“พี่ใหญ่และพี่หว่านเยว่พูดมากแล้ว คราวนี้ถึงตาข้าบ้าง”เนี่ยชิงหลานฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บัดนี้ได้สบโอกาสควงแขนของกู้หว่านเยว่ และกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า“พี่หว่านเยว่ ท่านบอกว่าท่านมาจากเมืองจิน จริง ๆ แล้วข้าอยากไปที่นั่นมาก ที่นั่นสนุกหรือไม่? มีอะไรน่ากินบ้าง ได้ยินว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองมาก รุ่งเรืองกว่าที่นี่เป็นสองเท่า ข้าพยายามหาโอกาสไปเที่ยวที่นั่นมาโดยตลอด”คำกล่าวนี้กลับไม่ได้ดูโกหกแต่อย่างใด ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้สถานที่ที่นางไปได้ไกลที่สุดก็คือเหอตง แม้ว่าพี่ใหญ่จะอนุญาตให้นางออกไปช่วยเหลือผู้อื่นและท่องยุทธภพ แต่โดยส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้ขอบเขตการดูแลของพี่ใหญ่เรื่องนี้คงโทษเนี่ยเติ้งที่เข้มงวดเช่นนี้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วเนี่ยชิงหลานก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา หากเจอกับอันตรายข้างนอก เกรงว่าคงจะเสียหายไม่น้อยแม้ว่าเขาจะให้เนี่ยชิงหลานออกมาช่วยเหลือผู้อื่น แต่เหอตงก็ยังอยู่ในขอบเขตการดูแลของพวกเขา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ยังง่ายต่อการช่วยเหลือเหมือนวันนี้ ผู้ว่าการอำเภอมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยเนี่ยชิงหลานออกมาได้ทันท่วงทีหากอยู่นอกเมือง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็กล่าวลา ส่วนกู้หว่านเยว่ก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวตกกลางคืน กู้หว่านเยว่กำลังแช่เท้าพลางกล่าวว่า“อ๋องจินคนนี้เป็นคนฉลาดมาก”ซูจิ่งสิงพยักหน้า “เปรียบเทียบระหว่างเนี่ยเติ้งและอ๋องจินแล้ว เนี่ยเติ้งกล้าหาญและระมัดระวังตัวมากกว่า”เขานึกเรื่องหนึ่งได้ “ชาวบ้านลือกันว่าอ๋องจินเป็นโรคเรื้อรัง อายุสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก “วันนี้ข้ากลับมองไม่ออก”สองสามีภรรยากำลังนินทากันสนุกปาก ไม่นานก็เปลี่ยนหัวข้อ“น้องหญิง เรามาปรึกษาเรื่องเส้นทางที่กำลังจะเดินทางกันเถิด”ซูจิ่งสิงเช็ดเท้าให้กู้หว่านเยว่ ทั้งสองคนนั่งบนเตียงด้วยกันหลังจากเหตุการณ์ในเหอตงสิ้นสุดลง สองสามีภรรยาก็ตัดสินใจว่าจะพักที่นี่หนึ่งคืน เช้าวันที่สองค่อยเดินทางกลับเจดีย์หนิงกู่“พวกเจ้าจะไปแล้วหรือ?”เนี่ยชิงหลานยังอาลัยอาวรณ์ นัยน์ตาคู่นั้นมองกู้หว่านเยว่ด้วยความคาดหวังกว่านางจะเจอคนที่ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันเกินสองวันเลย ใครบ้างจะไม่อาลัยอาวรณ์?“พี่หว่านเยว่ ท่านทิ้งที่อยู่ของท่านให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะไปหาท่านเอง?”กู้หว่านเยว่ไม่
“ใช้คนเท่าไหร่ถึงสร้างถนนเสร็จเร็วเช่นนี้?” พวกเขาจากที่นี่ไปแค่หนึ่งเดือนเอง“วันนี้ใต้เท้าจี้ไปเหมืองแร่แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเฉินชี้เข้าไปยังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก“หลังจากที่พวกท่านจากไปได้ไม่นาน ก็มีผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มหลั่งไหลกันมาที่นี่ ทันทีที่สองกลุ่มแรกมาถึงหมู่บ้านสือหานของเรา พวกเขาก็อาสาเข้ามาช่วยซ่อมถนนจนเสร็จ”มีพละกำลังเหล่านี้ ความเร็วในการซ่อมถนนก็ทวีคูณเป็นไม่รู้กี่เท่าตัวกู้หว่านเยว่เพิ่งเคยเห็นบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยอิฐหลังนั้น ก่อนออกเดินทางนางได้กำชับกับฟู่หลานเหิงและผู้ว่าการอำเภอหลายท่านแล้วหากมีผู้ลี้ภัยเดินทางมายังเจดีย์หนิงกู่ ห้ามขวางเด็ดขาด สร้างที่พักอาศัยให้กับผู้ลี้ภัยในทุกหมู่บ้าน ให้พวกเขาซ่อมถนน ขุดเหมืองไม่ก็ทำฟาร์มดูท่าทางคนเหล่านี้จะทำตามคำสั่งของนาง กู้หว่านเยว่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยเรียกจี้ฮั่นโม่เข้ามารายงานพร้อมกันก็ได้”เพราะถนนปูนซีเมนต์เหล่านี้ยังแห้งไม่สนิท ซูจิ่งสิงจึงต้องอ้อมกลับบ้านอีกทางใครจะรู้ว่าหลังจากที่มาถึงปากทาง จะมีคนพุ่งออกมา“แม่นางกู้!”หลังจากมองอย่างละเอี
“ต่อให้ตรวจได้ก็ไม่ให้เจ้าตรวจเขาหรอก ใครใช้ให้เขาไม่เชื่อเจ้าล่ะ”ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนตระหนี่ เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสงสัยในตัวกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รู้ว่าซูจิ่งสิงออกหน้าเพื่อตน จึงอดขบขันไม่ได้ กระทั่งปล่อยเขาเลยตามเลย“ขุนพลหวัง เช่นนั้นก็รอทานมื้อค่ำเสร็จก่อน เจ้าค่อยมาเถิด”“...อื้อ ก็ได้”หวังปี้หลบหลีกไปด้านข้างอย่างน้อยเนื้อต่ำใจรถม้าได้เคลื่อนตัวกลับมาถึงบ้านคนแรกที่วิ่งออกมาก็คือนางหยางเมื่อเห็นซูจิ่งสิงบังคับม้าอยู่ด้านหน้า นางก็รีบตะโกนด้วยความดีใจ“กลับมาแล้ว จิ่งสิงและหว่านเยว่กลับมาแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว!”สิ้นสุดเสียงนี้ ซูจิ้งและซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในก็พากันวิ่งออกมา“อาป๊า อาป๊า!” ซูจิ้งร้องเรียกด้วยสีหน้าดีใจ“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าคิดถึงพวกท่านจะตายอยู่แล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบวิ่งมาด้านหน้าของรถม้า จากนั้นก็โผเข้ากอดกู้หว่านเยว่ทันทีส่วนคนอื่นก็ทยอยกันล้อมสองคนนั้นไว้นางหยางปาดน้ำตา “กลับมาก็ดีแล้ว เช้าวันนี้ข้ายังคุยกับพ่อเจ้าอยู่เลย พวกเจ้าจากบ้านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้รับข่าวคราว วิงวอนขอให้พวกเจ้าอย่าเจออุปสรรคอะไรเลย”ซูจิ่งสิงโบกมือไปมา
ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
“เสียงนี้...เป็นจิ่นเอ๋อร์!”สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป รีบโอบกู้หว่านเยว่แล้วพุ่งตัวไปยังทะเลสาบน้ำแข็งทันทีเมื่อไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเปียกโชก อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าลงไปไม่ได้นะ”จินโหย่วเฉียนคว้าแขนนางไว้ “เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปก็ตาย”“หรือจะให้ข้าทนดูใต้เท้าฟู่จมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตาแดงก่ำ “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“แย่ชะมัด เหตุใดข้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นนะ”จินโหย่วเฉียนร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือ กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะคิดสั้นกระโดดลงไปจนกระทั่งเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินเข้ามา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบตะโกนว่า“แม่นางกู้ ท่านซู พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ช่วยใต้เท้าฟู่ด้วย”“พี่ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจอย่างมาก“ท่านรีบช่วยใต้เท้าฟู่เร็วเข้า เขาตกลงไปนานแล้ว คงใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”ท่าทางแบบนี้ อยู่ในสายตาของจินโหย่วเฉียน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจแต่เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย เขาจึงรีบขอให้ซูจิ่งสิงชีวิตคนซูจิ่งสิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยก
“ข้าไปดูดินปืนได้หรือไม่?”ฮั่วจี๋กลืนน้ำลาย เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริง ๆ หวังปี้มองไปยังกู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปดู”“ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ยิ้มเล็กน้อย กู้หว่านเยว่มองไปที่เขา “เดินทางมาเหนื่อยยากลำบาก เจ้าทานอะไรหรือยัง? ข้าจะพาเจ้าไปทานข้าวนะ”ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี“ได้”อวิ๋นมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากด้านหลัง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ“พี่สะใภ้!”มู่หรงฉางเล่อแต่งกายเป็นบุรุษอีกแล้ว คราวนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ ติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นมู่“เจ้ามาได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ตกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่รออยู่ที่เจดีย์หนิงกู่อย่างสงบ วิ่งมาที่สนามรบทำไมกัน?“ข้ามาช่วย!”มู่หรงฉางเล่อทุบหน้าอกของตนเอง อย่าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้อายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองเช่นกัน“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในสนามรบไม่ได้ แต่ข้าได้ยินท่านแม่ข้าพูดว่า ฝ่ายสนับสนุนก็มีหลายอย่างที่สามารถช่วยได้”อวิ๋นมู่พยักหน้าเห็นด้วย“ครั้งนี้ต้องขอบคุณนาง ถึงได้ส่งดินปืนมาได้อย่างปลอดภัย”ที่แท้ระหว่างทางพวกเขาเจอกับพวกโจร อาศัยไหวพริบของมู่หรงฉางเล่อ ไ
หลี่เยว่แอบเหลือบมองกู้หว่านเยว่เงียบ ๆ แวบหนึ่งหลี่จินไม่เข้าใจ ยังคงเร่งเร้านาง “น้องเล็ก ท่านหมอหญิงถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้เหม่อลอย?”“เป็นคุณหนูท่านหนึ่งที่ให้ข้ามา”หลี่เยว่ได้สติกลับมา สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“นะ นางถามทางข้า พอให้ปิ่นปักผมข้าแล้วก็ออกจากเมืองไป”อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกหก นางจึงพูดตะกุกตะกัก“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปที่ใด”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก พาชิงเหลียนออกจากร้านขายยาเมื่อขึ้นรถม้า ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาคนมาสองคน แอบตามไปดูที่บ้านสกุลหลี่”ทั้งสองคนกลับไปที่สกุลฮั่ว หนานหยางอ๋องกำลังนำเหล่ารองแม่ทัพมารอนางอยู่“พระชายา” หวังปี้ก้าวเข้ามา เดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังรอคำชี้แนะจากท่าน แม่ทัพเมืองซุ่ยโจวได้ยินว่าเมืองเหยาถูกพวกเรายึดไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะยกทัพมาโจมตี”กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมืองเหยาถูกพวกโจรยึดครองนานกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่เห็นว่าทางซุ่ยโจวจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ บัดนี้ถูกเจดีย์หนิงกู่ยึดครองไปแล้ว ถึงได้เริ่มร้อนใจหรือ?“แ
“บุตรสาวตระกูลอาวุโสจางเพิ่งจะอายุเพียงสิบห้าปีเอง”หลี่จินทอดถอนใจเพราะอีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามมาก ดังนั้นตระกูลอาวุโสจางจึงรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่อยากให้นางแต่งงานเก็บนางไว้ในบ้านตลอด ตั้งใจว่าจะเก็บนางไว้เพิ่มอีกสักสองสามปีบุตรสาวอันเป็นที่รักที่พวกเขาคอยทะนุถนอมมาอย่างดีราวกับไข่มุกอันเลอค่าก็ดันถูกโจรเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงกระทั่งเห็นนางในกลุ่มคนจึงลากนางออกมาจากกลุ่มคน แล้วฝืนใจนางกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ เนื่องจากนางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะรับความอัปยศอดสูนี้ได้?หลังจากที่แม่นางจางกลับไป นางก็เป็นบ้าทันทีในขณะที่คนในบ้านไม่ทันสังเกต นางก็กระโดดบ่อน้ำจบชีวิตลงกว่าจะหามศพขึ้นมาจากน้ำได้ก็อืดแล้วเรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจให้เด็ก ๆ ไม่น้อยนางหลินร้องไห้สะอื้นกู้หว่านเยว่ยืนฟังเรื่องนี้อยู่ด้านนอกก็ยังรับไม่ได้ยามศึกสงคราม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นชาวบ้านอาวุโสแต่ก็หวังว่าสงครามระหว่างเจดีย์หนิงกู่และราชสำนักจะสิ้นสุดในเร็ววัน และเข้าช่วยเหลือชาวบ้านนับหมื่นจากภัยพิบัติในครั้งนี้“ข้ามาดูบาดแผลให้ภรรยาของเจ้า”กู้หว่านเยว่เอ่ย ตัดบทสนทนาของเ
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?นางหลินป่วยหนักปางตายขนาดนี้นางจะมัวแต่คิดถึงหลาน ๆ โดยไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสะใภ้ได้อย่างไร?แม่หลี่หัวเราะเยาะ“แสดงว่าในสายตาของเจ้า แม่สามีอย่างข้าเป็นคนเช่นนี้”ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!นางหลินดูหงอยลงทันทีเดิมทีนางขี้กลัวอยู่แล้ว บวกกับที่แม่สามีมักจะมีฝีปากร้ายกาจเช่นนี้เพราะความอคติแบบนี้ จึงคิดว่าตนนั้นคงเข้ากับแม่สามีไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่...”ไม่ว่านางจะผิดหรือไม่ผิด นางก็มักจะรีบก้มหน้าสำนึกผิดก่อนเสมอแม่หลี่ยิ่งขบขัน “ข้ายังไม่ว่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นให้ใครดูล่ะ รีบนอนลงเดี๋ยวนี้เลย เกิดแผลปริขึ้นมา สามีของเจ้าคงได้เอาชีวิตข้าแน่”“น้องหญิง เจ้านอนพักก่อนเถอะ”หลี่จินรีบเข้าไปประคองนางหลินให้นอนลงแม้ว่าแม่หลี่จะมีฝีปากร้ายกาจ แต่ก็มักจะโกรธง่ายหายเร็วหลังจากได้ระบายออกมาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ“ในตอนที่ข้ามาถึง ได้ยินเยว่เอ๋อร์บอกว่า เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน หลายวันนี้เรื่องภายในบ้านก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนี้อย่างสงบเถิด”คำกล่าวของแม่หลี่ทำให้นางหลินน้ำตาเ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน
หลังจากลองกดหน้าท้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ยิ่งมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของนางหลินจะต้องเกิดจากรังไข่ที่ฉีกขาดอย่างแน่นอน“มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก แถมภรรยาของเจ้าก็ยังหน้าซีดราวกับกระดาษ ปวดท้องตลอดเวลาแบบนี้ อาจจะทำให้ช็อกได้ทุกเมื่อ ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน”กู้หว่านเยว่ดึงมือกลับ นางหลินยังคงนอนอยู่บนเตียง เหงื่อไหลพรากราวกับสายฝน นางยังคงสะลึมสะลือหลี่จินจึงกล่าวถามว่า “ผ่าตัดหรือ? อะไรคือผ่าตัด?”“คือการกรีดเปิดหน้าท้องของภรรยาเจ้า จากนั้นก็ซ่อมแซมบาดแผลภายในร่างกาย ห้ามเลือดให้นาง ไม่ให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของนางอีก”อีกฝ่ายไม่เคยเจอวิธีการนี้ในตำรามาก่อน กู้หว่านเยว่พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายอธิบายให้เขาฟังหลี่จินเข้าใจแล้ว แต่กลับตกใจไปชั่วขณะ“ต้องกรีดหน้าท้อง? เช่นนั้นภรรยาของข้าก็ยิ่งทรมานนะสิ”เขามีสีหน้าเป็นกังวล แต่เขากลับเป็นคนซื่อตรง ไม่ได้ซักถามกู้หว่านเยว่ต่อเพียงแต่เป็นห่วงกลัวนางหลินจะทนไม่ไหว เจ็บจนปางตาย“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามียาระงับความเจ็บปวด หากภรรยาของเจ้ากินยานี้แล้ว จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”กู้หว่านเยว่มองไปยังอีกฝ่ายจะผ่าตัดได้หรือไม
“ท่านผู้นี้คือ?”เมื่อหลี่จินได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ ก็รีบหันไปมองนางทันทีแต่กู้หว่านเยว่ใส่หมวกม่านอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง“อย่าเปิดเผยสถานะของข้า”กู้หว่านเยว่กระซิบบอกข้างหูของเจ้าของร้านเบา ๆ เจ้าของร้านจึงรีบพยักหน้า เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีทักษะการแพทย์ จึงหาข้ออ้างไปเรื่อย “นี่คือหมอหญิงในร้านขายยาของเรา ในเมื่อภรรยาของเจ้าไม่ยอมให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย มิสู้ให้หมอหญิงท่านนี้ตรวจร่างกายให้ภรรยาของเจ้าล่ะ?”เขาลองหยั่งเชิง“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยอมหรือไม่”สาเหตุที่นางหลินไม่ยอมให้หมออาวุโสผู้นั้นตรวจร่างกายของนาง เพราะเหตุผลที่ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด นางทนต่อคำครหาเหล่านั้นไม่ได้ ทั้งยังกังวลว่าหลังจากที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะถูกผู้อื่นตำหนินางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ บัดนี้ไหน ๆ ก็มีหมอหญิงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้า“หากหมอหญิงผู้นี้สามารถตรวจร่างกายให้ข้าได้ เช่นนั้นก็ดี”นัยน์ตาของหลี่จินเปล่งประกาย“ได้โปรดท่านหมอช่วยตรวจร่างกายให้ภรรยาของข้าด้วยเถิด”กู้หว่านเยว่เดินเข้ามา เจ้าของร้านรีบยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้นา
“หากเจ้าไม่สบายตรงไหน อย่าฝืนทนเด็ดขาด ต้องตรวจให้แน่ใจ”สายตาของบุรุษฉายแววร้อนใจ มีท่าทีเป็นห่วงอย่างชัดเจนหมอที่อยู่ด้านหลังเห็นทั้งสองคนลังเล จึงอดกล่าวเตือนไม่ได้“หากท่านทั้งสองคนไม่อยากตรวจ ก็ขยับไปด้านข้างก่อนเถิด อย่าทำให้คนที่มาต่อแถวรอตรวจต้องเสียเวลา”“ไปกันเถอะ”สตรีผู้นั้นพยายามลากบุรุษข้างกายออกไป ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้านหลังจึงรีบรุดขึ้นหน้าทันที เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าออกไป ภาพตรงหน้าของสตรีผู้นี้ก็ดับวูบ เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น“น้องหญิง ๆ เจ้าเป็นอะไรไป?”หลี่จินกอดนางหลินไว้ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างร้อนใจ“ใครก็ได้มาช่วยดูอาการให้น้องหญิงของข้าหน่อย?”คนที่อยู่โดยรอบรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว กู้หว่านเยว่จึงมองไปทางเจ้าของร้านเจ้าของร้านกลับไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านมาหาหมอเป็นจำนวนมาก บางครั้งก็มีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นลมหมดสติอย่างฉับพลันทันทีที่มาถึงหน้าโรงหมอเขาออกคำสั่งอย่างเป็นระบบระเบียบ“ขอผู้ช่วยสองคน ยกแม่นางผู้นี้ขึ้นเปล แล้วหามเข้าไปตรวจภายในห้อง”ผู้ช่วยที่รอคำสั่งอยู่ด้านหลังก็ร
จากเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงเขียนไว้ในจดหมาย บอกไว้ว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่ได้ข้ามแม่น้ำมู่ตันโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กำลังมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของกองทัพจากราชสำนักที่อยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตันกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่วมบรรเลงเพลงรบด้วยกัน เพราะฝั่งของเรามีดินปืน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้สงครามถึงสองครั้งสงครามยืดเยื้ออย่างน้อยครึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่มีทหารนับแสนคนของราชสำนักก็ได้ต้องถอยทัพออกจากแม่น้ำมู่ตันหลังจากที่กู้หว่านเยว่อ่านจบแล้ว มุมปากก็ได้กระตุกยิ้มอย่างชื่นชมนางรายงานสถานการณ์ของเมืองเหยาให้ซูจิ่งสิงรับรู้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยดี เขาไม่ต้องเป็นห่วง รับมือกับศึกอย่างสบายใจได้เลยเมืองเหยาเกิดหายนะอย่างรุนแรง นางต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุการณ์หลังสงครามหลังจากเขียนจดหมายเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็นำม้วนกระดาษผูกติดกับขาของนกพิราบทองคำ“ไปเถอะ ไปหาเจ้าของของเจ้า”นกพิราบทองคำกางปีกโผบินออกไป“ฮูหยินคิดถึงท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ชิงเหลียนเห็นกู้หว่านเยว่ที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วปิดปากแอบหัวเราะกู้