลวี่หมิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป“ซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ เป็นพวกเจ้าจริง ๆ !”พระเจ้า ทั้งสองคนนี้เพิ่งจะมาที่แคว้นทูเจวี๋ย ก็ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้วทันใดนั้น เขาเริ่มสงสัยว่าพี่ใหญ่วางกับดักล่อพวกเขามาที่นี่ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริง ๆ หรือ?คงไม่ใช่การเชื้อเชิญหมาป่าเข้าบ้านหรอกนะ?กู้หว่านเยว่ไม่ลังเลที่จะปล่อยหมัดใส่เหยลวี่หมิงอย่างไร้ความปรานี จนอีกฝ่ายตาพร่ามัวไปหมด“ข้าถามเจ้า ซูจิ่นเอ๋อร์และฟู
กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เสี่ยวถ่านยิ้มอย่างขมขื่น“เรื่องนี้ค่อนข้างยาว พวกเราถูกคนใส่ร้าย เสด็จแม่ของข้า...นางถูกฆ่าตาย ข้าหนีรอดออกมาได้อย่างยากลำบาก”เมื่อพูดถึงเสด็จแม่ เสี่ยวถ่านขอบตาแดงก่ำพยายามฝืนเช็ดน้ำตา ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้นางและซูจิ่งสิงได้ยินจากตอนที่อยู่ในห้องของเหยลวี่หมิงว่า เสด็จแม่ขององค์หญิงเก้าถูกไฟคลอกตายแล้วมีเพียงองค์หญิงเก้าเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้ฟังจากน้ำเสียงขององค์หญิงเก้าแล้ว เสด็จแม่ของนางน่าจะเป็นราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ราชินีผู้สูงศักดิ์กลับถูกไฟคลอกตาย ส่วนองค์หญิงก็ถูกตามล่า พวกเขาทำผิดอะไรกันแน่?ถึงแม้ว่านางจะมีข้อสงสัยมากมายในใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักถาม ทหารข้างล่างกำลังจะล้อมพวกเขาขึ้นมาแล้ว“ไว้ค่อยอธิบายให้ข้าฟังทีหลัง ตอนนี้ เราต้องหนีออกไปจากที่นี่ก่อน”กู้หว่านเยว่ใช้สันมือสับไปที่คอของเสี่ยวถ่าน จากนั้นก็โบกมือ เก็บนางเข้าไปในมิติ“ท่านพี่ เราไปหาเหยลวี่หมิงกันเถอะ!”เหยลวี่หมิงอยากจะตามล่าพวกเขามิใช่หรือ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสั่งสอนเขาสักหน่อย“ตกลง” ซูจิ่ง
เนื่องจากมีทหารลาดตระเวนอยู่ข้างนอกเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสามคนจึงรีบกลับไปที่ห้อง“กลางคืนเจ้านอนคนเดียว คงไม่กลัวหรอกนะ?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เสี่ยวถ่านหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น“ไม่ต้องห่วง ขะ ข้าเป็นลูกผู้ชาย ข้าไม่กลัวหรอก”“ถ้าเจ้าไม่กลัวก็ดีแล้ว กลางคืนเจ้านอนห้องข้าง ๆ พรุ่งนี้เช้าตอนเราออกเดินทาง ก็จะไปปลุกเจ้า”อาจเป็นเพราะถูกชะตากัน กู้หว่านเยว่มักจะมีความอดทนกับเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“ทะ ท่านจะปลุกข้าจริง ๆ หรือ?”ดวงตาของเขาใสซื่อ มองกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อยดูเหมือนเด็กคนนี้จะยังคงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไป“ก็ไม่แน่ บางทีตอนดึกข้าอาจจะปลุกเจ้าก็ได้”คืนนี้ นางมีเรื่องใหญ่ที่ต้องลงมือทำ“เช่นนั้นข้าไปนอนก่อนแล้ว” เสี่ยวถ่านเชื่อว่ากู้หว่านเยว่จะไม่หลอกเขาหลังจากมองเสี่ยวถ่านเข้าไปในห้องแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งสองคนหลับตาทำเป็นงีบหลับ แต่จริง ๆ แล้วกำลังรอให้ฟ้ามืดเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ข้างนอกก็เริ่มเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม“ใครก็ได้
เหยลวี่หมิงหัวเราะเสียงดังลั่น กู้หว่านเยว่หน้ามืด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตัวเองดังขึ้น จึงรีบพาซูจิ่งสิงกลับไปที่ห้องพัก ทั้งสองคนออกมาจากมิติ ก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจากข้างนอก“พี่หญิงกู้ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว”ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวถ่านอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงมาหาพวกเขากู้หว่านเยว่เปิดประตู สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ เสี่ยวถ่านที่อาบน้ำเสร็จแล้ว กลับดูหน้าตาสะอาดสะอ้านและงดงามเกินคาด“เจ้าดูเหมือนเด็กผู้หญิงนะ”กู้หว่านเยว่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ สีหน้าของเสี่ยวถ่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าตัวเอง “จริงหรือ?”เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความประหม่า “พี่หญิงกู้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ต่อไปข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน”“เจ้าโตก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าในตอนนี้ แค่ชายร่างกำยำต่อยหมัดเดียว เจ้าก็ตายได้แล้ว”กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะ เด็กคนนี้รู้จักตอบแทนบุญคุณจริง ๆ เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็น กู้หว่านเยว่จึงลากเสี่ยวถ่านไปกินข้าวข้างล่างข้างล่างมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองสือโม่ ก็
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ทำให้ท่านเจ้าเมืองสะดุ้งตกใจ อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรีบร้อน แล้วจากไปพร้อมกับเหงื่อท่วมตัวเห็นได้ชัดว่า เขาหวาดกลัวเหยลวี่หมิงมากและความหวาดกลัวเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเห็นแก่เหยลวี่เจิง“คุณชาย กระดูกมือของท่านต่อเรียบร้อยแล้วขอรับ”เหยลวี่หมิงลองขยับแขนอีกครั้ง ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บเสียจนเขาต้องกัดฟันกรอด“คุณชาย ถึงแม้ว่ากระดูกแขนของท่านจะต่อติดกันแล้ว แต่ภายในครึ่งเดือนห้ามขยับตัวมากเกินไป ต้องรอจนกว่าเฝือกจะเข้าที่เรียบร้อยแล้วจึงจะถอดออกได้”หมอต่อกระดูกเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขาสาบานว่านี่เป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว เขาก็รู้สึกเจ็บคอขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเลือดจำนวนมากที่ไหลทะลักออกมาจนบดบังดวงตาของเขาเหยลวี่หมิงฆ่าเขาโดยตรง!ไม่ใช่แค่หมอต่อกระดูกที่ล้มลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลงแม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่อยู่ในมิติก็ยังไม่ทันตั้งตัว“บ้าเอ๊ย เหยลวี่หมิงผู้นี้ไม่เห็นค่าของชีวิตคนเกินไปแล้ว!”กู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลง เมื่อครู่นี้นางและซูจิ่งสิงซ่อนตัวอยู่ในมิติ เห็น
ปรากฏว่าทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเหยลวี่หมิงดังขยายออกมาจากในห้องทั้งสองคน ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ สินะ’ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เห็นสองคนมีท่าทีแข็งทื่อ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “มิต้องแปลกใจขอรับ คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกำลังจัดกระดูก อาจารย์ด้านกระดูกกำลังจัดกระดูกให้เขา เสียงร้องจึงดังไปสักหน่อย หากท่านทั้งสองไม่สบายใจ ข้าเปลี่ยนห้องให้พวกท่านได้ขอรับ”“ไม่ต้อง”อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับเหยลวี่หมิง นับว่าโชคร้ายไปสักหน่อยแต่ครั้นกู้หว่านเยว่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว พวกเขาสามารถเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเหยลวี่หมิงได้ตลอดเวลา หากมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาจะได้ไหวตัวทันในทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะได้ยินข่าวคราวของซูจิ่นเอ๋อร์จากปากของเหยลวี่หมิงก็ได้“ไม่ต้องวุ่นวาย เราพักในห้องนี้ได้”สองสามีภรรยาส่งสายตากันและกันจนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ซูจิ่งสิงโบกมือเล็กน้อยส่งให้เด็กในโรงเตี๊ยมออกไปหลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในห้องก็ทำการสำรวจหนึ่งรอบ จึงได้เห็นเสี่ยวถ่านที่เดินตามเข้ามา“ข้าเปิดไว้สองห้อง เจ้าไปพักห้องที่อยู่ถัดไป