ซูจิ่นเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยสีหน้างุ่นง่านกู้หว่านเยว่งุนงงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจินโหย่วเฉียนเลย จำได้แค่ว่าเขาไม่มีทางเปิดธุรกิจได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอเงื่อนไขนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อซูจิ่นเอ๋อร์ ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้แสดงสีหน้างุ่นง่านเช่นนี้?“ไอหยา ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เอาเป็นว่า...ข้าค่อยบอกรายละเอียดกับพวกเจ้าหลังจากนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะวิ่งตึกตักเข้าไปในห้องครัว เด็กคนนี้มีเรื่องให้หนักอกหนักใจจริง ๆ นางหยางที่ยืนอยู่ข้างกายและซูจิ้งได้สบตากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่เก็บข้าวของเสร็จ และออกมาทานมื้อค่ำ นางพบว่าจินโหย่วเฉียนมาถึงแล้วอีกทั้งยังเห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับมาที่นี่ครั้งแรกด้วย เขาคุ้นเคยกับในบ้านของนางเป็นอย่างดี หลังจากที่เข้ามาก็ช่วยนางหยางยกอาหารออกมาวาง“ทันทีที่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ข้านำเหล้ากลับมาจากเมืองหลวงพอดี เหล้าหมักผลไม้ของข้าไม่มีฤทธิ์สุรา คนท้องดื่มได้”จินโหย่วเฉียนแกว่งเหล้าหมักผลไม้ในมือไปมา ท่าทางเชิญชวนมาก“จิ่นเอ๋อร์ก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
“เสียงนี้...เป็นจิ่นเอ๋อร์!”สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป รีบโอบกู้หว่านเยว่แล้วพุ่งตัวไปยังทะเลสาบน้ำแข็งทันทีเมื่อไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเปียกโชก อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าลงไปไม่ได้นะ”จินโหย่วเฉียนคว้าแขนนางไว้ “เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปก็ตาย”“หรือจะให้ข้าทนดูใต้เท้าฟู่จมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตาแดงก่ำ “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“แย่ชะมัด เหตุใดข้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นนะ”จินโหย่วเฉียนร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือ กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะคิดสั้นกระโดดลงไปจนกระทั่งเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินเข้ามา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบตะโกนว่า“แม่นางกู้ ท่านซู พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ช่วยใต้เท้าฟู่ด้วย”“พี่ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจอย่างมาก“ท่านรีบช่วยใต้เท้าฟู่เร็วเข้า เขาตกลงไปนานแล้ว คงใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”ท่าทางแบบนี้ อยู่ในสายตาของจินโหย่วเฉียน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจแต่เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย เขาจึงรีบขอให้ซูจิ่งสิงชีวิตคนซูจิ่งสิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยก
คนธรรมดาก็ไม่สามารถไปอาบน้ำในคูเมืองได้ตามใจชอบ แล้วเขาจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร?“กลับกันก่อนเถอะ”ฟู่หลานเหิงเหลือบมองเสื้อผ้าเปียก ๆ บนตัวของซูจิ่นเอ๋อร์ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“ระวังเป็นหวัดล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ก็หันหน้าหนี แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกันก่อน”กู้หว่านเยว่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาห่อตัวให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ซูจิ่งสิงก็หยิบตะกร้าปลาขึ้นมาเมื่อทุกคนกลับถึงบ้าน นางหยางได้ยินว่าพวกเขาตกลงไปในน้ำจนเกือบจะจมน้ำตาย ก็ร้อนใจอย่างมาก“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่ทำให้แม่อุ่นใจเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งนั่นทำไม?”นางหยางโกรธจนอยากจะตีนางแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นางทำไปก็ด้วยความหวังดี เพื่อสุขภาพของกู้หว่านเยว่ จึงฝืนทนไว้ได้“ข้าคิดว่าเจ้าแค่จับปลาอยู่แถวริมฝั่งเสียอีก”“ริมฝั่งไม่เห็นปลาเลยนี่ ข้าเห็นว่าพื้นน้ำแข็งมันแข็งแรงดี จึงเดินเข้าไปตรงกลางแต่ใครจะไปรู้ว่าจะตกลงไปในรูได้...โดนดุต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ถึงอย่างไรซูจิ่นเอ๋อร์ก็เป็นสาวแล้ว รู้สึกอับอาย จึงเถียงกลับเบา ๆ ยิ่งทำให้นางหยางโกรธจนทนไม่ไหว “โด
แม้ว่าครั้งล่าสุดที่นางตรวจชีพจรของหลี่โหวเหย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยู่ได้อีกไม่นาน“แต่เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ คนก็จากไปแล้ว นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ “วันที่หลี่โหวเหยจากไป ข้าก็อยู่ที่จวนโหว”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยความเสียดาย “คนก็เหมือนกับคันธนูที่ง้างจนสุดกำลัง ช่วงสุดท้ายของชีวิตร่างกายก็ทรุดโทรมหลี่โหวเหยไม่ยอมกินอาหาร ปล่อยให้ตัวเองหิวตาย”กู้หว่านเยว่อดสงสารไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหลี่โหวเหยอยากจะปลดปล่อยตัวเอง”“หลี่โหวเหยปกป้องชายแดนมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก”นางหยางพูดแทรกขึ้นมาว่า “ที่เขากล่าวกันว่าแต่งงานต้องเลือกภรรยาที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ก็เพราะเหตุนี้ หากแต่งงานกับภรรยาที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ แอบวางยาพิษ เจ้าจะตายตอนไหนก็ไม่รู้”จินโหย่วเฉียนเหงื่อแตกพลั่ก “ป้าหยาง ท่านพูดเสียจนข้ากลัวเลย”แม้คำพูดจะดูหยาบคาย แต่ความหมายก็ถูกต้อง ที่เขากล่าวกันว่าผู้หญิงกลัวแต่งงานผิดคน ผู้ชายก็เช่นกัน“สวีหลานตายแล้ว เสี่ยวอันก็โตขึ้นมาก หลี่โหวเหยจากไปก็น่าจะจากไปอย่างสงบ”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลี่โหวเหยประจำการเฝ้าชายแดนมาห
“ฮ่องเต้ชั่วคงจะรีบหาเรื่องเปิดศึกกับเราแน่ ๆ หากตอนนี้เมืองตงโจวรุกรานพวกเราอีก ผู้ที่จะต้องบาดเจ็บก็มีเพียงประชาชนในเจดีย์หนิงกู่“ดังนั้น จนกว่าจะถึงที่สุดแล้ว ก็อย่าเพิ่งเปิดศึกกับเมืองตงโจวจะดีกว่า”กู้หว่านเยว่พูดความคิดของตัวเองออกมาซูจิ่งสิงเห็นด้วย สามีภรรยาคู่นี้มีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้เสมอ ต่างไม่ต้องการให้ไฟสงครามลุกลามไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “ในเมื่อชาวบ้านในเมืองตงโจวขาดแคลนเสบียงอาหารและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว เช่นนั้นเราก็ส่งบางส่วนไปให้พวกเขา จะได้ผูกมิตรไมตรีต่อกันพอพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการไป คงจะพอใจแล้ว และไม่น่าจะเสียกำลังคนและทรัพยากรมาโจมตีเราอีก”ถึงจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดผิดอะไร“แต่ตอนนี้พวกเราไม่รู้จักใครในเมืองตงโจวเลย ไม่สู้ไปถามพวกเขาดูว่าต้องการอะไร หากสามารถผูกมิตรกันได้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี”พวกเขาและพวกทูเจวี๋ยมีความแค้นฝังลึก ไม่มีทางคืนดีกันได้ตลอดชีวิตแต่กับเมืองตงโจวไม่เหมือนกัน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน บางทีอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันได้“แต่จะส่งใครไปดีล่ะ การเดินทางครั้งน
ไม่นานนัก จี้ฮั่นโม่ก็มาถึงเขาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างถนนคอนกรีต และการขุดเหมืองในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่ให้กู้หว่านเยว่ตรวจดู“ข้าน้อยรู้ว่าท่านต้องการดู แบบนี้จะทำให้ท่านตรวจสอบได้สะดวก”จี้ฮั่นโม่เป็นคนซื่อสัตย์ ใบหน้าที่ดูซื่อ ๆ ของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยกู้หว่านเยว่ตรวจสอบอย่างละเอียดจนจบ ดวงตาของนางฉายแววชื่นชม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สั่งให้จี้ฮั่นโม่ดำเนินการตามแผนงานต่อไปจี้ฮั่นโม่ก็ดีใจเช่นกันเพราะอะไรน่ะหรือ ก่อนหน้านี้เขาทำงานที่กรมโยธาธิการ ส่วนใหญ่จะสร้างพระราชวังให้ฮ่องเต้และนางสนม ล้วนเป็นงานที่สิ้นเปลืองแรงงานและทรัพยากรของประชาชนแต่ตอนนี้กลับได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จี้ฮั่นโม่ผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้องจะไม่รู้สึกดีใจได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น งบประมาณที่กู้หว่านเยว่ตั้งไว้ก็ไม่มีกำหนด นั่นหมายความว่าเขาสามารถทำงานแบบทุ่มเทสุดกำลังได้“ขอบคุณฮูหยิน นายหญิง เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”หลังจากที่จี้ฮั่นโม่จากไป กู้หว่านเยว่ก็เรียกฟู่หลานเหิงเข้ามา แล้วบอกวิธีที่นางคิดได้ในตอนกลางวัน
“คนแปลกหน้า เจียงม่าน เหตุใดเจ้าถึงพูดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้?”เมื่อเห็นว่าเจียงม่านจะไป เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ดึงนางเข้ามา แล้วจูบลงไปที่ริมฝีปากของนางอย่างแรงเจียงม่านเบิกตากว้างนางอยากจะผลักฮั่วจี๋ออก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจมดิ่งลงไป“ฟังข้า ข้าไม่สนใจฐานะของเจ้า และไม่สนใจอดีตของเจ้า ข้าสนใจเพียงคนที่อยู่ตรงหน้าข้า”ฮั่วจี๋โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอม“ท่านพ่อท่านแม่และพวกพี่ชายไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ คนเดียวที่เกี่ยวข้องกับข้าก็มีแค่เจ้า”เขาจะไม่มีวันลืมว่า เจียงม่านแบกเขาออกมาจากกองศพได้อย่างไรการกลายเป็นหญิงคณิกา ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางเต็มใจเขาเชื่อว่าด้วยนิสัยใจคอของนาง หากเลือกได้ นางไม่มีทางยอมตกเป็นของหอนางโลมอย่างแน่นอน“ฟังข้านะ กลับไปกับข้า ให้ข้าแต่งเจ้าเป็นภรรยา ปกป้องเจ้าไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่”ฮั่วจี๋ประคองใบหน้าของเจียงม่าน ในเวลานี้ เขามองเห็นหัวใจของตนเองอย่างชัดเจนเจียงม่านจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา “ทะ ท่านจะไม่เสียใจหรือ?”“มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง”เจียงม่านโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาในทันที กอดเอวที่แข็งแรงของเขาแน่น ให้นางได้เดิมพันอีกสักครั้งเถิด
เซวียฉิงถูกเขาบีบคอจนหายใจไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก“อึก...พี่สาม ไว้ชีวิต...”ใบหน้าของนางเขียวคล้ำ ดูเหมือนว่าใกล้จะขาดใจเต็มทีสาวใช้คาดไม่ถึงว่าฮั่วจี๋จะกล้าลงมือหนักถึงเพียงนี้ ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น“คุณชายฮั่วโปรดไว้ชีวิตด้วย คุณหนูของข้านิสัยเรียบง่ายบริสุทธิ์ ไม่ได้วางแผนก่อกวน”นางพูดตะกุกตะกัก“เป็นเจียงม่านผู้นั้นที่จากไปเอง ไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูของพวกเรา”ประโยคเดียวกลับทำให้เซวียฉิงเผยพิรุธฮั่วจี๋สะบัดเซวียฉิงออกไป เขาไม่ได้คิดจะบีบคอเซวียฉิงให้ตายจริง ๆ เพียงแต่อยากข่มขู่นายบ่าวทั้งสองคนเท่านั้น“แม่นางเจียงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า หากใครไปรบกวนนางอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”เขาไม่สนใจเซวียฉิงอีก พลิกตัวขึ้นไปบนรถม้า แล้วให้มู่หรงฉางเล่อรีบออกเดินทาง“พี่สาม!”เซวียฉิงส่ายหน้าแล้วไอบ้าไปแล้วบ้าไปแล้วจริง ๆ !ฮั่วจี๋รู้ว่าเจียงม่านเป็นหญิงคณิกาแล้ว กลับไม่หลีกเลี่ยง ยังจะตามไปอีก?เจียงม่านทำอะไรกับเขากันแน่?“คุณหนู ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”สาวใช้เดินมาอยู่ข้างกายเซวียฉิง“พี่สามไม่ฟังข้า ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่กับเจียงม่าน ข้ามีวิธี”เซว
เซวียฉิงไม่ยอม“ท่านไม่บอก ข้าก็รู้ว่าท่านจะไปทำอะไร”เซวียฉิงมองเข้าไปในตาของฮั่วจี๋ แล้วรีบเอ่ยถาม“ท่านอยากจะไปหญิงสาวที่ช่วยชีวิตท่านไว้ใช่หรือไม่?”“เจ้ารู้จักนางหรือ?”ฮั่วจี๋หรี่ตาแล้วมองไปที่เซวียฉิง สายตาที่เฉียบคมนั้น ทำให้เซวียฉิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อนึกถึงอนาคตของตนเอง เซวียฉิงก็รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้น“ข้าย่อมรู้จักนาง นางช่วยชีวิตท่านกลับมา ท่านยังพานางกลับมาที่จวนด้วยตัวเอง ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”ฮั่วจี๋พยักหน้า“ในเมื่อเจ้ารู้ว่านางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า ก็รีบหลบไป”“ก็เป็นเพราะรู้ ถึงได้ไม่หลบ”เซวียฉิงกัดริมฝีปาก ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น“พี่สาม เพื่อชื่อเสียงของท่าน ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้ท่านไปหานางได้”“เพราะเหตุใด?”ฮั่วจี๋ยิ่งสงสัยมากขึ้น เขารู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายมีนัยแอบแฝง“เพราะฐานะของนาง”เซวียฉิงเหลือบมองฮั่วจี๋แวบหนึ่ง“นะ นางเป็นหญิงคณิกา”“เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไร?”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฮั่วจี๋ก็โกรธมากจริง ๆ กระโดดลงมาจากรถม้าโดยตรง แล้วจับคอเสื้อของเซวียฉิงอย่างแรงเซวียฉิงตกใจกลัวเป็นอย่างมาก“พี่สาม เหตุใดท่านถึง
“ท่านแม่ให้ข้าไปหาเขา ข้าก็ไปแล้ว แต่กลับต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเขาอย่างน้อยก็น่าจะให้ข้าพักสักสองสามวัน เหตุใดวันนี้ถึงให้ข้าไปอีกแล้ว?”จวนสกุลเซวีย เซวียฉิงนั่งอยู่ในห้องด้วยความโมโหนางถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ที่สกุลฮั่วเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา แม้ว่าการลงโทษนี้จะไม่หนักหนาแต่ก็น่าอับอายเซวียฉิงก็เป็นคนมีหน้ามีตา พอกลับมาก็เก็บตัวอยู่ในห้อง ทำให้นายหญิงเซวียต้องมาปลอบนาง“เจ้าต้องไป”นายหญิงเซวียโอบกอดนาง“เด็กดี ฟังข้านะ ตอนนี้ฮั่วจี๋เป็นคนโปรดของพระชายา หากเจ้าสามารถแต่งงานกับฮั่วจี๋ได้โดยเร็ว ฐานะของสกุลเซวียพวกเราในเมืองเหยาก็จะมั่นคง”คนของสกุลเซวียรู้สึกผิด เพราะตอนที่พวกโจรบุกเมือง พวกเขาไม่ได้ออกแรงช่วยเหลืออะไรเลย“ท่านแม่รู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาจะต้องชนะ?”เซวียฉิงเบ้ปากเอ่ยขึ้น“หากราชสำนักชนะเล่า? เช่นนั้นพวกเราจะไม่สูญเปล่า แถมยังเอาตัวเองเข้าไปพัวพันอีกหรือ?”“ราชสำนักไม่มีทางชนะ”นายท่านเซวียกลับมาจากข้างนอก กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ครั้งนี้ราชสำนักไม่มีทางชนะแล้ว”นายหญิงเซวียและเซวียฉิงได้ยินดังนั้น ต่างมองเขาด้วยความสงสัย“ท่านพี่/ท่านพ่อ เหตุใดถึงพ
“ข้าไปดูดินปืนได้หรือไม่?”ฮั่วจี๋กลืนน้ำลาย เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริง ๆ หวังปี้มองไปยังกู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปดู”“ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ยิ้มเล็กน้อย กู้หว่านเยว่มองไปที่เขา “เดินทางมาเหนื่อยยากลำบาก เจ้าทานอะไรหรือยัง? ข้าจะพาเจ้าไปทานข้าวนะ”ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี“ได้”อวิ๋นมู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากด้านหลัง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจ“พี่สะใภ้!”มู่หรงฉางเล่อแต่งกายเป็นบุรุษอีกแล้ว คราวนี้ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ ติดตามอยู่ด้านหลังอวิ๋นมู่“เจ้ามาได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ตกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่รออยู่ที่เจดีย์หนิงกู่อย่างสงบ วิ่งมาที่สนามรบทำไมกัน?“ข้ามาช่วย!”มู่หรงฉางเล่อทุบหน้าอกของตนเอง อย่าเห็นว่าเด็กสาวคนนี้อายุน้อย แต่ก็เป็นคนที่รักชาติบ้านเมืองเช่นกัน“แม้ว่าข้าจะเข้าไปในสนามรบไม่ได้ แต่ข้าได้ยินท่านแม่ข้าพูดว่า ฝ่ายสนับสนุนก็มีหลายอย่างที่สามารถช่วยได้”อวิ๋นมู่พยักหน้าเห็นด้วย“ครั้งนี้ต้องขอบคุณนาง ถึงได้ส่งดินปืนมาได้อย่างปลอดภัย”ที่แท้ระหว่างทางพวกเขาเจอกับพวกโจร อาศัยไหวพริบของมู่หรงฉางเล่อ ไ
หลี่เยว่แอบเหลือบมองกู้หว่านเยว่เงียบ ๆ แวบหนึ่งหลี่จินไม่เข้าใจ ยังคงเร่งเร้านาง “น้องเล็ก ท่านหมอหญิงถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าถึงได้เหม่อลอย?”“เป็นคุณหนูท่านหนึ่งที่ให้ข้ามา”หลี่เยว่ได้สติกลับมา สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“นะ นางถามทางข้า พอให้ปิ่นปักผมข้าแล้วก็ออกจากเมืองไป”อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โกหก นางจึงพูดตะกุกตะกัก“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปที่ใด”กู้หว่านเยว่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก พาชิงเหลียนออกจากร้านขายยาเมื่อขึ้นรถม้า ก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาคนมาสองคน แอบตามไปดูที่บ้านสกุลหลี่”ทั้งสองคนกลับไปที่สกุลฮั่ว หนานหยางอ๋องกำลังนำเหล่ารองแม่ทัพมารอนางอยู่“พระชายา” หวังปี้ก้าวเข้ามา เดินเคียงข้างกู้หว่านเยว่ด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังรอคำชี้แนะจากท่าน แม่ทัพเมืองซุ่ยโจวได้ยินว่าเมืองเหยาถูกพวกเรายึดไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะยกทัพมาโจมตี”กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเมืองเหยาถูกพวกโจรยึดครองนานกว่าครึ่งเดือน ก็ไม่เห็นว่าทางซุ่ยโจวจะมีการเคลื่อนไหวใด ๆ บัดนี้ถูกเจดีย์หนิงกู่ยึดครองไปแล้ว ถึงได้เริ่มร้อนใจหรือ?“แ
“บุตรสาวตระกูลอาวุโสจางเพิ่งจะอายุเพียงสิบห้าปีเอง”หลี่จินทอดถอนใจเพราะอีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามมาก ดังนั้นตระกูลอาวุโสจางจึงรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่อยากให้นางแต่งงานเก็บนางไว้ในบ้านตลอด ตั้งใจว่าจะเก็บนางไว้เพิ่มอีกสักสองสามปีบุตรสาวอันเป็นที่รักที่พวกเขาคอยทะนุถนอมมาอย่างดีราวกับไข่มุกอันเลอค่าก็ดันถูกโจรเหล่านั้นบุกเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงกระทั่งเห็นนางในกลุ่มคนจึงลากนางออกมาจากกลุ่มคน แล้วฝืนใจนางกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ เนื่องจากนางเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี ไหนเลยจะรับความอัปยศอดสูนี้ได้?หลังจากที่แม่นางจางกลับไป นางก็เป็นบ้าทันทีในขณะที่คนในบ้านไม่ทันสังเกต นางก็กระโดดบ่อน้ำจบชีวิตลงกว่าจะหามศพขึ้นมาจากน้ำได้ก็อืดแล้วเรื่องนี้สร้างความตื่นตกใจให้เด็ก ๆ ไม่น้อยนางหลินร้องไห้สะอื้นกู้หว่านเยว่ยืนฟังเรื่องนี้อยู่ด้านนอกก็ยังรับไม่ได้ยามศึกสงคราม คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นชาวบ้านอาวุโสแต่ก็หวังว่าสงครามระหว่างเจดีย์หนิงกู่และราชสำนักจะสิ้นสุดในเร็ววัน และเข้าช่วยเหลือชาวบ้านนับหมื่นจากภัยพิบัติในครั้งนี้“ข้ามาดูบาดแผลให้ภรรยาของเจ้า”กู้หว่านเยว่เอ่ย ตัดบทสนทนาของเ
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว?นางหลินป่วยหนักปางตายขนาดนี้นางจะมัวแต่คิดถึงหลาน ๆ โดยไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสะใภ้ได้อย่างไร?แม่หลี่หัวเราะเยาะ“แสดงว่าในสายตาของเจ้า แม่สามีอย่างข้าเป็นคนเช่นนี้”ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!นางหลินดูหงอยลงทันทีเดิมทีนางขี้กลัวอยู่แล้ว บวกกับที่แม่สามีมักจะมีฝีปากร้ายกาจเช่นนี้เพราะความอคติแบบนี้ จึงคิดว่าตนนั้นคงเข้ากับแม่สามีไม่ได้ “ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่...”ไม่ว่านางจะผิดหรือไม่ผิด นางก็มักจะรีบก้มหน้าสำนึกผิดก่อนเสมอแม่หลี่ยิ่งขบขัน “ข้ายังไม่ว่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าทำท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นให้ใครดูล่ะ รีบนอนลงเดี๋ยวนี้เลย เกิดแผลปริขึ้นมา สามีของเจ้าคงได้เอาชีวิตข้าแน่”“น้องหญิง เจ้านอนพักก่อนเถอะ”หลี่จินรีบเข้าไปประคองนางหลินให้นอนลงแม้ว่าแม่หลี่จะมีฝีปากร้ายกาจ แต่ก็มักจะโกรธง่ายหายเร็วหลังจากได้ระบายออกมาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ“ในตอนที่ข้ามาถึง ได้ยินเยว่เอ๋อร์บอกว่า เจ้าต้องพักฟื้นอีกหลายวัน หลายวันนี้เรื่องภายในบ้านก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนี้อย่างสงบเถิด”คำกล่าวของแม่หลี่ทำให้นางหลินน้ำตาเ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เสียงปริศนาเสียงหนึ่งก็ตะโกนดังมาจากด้านล่างที่แท้ก็เป็นน้องสาวจากตระกูลหลี่จินที่มาหาเขานี่เอง บอกว่าท่านแม่หลี่ก็มาเยี่ยมด้วย“พวกเจ้านะพวกเจ้า ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่บอกข้า”ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็ได้ยินเสียงที่ดุดันของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน“หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาจากทุ่งนา แล้วได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอก ข้าก็คงไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาโรงหมอ”หญิงวัยกลางคนด่ากราดเสียงดัง มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าดูไม่สบอารมณ์หลี่จินค่อนข้างลำบากใจ“เสียมารยาทยิ่งนัก แม่ของข้าก็เป็นเช่นนี้แหละ ชอบเอะอะโวยวาย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง มั่นใจว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นแม่สามีขี้หงุดหงิดอย่างแน่นอนมิน่าล่ะก่อนหน้านั้นนางหลินถึงได้มีท่าทีหวาดกลัว ไม่กล้าให้หมอผู้ชายตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าหากถูกแม่หลี่รู้เข้า จะถูกไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอนในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังจะกลับนั้น นางได้เข้าไปจับชีพจรให้นางหลินอีกครั้ง“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน”นางหลินยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นได้นางมีสีหน้าลำบากใจ หดคอเหมือน