หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จินโหย่วเฉียนก็ถือโอกาสพักอยู่ที่บ้านสกุลซูกู้หว่านเยว่ตรวจอาการให้กับหวังปี้ และเขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อยนางก็นอนลงบนเตียงใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ตรวจนับสิ่งของที่กวาดมาจากคลังสมบัติส่วนตัวของมู่หรงอวี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา“มิติยังอัปเกรดไม่เสร็จอีกหรือ?”กู้หว่านเยว่จ้องมองแถบแสดงความคืบหน้าการอัปเกรดที่กำลังโหลดอย่างช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยหากนางจำไม่ผิด แถบแสดงความคืบหน้านี้มันค้างมาหลายวันแล้วอัปเกรดช้าขนาดนี้ สุดท้ายแล้วจะอัปเกรดออกมาเป็นฟังก์ชันสุดยอดแบบไหนกันนะ?“นายหญิง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”ระบบตอบอย่างแผ่วเบา ต่อไปมิติจะกลายเป็นแบบไหน ตัวมันเองก็อยากรู้มากเช่นกัน“นายหญิง ครั้งนี้เก็บกวาดคลังสมบัติส่วนตัวมาได้ตั้งห้าแห่ง แถมยังมีเหมืองทองคำด้วย” น้ำเสียงของระบบตื่นเต้น“การอัปเกรดมิติ คาดว่าจะทำให้นายหญิงตกตะลึงอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่เห็นว่าแถบแสดงความคืบหน้านั้นขึ้นมาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงไม่รีบร้อนออกจากมิติ และรออยู่ข้างในนั้นเอนกายพิงเก้าอี้ยาวพลางกินองุ่นไปด้วย และผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น กู
กู้หว่านเยว่เป็นหญิงมีครรภ์ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ ไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า“มีท่านพี่อยู่เคียงข้างคอยปกป้องข้า ท่านแม่ยังกังวลอะไรอีกเจ้าคะ?”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลน้องหญิงเป็นอย่างดี” ซูจิ่งสิงพูดเสริมนางหยางเห็นดังนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสองคนก็ต้องระมัดระวังหน่อย พอเจอจิ่นเอ๋อร์แล้วก็รีบกลับมา ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าคงจับปลาไม่ได้แล้ว”หากตากฝนในฤดูใบไม้ผลิ จะทำให้เป็นหวัดได้ง่ายที่สุดนางหยางพูดสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าคู่สามีภรรยาตัวน้อยออกไปแล้ว ก็ทำได้เพียงไปยังห้องครัวทางด้านนี้ กู้หว่านเยว่มองสายฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงดูมีความสุขเช่นนี้ น้ำฝนนี้มีอะไรพิเศษหรือ?”เมื่อออกจากประตูบ้าน ซูจิ่งสิงเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ จึงถือโอกาสถามข้อสงสัยในใจออกมาในเมื่อทั้งสองคนได้ฝากชีวิตไว้ซึ่งกันและกันแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เคยพาซูจิ่งสิงเข้าไปในมิติของตนเองด้วยเวลานี้ เมื่อเผชิญกับความสงสัยของเขา นางก็ไม่คิดจะปิดบัง“ที่วันนี้ฝนตก ก็เป็นเพราะข้า”กู้หว่านเยว่ก
“เสียงนี้...เป็นจิ่นเอ๋อร์!”สีหน้าของซูจิ่งสิงเปลี่ยนไป รีบโอบกู้หว่านเยว่แล้วพุ่งตัวไปยังทะเลสาบน้ำแข็งทันทีเมื่อไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเปียกโชก อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าลงไปไม่ได้นะ”จินโหย่วเฉียนคว้าแขนนางไว้ “เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ลงไปก็ตาย”“หรือจะให้ข้าทนดูใต้เท้าฟู่จมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา?”ซูจิ่นเอ๋อร์ตาแดงก่ำ “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”“แย่ชะมัด เหตุใดข้าถึงว่ายน้ำไม่เป็นนะ”จินโหย่วเฉียนร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือ กลัวว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะคิดสั้นกระโดดลงไปจนกระทั่งเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินเข้ามา ก็เหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบตะโกนว่า“แม่นางกู้ ท่านซู พวกท่านมาได้ถูกเวลาพอดี ช่วยใต้เท้าฟู่ด้วย”“พี่ใหญ่!”ซูจิ่นเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจอย่างมาก“ท่านรีบช่วยใต้เท้าฟู่เร็วเข้า เขาตกลงไปนานแล้ว คงใกล้จะไม่ไหวแล้ว!”ท่าทางแบบนี้ อยู่ในสายตาของจินโหย่วเฉียน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจแต่เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย เขาจึงรีบขอให้ซูจิ่งสิงชีวิตคนซูจิ่งสิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยก
คนธรรมดาก็ไม่สามารถไปอาบน้ำในคูเมืองได้ตามใจชอบ แล้วเขาจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร?“กลับกันก่อนเถอะ”ฟู่หลานเหิงเหลือบมองเสื้อผ้าเปียก ๆ บนตัวของซูจิ่นเอ๋อร์ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย“ระวังเป็นหวัดล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ก็หันหน้าหนี แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น“ไปกันเถอะ พวกเรากลับกันก่อน”กู้หว่านเยว่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาห่อตัวให้ซูจิ่นเอ๋อร์ ซูจิ่งสิงก็หยิบตะกร้าปลาขึ้นมาเมื่อทุกคนกลับถึงบ้าน นางหยางได้ยินว่าพวกเขาตกลงไปในน้ำจนเกือบจะจมน้ำตาย ก็ร้อนใจอย่างมาก“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ไม่ทำให้แม่อุ่นใจเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะไปที่ทะเลสาบน้ำแข็งนั่นทำไม?”นางหยางโกรธจนอยากจะตีนางแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่นางทำไปก็ด้วยความหวังดี เพื่อสุขภาพของกู้หว่านเยว่ จึงฝืนทนไว้ได้“ข้าคิดว่าเจ้าแค่จับปลาอยู่แถวริมฝั่งเสียอีก”“ริมฝั่งไม่เห็นปลาเลยนี่ ข้าเห็นว่าพื้นน้ำแข็งมันแข็งแรงดี จึงเดินเข้าไปตรงกลางแต่ใครจะไปรู้ว่าจะตกลงไปในรูได้...โดนดุต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ถึงอย่างไรซูจิ่นเอ๋อร์ก็เป็นสาวแล้ว รู้สึกอับอาย จึงเถียงกลับเบา ๆ ยิ่งทำให้นางหยางโกรธจนทนไม่ไหว “โด
แม้ว่าครั้งล่าสุดที่นางตรวจชีพจรของหลี่โหวเหย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงอยู่ได้อีกไม่นาน“แต่เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ คนก็จากไปแล้ว นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริง ๆ “วันที่หลี่โหวเหยจากไป ข้าก็อยู่ที่จวนโหว”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยความเสียดาย “คนก็เหมือนกับคันธนูที่ง้างจนสุดกำลัง ช่วงสุดท้ายของชีวิตร่างกายก็ทรุดโทรมหลี่โหวเหยไม่ยอมกินอาหาร ปล่อยให้ตัวเองหิวตาย”กู้หว่านเยว่อดสงสารไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหลี่โหวเหยอยากจะปลดปล่อยตัวเอง”“หลี่โหวเหยปกป้องชายแดนมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก”นางหยางพูดแทรกขึ้นมาว่า “ที่เขากล่าวกันว่าแต่งงานต้องเลือกภรรยาที่เป็นคนดี มีคุณธรรม ก็เพราะเหตุนี้ หากแต่งงานกับภรรยาที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ แอบวางยาพิษ เจ้าจะตายตอนไหนก็ไม่รู้”จินโหย่วเฉียนเหงื่อแตกพลั่ก “ป้าหยาง ท่านพูดเสียจนข้ากลัวเลย”แม้คำพูดจะดูหยาบคาย แต่ความหมายก็ถูกต้อง ที่เขากล่าวกันว่าผู้หญิงกลัวแต่งงานผิดคน ผู้ชายก็เช่นกัน“สวีหลานตายแล้ว เสี่ยวอันก็โตขึ้นมาก หลี่โหวเหยจากไปก็น่าจะจากไปอย่างสงบ”ฟู่หลานเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลี่โหวเหยประจำการเฝ้าชายแดนมาห
“ฮ่องเต้ชั่วคงจะรีบหาเรื่องเปิดศึกกับเราแน่ ๆ หากตอนนี้เมืองตงโจวรุกรานพวกเราอีก ผู้ที่จะต้องบาดเจ็บก็มีเพียงประชาชนในเจดีย์หนิงกู่“ดังนั้น จนกว่าจะถึงที่สุดแล้ว ก็อย่าเพิ่งเปิดศึกกับเมืองตงโจวจะดีกว่า”กู้หว่านเยว่พูดความคิดของตัวเองออกมาซูจิ่งสิงเห็นด้วย สามีภรรยาคู่นี้มีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้เสมอ ต่างไม่ต้องการให้ไฟสงครามลุกลามไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “ในเมื่อชาวบ้านในเมืองตงโจวขาดแคลนเสบียงอาหารและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว เช่นนั้นเราก็ส่งบางส่วนไปให้พวกเขา จะได้ผูกมิตรไมตรีต่อกันพอพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการไป คงจะพอใจแล้ว และไม่น่าจะเสียกำลังคนและทรัพยากรมาโจมตีเราอีก”ถึงจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดผิดอะไร“แต่ตอนนี้พวกเราไม่รู้จักใครในเมืองตงโจวเลย ไม่สู้ไปถามพวกเขาดูว่าต้องการอะไร หากสามารถผูกมิตรกันได้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี”พวกเขาและพวกทูเจวี๋ยมีความแค้นฝังลึก ไม่มีทางคืนดีกันได้ตลอดชีวิตแต่กับเมืองตงโจวไม่เหมือนกัน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน บางทีอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันได้“แต่จะส่งใครไปดีล่ะ การเดินทางครั้งน
ไม่นานนัก จี้ฮั่นโม่ก็มาถึงเขาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างถนนคอนกรีต และการขุดเหมืองในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแค่ให้กู้หว่านเยว่ตรวจดู“ข้าน้อยรู้ว่าท่านต้องการดู แบบนี้จะทำให้ท่านตรวจสอบได้สะดวก”จี้ฮั่นโม่เป็นคนซื่อสัตย์ ใบหน้าที่ดูซื่อ ๆ ของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยกู้หว่านเยว่ตรวจสอบอย่างละเอียดจนจบ ดวงตาของนางฉายแววชื่นชม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สั่งให้จี้ฮั่นโม่ดำเนินการตามแผนงานต่อไปจี้ฮั่นโม่ก็ดีใจเช่นกันเพราะอะไรน่ะหรือ ก่อนหน้านี้เขาทำงานที่กรมโยธาธิการ ส่วนใหญ่จะสร้างพระราชวังให้ฮ่องเต้และนางสนม ล้วนเป็นงานที่สิ้นเปลืองแรงงานและทรัพยากรของประชาชนแต่ตอนนี้กลับได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จี้ฮั่นโม่ผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้องจะไม่รู้สึกดีใจได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น งบประมาณที่กู้หว่านเยว่ตั้งไว้ก็ไม่มีกำหนด นั่นหมายความว่าเขาสามารถทำงานแบบทุ่มเทสุดกำลังได้“ขอบคุณฮูหยิน นายหญิง เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”หลังจากที่จี้ฮั่นโม่จากไป กู้หว่านเยว่ก็เรียกฟู่หลานเหิงเข้ามา แล้วบอกวิธีที่นางคิดได้ในตอนกลางวัน
จนกระทั่งกลับมาที่หมู่บ้านสือหานนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นฟู่หลานเหิงมาหานาง นางถึงได้รู้สึกหมดกำลังใจเล็กน้อยแต่ในจังหวะนั้น ฟู่หลานเหิงก็พุ่งตัวลงไปช่วยนางโดยไม่คิดชีวิต“ข้าเห็นชัดเจนมาก ตอนที่ท่านกระโดดลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง ท่านไม่ได้คิดอะไรมากเลย ท่านมาช่วยข้าใช่หรือไม่?”ฟู่หลานเหิงเห็นแววตาของซูจิ่นเอ๋อร์ที่คลอไปด้วยน้ำตา เขาไม่กล้ามองหน้านาง“ใช่แต่ถึงแม้คนที่ตกลงไปไม่ใช่เจ้า เป็นคนอื่น ข้าผ่านไปเห็นก็จะเข้าไปช่วยเหมือนกันเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น”หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกใจสั่นอย่างรุนแรง ราวกับโดนเข็มทิ่มแทง จึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน“ข้ามีธุระด่วน ต้องรีบไปชายแดน คงรำลึกความหลังกับคุณหนูซูต่อไม่ได้แล้ว ถ้ามีโอกาสครั้งหน้า ข้าจะมากินอาหารที่เจ้าทำอีก”“ใต้เท้าฟู่!”ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ฟู่หลานเหิงไม่เปิดโอกาสให้นางเลย พริบตาเดียวก็พาผู้ติดตามหายไปบนเส้นทางเล็ก ๆ นั้นแล้ว“ใต้เท้าฟู่...”น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ซูจิ่นเอ๋อร์เอื้อมมือปาดน้ำตา“เจ้าบอกสิว่าเจ้าจะทรมานไปเพื่ออะไรกัน?”จู่ ๆ เสียงของจินโหย่วเฉียนก็ดังขึ้นข้างหลัง เขายื่นผ้
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง