“ใช้คนเท่าไหร่ถึงสร้างถนนเสร็จเร็วเช่นนี้?” พวกเขาจากที่นี่ไปแค่หนึ่งเดือนเอง“วันนี้ใต้เท้าจี้ไปเหมืองแร่แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเฉินชี้เข้าไปยังห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตก“หลังจากที่พวกท่านจากไปได้ไม่นาน ก็มีผู้ลี้ภัยหลายกลุ่มหลั่งไหลกันมาที่นี่ ทันทีที่สองกลุ่มแรกมาถึงหมู่บ้านสือหานของเรา พวกเขาก็อาสาเข้ามาช่วยซ่อมถนนจนเสร็จ”มีพละกำลังเหล่านี้ ความเร็วในการซ่อมถนนก็ทวีคูณเป็นไม่รู้กี่เท่าตัวกู้หว่านเยว่เพิ่งเคยเห็นบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยอิฐหลังนั้น ก่อนออกเดินทางนางได้กำชับกับฟู่หลานเหิงและผู้ว่าการอำเภอหลายท่านแล้วหากมีผู้ลี้ภัยเดินทางมายังเจดีย์หนิงกู่ ห้ามขวางเด็ดขาด สร้างที่พักอาศัยให้กับผู้ลี้ภัยในทุกหมู่บ้าน ให้พวกเขาซ่อมถนน ขุดเหมืองไม่ก็ทำฟาร์มดูท่าทางคนเหล่านี้จะทำตามคำสั่งของนาง กู้หว่านเยว่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยเรียกจี้ฮั่นโม่เข้ามารายงานพร้อมกันก็ได้”เพราะถนนปูนซีเมนต์เหล่านี้ยังแห้งไม่สนิท ซูจิ่งสิงจึงต้องอ้อมกลับบ้านอีกทางใครจะรู้ว่าหลังจากที่มาถึงปากทาง จะมีคนพุ่งออกมา“แม่นางกู้!”หลังจากมองอย่างละเอี
“ต่อให้ตรวจได้ก็ไม่ให้เจ้าตรวจเขาหรอก ใครใช้ให้เขาไม่เชื่อเจ้าล่ะ”ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนตระหนี่ เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสงสัยในตัวกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รู้ว่าซูจิ่งสิงออกหน้าเพื่อตน จึงอดขบขันไม่ได้ กระทั่งปล่อยเขาเลยตามเลย“ขุนพลหวัง เช่นนั้นก็รอทานมื้อค่ำเสร็จก่อน เจ้าค่อยมาเถิด”“...อื้อ ก็ได้”หวังปี้หลบหลีกไปด้านข้างอย่างน้อยเนื้อต่ำใจรถม้าได้เคลื่อนตัวกลับมาถึงบ้านคนแรกที่วิ่งออกมาก็คือนางหยางเมื่อเห็นซูจิ่งสิงบังคับม้าอยู่ด้านหน้า นางก็รีบตะโกนด้วยความดีใจ“กลับมาแล้ว จิ่งสิงและหว่านเยว่กลับมาแล้ว พวกเขากลับมาแล้ว!”สิ้นสุดเสียงนี้ ซูจิ้งและซูจิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในก็พากันวิ่งออกมา“อาป๊า อาป๊า!” ซูจิ้งร้องเรียกด้วยสีหน้าดีใจ“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าคิดถึงพวกท่านจะตายอยู่แล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์รีบวิ่งมาด้านหน้าของรถม้า จากนั้นก็โผเข้ากอดกู้หว่านเยว่ทันทีส่วนคนอื่นก็ทยอยกันล้อมสองคนนั้นไว้นางหยางปาดน้ำตา “กลับมาก็ดีแล้ว เช้าวันนี้ข้ายังคุยกับพ่อเจ้าอยู่เลย พวกเจ้าจากบ้านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้รับข่าวคราว วิงวอนขอให้พวกเจ้าอย่าเจออุปสรรคอะไรเลย”ซูจิ่งสิงโบกมือไปมา
ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
“เสียงนี้...เป็นจิ่นเอ๋อร์!”สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป รีบโอบกู้หว่านเยว่แล้วพุ่งตัวไปยังทะเลสาบน้ำแข็งทันทีเมื่อไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเปียกโชก อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าลงไปไม่ได้นะ”จินโหย่วเฉียนคว้าแขนนางไว้ “เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปก็ตาย”“หรือจะให้ข้าทนดูใต้เท้าฟู่จมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตาแดงก่ำ “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“แย่ชะมัด เหตุใดข้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นนะ”จินโหย่วเฉียนร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือ กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะคิดสั้นกระโดดลงไปจนกระทั่งเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินเข้ามา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบตะโกนว่า“แม่นางกู้ ท่านซู พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ช่วยใต้เท้าฟู่ด้วย”“พี่ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจอย่างมาก“ท่านรีบช่วยใต้เท้าฟู่เร็วเข้า เขาตกลงไปนานแล้ว คงใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”ท่าทางแบบนี้ อยู่ในสายตาของจินโหย่วเฉียน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจแต่เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย เขาจึงรีบขอให้ซูจิ่งสิงชีวิตคนซูจิ่งสิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยก
คนธรรมดาก็ไม่สามารถไปอาบน้ำในคูเมืองได้ตามใจชอบ แล้วเขาจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร?“กลับกันก่อนเถอะ”ฟู่หลานเหิงเหลือบมองเสื้อผ้าเปียก ๆ บนตัวของซูจิ่นเอ๋อร์ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“ระวังเป็นหวัดล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ก็หันหน้าหนี แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกันก่อน”กู้หว่านเยว่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาห่อตัวให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ซูจิ่งสิงก็หยิบตะกร้าปลาขึ้นมาเมื่อทุกคนกลับถึงบ้าน นางหยางได้ยินว่าพวกเขาตกลงไปในน้ำจนเกือบจะจมน้ำตาย ก็ร้อนใจอย่างมาก“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่ทำให้แม่อุ่นใจเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งนั่นทำไม?”นางหยางโกรธจนอยากจะตีนางแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นางทำไปก็ด้วยความหวังดี เพื่อสุขภาพของกู้หว่านเยว่ จึงฝืนทนไว้ได้“ข้าคิดว่าเจ้าแค่จับปลาอยู่แถวริมฝั่งเสียอีก”“ริมฝั่งไม่เห็นปลาเลยนี่ ข้าเห็นว่าพื้นน้ำแข็งมันแข็งแรงดี จึงเดินเข้าไปตรงกลางแต่ใครจะไปรู้ว่าจะตกลงไปในรูได้...โดนดุต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ถึงอย่างไรซูจิ่นเอ๋อร์ก็เป็นสาวแล้ว รู้สึกอับอาย จึงเถียงกลับเบา ๆ ยิ่งทำให้นางหยางโกรธจนทนไม่ไหว “โด
แม้ว่าครั้งล่าสุดที่นางตรวจชีพจรของหลี่โหวเหย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยู่ได้อีกไม่นาน“แต่เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ คนก็จากไปแล้ว นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ “วันที่หลี่โหวเหยจากไป ข้าก็อยู่ที่จวนโหว”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยความเสียดาย “คนก็เหมือนกับคันธนูที่ง้างจนสุดกำลัง ช่วงสุดท้ายของชีวิตร่างกายก็ทรุดโทรมหลี่โหวเหยไม่ยอมกินอาหาร ปล่อยให้ตัวเองหิวตาย”กู้หว่านเยว่อดสงสารไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหลี่โหวเหยอยากจะปลดปล่อยตัวเอง”“หลี่โหวเหยปกป้องชายแดนมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก”นางหยางพูดแทรกขึ้นมาว่า “ที่เขากล่าวกันว่าแต่งงานต้องเลือกภรรยาที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ก็เพราะเหตุนี้ หากแต่งงานกับภรรยาที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ แอบวางยาพิษ เจ้าจะตายตอนไหนก็ไม่รู้”จินโหย่วเฉียนเหงื่อแตกพลั่ก “ป้าหยาง ท่านพูดเสียจนข้ากลัวเลย”แม้คำพูดจะดูหยาบคาย แต่ความหมายก็ถูกต้อง ที่เขากล่าวกันว่าผู้หญิงกลัวแต่งงานผิดคน ผู้ชายก็เช่นกัน“สวีหลานตายแล้ว เสี่ยวอันก็โตขึ้นมาก หลี่โหวเหยจากไปก็น่าจะจากไปอย่างสงบ”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลี่โหวเหยประจำการเฝ้าชายแดนมาห
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก